ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
แม่ สร้างวัดเองเลย http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=59093 |
หน้า 4 จากทั้งหมด 8 |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 07 ก.ค. 2020, 19:55 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แม่ สร้างวัดเองเลย |
เมื่อเป็นดังว่านั้นแล้ว ที่กรัชกายแนะนำให้สร้างวัดเองก็เป็นหมัน คิดแบบนั้น อย่าว่าแต่สร้างวัด สร้างห้องน้ำเลย พระเณรเดินบิณฑบาตผ่านหน้าบ้านตอนเช้าๆก็ไม่ใส่บาตร ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ที่เคยแนะนำก็เป็นหมันด้วย คือ ไม่มีผลไม่มีดอกไม่มีใบ กรัชกาย เขียน: https://f.ptcdn.info/916/069/000/qceset2xbOn8Mnea9wA-o.jpg กรัชกายแนะนำไว้ที่กท.นี้ แต่ไม่ชัด ตั้งกท.ใหม่ให้ชัดไปเลย แล้วทีนี้มี คคห.ทำนองนี้ก็จะนำมาลงไว้ที่นี้ viewtopic.php?f=1&t=58914&start=30 ขอฝากคุณโรสไปแล้วกัน คือ อยากบอกว่า แฟนคลับแม่สุจินมีเยอะแล้วก็มีศักยภาพมีเงินมีทอง อยากให้เปลี่ยนแนวทางใหม่ตามนี้ คือว่า พากันไปสำรวจวัดที่มีอยู่ทั่วประเทศ ว่า วัดไหนทรุดโทรมก็ช่วยกันบูรณะปฏิสังขรณ์ทาสี เป็นต้น ให้ใหม่สวยงามเอี่ยมอ่อง หากกำลังยังไม่ตก คือว่า ยังมีกำลังอีกก็ซื้อที่ดินสร้างวัดเองเลย ที่ดินอย่างน้อยสัก 50 ไร่ หรือ 59 ไร่ พร้อมแฟนคลับที่ติดสอยห้อยตามกันไปนั่นมานี่ ก็ร่วมกันออกทุนสร้างโบสถ์ สร้างศาลา เป็นต้น ให้ครบเป็นวัด เมื่อสร้างวัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ไปหาเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ ลูกเศรษฐี มหาเศรษฐี ให้สละทรัพย์สมบัติให้หมดแล้วไปบวชพระบวชเณรกันที่วัดใหม่นี้ และแล้วตนเองและบริวารก็ปวารณาตัวอุปถัมภ์วัดและพระเณรในวัดสืบๆกันไปชั่วกาลนานเทอญ. เมื่อพระเณรในวัดต้องการอะไรเราก็จัดซื้อจัดหาไปให้ ค่าใช้จ่ายภายในวัดแต่ละเดือนละปี เช่น ค่าน้ำค่าไฟ เป็นต้น เราก็จ่ายให้เองหมด พระเณรจะเดินทางขึ้นรถลงเรือไปเหนือล่องใต้ เราก็รับเป็นภาระธุระตีตั๋วไปกลับให้แล้วก็พาขึ้นรถไปส่งที่สถานีขนส่งพาไปสนามบิน เพื่อทำวัดย้อนยุคไปเมื่อสมัยพุทธกาลเมื่อ 2600 กว่าปีมา พระเณรในวัดที่เราสร้างขึ้นใหม่นี้ก็ไม่ต้องจับเงินเลย สาทุ แม้แต่เวียนเทียนในวันสำคัญๆทางศาสนาก็ไม่ทำไม่ไป เพราะครั้งพุทธกาลไม่มี มันจบแล้วครับนาย |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 07 ก.ค. 2020, 20:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แม่ สร้างวัดเองเลย |
ชาวพุทธในไทยแลให้ไกลมองออกไปข้างนอกด้วย |
เจ้าของ: | Rosarin [ 07 ก.ค. 2020, 22:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แม่ สร้างวัดเองเลย |
Rosarin เขียน: รู้จักวัดไหม... ก่อนตรัสรู้ไม่มีวัด... ที่มีวัดเพราะมีคนขอบวช... คือขอสละอาคารบ้านเรือนไม่มีที่อยู่... จากนั้นมีสาวกศรัทธาคำสอนจึงสร้างวัดถวายพระพุทธเจ้า... และพระพุทธเจ้าอนุญาตให้คน2ประเภทที่นอนวัดได้ตามการบรรพชาคือคนที่บรรพชาเท่านั้น คนที่บรรพชามี2เพศคือ 1.ภิกษุ(เพศผู้) 2.ภิกษุณี(เพศเมีย) ที่เหลือไม่ได้บรรพชาก็กลับไปนอนที่บ้านตัวเอง เออแล้วคนสมัยนี้ไม่ได้บรรพชาก็เข้าไปนอนวัด...พระพุทธเจ้าไม่ได้อนุญาต...บาปไหมทำตามๆกันด้วยไม่รู้ ไม่ศึกษาคำสอนเอาแต่ทำตามๆกันที่ชวนชาวบ้านเข้าไปนอนวัดมากๆทำเพื่อให้คนขนลาภปากเงินทองไปให้ ตรงมั๊ย...ชาวบ้านไม่รู้อยากได้บุญโดยไม่เข้าใจว่าจะเป็นบุญก็ต่อเมื่อทำถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่ใช่การเข้าวัดไปทำตามใจชอบของกิเลสตัวเอง+ทำตามๆกันตามใจกิเลสนักบวชที่ตัวเองนับถือ/ผิดมั๊ย การบรรพชาเข้าไปเพื่อทำตามตถาคตทรงอนุญาตให้ทำกิจได้แค่2อย่างคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระเท่านั้น ไม่มีกิจทำสังคมสงเคราะห์หรือกิจการงานเกี่ยวกับการก่อสร้างไม่ทำอาชีพไม่ใช้เงินซื้อขายแลกเปลี่ยนอะไร ก่อสร้างวัตถุมากๆเอาเงินที่ไหนไปบำรุงรักษา...นอกจากไม่ทำตามคำสอนแล้วยังคิดวิธีหาเงินเรี่ยไรเงินทุกวัน ข้างบนที่เขียนคือเรื่องราวสถานการณ์ตามปกติตามเป็นจริงไม่ใช่ทัศนคติค่ะ คุณกรัชกายรู้ตัวอยู่ใช่ไหมว่าเป็นคนและไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าไม่มีตัว คนที่คิดว่าตัวทำถูกแล้วคือคนที่ไม่รู้ตัวว่าเอาตัวไปทำอะไรก็ไม่มีปัญญา เพราะปัญญารู้และเข้าใจถูกตรงตามคำสอนต้องรู้จักคิดตรงปัจจุบัน ตอนที่กำลังมีตัวและคิดตามคำสอนถูกตัวแล้วรู้ตัวว่าคิดผิดว่ามีตัว วัดไม่ใช่ตลาดนัดขายของเพราะวัดคือที่อยู่ของผู้ที่สงบจากกิเลส |
เจ้าของ: | Rosarin [ 08 ก.ค. 2020, 11:12 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แม่ สร้างวัดเองเลย |
Rosarin เขียน: Rosarin เขียน: รู้จักวัดไหม... ก่อนตรัสรู้ไม่มีวัด... ที่มีวัดเพราะมีคนขอบวช... คือขอสละอาคารบ้านเรือนไม่มีที่อยู่... จากนั้นมีสาวกศรัทธาคำสอนจึงสร้างวัดถวายพระพุทธเจ้า... และพระพุทธเจ้าอนุญาตให้คน2ประเภทที่นอนวัดได้ตามการบรรพชาคือคนที่บรรพชาเท่านั้น คนที่บรรพชามี2เพศคือ 1.ภิกษุ(เพศผู้) 2.ภิกษุณี(เพศเมีย) ที่เหลือไม่ได้บรรพชาก็กลับไปนอนที่บ้านตัวเอง เออแล้วคนสมัยนี้ไม่ได้บรรพชาก็เข้าไปนอนวัด...พระพุทธเจ้าไม่ได้อนุญาต...บาปไหมทำตามๆกันด้วยไม่รู้ ไม่ศึกษาคำสอนเอาแต่ทำตามๆกันที่ชวนชาวบ้านเข้าไปนอนวัดมากๆทำเพื่อให้คนขนลาภปากเงินทองไปให้ ตรงมั๊ย...ชาวบ้านไม่รู้อยากได้บุญโดยไม่เข้าใจว่าจะเป็นบุญก็ต่อเมื่อทำถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่ใช่การเข้าวัดไปทำตามใจชอบของกิเลสตัวเอง+ทำตามๆกันตามใจกิเลสนักบวชที่ตัวเองนับถือ/ผิดมั๊ย การบรรพชาเข้าไปเพื่อทำตามตถาคตทรงอนุญาตให้ทำกิจได้แค่2อย่างคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระเท่านั้น ไม่มีกิจทำสังคมสงเคราะห์หรือกิจการงานเกี่ยวกับการก่อสร้างไม่ทำอาชีพไม่ใช้เงินซื้อขายแลกเปลี่ยนอะไร ก่อสร้างวัตถุมากๆเอาเงินที่ไหนไปบำรุงรักษา...นอกจากไม่ทำตามคำสอนแล้วยังคิดวิธีหาเงินเรี่ยไรเงินทุกวัน ข้างบนที่เขียนคือเรื่องราวสถานการณ์ตามปกติตามเป็นจริงไม่ใช่ทัศนคติค่ะ คุณกรัชกายรู้ตัวอยู่ใช่ไหมว่าเป็นคนและไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าไม่มีตัว คนที่คิดว่าตัวทำถูกแล้วคือคนที่ไม่รู้ตัวว่าเอาตัวไปทำอะไรก็ไม่มีปัญญา เพราะปัญญารู้และเข้าใจถูกตรงตามคำสอนต้องรู้จักคิดตรงปัจจุบัน ตอนที่กำลังมีตัวและคิดตามคำสอนถูกตัวแล้วรู้ตัวว่าคิดผิดว่ามีตัว วัดไม่ใช่ตลาดนัดขายของเพราะวัดคือที่อยู่ของผู้ที่สงบจากกิเลส การจะกล่าวยืนยันว่าบุคคลใดเป็นอริยบุคคลระดับไหน ไม่มีใครรู้เกินปัญญาของตัวเองเข้าใจไหมคะ การที่มีคนมาบอกคุณว่าคนนั้นเป็นอรหันต์ คนที่พูดยืนยันต้องเป็นอรหันต์จึงพูดได้ค่ะ คือจะต้องมีบันทึกระบุชื่อในพระไตรปิฏก คือมีเจ้าของคำสอนคือพระพุทธเจ้ายืนยันเอาไว้ และพระพุทธเจ้ายกพระธรรมเป็นศาสดาแทนตถาคต ทรงทำนายไว้ล่วงหน้าว่ายุคพันปีที่3มีอริยบุคคลบรรลุธรรมได้ถึงอนาคามีเท่านั้น ซึ่งครั้งพุทธกาลคนที่จำเป็นต้องบวชโดยไม่มีข้อแม้ใดๆคือบวชทันทีที่บรรลุอรหันต์ ส่วนคนที่บรรลุอนาคามีก็ใช้ชีวิตแบบชาวบ้านตามปกติใช้เงินทองได้ไม่มีข้ออาบัติ ถามว่าอริยบุคคลที่เป็นนักบวชเขาปลอดการทำผิดข้อรับเงินจริงๆสมัยนี้บวชทำมั่วๆ คนที่คิดพูดทำโดยยืนยันความคิดตัวเองโดยไม่ยืนยันสิ่งที่พูดตามคำสอนคือพูดคิดทำมั่วๆค่ะ แสดงว่ามั่วคิดเอาเองพูดตามๆกันไม่พูดตรงตามพระไตรปิฏกก็คือกูเอาตามพอใจของกิเลสกู พอมีคนออกมาประกาศว่าบวชรับเงินไม่ได้โกรธน่ะคือโทสะ+โมหะคืออกุศลศีลของปุถุชนนะคะ บวชมีข้อห้ามคือว่ากันตามสิกขาบทแต่ละข้อส่วนการลาสิกขาไม่มีข้อห้ามเพราะทำตามไม่ได้ก็ลาสิกขา555 |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 08 ก.ค. 2020, 19:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แม่ สร้างวัดเองเลย |
Rosarin เขียน: Rosarin เขียน: รู้จักวัดไหม... ก่อนตรัสรู้ไม่มีวัด... ที่มีวัดเพราะมีคนขอบวช... คือขอสละอาคารบ้านเรือนไม่มีที่อยู่... จากนั้นมีสาวกศรัทธาคำสอนจึงสร้างวัดถวายพระพุทธเจ้า... และพระพุทธเจ้าอนุญาตให้คน2ประเภทที่นอนวัดได้ตามการบรรพชาคือคนที่บรรพชาเท่านั้น คนที่บรรพชามี2เพศคือ 1.ภิกษุ(เพศผู้) 2.ภิกษุณี(เพศเมีย) ที่เหลือไม่ได้บรรพชาก็กลับไปนอนที่บ้านตัวเอง เออแล้วคนสมัยนี้ไม่ได้บรรพชาก็เข้าไปนอนวัด...พระพุทธเจ้าไม่ได้อนุญาต...บาปไหมทำตามๆกันด้วยไม่รู้ ไม่ศึกษาคำสอนเอาแต่ทำตามๆกันที่ชวนชาวบ้านเข้าไปนอนวัดมากๆทำเพื่อให้คนขนลาภปากเงินทองไปให้ ตรงมั๊ย...ชาวบ้านไม่รู้อยากได้บุญโดยไม่เข้าใจว่าจะเป็นบุญก็ต่อเมื่อทำถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่ใช่การเข้าวัดไปทำตามใจชอบของกิเลสตัวเอง+ทำตามๆกันตามใจกิเลสนักบวชที่ตัวเองนับถือ/ผิดมั๊ย การบรรพชาเข้าไปเพื่อทำตามตถาคตทรงอนุญาตให้ทำกิจได้แค่2อย่างคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระเท่านั้น ไม่มีกิจทำสังคมสงเคราะห์หรือกิจการงานเกี่ยวกับการก่อสร้างไม่ทำอาชีพไม่ใช้เงินซื้อขายแลกเปลี่ยนอะไร ก่อสร้างวัตถุมากๆเอาเงินที่ไหนไปบำรุงรักษา...นอกจากไม่ทำตามคำสอนแล้วยังคิดวิธีหาเงินเรี่ยไรเงินทุกวัน ข้างบนที่เขียนคือเรื่องราวสถานการณ์ตามปกติตามเป็นจริงไม่ใช่ทัศนคติค่ะ คุณกรัชกายรู้ตัวอยู่ใช่ไหมว่าเป็นคนและไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าไม่มีตัว คนที่คิดว่าตัวทำถูกแล้วคือคนที่ไม่รู้ตัวว่าเอาตัวไปทำอะไรก็ไม่มีปัญญา เพราะปัญญารู้และเข้าใจถูกตรงตามคำสอนต้องรู้จักคิดตรงปัจจุบัน ตอนที่กำลังมีตัวและคิดตามคำสอนถูกตัวแล้วรู้ตัวว่าคิดผิดว่ามีตัว วัดไม่ใช่ตลาดนัดขายของเพราะวัดคือที่อยู่ของผู้ที่สงบจากกิเลส นั่นแหละทัศนคติ ที่มองพุทธธรรมพลาดไป คือ ไม่รู้จักสมมติบัญญัติ ถ้างั้นถาม คนมีไหม ตอบข้อไหน 1.ไม่มี 2.มี |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 08 ก.ค. 2020, 19:29 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แม่ สร้างวัดเองเลย |
Rosarin เขียน: Rosarin เขียน: Rosarin เขียน: รู้จักวัดไหม... ก่อนตรัสรู้ไม่มีวัด... ที่มีวัดเพราะมีคนขอบวช... คือขอสละอาคารบ้านเรือนไม่มีที่อยู่... จากนั้นมีสาวกศรัทธาคำสอนจึงสร้างวัดถวายพระพุทธเจ้า... และพระพุทธเจ้าอนุญาตให้คน2ประเภทที่นอนวัดได้ตามการบรรพชาคือคนที่บรรพชาเท่านั้น คนที่บรรพชามี2เพศคือ 1.ภิกษุ(เพศผู้) 2.ภิกษุณี(เพศเมีย) ที่เหลือไม่ได้บรรพชาก็กลับไปนอนที่บ้านตัวเอง เออแล้วคนสมัยนี้ไม่ได้บรรพชาก็เข้าไปนอนวัด...พระพุทธเจ้าไม่ได้อนุญาต...บาปไหมทำตามๆกันด้วยไม่รู้ ไม่ศึกษาคำสอนเอาแต่ทำตามๆกันที่ชวนชาวบ้านเข้าไปนอนวัดมากๆทำเพื่อให้คนขนลาภปากเงินทองไปให้ ตรงมั๊ย...ชาวบ้านไม่รู้อยากได้บุญโดยไม่เข้าใจว่าจะเป็นบุญก็ต่อเมื่อทำถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่ใช่การเข้าวัดไปทำตามใจชอบของกิเลสตัวเอง+ทำตามๆกันตามใจกิเลสนักบวชที่ตัวเองนับถือ/ผิดมั๊ย การบรรพชาเข้าไปเพื่อทำตามตถาคตทรงอนุญาตให้ทำกิจได้แค่2อย่างคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระเท่านั้น ไม่มีกิจทำสังคมสงเคราะห์หรือกิจการงานเกี่ยวกับการก่อสร้างไม่ทำอาชีพไม่ใช้เงินซื้อขายแลกเปลี่ยนอะไร ก่อสร้างวัตถุมากๆเอาเงินที่ไหนไปบำรุงรักษา...นอกจากไม่ทำตามคำสอนแล้วยังคิดวิธีหาเงินเรี่ยไรเงินทุกวัน ข้างบนที่เขียนคือเรื่องราวสถานการณ์ตามปกติตามเป็นจริงไม่ใช่ทัศนคติค่ะ คุณกรัชกายรู้ตัวอยู่ใช่ไหมว่าเป็นคนและไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าไม่มีตัว คนที่คิดว่าตัวทำถูกแล้วคือคนที่ไม่รู้ตัวว่าเอาตัวไปทำอะไรก็ไม่มีปัญญา เพราะปัญญารู้และเข้าใจถูกตรงตามคำสอนต้องรู้จักคิดตรงปัจจุบัน ตอนที่กำลังมีตัวและคิดตามคำสอนถูกตัวแล้วรู้ตัวว่าคิดผิดว่ามีตัว วัดไม่ใช่ตลาดนัดขายของเพราะวัดคือที่อยู่ของผู้ที่สงบจากกิเลส การจะกล่าวยืนยันว่าบุคคลใดเป็นอริยบุคคลระดับไหน ไม่มีใครรู้เกินปัญญาของตัวเองเข้าใจไหมคะ การที่มีคนมาบอกคุณว่าคนนั้นเป็นอรหันต์ คนที่พูดยืนยันต้องเป็นอรหันต์จึงพูดได้ค่ะ คือจะต้องมีบันทึกระบุชื่อในพระไตรปิฏก คือมีเจ้าของคำสอนคือพระพุทธเจ้ายืนยันเอาไว้ และพระพุทธเจ้ายกพระธรรมเป็นศาสดาแทนตถาคต ทรงทำนายไว้ล่วงหน้าว่ายุคพันปีที่3มีอริยบุคคลบรรลุธรรมได้ถึงอนาคามีเท่านั้น ซึ่งครั้งพุทธกาลคนที่จำเป็นต้องบวชโดยไม่มีข้อแม้ใดๆคือบวชทันทีที่บรรลุอรหันต์ ส่วนคนที่บรรลุอนาคามีก็ใช้ชีวิตแบบชาวบ้านตามปกติใช้เงินทองได้ไม่มีข้ออาบัติ ถามว่าอริยบุคคลที่เป็นนักบวชเขาปลอดการทำผิดข้อรับเงินจริงๆสมัยนี้บวชทำมั่วๆ คนที่คิดพูดทำโดยยืนยันความคิดตัวเองโดยไม่ยืนยันสิ่งที่พูดตามคำสอนคือพูดคิดทำมั่วๆค่ะ แสดงว่ามั่วคิดเอาเองพูดตามๆกันไม่พูดตรงตามพระไตรปิฏกก็คือกูเอาตามพอใจของกิเลสกู พอมีคนออกมาประกาศว่าบวชรับเงินไม่ได้โกรธน่ะคือโทสะ+โมหะคืออกุศลศีลของปุถุชนนะคะ บวชมีข้อห้ามคือว่ากันตามสิกขาบทแต่ละข้อส่วนการลาสิกขาไม่มีข้อห้ามเพราะทำตามไม่ได้ก็ลาสิกขา555 คุณโรสพูดขัดแย้งกันเอง คิกๆๆๆ คคห. บนว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าคนไม่มี แต่พอมาถึง คคห.นี้ คุณโรสพูดคน บุคคลเต็มหมดเบย ไปเอาคนมาแต่ไหน นี่แหละที่สำนักบ้านธัมมะกับคุณโรสมีปัญหาทางความเข้าใจพุทธธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อไม่เข้าใจ มันจึงแย้งกับความรู้สึกตัวเอง คุณโรสและสำนักบ้านธัมมะจะต้องไปศึกษา สัจจะ ๒ ระดับ คือ สมมติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ ให้เข้าใจ แยกออกแยกได้ แล้วที่เขียนมายืดยาว ก็จับแพะชนแกะ จับรถชนกับเรือ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 08 ก.ค. 2020, 23:28 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แม่ สร้างวัดเองเลย |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: Rosarin เขียน: Rosarin เขียน: รู้จักวัดไหม... ก่อนตรัสรู้ไม่มีวัด... ที่มีวัดเพราะมีคนขอบวช... คือขอสละอาคารบ้านเรือนไม่มีที่อยู่... จากนั้นมีสาวกศรัทธาคำสอนจึงสร้างวัดถวายพระพุทธเจ้า... และพระพุทธเจ้าอนุญาตให้คน2ประเภทที่นอนวัดได้ตามการบรรพชาคือคนที่บรรพชาเท่านั้น คนที่บรรพชามี2เพศคือ 1.ภิกษุ(เพศผู้) 2.ภิกษุณี(เพศเมีย) ที่เหลือไม่ได้บรรพชาก็กลับไปนอนที่บ้านตัวเอง เออแล้วคนสมัยนี้ไม่ได้บรรพชาก็เข้าไปนอนวัด...พระพุทธเจ้าไม่ได้อนุญาต...บาปไหมทำตามๆกันด้วยไม่รู้ ไม่ศึกษาคำสอนเอาแต่ทำตามๆกันที่ชวนชาวบ้านเข้าไปนอนวัดมากๆทำเพื่อให้คนขนลาภปากเงินทองไปให้ ตรงมั๊ย...ชาวบ้านไม่รู้อยากได้บุญโดยไม่เข้าใจว่าจะเป็นบุญก็ต่อเมื่อทำถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่ใช่การเข้าวัดไปทำตามใจชอบของกิเลสตัวเอง+ทำตามๆกันตามใจกิเลสนักบวชที่ตัวเองนับถือ/ผิดมั๊ย การบรรพชาเข้าไปเพื่อทำตามตถาคตทรงอนุญาตให้ทำกิจได้แค่2อย่างคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระเท่านั้น ไม่มีกิจทำสังคมสงเคราะห์หรือกิจการงานเกี่ยวกับการก่อสร้างไม่ทำอาชีพไม่ใช้เงินซื้อขายแลกเปลี่ยนอะไร ก่อสร้างวัตถุมากๆเอาเงินที่ไหนไปบำรุงรักษา...นอกจากไม่ทำตามคำสอนแล้วยังคิดวิธีหาเงินเรี่ยไรเงินทุกวัน ข้างบนที่เขียนคือเรื่องราวสถานการณ์ตามปกติตามเป็นจริงไม่ใช่ทัศนคติค่ะ คุณกรัชกายรู้ตัวอยู่ใช่ไหมว่าเป็นคนและไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าไม่มีตัว คนที่คิดว่าตัวทำถูกแล้วคือคนที่ไม่รู้ตัวว่าเอาตัวไปทำอะไรก็ไม่มีปัญญา เพราะปัญญารู้และเข้าใจถูกตรงตามคำสอนต้องรู้จักคิดตรงปัจจุบัน ตอนที่กำลังมีตัวและคิดตามคำสอนถูกตัวแล้วรู้ตัวว่าคิดผิดว่ามีตัว วัดไม่ใช่ตลาดนัดขายของเพราะวัดคือที่อยู่ของผู้ที่สงบจากกิเลส การจะกล่าวยืนยันว่าบุคคลใดเป็นอริยบุคคลระดับไหน ไม่มีใครรู้เกินปัญญาของตัวเองเข้าใจไหมคะ การที่มีคนมาบอกคุณว่าคนนั้นเป็นอรหันต์ คนที่พูดยืนยันต้องเป็นอรหันต์จึงพูดได้ค่ะ คือจะต้องมีบันทึกระบุชื่อในพระไตรปิฏก คือมีเจ้าของคำสอนคือพระพุทธเจ้ายืนยันเอาไว้ และพระพุทธเจ้ายกพระธรรมเป็นศาสดาแทนตถาคต ทรงทำนายไว้ล่วงหน้าว่ายุคพันปีที่3มีอริยบุคคลบรรลุธรรมได้ถึงอนาคามีเท่านั้น ซึ่งครั้งพุทธกาลคนที่จำเป็นต้องบวชโดยไม่มีข้อแม้ใดๆคือบวชทันทีที่บรรลุอรหันต์ ส่วนคนที่บรรลุอนาคามีก็ใช้ชีวิตแบบชาวบ้านตามปกติใช้เงินทองได้ไม่มีข้ออาบัติ ถามว่าอริยบุคคลที่เป็นนักบวชเขาปลอดการทำผิดข้อรับเงินจริงๆสมัยนี้บวชทำมั่วๆ คนที่คิดพูดทำโดยยืนยันความคิดตัวเองโดยไม่ยืนยันสิ่งที่พูดตามคำสอนคือพูดคิดทำมั่วๆค่ะ แสดงว่ามั่วคิดเอาเองพูดตามๆกันไม่พูดตรงตามพระไตรปิฏกก็คือกูเอาตามพอใจของกิเลสกู พอมีคนออกมาประกาศว่าบวชรับเงินไม่ได้โกรธน่ะคือโทสะ+โมหะคืออกุศลศีลของปุถุชนนะคะ บวชมีข้อห้ามคือว่ากันตามสิกขาบทแต่ละข้อส่วนการลาสิกขาไม่มีข้อห้ามเพราะทำตามไม่ได้ก็ลาสิกขา555 คุณโรสพูดขัดแย้งกันเอง คิกๆๆๆ คคห. บนว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าคนไม่มี แต่พอมาถึง คคห.นี้ คุณโรสพูดคน บุคคลเต็มหมดเบย ไปเอาคนมาแต่ไหน นี่แหละที่สำนักบ้านธัมมะกับคุณโรสมีปัญหาทางความเข้าใจพุทธธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อไม่เข้าใจ มันจึงแย้งกับความรู้สึกตัวเอง คุณโรสและสำนักบ้านธัมมะจะต้องไปศึกษา สัจจะ ๒ ระดับ คือ สมมติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ ให้เข้าใจ แยกออกแยกได้ แล้วที่เขียนมายืดยาว ก็จับแพะชนแกะ จับรถชนกับเรือ คิดว่าตัวเองฉลาดมากนักหรือ ที่เขียนเพียงเพื่ออยากเอาชนะ การคะคานคัดค้านอะไรดูเหตุผลมั่งนะ ตอนนี้อยู่ภพภูมิไหนเหรอจะให้บอกว่าผีบอกเหรอ555 สมมุติตามปกติตามภพภูมิยังเป็นแบบไม่รู้เรื่องแบบไม่เข้าใจอะไรเลย จะเข้าใจหลักธรรมอันละเอียดลึกซึ้งได้ยังไงยังแยกความคิดกับปัญญาที่เข้าใจถูกตามคำสอนไม่ออกอยู่อีก ฟังบ้างนะ...ปัญญาแรกแทรกเกิดตามหลังกิเลสได้ตอนฟังคำของตถาคต...ฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญารู้มั๊ยยยย ไม่ใช่ทำด้วยดีย่อมได้ปัญญาแน่ๆ...ดูอย่างโจรฆ่าน้องชมพู่สิมันทำดีแนบเนียนมากไหมฆ่าคนให้คนจับไม่ได้ เอาอีกตัวอย่างนึงไหม...สละสมบัติไม่ทำงานหาเงินเพื่อมาทำตามพระพุทธเจ้าทำแนบเนียนไหมที่บวชรับเงิน https://youtu.be/dHApmIPnc64 |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 09 ก.ค. 2020, 18:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แม่ สร้างวัดเองเลย |
Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: Rosarin เขียน: Rosarin เขียน: รู้จักวัดไหม... ก่อนตรัสรู้ไม่มีวัด... ที่มีวัดเพราะมีคนขอบวช... คือขอสละอาคารบ้านเรือนไม่มีที่อยู่... จากนั้นมีสาวกศรัทธาคำสอนจึงสร้างวัดถวายพระพุทธเจ้า... และพระพุทธเจ้าอนุญาตให้คน2ประเภทที่นอนวัดได้ตามการบรรพชาคือคนที่บรรพชาเท่านั้น คนที่บรรพชามี2เพศคือ 1.ภิกษุ(เพศผู้) 2.ภิกษุณี(เพศเมีย) ที่เหลือไม่ได้บรรพชาก็กลับไปนอนที่บ้านตัวเอง เออแล้วคนสมัยนี้ไม่ได้บรรพชาก็เข้าไปนอนวัด...พระพุทธเจ้าไม่ได้อนุญาต...บาปไหมทำตามๆกันด้วยไม่รู้ ไม่ศึกษาคำสอนเอาแต่ทำตามๆกันที่ชวนชาวบ้านเข้าไปนอนวัดมากๆทำเพื่อให้คนขนลาภปากเงินทองไปให้ ตรงมั๊ย...ชาวบ้านไม่รู้อยากได้บุญโดยไม่เข้าใจว่าจะเป็นบุญก็ต่อเมื่อทำถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่ใช่การเข้าวัดไปทำตามใจชอบของกิเลสตัวเอง+ทำตามๆกันตามใจกิเลสนักบวชที่ตัวเองนับถือ/ผิดมั๊ย การบรรพชาเข้าไปเพื่อทำตามตถาคตทรงอนุญาตให้ทำกิจได้แค่2อย่างคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระเท่านั้น ไม่มีกิจทำสังคมสงเคราะห์หรือกิจการงานเกี่ยวกับการก่อสร้างไม่ทำอาชีพไม่ใช้เงินซื้อขายแลกเปลี่ยนอะไร ก่อสร้างวัตถุมากๆเอาเงินที่ไหนไปบำรุงรักษา...นอกจากไม่ทำตามคำสอนแล้วยังคิดวิธีหาเงินเรี่ยไรเงินทุกวัน ข้างบนที่เขียนคือเรื่องราวสถานการณ์ตามปกติตามเป็นจริงไม่ใช่ทัศนคติค่ะ คุณกรัชกายรู้ตัวอยู่ใช่ไหมว่าเป็นคนและไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าไม่มีตัว คนที่คิดว่าตัวทำถูกแล้วคือคนที่ไม่รู้ตัวว่าเอาตัวไปทำอะไรก็ไม่มีปัญญา เพราะปัญญารู้และเข้าใจถูกตรงตามคำสอนต้องรู้จักคิดตรงปัจจุบัน ตอนที่กำลังมีตัวและคิดตามคำสอนถูกตัวแล้วรู้ตัวว่าคิดผิดว่ามีตัว วัดไม่ใช่ตลาดนัดขายของเพราะวัดคือที่อยู่ของผู้ที่สงบจากกิเลส การจะกล่าวยืนยันว่าบุคคลใดเป็นอริยบุคคลระดับไหน ไม่มีใครรู้เกินปัญญาของตัวเองเข้าใจไหมคะ การที่มีคนมาบอกคุณว่าคนนั้นเป็นอรหันต์ คนที่พูดยืนยันต้องเป็นอรหันต์จึงพูดได้ค่ะ คือจะต้องมีบันทึกระบุชื่อในพระไตรปิฏก คือมีเจ้าของคำสอนคือพระพุทธเจ้ายืนยันเอาไว้ และพระพุทธเจ้ายกพระธรรมเป็นศาสดาแทนตถาคต ทรงทำนายไว้ล่วงหน้าว่ายุคพันปีที่3มีอริยบุคคลบรรลุธรรมได้ถึงอนาคามีเท่านั้น ซึ่งครั้งพุทธกาลคนที่จำเป็นต้องบวชโดยไม่มีข้อแม้ใดๆคือบวชทันทีที่บรรลุอรหันต์ ส่วนคนที่บรรลุอนาคามีก็ใช้ชีวิตแบบชาวบ้านตามปกติใช้เงินทองได้ไม่มีข้ออาบัติ ถามว่าอริยบุคคลที่เป็นนักบวชเขาปลอดการทำผิดข้อรับเงินจริงๆสมัยนี้บวชทำมั่วๆ คนที่คิดพูดทำโดยยืนยันความคิดตัวเองโดยไม่ยืนยันสิ่งที่พูดตามคำสอนคือพูดคิดทำมั่วๆค่ะ แสดงว่ามั่วคิดเอาเองพูดตามๆกันไม่พูดตรงตามพระไตรปิฏกก็คือกูเอาตามพอใจของกิเลสกู พอมีคนออกมาประกาศว่าบวชรับเงินไม่ได้โกรธน่ะคือโทสะ+โมหะคืออกุศลศีลของปุถุชนนะคะ บวชมีข้อห้ามคือว่ากันตามสิกขาบทแต่ละข้อส่วนการลาสิกขาไม่มีข้อห้ามเพราะทำตามไม่ได้ก็ลาสิกขา555 คุณโรสพูดขัดแย้งกันเอง คิกๆๆๆ คคห. บนว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าคนไม่มี แต่พอมาถึง คคห.นี้ คุณโรสพูดคน บุคคลเต็มหมดเบย ไปเอาคนมาแต่ไหน นี่แหละที่สำนักบ้านธัมมะกับคุณโรสมีปัญหาทางความเข้าใจพุทธธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อไม่เข้าใจ มันจึงแย้งกับความรู้สึกตัวเอง คุณโรสและสำนักบ้านธัมมะจะต้องไปศึกษา สัจจะ ๒ ระดับ คือ สมมติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ ให้เข้าใจ แยกออกแยกได้ แล้วที่เขียนมายืดยาว ก็จับแพะชนแกะ จับรถชนกับเรือ คิดว่าตัวเองฉลาดมากนักหรือ ที่เขียนเพียงเพื่ออยากเอาชนะ การคะคานคัดค้านอะไรดูเหตุผลมั่งนะ ตอนนี้อยู่ภพภูมิไหนเหรอจะให้บอกว่าผีบอกเหรอ555 สมมุติตามปกติตามภพภูมิยังเป็นแบบไม่รู้เรื่องแบบไม่เข้าใจอะไรเลย จะเข้าใจหลักธรรมอันละเอียดลึกซึ้งได้ยังไงยังแยกความคิดกับปัญญาที่เข้าใจถูกตามคำสอนไม่ออกอยู่อีก ฟังบ้างนะ...ปัญญาแรกแทรกเกิดตามหลังกิเลสได้ตอนฟังคำของตถาคต...ฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญารู้มั๊ยยยย ไม่ใช่ทำด้วยดีย่อมได้ปัญญาแน่ๆ...ดูอย่างโจรฆ่าน้องชมพู่สิมันทำดีแนบเนียนมากไหมฆ่าคนให้คนจับไม่ได้ เอาอีกตัวอย่างนึงไหม...สละสมบัติไม่ทำงานหาเงินเพื่อมาทำตามพระพุทธเจ้าทำแนบเนียนไหมที่บวชรับเงิน https://youtu.be/dHApmIPnc64 ถ้างั้นถามใหม่ คนมีไหม มีช้อยให้เลือก 1. ไม่มี 2. มี ตอบได้ข้อเดียวนะ ติ๊กเลยข้อ 1 หรือ 2 |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 09 ก.ค. 2020, 18:50 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แม่ สร้างวัดเองเลย |
ไปเห็นหทเย นิเธตพฺพยุตฺตํ อีก อ้างคำพูด: หทเย นิเธตพฺพยุตฺตกํ (ข้อความที่ควรเก็บไว้ในหทัย) [๑๗๘] มั่นคงที่จะกล่าวคำจริง ---------- กราบเรียนท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงความมั่นคงไม่หวั่นไหวในการเผยแพร่พระธรรมวินัย แม้จะมีผู้ที่ไม่เห็นด้วยแล้วก็เห็นต่างแล้วก็มีการแสดงความเห็นนั้นออกมา **ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นวาจาสัจจะ (คำจริง) เพราะฉะนั้น คำที่เรากล่าว เราไม่ได้คิดเอง แต่เราได้ศึกษาแล้วฟังแล้วเข้าใจแล้ว เพราะฉะนั้น ก็สามารถที่จะรู้ว่าวาจาสัจจะของพระองค์ ใครจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนวาจาของความจริงได้ ด้วยเหตุนี้ผู้ที่เห็นคุณของการที่จะได้พ้นจากความไม่รู้และความเข้าใจผิดคิดไปต่างๆนานาด้วยตัวเอง ก็ควรที่จะเริ่มศึกษาแล้วก็เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการเข้าใจพระธรรม เพราะจริงๆแล้วชาวพุทธที่ไม่เข้าใจธรรมไม่เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ไม่รู้ว่าพระองค์เป็นใครแล้วทรงแสดงธรรมอะไรจากการที่ได้ทรงตรัสรู้อะไร ไม่รู้จักเลยจริงๆ แต่ว่าเมื่อได้ศึกษาธรรมแล้ว เห็นพระองค์โดยการเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น เห็นพระคุณมหาศาลของพระองค์ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจธรรมละเอียดขึ้น ลึกซึ้งขึ้น เห็นพระองค์ ค่อยๆเข้าใจในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง แล้วความหวังดีความเป็นมิตรตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ทรงบำเพ็ญมาตลอด บุคคลนั้นก็เห็นประโยชน์ของการที่จะดำเนินรอยตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง https://www.facebook.com/profile.php?id ... IY&fref=nf ไม่ใช่แกล้งว่าแกล้งพูดนะ ดูสิ มีตรงไหนบ้างที่เป็นหัวข้อธรรมะ อ้าวดู อ้างคำพูด: ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นวาจาสัจจะ (คำจริง) เพราะฉะนั้น คำที่เรากล่าว เราไม่ได้คิดเอง แต่เราได้ศึกษาแล้วฟังแล้วเข้าใจแล้ว เพราะฉะนั้น ก็สามารถที่จะรู้ว่าวาจาสัจจะของพระองค์ ใครจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนวาจาของความจริงได้ ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เห็นคุณของการที่จะได้พ้นจากความไม่รู้ และความเข้าใจผิดคิดไปต่างๆนานาด้วยตัวเอง ก็ควรที่จะเริ่มศึกษาแล้วก็เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการเข้าใจพระธรรม เพราะจริงๆแล้วชาวพุทธที่ไม่เข้าใจธรรมไม่เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ไม่รู้ว่าพระองค์เป็นใคร แล้วทรงแสดงธรรมอะไรจากการที่ได้ทรงตรัสรู้อะไร ไม่รู้จักเลยจริงๆ แต่ว่าเมื่อได้ศึกษาธรรมแล้ว เห็นพระองค์โดยการเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น เห็นพระคุณมหาศาลของพระองค์ ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจธรรมละเอียดขึ้น ลึกซึ้งขึ้น เห็นพระองค์ ค่อยๆเข้าใจในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง แล้วความหวังดีความเป็นมิตรตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ทรงบำเพ็ญมาตลอด บุคคลนั้นก็เห็นประโยชน์ของการที่จะดำเนินรอยตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่มีเลย เห็นแต่ความฟุ้งซ่าน พูดไปเรื่อย ตอนนี้ถ้าจะพูดให้เห็นภาพนะ ก็เหมือนคนเล่านิทานให้ลูกหลานฟัง อ้าวจริงๆ ไม่มีอะไร ซึ่งคุณโรสก็พูดแนวนี้มาตลอด เล่านิทานอีสปได้แง่คิดกว่าอีก |
เจ้าของ: | Rosarin [ 09 ก.ค. 2020, 23:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แม่ สร้างวัดเองเลย |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: Rosarin เขียน: Rosarin เขียน: รู้จักวัดไหม... ก่อนตรัสรู้ไม่มีวัด... ที่มีวัดเพราะมีคนขอบวช... คือขอสละอาคารบ้านเรือนไม่มีที่อยู่... จากนั้นมีสาวกศรัทธาคำสอนจึงสร้างวัดถวายพระพุทธเจ้า... และพระพุทธเจ้าอนุญาตให้คน2ประเภทที่นอนวัดได้ตามการบรรพชาคือคนที่บรรพชาเท่านั้น คนที่บรรพชามี2เพศคือ 1.ภิกษุ(เพศผู้) 2.ภิกษุณี(เพศเมีย) ที่เหลือไม่ได้บรรพชาก็กลับไปนอนที่บ้านตัวเอง เออแล้วคนสมัยนี้ไม่ได้บรรพชาก็เข้าไปนอนวัด...พระพุทธเจ้าไม่ได้อนุญาต...บาปไหมทำตามๆกันด้วยไม่รู้ ไม่ศึกษาคำสอนเอาแต่ทำตามๆกันที่ชวนชาวบ้านเข้าไปนอนวัดมากๆทำเพื่อให้คนขนลาภปากเงินทองไปให้ ตรงมั๊ย...ชาวบ้านไม่รู้อยากได้บุญโดยไม่เข้าใจว่าจะเป็นบุญก็ต่อเมื่อทำถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่ใช่การเข้าวัดไปทำตามใจชอบของกิเลสตัวเอง+ทำตามๆกันตามใจกิเลสนักบวชที่ตัวเองนับถือ/ผิดมั๊ย การบรรพชาเข้าไปเพื่อทำตามตถาคตทรงอนุญาตให้ทำกิจได้แค่2อย่างคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระเท่านั้น ไม่มีกิจทำสังคมสงเคราะห์หรือกิจการงานเกี่ยวกับการก่อสร้างไม่ทำอาชีพไม่ใช้เงินซื้อขายแลกเปลี่ยนอะไร ก่อสร้างวัตถุมากๆเอาเงินที่ไหนไปบำรุงรักษา...นอกจากไม่ทำตามคำสอนแล้วยังคิดวิธีหาเงินเรี่ยไรเงินทุกวัน ข้างบนที่เขียนคือเรื่องราวสถานการณ์ตามปกติตามเป็นจริงไม่ใช่ทัศนคติค่ะ คุณกรัชกายรู้ตัวอยู่ใช่ไหมว่าเป็นคนและไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าไม่มีตัว คนที่คิดว่าตัวทำถูกแล้วคือคนที่ไม่รู้ตัวว่าเอาตัวไปทำอะไรก็ไม่มีปัญญา เพราะปัญญารู้และเข้าใจถูกตรงตามคำสอนต้องรู้จักคิดตรงปัจจุบัน ตอนที่กำลังมีตัวและคิดตามคำสอนถูกตัวแล้วรู้ตัวว่าคิดผิดว่ามีตัว วัดไม่ใช่ตลาดนัดขายของเพราะวัดคือที่อยู่ของผู้ที่สงบจากกิเลส การจะกล่าวยืนยันว่าบุคคลใดเป็นอริยบุคคลระดับไหน ไม่มีใครรู้เกินปัญญาของตัวเองเข้าใจไหมคะ การที่มีคนมาบอกคุณว่าคนนั้นเป็นอรหันต์ คนที่พูดยืนยันต้องเป็นอรหันต์จึงพูดได้ค่ะ คือจะต้องมีบันทึกระบุชื่อในพระไตรปิฏก คือมีเจ้าของคำสอนคือพระพุทธเจ้ายืนยันเอาไว้ และพระพุทธเจ้ายกพระธรรมเป็นศาสดาแทนตถาคต ทรงทำนายไว้ล่วงหน้าว่ายุคพันปีที่3มีอริยบุคคลบรรลุธรรมได้ถึงอนาคามีเท่านั้น ซึ่งครั้งพุทธกาลคนที่จำเป็นต้องบวชโดยไม่มีข้อแม้ใดๆคือบวชทันทีที่บรรลุอรหันต์ ส่วนคนที่บรรลุอนาคามีก็ใช้ชีวิตแบบชาวบ้านตามปกติใช้เงินทองได้ไม่มีข้ออาบัติ ถามว่าอริยบุคคลที่เป็นนักบวชเขาปลอดการทำผิดข้อรับเงินจริงๆสมัยนี้บวชทำมั่วๆ คนที่คิดพูดทำโดยยืนยันความคิดตัวเองโดยไม่ยืนยันสิ่งที่พูดตามคำสอนคือพูดคิดทำมั่วๆค่ะ แสดงว่ามั่วคิดเอาเองพูดตามๆกันไม่พูดตรงตามพระไตรปิฏกก็คือกูเอาตามพอใจของกิเลสกู พอมีคนออกมาประกาศว่าบวชรับเงินไม่ได้โกรธน่ะคือโทสะ+โมหะคืออกุศลศีลของปุถุชนนะคะ บวชมีข้อห้ามคือว่ากันตามสิกขาบทแต่ละข้อส่วนการลาสิกขาไม่มีข้อห้ามเพราะทำตามไม่ได้ก็ลาสิกขา555 คุณโรสพูดขัดแย้งกันเอง คิกๆๆๆ คคห. บนว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าคนไม่มี แต่พอมาถึง คคห.นี้ คุณโรสพูดคน บุคคลเต็มหมดเบย ไปเอาคนมาแต่ไหน นี่แหละที่สำนักบ้านธัมมะกับคุณโรสมีปัญหาทางความเข้าใจพุทธธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อไม่เข้าใจ มันจึงแย้งกับความรู้สึกตัวเอง คุณโรสและสำนักบ้านธัมมะจะต้องไปศึกษา สัจจะ ๒ ระดับ คือ สมมติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ ให้เข้าใจ แยกออกแยกได้ แล้วที่เขียนมายืดยาว ก็จับแพะชนแกะ จับรถชนกับเรือ คิดว่าตัวเองฉลาดมากนักหรือ ที่เขียนเพียงเพื่ออยากเอาชนะ การคะคานคัดค้านอะไรดูเหตุผลมั่งนะ ตอนนี้อยู่ภพภูมิไหนเหรอจะให้บอกว่าผีบอกเหรอ555 สมมุติตามปกติตามภพภูมิยังเป็นแบบไม่รู้เรื่องแบบไม่เข้าใจอะไรเลย จะเข้าใจหลักธรรมอันละเอียดลึกซึ้งได้ยังไงยังแยกความคิดกับปัญญาที่เข้าใจถูกตามคำสอนไม่ออกอยู่อีก ฟังบ้างนะ...ปัญญาแรกแทรกเกิดตามหลังกิเลสได้ตอนฟังคำของตถาคต...ฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญารู้มั๊ยยยย ไม่ใช่ทำด้วยดีย่อมได้ปัญญาแน่ๆ...ดูอย่างโจรฆ่าน้องชมพู่สิมันทำดีแนบเนียนมากไหมฆ่าคนให้คนจับไม่ได้ เอาอีกตัวอย่างนึงไหม...สละสมบัติไม่ทำงานหาเงินเพื่อมาทำตามพระพุทธเจ้าทำแนบเนียนไหมที่บวชรับเงิน https://youtu.be/dHApmIPnc64 ถ้างั้นถามใหม่ คนมีไหม มีช้อยให้เลือก 1. ไม่มี 2. มี ตอบได้ข้อเดียวนะ ติ๊กเลยข้อ 1 หรือ 2 เกิดมาเนี่ยรู้ตัวแล้วใช่ไหมล่ะว่ากำลังอยู่ภพภูมิอะไร เออ...ทุกคนนั่นแหละต้องคิดตามและตอบคำถามที่ถามมานั่นน่ะ ถามตัวเองคิดคำตอบไว้รู้ใช่ไหมว่าตัวเองเป็นอะไรถ้าเป็นแมวจะคิดตามได้ไหม บอกแล้วก็บอกอีกว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าต้องคิดตามคนอื่นบอก อ่ะ...ทีนี้ตอนนี้คิดถูกตัวหรือยังว่าตัวเองเป็นแมวรึเปล่าถ้าไม่เป็นแมวแล้วเป็นอะไร อ่ะ...ทีนี้คิดตามต่อไปนะ...ช้าๆชัดๆ...ตถาคตบอกว่าไม่มีเรา...มีแต่ธัมมะ...เราเป็นธัมมะไม่ใช่สิ่งที่คิดไว้ตะกี้นี้ คิดไว้แล้วใช่ไหมว่าตัวเองเป็น_น...แต่ตถาคตบอกว่าไม่ใช่เราเป็นธัมมะแล้วที่เราคิดว่าเป็น_นมันมี_นไหมคะ ทบทวนตัวเองแบบนี้แหละทั้งชาติเลย...ดูสิว่าปัญญามันเริ่มเกิดหรือคิดว่าตัวเองเป็น_นเหมือนเดิมอยู่อีก555 |
เจ้าของ: | Rosarin [ 10 ก.ค. 2020, 00:01 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แม่ สร้างวัดเองเลย |
Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: Rosarin เขียน: Rosarin เขียน: รู้จักวัดไหม... ก่อนตรัสรู้ไม่มีวัด... ที่มีวัดเพราะมีคนขอบวช... คือขอสละอาคารบ้านเรือนไม่มีที่อยู่... จากนั้นมีสาวกศรัทธาคำสอนจึงสร้างวัดถวายพระพุทธเจ้า... และพระพุทธเจ้าอนุญาตให้คน2ประเภทที่นอนวัดได้ตามการบรรพชาคือคนที่บรรพชาเท่านั้น คนที่บรรพชามี2เพศคือ 1.ภิกษุ(เพศผู้) 2.ภิกษุณี(เพศเมีย) ที่เหลือไม่ได้บรรพชาก็กลับไปนอนที่บ้านตัวเอง เออแล้วคนสมัยนี้ไม่ได้บรรพชาก็เข้าไปนอนวัด...พระพุทธเจ้าไม่ได้อนุญาต...บาปไหมทำตามๆกันด้วยไม่รู้ ไม่ศึกษาคำสอนเอาแต่ทำตามๆกันที่ชวนชาวบ้านเข้าไปนอนวัดมากๆทำเพื่อให้คนขนลาภปากเงินทองไปให้ ตรงมั๊ย...ชาวบ้านไม่รู้อยากได้บุญโดยไม่เข้าใจว่าจะเป็นบุญก็ต่อเมื่อทำถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่ใช่การเข้าวัดไปทำตามใจชอบของกิเลสตัวเอง+ทำตามๆกันตามใจกิเลสนักบวชที่ตัวเองนับถือ/ผิดมั๊ย การบรรพชาเข้าไปเพื่อทำตามตถาคตทรงอนุญาตให้ทำกิจได้แค่2อย่างคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระเท่านั้น ไม่มีกิจทำสังคมสงเคราะห์หรือกิจการงานเกี่ยวกับการก่อสร้างไม่ทำอาชีพไม่ใช้เงินซื้อขายแลกเปลี่ยนอะไร ก่อสร้างวัตถุมากๆเอาเงินที่ไหนไปบำรุงรักษา...นอกจากไม่ทำตามคำสอนแล้วยังคิดวิธีหาเงินเรี่ยไรเงินทุกวัน ข้างบนที่เขียนคือเรื่องราวสถานการณ์ตามปกติตามเป็นจริงไม่ใช่ทัศนคติค่ะ คุณกรัชกายรู้ตัวอยู่ใช่ไหมว่าเป็นคนและไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าไม่มีตัว คนที่คิดว่าตัวทำถูกแล้วคือคนที่ไม่รู้ตัวว่าเอาตัวไปทำอะไรก็ไม่มีปัญญา เพราะปัญญารู้และเข้าใจถูกตรงตามคำสอนต้องรู้จักคิดตรงปัจจุบัน ตอนที่กำลังมีตัวและคิดตามคำสอนถูกตัวแล้วรู้ตัวว่าคิดผิดว่ามีตัว วัดไม่ใช่ตลาดนัดขายของเพราะวัดคือที่อยู่ของผู้ที่สงบจากกิเลส การจะกล่าวยืนยันว่าบุคคลใดเป็นอริยบุคคลระดับไหน ไม่มีใครรู้เกินปัญญาของตัวเองเข้าใจไหมคะ การที่มีคนมาบอกคุณว่าคนนั้นเป็นอรหันต์ คนที่พูดยืนยันต้องเป็นอรหันต์จึงพูดได้ค่ะ คือจะต้องมีบันทึกระบุชื่อในพระไตรปิฏก คือมีเจ้าของคำสอนคือพระพุทธเจ้ายืนยันเอาไว้ และพระพุทธเจ้ายกพระธรรมเป็นศาสดาแทนตถาคต ทรงทำนายไว้ล่วงหน้าว่ายุคพันปีที่3มีอริยบุคคลบรรลุธรรมได้ถึงอนาคามีเท่านั้น ซึ่งครั้งพุทธกาลคนที่จำเป็นต้องบวชโดยไม่มีข้อแม้ใดๆคือบวชทันทีที่บรรลุอรหันต์ ส่วนคนที่บรรลุอนาคามีก็ใช้ชีวิตแบบชาวบ้านตามปกติใช้เงินทองได้ไม่มีข้ออาบัติ ถามว่าอริยบุคคลที่เป็นนักบวชเขาปลอดการทำผิดข้อรับเงินจริงๆสมัยนี้บวชทำมั่วๆ คนที่คิดพูดทำโดยยืนยันความคิดตัวเองโดยไม่ยืนยันสิ่งที่พูดตามคำสอนคือพูดคิดทำมั่วๆค่ะ แสดงว่ามั่วคิดเอาเองพูดตามๆกันไม่พูดตรงตามพระไตรปิฏกก็คือกูเอาตามพอใจของกิเลสกู พอมีคนออกมาประกาศว่าบวชรับเงินไม่ได้โกรธน่ะคือโทสะ+โมหะคืออกุศลศีลของปุถุชนนะคะ บวชมีข้อห้ามคือว่ากันตามสิกขาบทแต่ละข้อส่วนการลาสิกขาไม่มีข้อห้ามเพราะทำตามไม่ได้ก็ลาสิกขา555 คุณโรสพูดขัดแย้งกันเอง คิกๆๆๆ คคห. บนว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าคนไม่มี แต่พอมาถึง คคห.นี้ คุณโรสพูดคน บุคคลเต็มหมดเบย ไปเอาคนมาแต่ไหน นี่แหละที่สำนักบ้านธัมมะกับคุณโรสมีปัญหาทางความเข้าใจพุทธธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อไม่เข้าใจ มันจึงแย้งกับความรู้สึกตัวเอง คุณโรสและสำนักบ้านธัมมะจะต้องไปศึกษา สัจจะ ๒ ระดับ คือ สมมติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ ให้เข้าใจ แยกออกแยกได้ แล้วที่เขียนมายืดยาว ก็จับแพะชนแกะ จับรถชนกับเรือ คิดว่าตัวเองฉลาดมากนักหรือ ที่เขียนเพียงเพื่ออยากเอาชนะ การคะคานคัดค้านอะไรดูเหตุผลมั่งนะ ตอนนี้อยู่ภพภูมิไหนเหรอจะให้บอกว่าผีบอกเหรอ555 สมมุติตามปกติตามภพภูมิยังเป็นแบบไม่รู้เรื่องแบบไม่เข้าใจอะไรเลย จะเข้าใจหลักธรรมอันละเอียดลึกซึ้งได้ยังไงยังแยกความคิดกับปัญญาที่เข้าใจถูกตามคำสอนไม่ออกอยู่อีก ฟังบ้างนะ...ปัญญาแรกแทรกเกิดตามหลังกิเลสได้ตอนฟังคำของตถาคต...ฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญารู้มั๊ยยยย ไม่ใช่ทำด้วยดีย่อมได้ปัญญาแน่ๆ...ดูอย่างโจรฆ่าน้องชมพู่สิมันทำดีแนบเนียนมากไหมฆ่าคนให้คนจับไม่ได้ เอาอีกตัวอย่างนึงไหม...สละสมบัติไม่ทำงานหาเงินเพื่อมาทำตามพระพุทธเจ้าทำแนบเนียนไหมที่บวชรับเงิน https://youtu.be/dHApmIPnc64 ถ้างั้นถามใหม่ คนมีไหม มีช้อยให้เลือก 1. ไม่มี 2. มี ตอบได้ข้อเดียวนะ ติ๊กเลยข้อ 1 หรือ 2 เกิดมาเนี่ยรู้ตัวแล้วใช่ไหมล่ะว่ากำลังอยู่ภพภูมิอะไร เออ...ทุกคนนั่นแหละต้องคิดตามและตอบคำถามที่ถามมานั่นน่ะ ถามตัวเองคิดคำตอบไว้รู้ใช่ไหมว่าตัวเองเป็นอะไรถ้าเป็นแมวจะคิดตามได้ไหม บอกแล้วก็บอกอีกว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าต้องคิดตามคนอื่นบอก อ่ะ...ทีนี้ตอนนี้คิดถูกตัวหรือยังว่าตัวเองเป็นแมวรึเปล่าถ้าไม่เป็นแมวแล้วเป็นอะไร อ่ะ...ทีนี้คิดตามต่อไปนะ...ช้าๆชัดๆ...ตถาคตบอกว่าไม่มีเรา...มีแต่ธัมมะ...เราเป็นธัมมะไม่ใช่สิ่งที่คิดไว้ตะกี้นี้ คิดไว้แล้วใช่ไหมว่าตัวเองเป็น_น...แต่ตถาคตบอกว่าไม่ใช่เราเป็นธัมมะแล้วที่เราคิดว่าเป็น_นมันมี_นไหมคะ ทบทวนตัวเองแบบนี้แหละทั้งชาติเลย...ดูสิว่าปัญญามันเริ่มเกิดหรือคิดว่าตัวเองเป็น_นเหมือนเดิมอยู่อีก555 พระพุทธเจ้าสอนให้เข้าใจถูกตัวตนว่ากำลังมีธัมมะอะไรที่ไม่ใช่ตัวตนบ้างที่กำลังปรากฏกับสติปัญญา พระพุทธเจ้าบอกให้ฟังโดยใช้หลักของชาวกาลามะคือจะฟังจากใครก็ให้ยึดหลักการของกาลามสูตร10 ธัมมะทั้งหลายเกิดตรงตามเหตุตามปัจจัยโดยความเป็นอนัตตาไปบังคับไปกำหนดเอาตามใจชอบไม่ได้ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 10 ก.ค. 2020, 10:10 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แม่ สร้างวัดเองเลย |
Rosarin เขียน: พระพุทธเจ้าสอนให้เข้าใจถูกตัวตนว่ากำลังมีธัมมะอะไรที่ไม่ใช่ตัวตนบ้างที่กำลังปรากฏกับสติปัญญา พระพุทธเจ้าบอกให้ฟังโดยใช้หลักของชาวกาลามะ คือ จะฟังจากใครก็ให้ยึดหลักการของกาลามสูตร 10 ธัมมะทั้งหลายเกิดตรงตามเหตุตามปัจจัยโดยความเป็นอนัตตาไปบังคับไปกำหนดเอาตามใจชอบไม่ได้ คิกๆๆ ไปกาลามสูตร 10 อีก สรุปอีกทีสำนักนี้ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน พูดลื่นไหลไปตามกระแสน้ำที่พัดขึ้นพัดลง คือ ไม่มีหลักสำหรับยึดเกาะ เดี๋ยวก็ว่าคนไม่มี มีแต่ธัมมะ แต่ตัวเองก็พูดถึงคน คน |
เจ้าของ: | Rosarin [ 10 ก.ค. 2020, 12:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แม่ สร้างวัดเองเลย |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: พระพุทธเจ้าสอนให้เข้าใจถูกตัวตนว่ากำลังมีธัมมะอะไรที่ไม่ใช่ตัวตนบ้างที่กำลังปรากฏกับสติปัญญา พระพุทธเจ้าบอกให้ฟังโดยใช้หลักของชาวกาลามะ คือ จะฟังจากใครก็ให้ยึดหลักการของกาลามสูตร 10 ธัมมะทั้งหลายเกิดตรงตามเหตุตามปัจจัยโดยความเป็นอนัตตาไปบังคับไปกำหนดเอาตามใจชอบไม่ได้ คิกๆๆ ไปกาลามสูตร 10 อีก สรุปอีกทีสำนักนี้ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน พูดลื่นไหลไปตามกระแสน้ำที่พัดขึ้นพัดลง คือ ไม่มีหลักสำหรับยึดเกาะ เดี๋ยวก็ว่าคนไม่มี มีแต่ธัมมะ แต่ตัวเองก็พูดถึงคน คน ก็บอกให้คิดตามให้ตรงปัจจุบัน ให้รู้สึกที่ตัวว่าตัวเองคิดว่าเป็นคนน่ะ ก็คิดถูกเข้าใจถูกตรงตามภพภูมิแล้วไง เออก็บอกว่าที่กำลังคิดถูกตัวว่าตัวเองเป็นคนน่ะ ให้เทียบตามคำสอนของพระพุทธเจ้าว่ามันถูกหรือผิด เดี๋ยวนี้เทียบให้มันตรงก็ตัวเองคิดว่ามีตัวคนแต่พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีเรา เออแล้วจะเข้าใจถููกได้ไหมก็คิดเองอยู่นั่นแล้วว่ามีตัวกูของกูเงินกูกุฏิศาลาวัดของกูนั่นน่ามันคิดผิดไงคะ ไม่คิดตามคำสอนก็พระพุทธเจ้าสอนว่าไม่มีเรามีแต่ธัมมะที่แยกไว้ละเอียดตรงตามอภิธรรมที่เกิดโดยอนัตตา เราน่ะมีอัตตาเต็มที่แล้วก็คิดเอาอัตตาไปทำปัญญาตามความคิดตัวเองบอกว่ามันคิดผิดแล้วให้ฟังก่อนไปทำ พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีเรามีแต่ธัมมะเราคิดว่ามีคนไม่เข้าใจว่าคนคือธัมมะอะไรนั่นแหละแปลว่ามีกิเลสมาก ธาตุ4ขันธ์5อายตนะ6เป็นตัวจริงธัมมะที่ไม่ใช่ตัวคนเข้าใจไหมเพราะตัวตนไม่มีอยู่จริงตรงตามปรมัตถธรรม https://youtu.be/GCVfQPU-JqQ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 12 ก.ค. 2020, 07:48 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แม่ สร้างวัดเองเลย |
Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: พระพุทธเจ้าสอนให้เข้าใจถูกตัวตนว่ากำลังมีธัมมะอะไรที่ไม่ใช่ตัวตนบ้างที่กำลังปรากฏกับสติปัญญา พระพุทธเจ้าบอกให้ฟังโดยใช้หลักของชาวกาลามะ คือ จะฟังจากใครก็ให้ยึดหลักการของกาลามสูตร 10 ธัมมะทั้งหลายเกิดตรงตามเหตุตามปัจจัยโดยความเป็นอนัตตาไปบังคับไปกำหนดเอาตามใจชอบไม่ได้ คิกๆๆ ไปกาลามสูตร 10 อีก สรุปอีกทีสำนักนี้ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน พูดลื่นไหลไปตามกระแสน้ำที่พัดขึ้นพัดลง คือ ไม่มีหลักสำหรับยึดเกาะ เดี๋ยวก็ว่าคนไม่มี มีแต่ธัมมะ แต่ตัวเองก็พูดถึงคน คน ก็บอกให้คิดตามให้ตรงปัจจุบัน ให้รู้สึกที่ตัวว่าตัวเองคิดว่าเป็นคนน่ะ ก็คิดถูกเข้าใจถูกตรงตามภพภูมิแล้วไง เออก็บอกว่าที่กำลังคิดถูกตัวว่าตัวเองเป็นคนน่ะ ให้เทียบตามคำสอนของพระพุทธเจ้าว่ามันถูกหรือผิด เดี๋ยวนี้เทียบให้มันตรงก็ตัวเองคิดว่ามีตัวคนแต่พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีเรา เออแล้วจะเข้าใจถููกได้ไหมก็คิดเองอยู่นั่นแล้วว่ามีตัวกูของกูเงินกูกุฏิศาลาวัดของกูนั่นน่ามันคิดผิดไงคะ ไม่คิดตามคำสอนก็พระพุทธเจ้าสอนว่าไม่มีเรามีแต่ธัมมะที่แยกไว้ละเอียดตรงตามอภิธรรมที่เกิดโดยอนัตตา เราน่ะมีอัตตาเต็มที่แล้วก็คิดเอาอัตตาไปทำปัญญาตามความคิดตัวเองบอกว่ามันคิดผิดแล้วให้ฟังก่อนไปทำ พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีเรามีแต่ธัมมะเราคิดว่ามีคนไม่เข้าใจว่าคนคือธัมมะอะไรนั่นแหละแปลว่ามีกิเลสมาก ธาตุ4ขันธ์5อายตนะ6เป็นตัวจริงธัมมะที่ไม่ใช่ตัวคนเข้าใจไหมเพราะตัวตนไม่มีอยู่จริงตรงตามปรมัตถธรรม https://youtu.be/GCVfQPU-JqQ มันชัดยิ่งกว่าชัดเตาปูนอีก บอกไม่เชื่อ ว่าสำนักแม่สุจินสุดโต่ง คือ พูดภาษาคนไม่รู้เรื่อง คิกๆๆๆ ตอบให้ได้นะ คนมีไหม 1. ไม่มี 2. มี ตอบสิข้อไหน |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 13 ก.ค. 2020, 10:48 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แม่ สร้างวัดเองเลย |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: พระพุทธเจ้าสอนให้เข้าใจถูกตัวตนว่ากำลังมีธัมมะอะไรที่ไม่ใช่ตัวตนบ้างที่กำลังปรากฏกับสติปัญญา พระพุทธเจ้าบอกให้ฟังโดยใช้หลักของชาวกาลามะ คือ จะฟังจากใครก็ให้ยึดหลักการของกาลามสูตร 10 ธัมมะทั้งหลายเกิดตรงตามเหตุตามปัจจัยโดยความเป็นอนัตตาไปบังคับไปกำหนดเอาตามใจชอบไม่ได้ คิกๆๆ ไปกาลามสูตร 10 อีก สรุปอีกทีสำนักนี้ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน พูดลื่นไหลไปตามกระแสน้ำที่พัดขึ้นพัดลง คือ ไม่มีหลักสำหรับยึดเกาะ เดี๋ยวก็ว่าคนไม่มี มีแต่ธัมมะ แต่ตัวเองก็พูดถึงคน คน ก็บอกให้คิดตามให้ตรงปัจจุบัน ให้รู้สึกที่ตัวว่าตัวเองคิดว่าเป็นคนน่ะ ก็คิดถูกเข้าใจถูกตรงตามภพภูมิแล้วไง เออก็บอกว่าที่กำลังคิดถูกตัวว่าตัวเองเป็นคนน่ะ ให้เทียบตามคำสอนของพระพุทธเจ้าว่ามันถูกหรือผิด เดี๋ยวนี้เทียบให้มันตรงก็ตัวเองคิดว่ามีตัวคนแต่พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีเรา เออแล้วจะเข้าใจถููกได้ไหมก็คิดเองอยู่นั่นแล้วว่ามีตัวกูของกูเงินกูกุฏิศาลาวัดของกูนั่นน่ามันคิดผิดไงคะ ไม่คิดตามคำสอนก็พระพุทธเจ้าสอนว่าไม่มีเรามีแต่ธัมมะที่แยกไว้ละเอียดตรงตามอภิธรรมที่เกิดโดยอนัตตา เราน่ะมีอัตตาเต็มที่แล้วก็คิดเอาอัตตาไปทำปัญญาตามความคิดตัวเองบอกว่ามันคิดผิดแล้วให้ฟังก่อนไปทำ พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีเรามีแต่ธัมมะเราคิดว่ามีคนไม่เข้าใจว่าคนคือธัมมะอะไรนั่นแหละแปลว่ามีกิเลสมาก ธาตุ4ขันธ์5อายตนะ6เป็นตัวจริงธัมมะที่ไม่ใช่ตัวคนเข้าใจไหมเพราะตัวตนไม่มีอยู่จริงตรงตามปรมัตถธรรม https://youtu.be/GCVfQPU-JqQ มันชัดยิ่งกว่าชัดเตาปูนอีก บอกไม่เชื่อ ว่าสำนักแม่สุจินสุดโต่ง คือ พูดภาษาคนไม่รู้เรื่อง คิกๆๆๆ ตอบให้ได้นะ คนมีไหม 1. ไม่มี 2. มี ตอบสิข้อไหน อ้างคำพูด: ธาตุ 4 ขันธ์ 5 อายตนะ 6 เป็นตัวจริงธัมมะที่ไม่ใช่ตัวคนเข้าใจไหม เพราะตัวตนไม่มีอยู่จริงตรงตามปรมัตถธรรม บอกไม่เชื่อ คิกๆๆๆ ว่าคุณโรสกับเจ้าสำนักมีความขัดแย้งอยู่ในใจ คือ พูดไปคนเดียวพูดได้ แต่พอมีคนถามคนแย้งลมใส่เดินเซเลย |
หน้า 4 จากทั้งหมด 8 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |