ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
วันนี้มีคนมาถาม http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=58750 |
หน้า 12 จากทั้งหมด 18 |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 08 พ.ค. 2020, 11:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
กรัชกาย เขียน: เอาหลักมาวางให้ดูก่อน พระภิกษณีชื่อวชิรา (ตอบมาร) "นี่แน่ะมาร ท่านจะมีความเห็นยึดถือว่าเป็นสัตว์ได้อย่างไร ในสภาวะที่เป็นเพียงกองแห่งสังขารล้วนๆ นี้ จะหาตัวสัตว์ไม่ได้เลย เปรียบเหมือนว่า เพราะคุมส่วนประกอบเข้าด้วยกัน ศัพท์วา รถ ย่อมมี ฉันใด เมื่อขันธ์ทั้งหลาย มีอยู่ สมมติว่า สัตว์ ก็ย่อมมีฉันนั้น" (สํ.ส.15/554/198) ความที่เน้น ในแง่ปฏิบัติ คือ ความรู้เท่าทันสมมติ และเข้าใจปรมัตถ์ แล้วรู้จักใช้ภาษา เป็นเครื่องมือสื่อความหมาย โดยไม่ยึดติดในสมมติเป็นทาสของภาษาเช่น "ภิกษุผู้เป็นอรหันตขีณาสพ....จะพึงกล่าวว่า ฉันพูด ดังนี้ก็ดี เขาพูดกับฉัน ดังนี้ก็ดี เธอเป็นผู้ฉลาด รู้ถ้อยคำที่เขาพูดกันในโลก ก็พึงกล่าวไปตามโวหารเท่านั้น" (สํ.ส.15/65/21) "เหล่านี้ เป็นโลกสมัญญา เป็นโลกนิรุตติ เป็นโลกโวหาร เป็นโลกบัญญัติ ซึ่งตถาคตใช้พูดจา แต่ไม่ยึดติด" (ที.สี.9/312/248) อนึ่ง พระอรรถกถาจารย์บรรยายลักษณะของพระสูตร (สุตตันตปิฏก) ว่าเป็นโวหารเทศนา เพราะเนื้อหาส่วนมากแสดงโดยโวหาร คือ ใช้ภาษาสมมติ ส่วนพระอภิธรรมเป็นปรมัตถเทศนา เพราะเนื้อหาส่วนมากแสดงโดยปรมัตถ์ คือ กล่าวตามสภาวะแท้ๆ (วินย.อ.1/21...) นี้เป็นข้อสังเกตเพื่อประดับความรู้อย่างหนึ่ง จะเห็นได้ว่า คุณโรสและสำนักบ้านธัมมะตีความเรื่องที่ตนอ่านที่ตนเห็นมาผิดหมดเลย คือ จะเอาปรมัตถ์ (อะไรก็ไม่รู้) ไม่เอาสมมติ แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไรสมมติ อะไรปมัตถ์ เลยกลายเป็นขวางโลกไปด้วยประการฉะนี้แล. เอวัง จบข่าว |
เจ้าของ: | Rosarin [ 08 พ.ค. 2020, 13:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: คุณกรัชกาย เข้าใจหรือยังว่า ตัวตนคนกำลังเห็นผิด จนกว่าจะเริ่มฟังความจริง แล้วเข้าใจว่าจิตเห็นสีไม่ได้เห็นคนสัตว์วัตถุ อนุสาสนียปาฏิหาริย์คือ คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทำให้ผู้ฟังเข้าใจสิ่งที่เห็นทันทีดับเห็นผิดได้ทันทีเกิดเข้าใจเห็นถูกตามได้ทันที เอาหลักมาตั้งให้ดูนะ จักขุ+รูป โสต+สัทท ฆาน+คันธ ชิวหา+รส กาย+โผฏฐัพพ มโน+ธัมม ไหนลองว่ามาสีอยู่ตรงไหน ร่างกายทั้งหมดทุกอวัยวะเลยคือมหาภูตรูป มหาภูตรูปไม่ใช่สภาพรู้เป็นรูปธรรม=ไม่รู้สึกอะไรเลย แต่มีนามธรรมเป็นสภาพรู้เป็นธาตุรู้เป็นสภาพที่เป็นนามไปรู้ว่ามีรูป และรูปที่ถูกรู้ตอนที่มองเห็นก็ไม่ใช่ตาเพราะทุกคนมองตาตัวเองไม่เห็น...อิอิอิ ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อเข้าใจความจริงที่กำลังมีตรงตามที่กำลังฟังไม่เข้าใจหรือคะ คำว่าจักขุแปลว่าตา ตาคือมหาภูตรูป มหาภูตรูปคือธาตุ4 ตาเกิดจากการรวมตัวของธาตุ4 จะรู้ว่ามีมหาภูตรูปตรงไหนต้องแตะต้องสัมผัสไม่ใช่คิดเอา ที่ลืมตาดูมองเห็นโน่นนั่นนู้นนั่นน่ะค่ะไม่รู้ว่าตาไม่เห็นเพราะตาไม่รู้อะไรเลยที่เห็นคือจิตเห็นค่ะ และจิตเห็นเกิดเห็นรูปที่ปรากฏได้เพียง1รูปคือสีสันวรรณะตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อีก27รูปเห็นไม่ได้ และรูปที่ปรากฏให้เห็นก็ไม่ใช่มหาภูตรูปแต่เป็นอุปาทายรูปที่ใดมีมหาภูตรูปที่นั่นมีสีกลิ่นรสโอชาประกอบอยู่ https://youtu.be/x7ovq2R30a8 เพ้อเจ้อน่ารำคาญ เสียเวลาเปล่า บอกความจริงให้รู้สึกตัวยังคิดไม่ได้อยู่อิ๊กกกก555 มหาภูตรูปคือรูปธรรม จิต/เจตสิกคือนามธรรม นิพพานคือนิพพาน ทั้งหมดเป็นธัมมะจึงเป็นเราไม้ได้...เออเนาะ ไม่เข้าใจเหรอว่าไม่ใช่ตัวตนไม่ใช่คน ที่คิดว่ามีคนแล้วนั้นน่ะเรียกว่าอัตตาคือ สักกายทิฏฐิ=เห็นผิดว่ามีตัวตนคือมีอุปาทานขันธ์ยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวเราไม่รู้ว่าตัวตนไม่รู้=มีกิเลสอวิชชา ทางโลกกับทางธรรมไม่ได้แปลกแยกออกไปจากปกติเพื่อไปทำอะไรเพราะมันมีทั้งหมดแล้วทั้งตัวตนน่ะ ก็บอกแล้วว่าธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยที่กำหนดมาแล้วไม่ได้ทำบอกให้คิดให้ตรงทีละ1ทาง จะไปรู้ความจริงของเห็นตอนไหน ปสาทรูปคือรูปพิเศษที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คนเดียว จิตเห็นเกิดจากมีจักขุปสาทะรูปตรงกลางตาที่รับกระทบรูปที่ถูกเห็น คนตาบอดเกิดจากไม่มีจักขุปสาทะรูปคือตาพิการจึงมองไม่เห็นส่วนคนตายมีตาไม่มีจิตหมดทางรู้จักเห็น บอกแล้วใช่ไหมว่าเลือกเห็นไม่ได้เพราะทุกคนที่มีตาเนื้อและมองเห็นจากมี3ธัมมะประสานกันจึงเกิดเห็นได้ จักขุวิญญาณ(จิตเห็น)=จิต+จักขุปสาทะรูป(รูปใสพิเศษตรงกลางตา)+อุปาทายรูป(คือสีอยู่ที่มหาภูตรูป) จิตได้ยินเกิดจากมีโสตปสาทะรูปรับกระทบเสียงอยู่ลึกๆภายในหูโน่นไม่ว่าจมูกลิ้นกายใจก็มีจุดที่รับเฉพาะ ที่พูดที่ว่ามาที่รำพันมานั่นน่ะ มันอยู่ในหนังสือชั้นจูฬตรี สิ่งที่เห็นได้คือ สิ่งที่กระทบตาดำได้ เห็นไม่เกิดนอกตาดำแปลว่า อะไรก็ตามที่ไม่อยู่ตรงหน้า=ไม่มี เห็นด้านหน้าดับทันทีด้านหลังก็มีไม่ได้ค่ะ จิตไม่อยู่นอกกายตัวเอง มองเห็นแขนตัวเองได้ไหม ไหนตรงไหนคือแขนจับดูสิ ถ้าแขนกระทบตาได้ตาแตกแล้ว สีตรงที่มหาภูตรูปมันสะท้อนแสงเข้าตา คิดว่าเห็นแขนตัวเองใช่ไหมจับแขนจึงรู้ว่ามีที่ตั้งเมื่อสัมผัส ไม่มีแขนแต่มีความรู้สึกกระทบอุ่นบ้างแข็งบ้างนุ่มบ้างทีละ1อย่าง...ไหนแขนอยู่ไหน คนที่อ่านหนังสือแล้วตีความผิดแบบคุณโรสมีแต่ก่อให้เกิดมิจฉาทิฏฐิหนาขึ้นๆ คนไม่ฟังเนี่ยไม่มีปัญญาเข้าใจถูกตรงตามได้เลยอ่ะ ระลึกตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ถูกตรงทางได้ทีละ1ทาง เพราะความจริงตรงสัจจะตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแสดงตรงทางทีละ1ทาง เพราะว่าแต่ละ1ทางมันเกิดดับทีละ1ขณะจิตตรงทีละ1ทางไม่เกิดพร้อมกันแล้วก็มีครบทั้ง6ทางแล้วไม่ได้ทำ สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วทุกคำไม่เปลี่ยนแปลงสัจจะไปจากปัจจุบันแม้แต่คำเดียวไม่เข้าใจเหรอเออ เห็นเป็นธัมมะเป็นจิตไม่ใช่เราและตอนนี้เราน่ะเห็นผิดคิดผิดพูดผิดเพราะไม่พูดตรงสัจจะให้ตรงความจริง เราเห็นคืออัตตาตัวตน...แต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของเห็นตรงสัจจะทรงแสดงว่าไม่มีเราในเห็น555 มื่อใด๋สิฮู้เรื่องน๊ออออ....บอกให้ฟังกะบ่ฟัง...บ่ฮู้จักวาปัญญาของเจ้าของบ่มีไปท่องจำแต่คำที่บ่แมนปัญญา |
เจ้าของ: | Rosarin [ 08 พ.ค. 2020, 13:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: สิ่งที่เห็นได้คือ สิ่งที่กระทบตาดำได้ เห็นไม่เกิดนอกตาดำแปลว่า อะไรก็ตามที่ไม่อยู่ตรงหน้า=ไม่มี เห็นด้านหน้าดับทันทีด้านหลังก็มีไม่ได้ค่ะ จิตไม่อยู่นอกกายตัวเอง มองเห็นแขนตัวเองได้ไหม ไหนตรงไหนคือแขนจับดูสิ ถ้าแขนกระทบตาได้ตาแตกแล้ว สีตรงที่มหาภูตรูปมันสะท้อนแสงเข้าตา คิดว่าเห็นแขนตัวเองใช่ไหมจับแขนจึงรู้ว่ามีที่ตั้งเมื่อสัมผัส ไม่มีแขนแต่มีความรู้สึกกระทบอุ่นบ้างแข็งบ้างนุ่มบ้างทีละ1อย่าง...ไหนแขนอยู่ไหน เหมือนเคยบอกหลายครั้งแล้วว่า คุณโรสไปทำบัตรประชาชนที่อำเภอไม่ได้ ทำไมล่ะ? จนท. พี่มาทำอะไรคะ ? คุณโรส. อึ จนท. อ๋อ ปวดอึ ห้องน้ำอยู่ด้านหลังค่ะ คุณโรส. อึ จนท. จะอึก็รีบไปสิคะ เดี๋ยวขี้แตกเลอะกระโปรงหรอก คุณโรสก็ยืนอึอึอยู่นั่น มันทำอะไรไม่ได้ แขน ขา เนื้อตัว หัวหู บัตรปชช. เป็นบัญญัติที่เขาบัญญัติเรียกเพื่อสื่อสารกัน ว่านี่เรียกว่าแขนนะ นี่เรียกว่าขานะ เป็นต้น พอเข้าใจไหมเนี่ยหือ ไม่ลืมตาดูเหรอรอบๆตัวเนี่ย อะไรบ้างที่ไม่ใช่มหาภูตรูปคิดสิ การจะรู้สัจจะของเห็นรู้ได้ที่กายตัวเอง ก็คิดเห็นที่ตาตัวเองดูเทียบตามคำสอนให้ตรง โลกของเห็นอย่างเดียวไม่คิดนึกอะไรปนทั้งนั้น จิตเห็นเกิดจากลืมตาดูแล้วมีแสงกระแทกตามันไม่เจ็บ เพราะรูปพิเศษตรงกลางตารับกระทบได้แค่แสงสีไม่เข้าใจเหรอ จิตรู้รูปของสีมีสีเป็นอารมณ์ทางตาถ้ารู้อารมณ์เป็นหินกระแทกตาก็ตาแตกสิคะ ตา=มหาภูตรูป+หิน=มหาภูตรูปถ้าบวกกันก็เจ็บปวดเลือดไหลซิปๆเลยยังไม่รู้อีกอ่ะ รูปารมณ์ของจิตเห็นคือแสงสีที่มีระยะห่างมาตกกระทบประสาทตามันเป็นปกติของตาเห็นรูป ตาเห็นรูปตามอภิธรรม ไม่ใช่คิดเอาว่าตาเห็นรูปภาพ555 |
เจ้าของ: | Rosarin [ 08 พ.ค. 2020, 13:51 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: สิ่งที่เห็นได้คือ สิ่งที่กระทบตาดำได้ เห็นไม่เกิดนอกตาดำแปลว่า อะไรก็ตามที่ไม่อยู่ตรงหน้า=ไม่มี เห็นด้านหน้าดับทันทีด้านหลังก็มีไม่ได้ค่ะ จิตไม่อยู่นอกกายตัวเอง มองเห็นแขนตัวเองได้ไหม ไหนตรงไหนคือแขนจับดูสิ ถ้าแขนกระทบตาได้ตาแตกแล้ว สีตรงที่มหาภูตรูปมันสะท้อนแสงเข้าตา คิดว่าเห็นแขนตัวเองใช่ไหมจับแขนจึงรู้ว่ามีที่ตั้งเมื่อสัมผัส ไม่มีแขนแต่มีความรู้สึกกระทบอุ่นบ้างแข็งบ้างนุ่มบ้างทีละ1อย่าง...ไหนแขนอยู่ไหน เหมือนเคยบอกหลายครั้งแล้วว่า คุณโรสไปทำบัตรประชาชนที่อำเภอไม่ได้ ทำไมล่ะ? จนท. พี่มาทำอะไรคะ ? คุณโรส. อึ จนท. อ๋อ ปวดอึ ห้องน้ำอยู่ด้านหลังค่ะ คุณโรส. อึ จนท. จะอึก็รีบไปสิคะ เดี๋ยวขี้แตกเลอะกระโปรงหรอก คุณโรสก็ยืนอึอึอยู่นั่น มันทำอะไรไม่ได้ แขน ขา เนื้อตัว หัวหู บัตรปชช. เป็นบัญญัติที่เขาบัญญัติเรียกเพื่อสื่อสารกัน ว่านี่เรียกว่าแขนนะ นี่เรียกว่าขานะ เป็นต้น พอเข้าใจไหมเนี่ยหือ ไม่ลืมตาดูเหรอรอบๆตัวเนี่ย อะไรบ้างที่ไม่ใช่มหาภูตรูปคิดสิ การจะรู้สัจจะของเห็นรู้ได้ที่กายตัวเอง ก็คิดเห็นที่ตาตัวเองดูเทียบตามคำสอนให้ตรง โลกของเห็นอย่างเดียวไม่คิดนึกอะไรปนทั้งนั้น จิตเห็นเกิดจากลืมตาดูแล้วมีแสงกระแทกตามันไม่เจ็บ เพราะรูปพิเศษตรงกลางตารับกระทบได้แค่แสงสีไม่เข้าใจเหรอ จิตรู้รูปของสีมีสีเป็นอารมณ์ทางตาถ้ารู้อารมณ์เป็นหินกระแทกตาก็ตาแตกสิคะ ตา=มหาภูตรูป+หิน=มหาภูตรูปถ้าบวกกันก็เจ็บปวดเลือดไหลซิปๆเลยยังไม่รู้อีกอ่ะ รูปารมณ์ของจิตเห็นคือแสงสีที่มีระยะห่างมาตกกระทบประสาทตามันเป็นปกติของตาเห็นรูป ตาเห็นรูปตามอภิธรรม ไม่ใช่คิดเอาว่าตาเห็นรูปภาพ555 บอกก็บอกแล้วบอกอีกว่า มหาภูตรูปไม่รู้ที่ตั้งทางตาเพราะตาใช้จักขุปสาทะรูปรู้สีที่มหาภูตรูป/รูปที่เห็นได้มีแค่1รูปที่เกิดพร้อมแสง การรู้ที่ตั้งของมหาภูตรูปรู้ได้ทางกายสัมผัสใช้กายปสาทะรูปรู้รูปของธาตุ3เย็นร้อนอ่อนแข็งตึงไหวในมืด |
เจ้าของ: | Rosarin [ 08 พ.ค. 2020, 14:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
กรัชกาย เขียน: กรัชกาย เขียน: เอาหลักมาวางให้ดูก่อน พระภิกษณีชื่อวชิรา (ตอบมาร) "นี่แน่ะมาร ท่านจะมีความเห็นยึดถือว่าเป็นสัตว์ได้อย่างไร ในสภาวะที่เป็นเพียงกองแห่งสังขารล้วนๆ นี้ จะหาตัวสัตว์ไม่ได้เลย เปรียบเหมือนว่า เพราะคุมส่วนประกอบเข้าด้วยกัน ศัพท์วา รถ ย่อมมี ฉันใด เมื่อขันธ์ทั้งหลาย มีอยู่ สมมติว่า สัตว์ ก็ย่อมมีฉันนั้น" (สํ.ส.15/554/198) ความที่เน้น ในแง่ปฏิบัติ คือ ความรู้เท่าทันสมมติ และเข้าใจปรมัตถ์ แล้วรู้จักใช้ภาษา เป็นเครื่องมือสื่อความหมาย โดยไม่ยึดติดในสมมติเป็นทาสของภาษาเช่น "ภิกษุผู้เป็นอรหันตขีณาสพ....จะพึงกล่าวว่า ฉันพูด ดังนี้ก็ดี เขาพูดกับฉัน ดังนี้ก็ดี เธอเป็นผู้ฉลาด รู้ถ้อยคำที่เขาพูดกันในโลก ก็พึงกล่าวไปตามโวหารเท่านั้น" (สํ.ส.15/65/21) "เหล่านี้ เป็นโลกสมัญญา เป็นโลกนิรุตติ เป็นโลกโวหาร เป็นโลกบัญญัติ ซึ่งตถาคตใช้พูดจา แต่ไม่ยึดติด" (ที.สี.9/312/248) อนึ่ง พระอรรถกถาจารย์บรรยายลักษณะของพระสูตร (สุตตันตปิฏก) ว่าเป็นโวหารเทศนา เพราะเนื้อหาส่วนมากแสดงโดยโวหาร คือ ใช้ภาษาสมมติ ส่วนพระอภิธรรมเป็นปรมัตถเทศนา เพราะเนื้อหาส่วนมากแสดงโดยปรมัตถ์ คือ กล่าวตามสภาวะแท้ๆ (วินย.อ.1/21...) นี้เป็นข้อสังเกตเพื่อประดับความรู้อย่างหนึ่ง จะเห็นได้ว่า คุณโรสและสำนักบ้านธัมมะตีความเรื่องที่ตนอ่านที่ตนเห็นมาผิดหมดเลย คือ จะเอาปรมัตถ์ (อะไรก็ไม่รู้) ไม่เอาสมมติ แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไรสมมติ อะไรปมัตถ์ เลยกลายเป็นขวางโลกไปด้วยประการฉะนี้แล. เอวัง จบข่าว รูปตามพระอภิธรรมมี28รูป รูปที่ปรากฏให้เห็นได้ตามพระอภิธรรมมีแค่1รูปคือสี(ที่เกิดพร้อมแสงสว่างตอนลืมตาดู) อีก27รูปไม่มีแสงเกิดร่วมด้วยได้ยินได้กลิ่นลิ้มรสสัมผัสต่างๆมันมืดคิดก็มืดเออแล้วตอนนี้คิด+เห็นไม่ได้ เพราะจิตเห็นไม่เกิดพร้อมกันกับจิตคิดนึกเพราะเห็นเกิดพร้อมแสงส่วนจิตคิดนึกมันมืดสนิทคิดเป็นไหมคะ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 08 พ.ค. 2020, 14:49 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่ทุกคนกำลังมีเดี๋ยวนี้ ตรงกับทุกคำที่มีในพระไตรปิฏกตรงปัจจุบันขณะทีละ1ขณะ แตกย่อยรายละเอียดเหมือนกองฝุ่นจนไม่เหลือซากความเป็นตัวตน รูปที่ปรากฏให้เห็นมีเพียงสีเท่านั้นที่เกิดพร้อมมีแสงสว่างรูปอื่นๆเกิดในความมืด การเกิดดับมีที่ภายในกายและจิตใจของตนเองตรงที่มีตัวตนไม่อยู่ข้างนอกเลยนะคะ ทุกคนเห็นเพียงสีกระทบตาดำดับที่ตาดำแล้วมืดทันทีคิดนึกจำทำสิ่งต่างๆในความมืดมิดเลย อะไรที่เห็นนอกตานั้นน่ะไม่ได้มีอยู่จริงเป็นเพียงภาพนิมิตของสีที่ดับนับไม่ถ้วนหลากสีตัดกันจนเกิดรูปร่าง จะรู้ที่ตั้งตรงที่มีมหาภูตรูปนั้นได้ตรงมีที่ตั้งของแข็งค่ะคือรู้จากประสาทกายไปสัมผัสกระทบในความมืดสนิท เพราะจักขุปสาทะรู้แค่สีอยู่ไกลๆจะไปเกิดพร้อมกับกายปสาทะที่สัมผัสแตะต้องใกล้ๆไม่ได้มันคนละขณะจิต แต่ละ1ขณะจิตมีอายตนะคือที่ประชุมกันของตัวจริงธัมมะคนละที่คนละทางและเกิดดับหมดไปทีละ1ไม่ซ้ำ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 08 พ.ค. 2020, 15:04 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
Rosarin เขียน: Kiss พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่ทุกคนกำลังมีเดี๋ยวนี้ ตรงกับทุกคำที่มีในพระไตรปิฏกตรงปัจจุบันขณะทีละ1ขณะ แตกย่อยรายละเอียดเหมือนกองฝุ่นจนไม่เหลือซากความเป็นตัวตน รูปที่ปรากฏให้เห็นมีเพียงสีเท่านั้นที่เกิดพร้อมมีแสงสว่างรูปอื่นๆเกิดในความมืด การเกิดดับมีที่ภายในกายและจิตใจของตนเองตรงที่มีตัวตนไม่อยู่ข้างนอกเลยนะคะ ทุกคนเห็นเพียงสีกระทบตาดำดับที่ตาดำแล้วมืดทันทีคิดนึกจำทำสิ่งต่างๆในความมืดมิดเลย อะไรที่เห็นนอกตานั้นน่ะไม่ได้มีอยู่จริงเป็นเพียงภาพนิมิตของสีที่ดับนับไม่ถ้วนหลากสีตัดกันจนเกิดรูปร่าง จะรู้ที่ตั้งตรงที่มีมหาภูตรูปนั้นได้ตรงมีที่ตั้งของแข็งค่ะคือรู้จากประสาทกายไปสัมผัสกระทบในความมืดสนิท เพราะจักขุปสาทะรู้แค่สีอยู่ไกลๆจะไปเกิดพร้อมกับกายปสาทะที่สัมผัสแตะต้องใกล้ๆไม่ได้มันคนละขณะจิต แต่ละ1ขณะจิตมีอายตนะคือที่ประชุมกันของตัวจริงธัมมะคนละที่คนละทางและเกิดดับหมดไปทีละ1ไม่ซ้ำ ยกตัวอย่างชัดๆเรื่องเงินๆทองๆ...เงินและทองคือมหาภูตรูปไม่มีจิตครอง ชาวบ้านเนี่ยใช้เงินทองได้จับแตะต้องได้ทำมาค้าขายแลกเปลี่ยนเงินทองได้ไม่มีอาบัติ แต่พระภิกษุใช้ได้เพียงของนอกกายที่เป็นปัจจัยสี่เพื่อลดความโลภอยากได้รู้ตัวว่าไม่ต้องใช้เงินไปเลี้ยงใคร เพราะพระพุทธเจ้ากำหนดโทษแห่งภิกษุในธรรมวินัยนี้ว่ารับและยินดีในเงินและทองไม่ได้ต้องโทษอาบัติ การปลงอาบัติจะต้องกระทำกับภิกษุในพระธรรมวินัยที่ไม่ทำผิดข้อรับเงินจึงพ้นโทษตกไปอบายภูมิ จะเป็นสมมุติอะไรก็ให้เข้าใจให้ถูกก่อนถึงจะไม่ทำผิดค่ะ...เงินทองสำหรับผู้ยังเสพแสวงหากามคุณ5 |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 08 พ.ค. 2020, 16:38 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
Rosarin เขียน: Rosarin เขียน: Kiss พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่ทุกคนกำลังมีเดี๋ยวนี้ ตรงกับทุกคำที่มีในพระไตรปิฏกตรงปัจจุบันขณะทีละ1ขณะ แตกย่อยรายละเอียดเหมือนกองฝุ่นจนไม่เหลือซากความเป็นตัวตน รูปที่ปรากฏให้เห็นมีเพียงสีเท่านั้นที่เกิดพร้อมมีแสงสว่างรูปอื่นๆเกิดในความมืด การเกิดดับมีที่ภายในกายและจิตใจของตนเองตรงที่มีตัวตนไม่อยู่ข้างนอกเลยนะคะ ทุกคนเห็นเพียงสีกระทบตาดำดับที่ตาดำแล้วมืดทันทีคิดนึกจำทำสิ่งต่างๆในความมืดมิดเลย อะไรที่เห็นนอกตานั้นน่ะไม่ได้มีอยู่จริงเป็นเพียงภาพนิมิตของสีที่ดับนับไม่ถ้วนหลากสีตัดกันจนเกิดรูปร่าง จะรู้ที่ตั้งตรงที่มีมหาภูตรูปนั้นได้ตรงมีที่ตั้งของแข็งค่ะคือรู้จากประสาทกายไปสัมผัสกระทบในความมืดสนิท เพราะจักขุปสาทะรู้แค่สีอยู่ไกลๆจะไปเกิดพร้อมกับกายปสาทะที่สัมผัสแตะต้องใกล้ๆไม่ได้มันคนละขณะจิต แต่ละ1ขณะจิตมีอายตนะคือที่ประชุมกันของตัวจริงธัมมะคนละที่คนละทางและเกิดดับหมดไปทีละ1ไม่ซ้ำ ยกตัวอย่างชัดๆเรื่องเงินๆทองๆ...เงินและทองคือมหาภูตรูปไม่มีจิตครอง ชาวบ้านเนี่ยใช้เงินทองได้จับแตะต้องได้ทำมาค้าขายแลกเปลี่ยนเงินทองได้ไม่มีอาบัติ แต่พระภิกษุใช้ได้เพียงของนอกกายที่เป็นปัจจัยสี่เพื่อลดความโลภอยากได้รู้ตัวว่าไม่ต้องใช้เงินไปเลี้ยงใคร เพราะพระพุทธเจ้ากำหนดโทษแห่งภิกษุในธรรมวินัยนี้ว่ารับและยินดีในเงินและทองไม่ได้ต้องโทษอาบัติ การปลงอาบัติจะต้องกระทำกับภิกษุในพระธรรมวินัยที่ไม่ทำผิดข้อรับเงินจึงพ้นโทษตกไปอบายภูมิ จะเป็นสมมุติอะไรก็ให้เข้าใจให้ถูกก่อนถึงจะไม่ทำผิดค่ะ...เงินทองสำหรับผู้ยังเสพแสวงหากามคุณ5 คุณโรสหลงไปไกล |
เจ้าของ: | Rosarin [ 08 พ.ค. 2020, 22:00 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: Rosarin เขียน: Kiss พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่ทุกคนกำลังมีเดี๋ยวนี้ ตรงกับทุกคำที่มีในพระไตรปิฏกตรงปัจจุบันขณะทีละ1ขณะ แตกย่อยรายละเอียดเหมือนกองฝุ่นจนไม่เหลือซากความเป็นตัวตน รูปที่ปรากฏให้เห็นมีเพียงสีเท่านั้นที่เกิดพร้อมมีแสงสว่างรูปอื่นๆเกิดในความมืด การเกิดดับมีที่ภายในกายและจิตใจของตนเองตรงที่มีตัวตนไม่อยู่ข้างนอกเลยนะคะ ทุกคนเห็นเพียงสีกระทบตาดำดับที่ตาดำแล้วมืดทันทีคิดนึกจำทำสิ่งต่างๆในความมืดมิดเลย อะไรที่เห็นนอกตานั้นน่ะไม่ได้มีอยู่จริงเป็นเพียงภาพนิมิตของสีที่ดับนับไม่ถ้วนหลากสีตัดกันจนเกิดรูปร่าง จะรู้ที่ตั้งตรงที่มีมหาภูตรูปนั้นได้ตรงมีที่ตั้งของแข็งค่ะคือรู้จากประสาทกายไปสัมผัสกระทบในความมืดสนิท เพราะจักขุปสาทะรู้แค่สีอยู่ไกลๆจะไปเกิดพร้อมกับกายปสาทะที่สัมผัสแตะต้องใกล้ๆไม่ได้มันคนละขณะจิต แต่ละ1ขณะจิตมีอายตนะคือที่ประชุมกันของตัวจริงธัมมะคนละที่คนละทางและเกิดดับหมดไปทีละ1ไม่ซ้ำ ยกตัวอย่างชัดๆเรื่องเงินๆทองๆ...เงินและทองคือมหาภูตรูปไม่มีจิตครอง ชาวบ้านเนี่ยใช้เงินทองได้จับแตะต้องได้ทำมาค้าขายแลกเปลี่ยนเงินทองได้ไม่มีอาบัติ แต่พระภิกษุใช้ได้เพียงของนอกกายที่เป็นปัจจัยสี่เพื่อลดความโลภอยากได้รู้ตัวว่าไม่ต้องใช้เงินไปเลี้ยงใคร เพราะพระพุทธเจ้ากำหนดโทษแห่งภิกษุในธรรมวินัยนี้ว่ารับและยินดีในเงินและทองไม่ได้ต้องโทษอาบัติ การปลงอาบัติจะต้องกระทำกับภิกษุในพระธรรมวินัยที่ไม่ทำผิดข้อรับเงินจึงพ้นโทษตกไปอบายภูมิ จะเป็นสมมุติอะไรก็ให้เข้าใจให้ถูกก่อนถึงจะไม่ทำผิดค่ะ...เงินทองสำหรับผู้ยังเสพแสวงหากามคุณ5 คุณโรสหลงไปไกล อธิบายความจริงตรงสัจจะตามคำของตถาคตให้เข้าใจให้รู้สึกตัว ไม่ได้บอกให้ไปทำอะไรบ้าๆที่ไหนการฟังทำให้เข้าใจตรงคำทันที บอกแล้วบอกอีกว่าไม่ต้องไปทำอะไรถ้ายังทำฟังไม่ตรงทางหูค่ะ เพราะหูเป็นทางเอกทางเดียวที่เกิดเสียงทำให้คิดเห็นถูกตรงทางได้ บอกไม่เข้าใจเหรอว่าทุกคำในทั้ง3ปิฏกแค่ใบไม้ในกำมือของตถาคต แค่ใบไม้3ใบเนี่ยยังคิดเห็นถูกตรงตามคำสอนตรงที่เห็นทางตาไม่ถูกเลย ทรงแสดงเพียง3ปิฏกเพื่อให้ฟังเข้าใจในความเป็นไปของตัวตนตรงปัจจุบันที่มีว่า ไม่มีตัวเราไม่มีตัวเขาไม่มีตัวใครเพราะมีแต่ธัมมะที่กำลังเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเป็นปกติธรรมดา ก็คือธรรมดาไหมที่คุณไม่เคยทำสัมมาทิฏฐิคือไม่เคยมีความคิดเห็นที่กำลังเห็นถูกตรงตามคำตถาคตเลย |
เจ้าของ: | Rosarin [ 08 พ.ค. 2020, 22:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
อะไรที่คิดว่ามีให้เห็นทุกๆด้านน่ะคือคิดเอา เห็นจริงๆมีเพียงสิ่งที่กระทบตาได้เท่านั้น อ่ะคิดสิลืมตาดูอยู่เนี่ยคิดว่ามี อะไรบ้างที่กำลังกระทบตาคุณ เดี๋ยวนี้เลยที่กำลังเห็นตรงหน้าคุณกระทบปุ๊บดับมืดในตาดำทันทีอีก5ทางเกิดในความมืด มีแสงสีกำลังกระทบไปที่ตาของคุณและดับมืดแล้วและมีครบทุกทาง6ทางแล้วด้วยตกลงมืดสนิทเลย เออ...ยังมีตัวเราอยู่...เรียกว่ามีสักกายทิฏฐิและมีอุปาทานขันธ์มีกิเลสตัณหาอวิชชาครบเลยที่ไม่มีคือปัญญา เมื่อไหร่จะเริ่มต้นศึกษาตรงความจริงจากการฟังเพราะการฟังไม่ได้มีตัวอักษรมาเรียงไว้ให้ได้ยินล่วงหน้าจ้ะ http://www.dhammahome.com/ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 08 พ.ค. 2020, 23:27 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
อีกอย่างนะการเข้าใจความจริงของเห็นที่กำลังเห็นเนี่ย ต้องเข้าใจตอนเป็นมนุษย์ถึงจะเข้าใจว่าภพภูมิอื่นก็เห็นสิ่งเดียวกัน แมว สุนัข คน เปรต เทวดา อินทร์ ยักษ์ พรหม ต่างก็เห็นเพียงสิ่งที่กระทบตาได้เท่านั้น ตอนเป็นคนต้องเข้าใจให้ถูกก่อนตายคือมีปัญญาคิดเห็นถูกเข้าใจถูกตรงตามคำของตถาคต ตายลงไปปุ๊บไปเกิดเป็นแมวลองบอกแมวสิว่าปลาทูน่ะไม่มีเห็นแค่สีแมวจะฟังรู้เรื่องไหมคะ ถ้าไปเกิดเป็นเปรตกำลังทุกข์ทรมาณร่างกายหิวโหยอยู่เนี่ยจะมีเวลาฟังว่าเห็นแค่สีไหมคะ หรือถ้าไปเกิดเป็นพรหมเสกอันโน่นอันนั้นเนรมิตได้หมดบอกว่าเห็นแค่สีจะเข้าใจไหมเพลินอยู่ สวรรค์ของเทวดาคือการได้เกิดเป็นมนุษย์ได้พบคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อได้ฟังพระสัทธรรม ส่วนคนเหรอจากเป็นเทวดาได้มาเป็นคนแล้วก็ทำแบบเดิมคืออยากได้บุญคือต้องการไปสวรรค์ลืมว่าขอมาฟัง |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 09 พ.ค. 2020, 09:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
Rosarin เขียน: cool อีกอย่างนะการเข้าใจความจริงของเห็นที่กำลังเห็นเนี่ย ต้องเข้าใจตอนเป็นมนุษย์ถึงจะเข้าใจว่าภพภูมิอื่นก็เห็นสิ่งเดียวกัน แมว สุนัข คน เปรต เทวดา อินทร์ ยักษ์ พรหม ต่างก็เห็นเพียงสิ่งที่กระทบตาได้เท่านั้น ตอนเป็นคนต้องเข้าใจให้ถูกก่อนตายคือมีปัญญาคิดเห็นถูกเข้าใจถูกตรงตามคำของตถาคต ตายลงไปปุ๊บไปเกิดเป็นแมวลองบอกแมวสิว่าปลาทูน่ะไม่มีเห็นแค่สีแมวจะฟังรู้เรื่องไหมคะ ถ้าไปเกิดเป็นเปรตกำลังทุกข์ทรมาณร่างกายหิวโหยอยู่เนี่ยจะมีเวลาฟังว่าเห็นแค่สีไหมคะ หรือถ้าไปเกิดเป็นพรหมเสกอันโน่นอันนั้นเนรมิตได้หมดบอกว่าเห็นแค่สีจะเข้าใจไหมเพลินอยู่ สวรรค์ของเทวดาคือการได้เกิดเป็นมนุษย์ได้พบคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อได้ฟังพระสัทธรรม ส่วนคนเหรอจากเป็นเทวดาได้มาเป็นคนแล้วก็ทำแบบเดิมคืออยากได้บุญคือต้องการไปสวรรค์ลืมว่าขอมาฟัง แต่ละ คคห.ๆ ล้วนคิดตีความเพ้อเจ้อไปทั่ว นี่ไปสวรรค์แระ สรุปแล้วเลอะเทอะ ผสมผสานเหมือนผลไม้ตัดแต่งพันธุกรรม |
เจ้าของ: | Rosarin [ 09 พ.ค. 2020, 09:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: cool อีกอย่างนะการเข้าใจความจริงของเห็นที่กำลังเห็นเนี่ย ต้องเข้าใจตอนเป็นมนุษย์ถึงจะเข้าใจว่าภพภูมิอื่นก็เห็นสิ่งเดียวกัน แมว สุนัข คน เปรต เทวดา อินทร์ ยักษ์ พรหม ต่างก็เห็นเพียงสิ่งที่กระทบตาได้เท่านั้น ตอนเป็นคนต้องเข้าใจให้ถูกก่อนตายคือมีปัญญาคิดเห็นถูกเข้าใจถูกตรงตามคำของตถาคต ตายลงไปปุ๊บไปเกิดเป็นแมวลองบอกแมวสิว่าปลาทูน่ะไม่มีเห็นแค่สีแมวจะฟังรู้เรื่องไหมคะ ถ้าไปเกิดเป็นเปรตกำลังทุกข์ทรมาณร่างกายหิวโหยอยู่เนี่ยจะมีเวลาฟังว่าเห็นแค่สีไหมคะ หรือถ้าไปเกิดเป็นพรหมเสกอันโน่นอันนั้นเนรมิตได้หมดบอกว่าเห็นแค่สีจะเข้าใจไหมเพลินอยู่ สวรรค์ของเทวดาคือการได้เกิดเป็นมนุษย์ได้พบคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อได้ฟังพระสัทธรรม ส่วนคนเหรอจากเป็นเทวดาได้มาเป็นคนแล้วก็ทำแบบเดิมคืออยากได้บุญคือต้องการไปสวรรค์ลืมว่าขอมาฟัง แต่ละ คคห.ๆ ล้วนคิดตีความเพ้อเจ้อไปทั่ว นี่ไปสวรรค์แระ สรุปแล้วเลอะเทอะ ผสมผสานเหมือนผลไม้ตัดแต่งพันธุกรรม คุณๆทั้งหลายคะ...คุณคิดว่าโรสกำลังเพียรทำอะไรคะ เพราะที่โรสทำได้มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นคือทำได้แค่บอก คือว่ายกปัญญาที่เข้าใจไปให้ใครไม่ได้แม้พระพุทธเจ้าก็ทำได้แค่บอก เพราะการบอกเป็นหน้าที่ของปรโตโฆสะ(ผู้ที่ถ่ายทอดตรงความจริงตามคำตถาคตให้ผู้อื่นเข้าใจถูกตาม) ส่วนการฟังเป็นหน้าที่ของผู้ฟังที่จะปรุงแต่งอะไรอะไรที่กำลังฟังและเข้าใจตรงตามที่กายใจตัวเองกำลังมีค่ะ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 09 พ.ค. 2020, 09:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
มี2ภพภูมิที่มองเห็นได้ทางตาเนื้อตามปกติได้ทันทีที่ฟังเข้าใจถูกตาม พระพุทธเจ้าแสดงความจริงเพื่อให้คิดเห็นถูกตามคำของพระองค์ทันที แมวเห็นงูเห็นจิ้งจกเห็นอันนี้คือภพภูมิดิรัจฉานเห็นสิ่งที่กระทบตาเท่านั้น ตัวคุณที่คิดว่าเห็นตัวเองเห็นคนสัตว์วัตถุภายนอกเต็มไปหมดคือภาพนิมิตตามภพภูมินี้ แต่สัจจธรรมของเห็นตามที่ทรงตรัสรู้คือมีแค่จิตเห็นที่รู้แจ้งในอารมณ์ตรงที่มีสีสันวรรณะ ไม่มีใครหรือภพภูมิใดๆเป็นเจ้าของเห็นที่กำลังเห็นมีแต่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนคือมีอุปาทานขันธ์ โลกจึงมืดด้วยอวิชชาจนกว่าจะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ความจริงและอธิบายความจริงให้รู้สึกตัวว่าทุกคนไม่รู้ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 09 พ.ค. 2020, 09:50 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: cool อีกอย่างนะการเข้าใจความจริงของเห็นที่กำลังเห็นเนี่ย ต้องเข้าใจตอนเป็นมนุษย์ถึงจะเข้าใจว่าภพภูมิอื่นก็เห็นสิ่งเดียวกัน แมว สุนัข คน เปรต เทวดา อินทร์ ยักษ์ พรหม ต่างก็เห็นเพียงสิ่งที่กระทบตาได้เท่านั้น ตอนเป็นคนต้องเข้าใจให้ถูกก่อนตายคือมีปัญญาคิดเห็นถูกเข้าใจถูกตรงตามคำของตถาคต ตายลงไปปุ๊บไปเกิดเป็นแมวลองบอกแมวสิว่าปลาทูน่ะไม่มีเห็นแค่สีแมวจะฟังรู้เรื่องไหมคะ ถ้าไปเกิดเป็นเปรตกำลังทุกข์ทรมาณร่างกายหิวโหยอยู่เนี่ยจะมีเวลาฟังว่าเห็นแค่สีไหมคะ หรือถ้าไปเกิดเป็นพรหมเสกอันโน่นอันนั้นเนรมิตได้หมดบอกว่าเห็นแค่สีจะเข้าใจไหมเพลินอยู่ สวรรค์ของเทวดาคือการได้เกิดเป็นมนุษย์ได้พบคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อได้ฟังพระสัทธรรม ส่วนคนเหรอจากเป็นเทวดาได้มาเป็นคนแล้วก็ทำแบบเดิมคืออยากได้บุญคือต้องการไปสวรรค์ลืมว่าขอมาฟัง แต่ละ คคห.ๆ ล้วนคิดตีความเพ้อเจ้อไปทั่ว นี่ไปสวรรค์แระ สรุปแล้วเลอะเทอะ ผสมผสานเหมือนผลไม้ตัดแต่งพันธุกรรม คุณๆทั้งหลายคะ...คุณคิดว่าโรสกำลังเพียรทำอะไรคะ เพราะที่โรสทำได้มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นคือทำได้แค่บอก คือว่ายกปัญญาที่เข้าใจไปให้ใครไม่ได้แม้พระพุทธเจ้าก็ทำได้แค่บอก เพราะการบอกเป็นหน้าที่ของปรโตโฆสะ(ผู้ที่ถ่ายทอดตรงความจริงตามคำตถาคตให้ผู้อื่นเข้าใจถูกตาม) ส่วนการฟังเป็นหน้าที่ของผู้ฟังที่จะปรุงแต่งอะไรอะไรที่กำลังฟังและเข้าใจตรงตามที่กายใจตัวเองกำลังมีค่ะ เรื่องพูดบอกนี่ ชุมโจรก็บอกให้ลูกน้องฟัง เฮ้ย สูทั้งหลายจงฟังข้าผู้เป็นหัวหน้าพวกเอ็ง คืนนี้พวกเราจะออกปล้นบ้านเศรษฐีในเมืองตอนดาวโจรขึ้นตรงหัว พวกเอ็งเตรียมลับหอกลับดาบให้คมนะ ได้ยินกันทุกคนแล้วนะ ถ้ายังงั้นตอนนี้ไปพักเอาแรงก่อน แล้วพวกเราจะรวมตัวกันเมือโจโรฤกษ์ประดับท้องฟ้า นี่หัวหน้าก็บอกให้ลูกน้องฟังนะ นี่ก็เป็นปรโตโฆสะ |
หน้า 12 จากทั้งหมด 18 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |