ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
วันนี้มีคนมาถาม http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=58750 |
หน้า 11 จากทั้งหมด 18 |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 03 พ.ค. 2020, 17:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
Rosarin เขียน: ยังอีก...ยังทำไม่รู้ไม่ชี้ ตัวคนมีอุปาทานขันธ์ กิเลสเป็นลูกศิษย์มีตัณหาพาทำ มีอวิชชาในใจเป็นครูอาจารย์ มีตัณหาในใจเป็นเพื่อน พออาจารย์อวิชชาสั่ง เพื่อนตัณหาชวนกิเลสในใจพาทำตกลงมีคนไหมคะ555 ขณะนี้ทุกคนกำลังมีอวิชชากิเลสตัณหาและอุปาทานขันธ์ยึดถือขันธ์ที่กำลังเกิดดับว่ามีตัวคน ไม่เคยตอบคำถามสักทีสิเอ้า เค้าถามว่า มีใครบ้างตายแล้วลุกขึ้นมาฟังได้ มีไหม 1. มี 2. ไม่มี ตอบข้อไหน 1 หรือ 2 |
เจ้าของ: | Rosarin [ 03 พ.ค. 2020, 18:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: ยังอีก...ยังทำไม่รู้ไม่ชี้ ตัวคนมีอุปาทานขันธ์ กิเลสเป็นลูกศิษย์มีตัณหาพาทำ มีอวิชชาในใจเป็นครูอาจารย์ มีตัณหาในใจเป็นเพื่อน พออาจารย์อวิชชาสั่ง เพื่อนตัณหาชวนกิเลสในใจพาทำตกลงมีคนไหมคะ555 ขณะนี้ทุกคนกำลังมีอวิชชากิเลสตัณหาและอุปาทานขันธ์ยึดถือขันธ์ที่กำลังเกิดดับว่ามีตัวคน ไม่เคยตอบคำถามสักทีสิเอ้า เค้าถามว่า มีใครบ้างตายแล้วลุกขึ้นมาฟังได้ มีไหม 1. มี 2. ไม่มี ตอบข้อไหน 1 หรือ 2 คิดสิพระพุทธเจ้าจะถามแบบนี้มั๊ย ตายแล้วไม่มีจิตแล้วคิดได้มั๊ยล่ะ ตายแล้วทำได้ยินเสียงได้มั๊ยย บอกไม่เคยทำปัญญาตรงทาง ตามลำดับเริ่มที่สุตมยปัญญา ใช้หูทำฟังใช้ตาดูเทียบตาม ฟังเสียงเหมือนเป็นคนบอด คนตาบอดก็ฟังเสียงได้แต่คิดเห็นถูกตรงทางตามคำตถาคตไม่ได้ เข้าใจไหมว่าคนตาไม่บอดที่ไม่คิดเห็นให้ถูกให้ตรงทางที่ลืมตาเห็นตามปกติตามเสียงคำตถาคต ก็เหมือนคนตาบอดที่มองไม่เห็นความจริงอะไรเลยเดี๋ยวนี้เลยจะไปรู้สึกสำนึกตัวได้คิดได้ตอนไหนนนนนน |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 03 พ.ค. 2020, 19:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: ยังอีก...ยังทำไม่รู้ไม่ชี้ ตัวคนมีอุปาทานขันธ์ กิเลสเป็นลูกศิษย์มีตัณหาพาทำ มีอวิชชาในใจเป็นครูอาจารย์ มีตัณหาในใจเป็นเพื่อน พออาจารย์อวิชชาสั่ง เพื่อนตัณหาชวนกิเลสในใจพาทำตกลงมีคนไหมคะ555 ขณะนี้ทุกคนกำลังมีอวิชชากิเลสตัณหาและอุปาทานขันธ์ยึดถือขันธ์ที่กำลังเกิดดับว่ามีตัวคน ไม่เคยตอบคำถามสักทีสิเอ้า เค้าถามว่า มีใครบ้างตายแล้วลุกขึ้นมาฟังได้ มีไหม 1. มี 2. ไม่มี ตอบข้อไหน 1 หรือ 2 คิดสิพระพุทธเจ้าจะถามแบบนี้มั๊ย ตายแล้วไม่มีจิตแล้วคิดได้มั๊ยล่ะ ตายแล้วทำได้ยินเสียงได้มั๊ยย บอกไม่เคยทำปัญญาตรงทาง ตามลำดับเริ่มที่สุตมยปัญญา ใช้หูทำฟังใช้ตาดูเทียบตาม ฟังเสียงเหมือนเป็นคนบอด คนตาบอดก็ฟังเสียงได้แต่คิดเห็นถูกตรงทางตามคำตถาคตไม่ได้ เข้าใจไหมว่าคนตาไม่บอดที่ไม่คิดเห็นให้ถูกให้ตรงทางที่ลืมตาเห็นตามปกติตามเสียงคำตถาคต ก็เหมือนคนตาบอดที่มองไม่เห็นความจริงอะไรเลยเดี๋ยวนี้เลยจะไปรู้สึกสำนึกตัวได้คิดได้ตอนไหนนนนนน คิกๆๆ ไปแบบไม่ได้ยินเสียงกู่ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 04 พ.ค. 2020, 10:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: ยังอีก...ยังทำไม่รู้ไม่ชี้ ตัวคนมีอุปาทานขันธ์ กิเลสเป็นลูกศิษย์มีตัณหาพาทำ มีอวิชชาในใจเป็นครูอาจารย์ มีตัณหาในใจเป็นเพื่อน พออาจารย์อวิชชาสั่ง เพื่อนตัณหาชวนกิเลสในใจพาทำตกลงมีคนไหมคะ555 ขณะนี้ทุกคนกำลังมีอวิชชากิเลสตัณหาและอุปาทานขันธ์ยึดถือขันธ์ที่กำลังเกิดดับว่ามีตัวคน ไม่เคยตอบคำถามสักทีสิเอ้า เค้าถามว่า มีใครบ้างตายแล้วลุกขึ้นมาฟังได้ มีไหม 1. มี 2. ไม่มี ตอบข้อไหน 1 หรือ 2 คิดสิพระพุทธเจ้าจะถามแบบนี้มั๊ย ตายแล้วไม่มีจิตแล้วคิดได้มั๊ยล่ะ ตายแล้วทำได้ยินเสียงได้มั๊ยย บอกไม่เคยทำปัญญาตรงทาง ตามลำดับเริ่มที่สุตมยปัญญา ใช้หูทำฟังใช้ตาดูเทียบตาม ฟังเสียงเหมือนเป็นคนบอด คนตาบอดก็ฟังเสียงได้แต่คิดเห็นถูกตรงทางตามคำตถาคตไม่ได้ เข้าใจไหมว่าคนตาไม่บอดที่ไม่คิดเห็นให้ถูกให้ตรงทางที่ลืมตาเห็นตามปกติตามเสียงคำตถาคต ก็เหมือนคนตาบอดที่มองไม่เห็นความจริงอะไรเลยเดี๋ยวนี้เลยจะไปรู้สึกสำนึกตัวได้คิดได้ตอนไหนนนนนน คิกๆๆ ไปแบบไม่ได้ยินเสียงกู่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆตรงปัจจุบันขณะทีละ1ขณะ และทรงอธิบายรายละเอียดที่ระดับ1ขณะจิตไว้ละเอียดยิบเหมือนกองฝุ่น ตกลงคุณกรัชกายทำแบบพระพุทธเจ้าได้แล้วเห็นจริงๆแล้วว่ามีแค่สีหรือคะ หรือว่าทำได้แค่คิดถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังเห็นโดยเทียบตามแล้วรู้สึกตัวทันทีว่า ตัวเองกำลังเห็นผิดคิดผิดพูดผิดและทำไปตามที่ตัวเองเห็นผิดโดยไม่รู้ว่าผิด มหาภูตรูปใช้ตาเห็นไม่ได้เพราะจิตเห็นแค่รูปของสีที่แทรกอยู่ตรงที่มีมหาภูตรูป มหาภูตรูปรู้ว่ามีที่ตั้งเมือมีการสัมผัสตอนที่แตะต้องสัมผัสดังนั้นจึงเห็นมหารูปไม่ได้ มหาภูตรูปปรากฏว่ามีรูปร่างแตกต่างกันเพราะมีสีที่เป็นรูปประกอบอยู่ที่มหาภูตรูป จิตเกิดที่ไหนดับตรงนั้นทันทีและจิตแต่ละ1ขณะแต่ละ1ทางไม่เกิดร่วมกันไม่เกิดตรงกัน จิตเห็นสีคือการกระทบกันของ3ธัมมะประสานกันคือจิตเห็นสี=1จิต+2จักขุปสาทะรูป+อุปาทายรูป(แสงสี) จิตเห็นเกิดที่ประสาทตาแค่มีแสงสีจากภายนอกสะท้อนไปที่ตาดำดับมืดทันทีจิตเห็นดับแล้วคิดอะไรอยู่คะ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 06 พ.ค. 2020, 12:38 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: ยังอีก...ยังทำไม่รู้ไม่ชี้ ตัวคนมีอุปาทานขันธ์ กิเลสเป็นลูกศิษย์มีตัณหาพาทำ มีอวิชชาในใจเป็นครูอาจารย์ มีตัณหาในใจเป็นเพื่อน พออาจารย์อวิชชาสั่ง เพื่อนตัณหาชวนกิเลสในใจพาทำตกลงมีคนไหมคะ555 ขณะนี้ทุกคนกำลังมีอวิชชากิเลสตัณหาและอุปาทานขันธ์ยึดถือขันธ์ที่กำลังเกิดดับว่ามีตัวคน ไม่เคยตอบคำถามสักทีสิเอ้า เค้าถามว่า มีใครบ้างตายแล้วลุกขึ้นมาฟังได้ มีไหม 1. มี 2. ไม่มี ตอบข้อไหน 1 หรือ 2 คิดสิพระพุทธเจ้าจะถามแบบนี้มั๊ย ตายแล้วไม่มีจิตแล้วคิดได้มั๊ยล่ะ ตายแล้วทำได้ยินเสียงได้มั๊ยย บอกไม่เคยทำปัญญาตรงทาง ตามลำดับเริ่มที่สุตมยปัญญา ใช้หูทำฟังใช้ตาดูเทียบตาม ฟังเสียงเหมือนเป็นคนบอด คนตาบอดก็ฟังเสียงได้แต่คิดเห็นถูกตรงทางตามคำตถาคตไม่ได้ เข้าใจไหมว่าคนตาไม่บอดที่ไม่คิดเห็นให้ถูกให้ตรงทางที่ลืมตาเห็นตามปกติตามเสียงคำตถาคต ก็เหมือนคนตาบอดที่มองไม่เห็นความจริงอะไรเลยเดี๋ยวนี้เลยจะไปรู้สึกสำนึกตัวได้คิดได้ตอนไหนนนนนน คิกๆๆ ไปแบบไม่ได้ยินเสียงกู่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆตรงปัจจุบันขณะทีละ1ขณะ และทรงอธิบายรายละเอียดที่ระดับ1ขณะจิตไว้ละเอียดยิบเหมือนกองฝุ่น ตกลงคุณกรัชกายทำแบบพระพุทธเจ้าได้แล้วเห็นจริงๆแล้วว่ามีแค่สีหรือคะ หรือว่าทำได้แค่คิดถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังเห็นโดยเทียบตามแล้วรู้สึกตัวทันทีว่า ตัวเองกำลังเห็นผิดคิดผิดพูดผิดและทำไปตามที่ตัวเองเห็นผิดโดยไม่รู้ว่าผิด มหาภูตรูปใช้ตาเห็นไม่ได้เพราะจิตเห็นแค่รูปของสีที่แทรกอยู่ตรงที่มีมหาภูตรูป มหาภูตรูปรู้ว่ามีที่ตั้งเมือมีการสัมผัสตอนที่แตะต้องสัมผัสดังนั้นจึงเห็นมหารูปไม่ได้ มหาภูตรูปปรากฏว่ามีรูปร่างแตกต่างกันเพราะมีสีที่เป็นรูปประกอบอยู่ที่มหาภูตรูป จิตเกิดที่ไหนดับตรงนั้นทันทีและจิตแต่ละ1ขณะแต่ละ1ทางไม่เกิดร่วมกันไม่เกิดตรงกัน จิตเห็นสีคือการกระทบกันของ3ธัมมะประสานกันคือจิตเห็นสี=1จิต+2จักขุปสาทะรูป+อุปาทายรูป(แสงสี) จิตเห็นเกิดที่ประสาทตาแค่มีแสงสีจากภายนอกสะท้อนไปที่ตาดำดับมืดทันทีจิตเห็นดับแล้วคิดอะไรอยู่คะ คุณกรัชกาย เข้าใจหรือยังว่า ตัวตนคนกำลังเห็นผิด จนกว่าจะเริ่มฟังความจริง แล้วเข้าใจว่าจิตเห็นสีไม่ได้เห็นคนสัตว์วัตถุ อนุสาสนียปาฏิหาริย์คือ คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทำให้ผู้ฟังเข้าใจสิ่งที่เห็นทันทีดับเห็นผิดได้ทันทีเกิดเข้าใจเห็นถูกตามได้ทันที |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 06 พ.ค. 2020, 17:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
Rosarin เขียน: คุณกรัชกาย เข้าใจหรือยังว่า ตัวตนคนกำลังเห็นผิด จนกว่าจะเริ่มฟังความจริง แล้วเข้าใจว่าจิตเห็นสีไม่ได้เห็นคนสัตว์วัตถุ อนุสาสนียปาฏิหาริย์คือ คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทำให้ผู้ฟังเข้าใจสิ่งที่เห็นทันทีดับเห็นผิดได้ทันทีเกิดเข้าใจเห็นถูกตามได้ทันที เอาหลักมาตั้งให้ดูนะ จักขุ+รูป โสต+สัทท ฆาน+คันธ ชิวหา+รส กาย+โผฏฐัพพ มโน+ธัมม ไหนลองว่ามาสีอยู่ตรงไหน |
เจ้าของ: | Rosarin [ 07 พ.ค. 2020, 21:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: คุณกรัชกาย เข้าใจหรือยังว่า ตัวตนคนกำลังเห็นผิด จนกว่าจะเริ่มฟังความจริง แล้วเข้าใจว่าจิตเห็นสีไม่ได้เห็นคนสัตว์วัตถุ อนุสาสนียปาฏิหาริย์คือ คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทำให้ผู้ฟังเข้าใจสิ่งที่เห็นทันทีดับเห็นผิดได้ทันทีเกิดเข้าใจเห็นถูกตามได้ทันที เอาหลักมาตั้งให้ดูนะ จักขุ+รูป โสต+สัทท ฆาน+คันธ ชิวหา+รส กาย+โผฏฐัพพ มโน+ธัมม ไหนลองว่ามาสีอยู่ตรงไหน ร่างกายทั้งหมดทุกอวัยวะเลยคือมหาภูตรูป มหาภูตรูปไม่ใช่สภาพรู้เป็นรูปธรรม=ไม่รู้สึกอะไรเลย แต่มีนามธรรมเป็นสภาพรู้เป็นธาตุรู้เป็นสภาพที่เป็นนามไปรู้ว่ามีรูป และรูปที่ถูกรู้ตอนที่มองเห็นก็ไม่ใช่ตาเพราะทุกคนมองตาตัวเองไม่เห็น...อิอิอิ ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อเข้าใจความจริงที่กำลังมีตรงตามที่กำลังฟังไม่เข้าใจหรือคะ คำว่าจักขุแปลว่าตา ตาคือมหาภูตรูป มหาภูตรูปคือธาตุ4 ตาเกิดจากการรวมตัวของธาตุ4 จะรู้ว่ามีมหาภูตรูปตรงไหนต้องแตะต้องสัมผัสไม่ใช่คิดเอา ที่ลืมตาดูมองเห็นโน่นนั่นนู้นนั่นน่ะค่ะไม่รู้ว่าตาไม่เห็นเพราะตาไม่รู้อะไรเลยที่เห็นคือจิตเห็นค่ะ และจิตเห็นเกิดเห็นรูปที่ปรากฏได้เพียง1รูปคือสีสันวรรณะตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อีก27รูปเห็นไม่ได้ และรูปที่ปรากฏให้เห็นก็ไม่ใช่มหาภูตรูปแต่เป็นอุปาทายรูปที่ใดมีมหาภูตรูปที่นั่นมีสีกลิ่นรสโอชาประกอบอยู่ https://youtu.be/x7ovq2R30a8 |
เจ้าของ: | Rosarin [ 07 พ.ค. 2020, 23:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
เห็นมหาภูตรูปไม่ได้เข้าใจไหมคะ มหาภูตรูป4คือดิน/น้ำ/ไฟ/ลม รู้ที่ตั้งของมหาภูตรูปจากกายสัมผัส คือใช้กายปสาทรูปแตะทีละ1ธาตุ1ลักษณะ แตะสัมผัสได้เพียง3ธาตุคือดินลมไฟ(ส่วนธาตุน้ำทำให้3ธาตุนั้นเกาะกลุ่มรวมตัวกัน) เวลาสัมผัสแตะต้องถูกธาตุ3รู้ว่ามีได้ทีละ1ธาตุตรง1ความรู้สึกตรงๆ 1.ธาตุดินก็รู้สึกได้ว่าแข็งหรืออ่อน 2.ธาตุลมก็รู้สึกได้ว่าตึงหรือไหว 3.ธาตุไฟก็รู้สึกได้ว่ามีร้อนหรือเย็น ใช้ประสาทกายรู้ที่ตั้งของมหาภูตรูปค่ะไม่ได้ใช้ประสาทตารับกระทบมหาภูตรูปค่ะ...(ตาจะแตกนะคะ) เห็นเพียงสิ่งที่กระทบตาได้เท่านั้น...ง่ายๆเห็นตึกไม่ได้เพราะตึกคือมหาภูตรูปรู้ว่าตึกมีจากเอากายไปสัมผัส |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 08 พ.ค. 2020, 07:38 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: คุณกรัชกาย เข้าใจหรือยังว่า ตัวตนคนกำลังเห็นผิด จนกว่าจะเริ่มฟังความจริง แล้วเข้าใจว่าจิตเห็นสีไม่ได้เห็นคนสัตว์วัตถุ อนุสาสนียปาฏิหาริย์คือ คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทำให้ผู้ฟังเข้าใจสิ่งที่เห็นทันทีดับเห็นผิดได้ทันทีเกิดเข้าใจเห็นถูกตามได้ทันที เอาหลักมาตั้งให้ดูนะ จักขุ+รูป โสต+สัทท ฆาน+คันธ ชิวหา+รส กาย+โผฏฐัพพ มโน+ธัมม ไหนลองว่ามาสีอยู่ตรงไหน ร่างกายทั้งหมดทุกอวัยวะเลยคือมหาภูตรูป มหาภูตรูปไม่ใช่สภาพรู้เป็นรูปธรรม=ไม่รู้สึกอะไรเลย แต่มีนามธรรมเป็นสภาพรู้เป็นธาตุรู้เป็นสภาพที่เป็นนามไปรู้ว่ามีรูป และรูปที่ถูกรู้ตอนที่มองเห็นก็ไม่ใช่ตาเพราะทุกคนมองตาตัวเองไม่เห็น...อิอิอิ ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อเข้าใจความจริงที่กำลังมีตรงตามที่กำลังฟังไม่เข้าใจหรือคะ คำว่าจักขุแปลว่าตา ตาคือมหาภูตรูป มหาภูตรูปคือธาตุ4 ตาเกิดจากการรวมตัวของธาตุ4 จะรู้ว่ามีมหาภูตรูปตรงไหนต้องแตะต้องสัมผัสไม่ใช่คิดเอา ที่ลืมตาดูมองเห็นโน่นนั่นนู้นนั่นน่ะค่ะไม่รู้ว่าตาไม่เห็นเพราะตาไม่รู้อะไรเลยที่เห็นคือจิตเห็นค่ะ และจิตเห็นเกิดเห็นรูปที่ปรากฏได้เพียง1รูปคือสีสันวรรณะตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อีก27รูปเห็นไม่ได้ และรูปที่ปรากฏให้เห็นก็ไม่ใช่มหาภูตรูปแต่เป็นอุปาทายรูปที่ใดมีมหาภูตรูปที่นั่นมีสีกลิ่นรสโอชาประกอบอยู่ https://youtu.be/x7ovq2R30a8 เพ้อเจ้อน่ารำคาญ เสียเวลาเปล่า |
เจ้าของ: | Rosarin [ 08 พ.ค. 2020, 08:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: คุณกรัชกาย เข้าใจหรือยังว่า ตัวตนคนกำลังเห็นผิด จนกว่าจะเริ่มฟังความจริง แล้วเข้าใจว่าจิตเห็นสีไม่ได้เห็นคนสัตว์วัตถุ อนุสาสนียปาฏิหาริย์คือ คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทำให้ผู้ฟังเข้าใจสิ่งที่เห็นทันทีดับเห็นผิดได้ทันทีเกิดเข้าใจเห็นถูกตามได้ทันที เอาหลักมาตั้งให้ดูนะ จักขุ+รูป โสต+สัทท ฆาน+คันธ ชิวหา+รส กาย+โผฏฐัพพ มโน+ธัมม ไหนลองว่ามาสีอยู่ตรงไหน ร่างกายทั้งหมดทุกอวัยวะเลยคือมหาภูตรูป มหาภูตรูปไม่ใช่สภาพรู้เป็นรูปธรรม=ไม่รู้สึกอะไรเลย แต่มีนามธรรมเป็นสภาพรู้เป็นธาตุรู้เป็นสภาพที่เป็นนามไปรู้ว่ามีรูป และรูปที่ถูกรู้ตอนที่มองเห็นก็ไม่ใช่ตาเพราะทุกคนมองตาตัวเองไม่เห็น...อิอิอิ ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อเข้าใจความจริงที่กำลังมีตรงตามที่กำลังฟังไม่เข้าใจหรือคะ คำว่าจักขุแปลว่าตา ตาคือมหาภูตรูป มหาภูตรูปคือธาตุ4 ตาเกิดจากการรวมตัวของธาตุ4 จะรู้ว่ามีมหาภูตรูปตรงไหนต้องแตะต้องสัมผัสไม่ใช่คิดเอา ที่ลืมตาดูมองเห็นโน่นนั่นนู้นนั่นน่ะค่ะไม่รู้ว่าตาไม่เห็นเพราะตาไม่รู้อะไรเลยที่เห็นคือจิตเห็นค่ะ และจิตเห็นเกิดเห็นรูปที่ปรากฏได้เพียง1รูปคือสีสันวรรณะตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อีก27รูปเห็นไม่ได้ และรูปที่ปรากฏให้เห็นก็ไม่ใช่มหาภูตรูปแต่เป็นอุปาทายรูปที่ใดมีมหาภูตรูปที่นั่นมีสีกลิ่นรสโอชาประกอบอยู่ https://youtu.be/x7ovq2R30a8 เพ้อเจ้อน่ารำคาญ เสียเวลาเปล่า บอกความจริงให้รู้สึกตัวยังคิดไม่ได้อยู่อิ๊กกกก555 มหาภูตรูปคือรูปธรรม จิต/เจตสิกคือนามธรรม นิพพานคือนิพพาน ทั้งหมดเป็นธัมมะจึงเป็นเราไม้ได้...เออเนาะ ไม่เข้าใจเหรอว่าไม่ใช่ตัวตนไม่ใช่คน ที่คิดว่ามีคนแล้วนั้นน่ะเรียกว่าอัตตาคือ สักกายทิฏฐิ=เห็นผิดว่ามีตัวตนคือมีอุปาทานขันธ์ยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวเราไม่รู้ว่าตัวตนไม่รู้=มีกิเลสอวิชชา ทางโลกกับทางธรรมไม่ได้แปลกแยกออกไปจากปกติเพื่อไปทำอะไรเพราะมันมีทั้งหมดแล้วทั้งตัวตนน่ะ ก็บอกแล้วว่าธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยที่กำหนดมาแล้วไม่ได้ทำบอกให้คิดให้ตรงทีละ1ทาง จะไปรู้ความจริงของเห็นตอนไหน ปสาทรูปคือรูปพิเศษที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คนเดียว จิตเห็นเกิดจากมีจักขุปสาทะรูปตรงกลางตาที่รับกระทบรูปที่ถูกเห็น คนตาบอดเกิดจากไม่มีจักขุปสาทะรูปคือตาพิการจึงมองไม่เห็นส่วนคนตายมีตาไม่มีจิตหมดทางรู้จักเห็น บอกแล้วใช่ไหมว่าเลือกเห็นไม่ได้เพราะทุกคนที่มีตาเนื้อและมองเห็นจากมี3ธัมมะประสานกันจึงเกิดเห็นได้ จักขุวิญญาณ(จิตเห็น)=จิต+จักขุปสาทะรูป(รูปใสพิเศษตรงกลางตา)+อุปาทายรูป(คือสีอยู่ที่มหาภูตรูป) จิตได้ยินเกิดจากมีโสตปสาทะรูปรับกระทบเสียงอยู่ลึกๆภายในหูโน่นไม่ว่าจมูกลิ้นกายใจก็มีจุดที่รับเฉพาะ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 08 พ.ค. 2020, 09:10 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: คุณกรัชกาย เข้าใจหรือยังว่า ตัวตนคนกำลังเห็นผิด จนกว่าจะเริ่มฟังความจริง แล้วเข้าใจว่าจิตเห็นสีไม่ได้เห็นคนสัตว์วัตถุ อนุสาสนียปาฏิหาริย์คือ คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทำให้ผู้ฟังเข้าใจสิ่งที่เห็นทันทีดับเห็นผิดได้ทันทีเกิดเข้าใจเห็นถูกตามได้ทันที เอาหลักมาตั้งให้ดูนะ จักขุ+รูป โสต+สัทท ฆาน+คันธ ชิวหา+รส กาย+โผฏฐัพพ มโน+ธัมม ไหนลองว่ามาสีอยู่ตรงไหน ร่างกายทั้งหมดทุกอวัยวะเลยคือมหาภูตรูป มหาภูตรูปไม่ใช่สภาพรู้เป็นรูปธรรม=ไม่รู้สึกอะไรเลย แต่มีนามธรรมเป็นสภาพรู้เป็นธาตุรู้เป็นสภาพที่เป็นนามไปรู้ว่ามีรูป และรูปที่ถูกรู้ตอนที่มองเห็นก็ไม่ใช่ตาเพราะทุกคนมองตาตัวเองไม่เห็น...อิอิอิ ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อเข้าใจความจริงที่กำลังมีตรงตามที่กำลังฟังไม่เข้าใจหรือคะ คำว่าจักขุแปลว่าตา ตาคือมหาภูตรูป มหาภูตรูปคือธาตุ4 ตาเกิดจากการรวมตัวของธาตุ4 จะรู้ว่ามีมหาภูตรูปตรงไหนต้องแตะต้องสัมผัสไม่ใช่คิดเอา ที่ลืมตาดูมองเห็นโน่นนั่นนู้นนั่นน่ะค่ะไม่รู้ว่าตาไม่เห็นเพราะตาไม่รู้อะไรเลยที่เห็นคือจิตเห็นค่ะ และจิตเห็นเกิดเห็นรูปที่ปรากฏได้เพียง1รูปคือสีสันวรรณะตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อีก27รูปเห็นไม่ได้ และรูปที่ปรากฏให้เห็นก็ไม่ใช่มหาภูตรูปแต่เป็นอุปาทายรูปที่ใดมีมหาภูตรูปที่นั่นมีสีกลิ่นรสโอชาประกอบอยู่ https://youtu.be/x7ovq2R30a8 เพ้อเจ้อน่ารำคาญ เสียเวลาเปล่า บอกความจริงให้รู้สึกตัวยังคิดไม่ได้อยู่อิ๊กกกก555 มหาภูตรูปคือรูปธรรม จิต/เจตสิกคือนามธรรม นิพพานคือนิพพาน ทั้งหมดเป็นธัมมะจึงเป็นเราไม้ได้...เออเนาะ ไม่เข้าใจเหรอว่าไม่ใช่ตัวตนไม่ใช่คน ที่คิดว่ามีคนแล้วนั้นน่ะเรียกว่าอัตตาคือ สักกายทิฏฐิ=เห็นผิดว่ามีตัวตนคือมีอุปาทานขันธ์ยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวเราไม่รู้ว่าตัวตนไม่รู้=มีกิเลสอวิชชา ทางโลกกับทางธรรมไม่ได้แปลกแยกออกไปจากปกติเพื่อไปทำอะไรเพราะมันมีทั้งหมดแล้วทั้งตัวตนน่ะ ก็บอกแล้วว่าธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยที่กำหนดมาแล้วไม่ได้ทำบอกให้คิดให้ตรงทีละ1ทาง จะไปรู้ความจริงของเห็นตอนไหน ปสาทรูปคือรูปพิเศษที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คนเดียว จิตเห็นเกิดจากมีจักขุปสาทะรูปตรงกลางตาที่รับกระทบรูปที่ถูกเห็น คนตาบอดเกิดจากไม่มีจักขุปสาทะรูปคือตาพิการจึงมองไม่เห็นส่วนคนตายมีตาไม่มีจิตหมดทางรู้จักเห็น บอกแล้วใช่ไหมว่าเลือกเห็นไม่ได้เพราะทุกคนที่มีตาเนื้อและมองเห็นจากมี3ธัมมะประสานกันจึงเกิดเห็นได้ จักขุวิญญาณ(จิตเห็น)=จิต+จักขุปสาทะรูป(รูปใสพิเศษตรงกลางตา)+อุปาทายรูป(คือสีอยู่ที่มหาภูตรูป) จิตได้ยินเกิดจากมีโสตปสาทะรูปรับกระทบเสียงอยู่ลึกๆภายในหูโน่นไม่ว่าจมูกลิ้นกายใจก็มีจุดที่รับเฉพาะ ที่พูดที่ว่ามาที่รำพันมานั่นน่ะ มันอยู่ในหนังสือชั้นจูฬตรี |
เจ้าของ: | Rosarin [ 08 พ.ค. 2020, 09:19 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: คุณกรัชกาย เข้าใจหรือยังว่า ตัวตนคนกำลังเห็นผิด จนกว่าจะเริ่มฟังความจริง แล้วเข้าใจว่าจิตเห็นสีไม่ได้เห็นคนสัตว์วัตถุ อนุสาสนียปาฏิหาริย์คือ คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทำให้ผู้ฟังเข้าใจสิ่งที่เห็นทันทีดับเห็นผิดได้ทันทีเกิดเข้าใจเห็นถูกตามได้ทันที เอาหลักมาตั้งให้ดูนะ จักขุ+รูป โสต+สัทท ฆาน+คันธ ชิวหา+รส กาย+โผฏฐัพพ มโน+ธัมม ไหนลองว่ามาสีอยู่ตรงไหน ร่างกายทั้งหมดทุกอวัยวะเลยคือมหาภูตรูป มหาภูตรูปไม่ใช่สภาพรู้เป็นรูปธรรม=ไม่รู้สึกอะไรเลย แต่มีนามธรรมเป็นสภาพรู้เป็นธาตุรู้เป็นสภาพที่เป็นนามไปรู้ว่ามีรูป และรูปที่ถูกรู้ตอนที่มองเห็นก็ไม่ใช่ตาเพราะทุกคนมองตาตัวเองไม่เห็น...อิอิอิ ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อเข้าใจความจริงที่กำลังมีตรงตามที่กำลังฟังไม่เข้าใจหรือคะ คำว่าจักขุแปลว่าตา ตาคือมหาภูตรูป มหาภูตรูปคือธาตุ4 ตาเกิดจากการรวมตัวของธาตุ4 จะรู้ว่ามีมหาภูตรูปตรงไหนต้องแตะต้องสัมผัสไม่ใช่คิดเอา ที่ลืมตาดูมองเห็นโน่นนั่นนู้นนั่นน่ะค่ะไม่รู้ว่าตาไม่เห็นเพราะตาไม่รู้อะไรเลยที่เห็นคือจิตเห็นค่ะ และจิตเห็นเกิดเห็นรูปที่ปรากฏได้เพียง1รูปคือสีสันวรรณะตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อีก27รูปเห็นไม่ได้ และรูปที่ปรากฏให้เห็นก็ไม่ใช่มหาภูตรูปแต่เป็นอุปาทายรูปที่ใดมีมหาภูตรูปที่นั่นมีสีกลิ่นรสโอชาประกอบอยู่ https://youtu.be/x7ovq2R30a8 เพ้อเจ้อน่ารำคาญ เสียเวลาเปล่า บอกความจริงให้รู้สึกตัวยังคิดไม่ได้อยู่อิ๊กกกก555 มหาภูตรูปคือรูปธรรม จิต/เจตสิกคือนามธรรม นิพพานคือนิพพาน ทั้งหมดเป็นธัมมะจึงเป็นเราไม้ได้...เออเนาะ ไม่เข้าใจเหรอว่าไม่ใช่ตัวตนไม่ใช่คน ที่คิดว่ามีคนแล้วนั้นน่ะเรียกว่าอัตตาคือ สักกายทิฏฐิ=เห็นผิดว่ามีตัวตนคือมีอุปาทานขันธ์ยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวเราไม่รู้ว่าตัวตนไม่รู้=มีกิเลสอวิชชา ทางโลกกับทางธรรมไม่ได้แปลกแยกออกไปจากปกติเพื่อไปทำอะไรเพราะมันมีทั้งหมดแล้วทั้งตัวตนน่ะ ก็บอกแล้วว่าธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยที่กำหนดมาแล้วไม่ได้ทำบอกให้คิดให้ตรงทีละ1ทาง จะไปรู้ความจริงของเห็นตอนไหน ปสาทรูปคือรูปพิเศษที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คนเดียว จิตเห็นเกิดจากมีจักขุปสาทะรูปตรงกลางตาที่รับกระทบรูปที่ถูกเห็น คนตาบอดเกิดจากไม่มีจักขุปสาทะรูปคือตาพิการจึงมองไม่เห็นส่วนคนตายมีตาไม่มีจิตหมดทางรู้จักเห็น บอกแล้วใช่ไหมว่าเลือกเห็นไม่ได้เพราะทุกคนที่มีตาเนื้อและมองเห็นจากมี3ธัมมะประสานกันจึงเกิดเห็นได้ จักขุวิญญาณ(จิตเห็น)=จิต+จักขุปสาทะรูป(รูปใสพิเศษตรงกลางตา)+อุปาทายรูป(คือสีอยู่ที่มหาภูตรูป) จิตได้ยินเกิดจากมีโสตปสาทะรูปรับกระทบเสียงอยู่ลึกๆภายในหูโน่นไม่ว่าจมูกลิ้นกายใจก็มีจุดที่รับเฉพาะ ที่พูดที่ว่ามาที่รำพันมานั่นน่ะ มันอยู่ในหนังสือชั้นจูฬตรี สิ่งที่เห็นได้คือ สิ่งที่กระทบตาดำได้ เห็นไม่เกิดนอกตาดำแปลว่า อะไรก็ตามที่ไม่อยู่ตรงหน้า=ไม่มี เห็นด้านหน้าดับทันทีด้านหลังก็มีไม่ได้ค่ะ จิตไม่อยู่นอกกายตัวเอง มองเห็นแขนตัวเองได้ไหม ไหนตรงไหนคือแขนจับดูสิ ถ้าแขนกระทบตาได้ตาแตกแล้ว สีตรงที่มหาภูตรูปมันสะท้อนแสงเข้าตา คิดว่าเห็นแขนตัวเองใช่ไหมจับแขนจึงรู้ว่ามีที่ตั้งเมื่อสัมผัส ไม่มีแขนแต่มีความรู้สึกกระทบอุ่นบ้างแข็งบ้างนุ่มบ้างทีละ1อย่าง...ไหนแขนอยู่ไหน |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 08 พ.ค. 2020, 10:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: คุณกรัชกาย เข้าใจหรือยังว่า ตัวตนคนกำลังเห็นผิด จนกว่าจะเริ่มฟังความจริง แล้วเข้าใจว่าจิตเห็นสีไม่ได้เห็นคนสัตว์วัตถุ อนุสาสนียปาฏิหาริย์คือ คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทำให้ผู้ฟังเข้าใจสิ่งที่เห็นทันทีดับเห็นผิดได้ทันทีเกิดเข้าใจเห็นถูกตามได้ทันที เอาหลักมาตั้งให้ดูนะ จักขุ+รูป โสต+สัทท ฆาน+คันธ ชิวหา+รส กาย+โผฏฐัพพ มโน+ธัมม ไหนลองว่ามาสีอยู่ตรงไหน ร่างกายทั้งหมดทุกอวัยวะเลยคือมหาภูตรูป มหาภูตรูปไม่ใช่สภาพรู้เป็นรูปธรรม=ไม่รู้สึกอะไรเลย แต่มีนามธรรมเป็นสภาพรู้เป็นธาตุรู้เป็นสภาพที่เป็นนามไปรู้ว่ามีรูป และรูปที่ถูกรู้ตอนที่มองเห็นก็ไม่ใช่ตาเพราะทุกคนมองตาตัวเองไม่เห็น...อิอิอิ ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อเข้าใจความจริงที่กำลังมีตรงตามที่กำลังฟังไม่เข้าใจหรือคะ คำว่าจักขุแปลว่าตา ตาคือมหาภูตรูป มหาภูตรูปคือธาตุ4 ตาเกิดจากการรวมตัวของธาตุ4 จะรู้ว่ามีมหาภูตรูปตรงไหนต้องแตะต้องสัมผัสไม่ใช่คิดเอา ที่ลืมตาดูมองเห็นโน่นนั่นนู้นนั่นน่ะค่ะไม่รู้ว่าตาไม่เห็นเพราะตาไม่รู้อะไรเลยที่เห็นคือจิตเห็นค่ะ และจิตเห็นเกิดเห็นรูปที่ปรากฏได้เพียง1รูปคือสีสันวรรณะตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อีก27รูปเห็นไม่ได้ และรูปที่ปรากฏให้เห็นก็ไม่ใช่มหาภูตรูปแต่เป็นอุปาทายรูปที่ใดมีมหาภูตรูปที่นั่นมีสีกลิ่นรสโอชาประกอบอยู่ https://youtu.be/x7ovq2R30a8 เพ้อเจ้อน่ารำคาญ เสียเวลาเปล่า บอกความจริงให้รู้สึกตัวยังคิดไม่ได้อยู่อิ๊กกกก555 มหาภูตรูปคือรูปธรรม จิต/เจตสิกคือนามธรรม นิพพานคือนิพพาน ทั้งหมดเป็นธัมมะจึงเป็นเราไม้ได้...เออเนาะ ไม่เข้าใจเหรอว่าไม่ใช่ตัวตนไม่ใช่คน ที่คิดว่ามีคนแล้วนั้นน่ะเรียกว่าอัตตาคือ สักกายทิฏฐิ=เห็นผิดว่ามีตัวตนคือมีอุปาทานขันธ์ยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวเราไม่รู้ว่าตัวตนไม่รู้=มีกิเลสอวิชชา ทางโลกกับทางธรรมไม่ได้แปลกแยกออกไปจากปกติเพื่อไปทำอะไรเพราะมันมีทั้งหมดแล้วทั้งตัวตนน่ะ ก็บอกแล้วว่าธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยที่กำหนดมาแล้วไม่ได้ทำบอกให้คิดให้ตรงทีละ1ทาง จะไปรู้ความจริงของเห็นตอนไหน ปสาทรูปคือรูปพิเศษที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คนเดียว จิตเห็นเกิดจากมีจักขุปสาทะรูปตรงกลางตาที่รับกระทบรูปที่ถูกเห็น คนตาบอดเกิดจากไม่มีจักขุปสาทะรูปคือตาพิการจึงมองไม่เห็นส่วนคนตายมีตาไม่มีจิตหมดทางรู้จักเห็น บอกแล้วใช่ไหมว่าเลือกเห็นไม่ได้เพราะทุกคนที่มีตาเนื้อและมองเห็นจากมี3ธัมมะประสานกันจึงเกิดเห็นได้ จักขุวิญญาณ(จิตเห็น)=จิต+จักขุปสาทะรูป(รูปใสพิเศษตรงกลางตา)+อุปาทายรูป(คือสีอยู่ที่มหาภูตรูป) จิตได้ยินเกิดจากมีโสตปสาทะรูปรับกระทบเสียงอยู่ลึกๆภายในหูโน่นไม่ว่าจมูกลิ้นกายใจก็มีจุดที่รับเฉพาะ ที่พูดที่ว่ามาที่รำพันมานั่นน่ะ มันอยู่ในหนังสือชั้นจูฬตรี สิ่งที่เห็นได้คือ สิ่งที่กระทบตาดำได้ เห็นไม่เกิดนอกตาดำแปลว่า อะไรก็ตามที่ไม่อยู่ตรงหน้า=ไม่มี เห็นด้านหน้าดับทันทีด้านหลังก็มีไม่ได้ค่ะ จิตไม่อยู่นอกกายตัวเอง มองเห็นแขนตัวเองได้ไหม ไหนตรงไหนคือแขนจับดูสิ ถ้าแขนกระทบตาได้ตาแตกแล้ว สีตรงที่มหาภูตรูปมันสะท้อนแสงเข้าตา คิดว่าเห็นแขนตัวเองใช่ไหมจับแขนจึงรู้ว่ามีที่ตั้งเมื่อสัมผัส ไม่มีแขนแต่มีความรู้สึกกระทบอุ่นบ้างแข็งบ้างนุ่มบ้างทีละ1อย่าง...ไหนแขนอยู่ไหน คนที่อ่านหนังสือแล้วตีความผิดแบบคุณโรสมีแต่ก่อให้เกิดมิจฉาทิฏฐิหนาขึ้นๆ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 08 พ.ค. 2020, 10:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
Rosarin เขียน: สิ่งที่เห็นได้คือ สิ่งที่กระทบตาดำได้ เห็นไม่เกิดนอกตาดำแปลว่า อะไรก็ตามที่ไม่อยู่ตรงหน้า=ไม่มี เห็นด้านหน้าดับทันทีด้านหลังก็มีไม่ได้ค่ะ จิตไม่อยู่นอกกายตัวเอง มองเห็นแขนตัวเองได้ไหม ไหนตรงไหนคือแขนจับดูสิ ถ้าแขนกระทบตาได้ตาแตกแล้ว สีตรงที่มหาภูตรูปมันสะท้อนแสงเข้าตา คิดว่าเห็นแขนตัวเองใช่ไหมจับแขนจึงรู้ว่ามีที่ตั้งเมื่อสัมผัส ไม่มีแขนแต่มีความรู้สึกกระทบอุ่นบ้างแข็งบ้างนุ่มบ้างทีละ1อย่าง...ไหนแขนอยู่ไหน เหมือนเคยบอกหลายครั้งแล้วว่า คุณโรสไปทำบัตรประชาชนที่อำเภอไม่ได้ ทำไมล่ะ? จนท. พี่มาทำอะไรคะ ? คุณโรส. อึ จนท. อ๋อ ปวดอึ ห้องน้ำอยู่ด้านหลังค่ะ คุณโรส. อึ จนท. จะอึก็รีบไปสิคะ เดี๋ยวขี้แตกเลอะกระโปรงหรอก คุณโรสก็ยืนอึอึอยู่นั่น มันทำอะไรไม่ได้ แขน ขา เนื้อตัว หัวหู บัตรปชช. เป็นบัญญัติที่เขาบัญญัติเรียกเพื่อสื่อสารกัน ว่านี่เรียกว่าแขนนะ นี่เรียกว่าขานะ เป็นต้น พอเข้าใจไหมเนี่ยหือ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 08 พ.ค. 2020, 10:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันนี้มีคนมาถาม |
เอาหลักมาวางให้ดูก่อน พระภิกษณีชื่อวชิรา (ตอบมาร) "นี่แน่ะมาร ท่านจะมีความเห็นยึดถือว่าเป็นสัตว์ได้อย่างไร ในสภาวะที่เป็นเพียงกองแห่งสังขารล้วนๆ นี้ จะหาตัวสัตว์ไม่ได้เลย เปรียบเหมือนว่า เพราะคุมส่วนประกอบเข้าด้วยกัน ศัพท์วา รถ ย่อมมี ฉันใด เมื่อขันธ์ทั้งหลาย มีอยู่ สมมติว่า สัตว์ ก็ย่อมมีฉันนั้น" (สํ.ส.15/554/198) ความที่เน้น ในแง่ปฏิบัติ คือ ความรู้เท่าทันสมมติ และเข้าใจปรมัตถ์ แล้วรู้จักใช้ภาษา เป็นเครื่องมือสื่อความหมาย โดยไม่ยึดติดในสมมติเป็นทาสของภาษาเช่น "ภิกษุผู้เป็นอรหันตขีณาสพ....จะพึงกล่าวว่า ฉันพูด ดังนี้ก็ดี เขาพูดกับฉัน ดังนี้ก็ดี เธอเป็นผู้ฉลาด รู้ถ้อยคำที่เขาพูดกันในโลก ก็พึงกล่าวไปตามโวหารเท่านั้น" (สํ.ส.15/65/21) "เหล่านี้ เป็นโลกสมัญญา เป็นโลกนิรุตติ เป็นโลกโวหาร เป็นโลกบัญญัติ ซึ่งตถาคตใช้พูดจา แต่ไม่ยึดติด" (ที.สี.9/312/248) อนึ่ง พระอรรถกถาจารย์บรรยายลักษณะของพระสูตร (สุตตันตปิฏก) ว่าเป็นโวหารเทศนา เพราะเนื้อหาส่วนมากแสดงโดยโวหาร คือ ใช้ภาษาสมมติ ส่วนพระอภิธรรมเป็นปรมัตถเทศนา เพราะเนื้อหาส่วนมากแสดงโดยปรมัตถ์ คือ กล่าวตามสภาวะแท้ๆ (วินย.อ.1/21...) นี้เป็นข้อสังเกตเพื่อประดับความรู้อย่างหนึ่ง |
หน้า 11 จากทั้งหมด 18 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |