ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
คิดชั้นเดียว, คิดหลายชั้น http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=58037 |
หน้า 4 จากทั้งหมด 5 |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 13 ต.ค. 2019, 05:48 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คิดชั้นเดียว, คิดหลายชั้น |
หากศาสนาขาดประเพณีวัฒนธรรมแล้ว พระพุทธศาสนาคงมาไม่ถึงปัจจุบันนี้ ดังนั้น พึงมองประเพณีให้ลึก https://www.facebook.com/23301197672180 ... =3&theater ดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ของพุทธ เพราะพระพุทธเจ้าเปรียบพระองค์เองว่าเกิดในโลกเติบโตในโลกแต่ไม่ติดโลก เหมือนดอกบัวซึ่งเกิดในน้ำโตในน้ำแต่น้ำฉาบไม่ติด (น้ำไม่กำซาบ) |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 27 ต.ค. 2019, 05:39 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คิดชั้นเดียว, คิดหลายชั้น |
เขาว่า วัดปากน้ำ ซึ่งกำลังสร้างอยู่ https://scontent.fbkk5-1.fna.fbcdn.net/ ... e=5E18DFDB https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... =3&theater |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 29 ต.ค. 2019, 05:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คิดชั้นเดียว, คิดหลายชั้น |
น่าจะเป็นอินเดีย https://scontent.fbkk5-6.fna.fbcdn.net/ ... e=5E51D3C7 https://www.facebook.com/buddhaLandIndi ... =3&theater |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 25 พ.ย. 2019, 15:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คิดชั้นเดียว, คิดหลายชั้น |
ประเพณี ขนบธรรมเนียม, แบบแผน, เชื้อสาย ประเพณี (อังกฤษ: tradition) เป็นกิจกรรมที่มีการปฏิบัติสืบเนื่องกันมา เป็นเอกลักษณ์ และมีความสำคัญต่อสังคม เช่น การแต่งกายภาษา วัฒนธรรม ศาสนา ศิลปกรรม กฎหมาย คุณธรรม ความเชื่อ ฯลฯ อันเป็นบ่อเกิดของวัฒนธรรมของสังคมเชื้อชาติต่างๆ กลายเป็นประเพณีประจำชาติและถ่ายทอดกันมาโดยลำดับ หากประเพณีนั้นดีอยู่แล้วก็รักษาไว้เป็นวัฒนธรรมประจำชาติ หากไม่ดีก็แก้ไขเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเทศะ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 25 พ.ย. 2019, 16:00 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คิดชั้นเดียว, คิดหลายชั้น |
ปัจฉิมาชนตา ชุมชนที่มีในภายหลัง, หมู่ชนที่จะเกิดตามมาภายหลัง, คนรุ่นหลัง โดยทั่วไป มาในข้อความเกี่ยวกับจริยาของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ที่คำนึงถึงประโยชน์ของคนรุ่นหลัง หรือปฏิบัติเพื่อให้คนรุ่นหลังมีแบบอย่างที่จะยึดถือ เช่น ที่ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เรามองเห็นอำนาจ ๒ ประการ จึงเสพเสนาสนะอันสงัด คือป่าและป่าเปลี่ยว กล่าวคือ มองเห็นความอยู่เป็นสุขในปัจจุบันของตน และจะอนุเคราะห์หมู่ชนในภายหลัง" (องฺ.ทุก.20/274/77) และที่พระมหากัสสปะกราบทูลพระพุทธเจ้าถึงเหตุผลที่ว่า ถึงแม้ท่านจะเป็นผู้เฒ่าชราลงแล้ว ก็ยังขอถือธุดงค์ต่อไป ดังนี้ว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อพระองค์เล็งเห็นอำนาจประโยชน์ ๒ ประการ ... กล่าวคือ เล็งเห็นความอยู่เป็นสุขในปัจจุบันของตน และจะอนุเคราะห์ชนในภายหลัง ด้วยหมายว่า ชุมชนในภายหลังจะพึงถึงทิฏฐานุคติ" (สํ.นิ.16/481/239) คำบาลีเดิมเป็น ปจฺฉิมา ชนตา |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 19 ธ.ค. 2019, 14:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คิดชั้นเดียว, คิดหลายชั้น |
อ้างคำพูด: สตรีชาวต่างชาตินางหนึ่ง กำลังนั่งสวดมนต์ไหว้พระด้วยความสำรวมอยู่ในวิหารวัดสระเกศ https://www.facebook.com/photo?fbid=101 ... 1414168440 พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนจากง่ายไปหายาก กล่าวคือ สอนจากสิ่งที่อยู่ข้างนอกแลเห็นได้ จนลึกเข้าไปภายในจิตใจซึ่งเห็นได้ยากอย่างยิ่ง ที่ผู้ปรีชาก็สามารถเข้าถึงได้และรู้ได้เฉพาะตน (ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ) |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 16 ม.ค. 2020, 21:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คิดชั้นเดียว, คิดหลายชั้น |
เจ้าของ: | Rosarin [ 16 ม.ค. 2020, 22:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คิดชั้นเดียว, คิดหลายชั้น |
กรัชกาย เขียน: ปัจฉิมาชนตา ชุมชนที่มีในภายหลัง, หมู่ชนที่จะเกิดตามมาภายหลัง, คนรุ่นหลัง โดยทั่วไป มาในข้อความเกี่ยวกับจริยาของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ที่คำนึงถึงประโยชน์ของคนรุ่นหลัง หรือปฏิบัติเพื่อให้คนรุ่นหลังมีแบบอย่างที่จะยึดถือ เช่น ที่ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เรามองเห็นอำนาจ ๒ ประการ จึงเสพเสนาสนะอันสงัด คือป่าและป่าเปลี่ยว กล่าวคือ มองเห็นความอยู่เป็นสุขในปัจจุบันของตน และจะอนุเคราะห์หมู่ชนในภายหลัง" (องฺ.ทุก.20/274/77) และที่พระมหากัสสปะกราบทูลพระพุทธเจ้าถึงเหตุผลที่ว่า ถึงแม้ท่านจะเป็นผู้เฒ่าชราลงแล้ว ก็ยังขอถือธุดงค์ต่อไป ดังนี้ว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อพระองค์เล็งเห็นอำนาจประโยชน์ ๒ ประการ ... กล่าวคือ เล็งเห็นความอยู่เป็นสุขในปัจจุบันของตน และจะอนุเคราะห์ชนในภายหลัง ด้วยหมายว่า ชุมชนในภายหลังจะพึงถึงทิฏฐานุคติ" (สํ.นิ.16/481/239) คำบาลีเดิมเป็น ปจฺฉิมา ชนตา อ่านเองคิดได้หรือเข้าใจว่าไง ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจความจริงว่า กายใจตนเองนี้คือที่อยู่ ที่รกเต็มไปด้วยกิเลส ไม่สนใจฟังคำสอน เพื่อเข้าใจทิฏฐิที่มี ว่าเป็นมิจฉาหรือสัมมา เมื่อกิเลสมากจึงมีกำลัง นำพาจิตไปในทางมิจฉาทิฏฐิ ต้องรู้ตรงปัจจุบันเดี๋ยวนี้ ว่าอำนาจอะไรเหนือกว่า ระหว่างมิจฉากับสัมมา ที่ป่าคือกายใจตนเอง อำนาจคือกำลัง ป่าคือกายใจนี้ ป่าเปลี่ยวที่สงัดจากกิเลส กำลังของการอยู่อย่างสงัดท่องเที่ยวแต่ผู้เดียวในกายนี้สงบอยู่รู้อยู่ในกายนี้อย่างเป็นสุขตามธรรมดาของผู้รู้ ท่านหมายถึงท่านไม่ได้สร้างวัตถุขึ้นมาให้รกคือเป็นภาระแก่ใจท่านอยู่ป่าคือกายนี้อยู่สงบสงัดจากอกุศลแล้ว |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 16 ม.ค. 2020, 22:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คิดชั้นเดียว, คิดหลายชั้น |
Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: ปัจฉิมาชนตา ชุมชนที่มีในภายหลัง, หมู่ชนที่จะเกิดตามมาภายหลัง, คนรุ่นหลัง โดยทั่วไป มาในข้อความเกี่ยวกับจริยาของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ที่คำนึงถึงประโยชน์ของคนรุ่นหลัง หรือปฏิบัติเพื่อให้คนรุ่นหลังมีแบบอย่างที่จะยึดถือ เช่น ที่ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เรามองเห็นอำนาจ ๒ ประการ จึงเสพเสนาสนะอันสงัด คือป่าและป่าเปลี่ยว กล่าวคือ มองเห็นความอยู่เป็นสุขในปัจจุบันของตน และจะอนุเคราะห์หมู่ชนในภายหลัง" (องฺ.ทุก.20/274/77) และที่พระมหากัสสปะกราบทูลพระพุทธเจ้าถึงเหตุผลที่ว่า ถึงแม้ท่านจะเป็นผู้เฒ่าชราลงแล้ว ก็ยังขอถือธุดงค์ต่อไป ดังนี้ว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อพระองค์เล็งเห็นอำนาจประโยชน์ ๒ ประการ ... กล่าวคือ เล็งเห็นความอยู่เป็นสุขในปัจจุบันของตน และจะอนุเคราะห์ชนในภายหลัง ด้วยหมายว่า ชุมชนในภายหลังจะพึงถึงทิฏฐานุคติ" (สํ.นิ.16/481/239) คำบาลีเดิมเป็น ปจฺฉิมา ชนตา อ่านเองคิดได้หรือเข้าใจว่าไง ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจความจริงว่า กายใจตนเองนี้คือที่อยู่ ที่รกเต็มไปด้วยกิเลส ไม่สนใจฟังคำสอน เพื่อเข้าใจทิฏฐิที่มี ว่าเป็นมิจฉาหรือสัมมา เมื่อกิเลสมากจึงมีกำลัง นำพาจิตไปในทางมิจฉาทิฏฐิ ต้องรู้ตรงปัจจุบันเดี๋ยวนี้ ว่าอำนาจอะไรเหนือกว่า ระหว่างมิจฉากับสัมมา ที่ป่าคือกายใจตนเอง อำนาจคือกำลัง ป่าคือกายใจนี้ ป่าเปลี่ยวที่สงัดจากกิเลส กำลังของการอยู่อย่างสงัดท่องเที่ยวแต่ผู้เดียวในกายนี้สงบอยู่รู้อยู่ในกายนี้อย่างเป็นสุขตามธรรมดาของผู้รู้ ท่านหมายถึงท่านไม่ได้สร้างวัตถุขึ้นมาให้รกคือเป็นภาระแก่ใจท่านอยู่ป่าคือกายนี้อยู่สงบสงัดจากอกุศลแล้ว ถึงขนาดนั้น คุณโรสยังตีความออกนอกลู่นอกทาง คือว่า ไม่ศึกษาประวัติพระมหากัสสปะ ว่าท่านถึงธุดงค์อยู่ป่าเป็นวัตร ท่านแก่แล้ว พระพุทธองค์ก็แนะนำว่า อยู่วัดอยู่กุฎีบ้างเถอะ แต่ท่านก็มีปณิธานของท่าน |
เจ้าของ: | Rosarin [ 16 ม.ค. 2020, 22:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คิดชั้นเดียว, คิดหลายชั้น |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: ปัจฉิมาชนตา ชุมชนที่มีในภายหลัง, หมู่ชนที่จะเกิดตามมาภายหลัง, คนรุ่นหลัง โดยทั่วไป มาในข้อความเกี่ยวกับจริยาของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ที่คำนึงถึงประโยชน์ของคนรุ่นหลัง หรือปฏิบัติเพื่อให้คนรุ่นหลังมีแบบอย่างที่จะยึดถือ เช่น ที่ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เรามองเห็นอำนาจ ๒ ประการ จึงเสพเสนาสนะอันสงัด คือป่าและป่าเปลี่ยว กล่าวคือ มองเห็นความอยู่เป็นสุขในปัจจุบันของตน และจะอนุเคราะห์หมู่ชนในภายหลัง" (องฺ.ทุก.20/274/77) และที่พระมหากัสสปะกราบทูลพระพุทธเจ้าถึงเหตุผลที่ว่า ถึงแม้ท่านจะเป็นผู้เฒ่าชราลงแล้ว ก็ยังขอถือธุดงค์ต่อไป ดังนี้ว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อพระองค์เล็งเห็นอำนาจประโยชน์ ๒ ประการ ... กล่าวคือ เล็งเห็นความอยู่เป็นสุขในปัจจุบันของตน และจะอนุเคราะห์ชนในภายหลัง ด้วยหมายว่า ชุมชนในภายหลังจะพึงถึงทิฏฐานุคติ" (สํ.นิ.16/481/239) คำบาลีเดิมเป็น ปจฺฉิมา ชนตา อ่านเองคิดได้หรือเข้าใจว่าไง ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจความจริงว่า กายใจตนเองนี้คือที่อยู่ ที่รกเต็มไปด้วยกิเลส ไม่สนใจฟังคำสอน เพื่อเข้าใจทิฏฐิที่มี ว่าเป็นมิจฉาหรือสัมมา เมื่อกิเลสมากจึงมีกำลัง นำพาจิตไปในทางมิจฉาทิฏฐิ ต้องรู้ตรงปัจจุบันเดี๋ยวนี้ ว่าอำนาจอะไรเหนือกว่า ระหว่างมิจฉากับสัมมา ที่ป่าคือกายใจตนเอง อำนาจคือกำลัง ป่าคือกายใจนี้ ป่าเปลี่ยวที่สงัดจากกิเลส กำลังของการอยู่อย่างสงัดท่องเที่ยวแต่ผู้เดียวในกายนี้สงบอยู่รู้อยู่ในกายนี้อย่างเป็นสุขตามธรรมดาของผู้รู้ ท่านหมายถึงท่านไม่ได้สร้างวัตถุขึ้นมาให้รกคือเป็นภาระแก่ใจท่านอยู่ป่าคือกายนี้อยู่สงบสงัดจากอกุศลแล้ว ถึงขนาดนั้น คุณโรสยังตีความออกนอกลู่นอกทาง คือว่า ไม่ศึกษาประวัติพระมหากัสสปะ ว่าท่านถึงธุดงค์อยู่ป่าเป็นวัตร ท่านแก่แล้ว พระพุทธองค์ก็แนะนำว่า อยู่วัดอยู่กุฎีบ้างเถอะ แต่ท่านก็มีปณิธานของท่าน ท่านทำด้วยปัญญาเพื่อให้ชนรุ่นหลังเห็นเป็นตัวอย่างว่า ท่านสงบได้ด้วยการไม่ได้สร้างวัตถุท่านใช้เงินสร้างป่าไหมคะ ท่านรู้ว่าป่าเปลี่ยวที่แท้จริงคือการอยู่กับปัจจุบันขณะที่ไหนก็ได้งัยคะ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 16 ม.ค. 2020, 22:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คิดชั้นเดียว, คิดหลายชั้น |
Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: ปัจฉิมาชนตา ชุมชนที่มีในภายหลัง, หมู่ชนที่จะเกิดตามมาภายหลัง, คนรุ่นหลัง โดยทั่วไป มาในข้อความเกี่ยวกับจริยาของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ที่คำนึงถึงประโยชน์ของคนรุ่นหลัง หรือปฏิบัติเพื่อให้คนรุ่นหลังมีแบบอย่างที่จะยึดถือ เช่น ที่ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เรามองเห็นอำนาจ ๒ ประการ จึงเสพเสนาสนะอันสงัด คือป่าและป่าเปลี่ยว กล่าวคือ มองเห็นความอยู่เป็นสุขในปัจจุบันของตน และจะอนุเคราะห์หมู่ชนในภายหลัง" (องฺ.ทุก.20/274/77) และที่พระมหากัสสปะกราบทูลพระพุทธเจ้าถึงเหตุผลที่ว่า ถึงแม้ท่านจะเป็นผู้เฒ่าชราลงแล้ว ก็ยังขอถือธุดงค์ต่อไป ดังนี้ว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อพระองค์เล็งเห็นอำนาจประโยชน์ ๒ ประการ ... กล่าวคือ เล็งเห็นความอยู่เป็นสุขในปัจจุบันของตน และจะอนุเคราะห์ชนในภายหลัง ด้วยหมายว่า ชุมชนในภายหลังจะพึงถึงทิฏฐานุคติ" (สํ.นิ.16/481/239) คำบาลีเดิมเป็น ปจฺฉิมา ชนตา อ่านเองคิดได้หรือเข้าใจว่าไง ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจความจริงว่า กายใจตนเองนี้คือที่อยู่ ที่รกเต็มไปด้วยกิเลส ไม่สนใจฟังคำสอน เพื่อเข้าใจทิฏฐิที่มี ว่าเป็นมิจฉาหรือสัมมา เมื่อกิเลสมากจึงมีกำลัง นำพาจิตไปในทางมิจฉาทิฏฐิ ต้องรู้ตรงปัจจุบันเดี๋ยวนี้ ว่าอำนาจอะไรเหนือกว่า ระหว่างมิจฉากับสัมมา ที่ป่าคือกายใจตนเอง อำนาจคือกำลัง ป่าคือกายใจนี้ ป่าเปลี่ยวที่สงัดจากกิเลส กำลังของการอยู่อย่างสงัดท่องเที่ยวแต่ผู้เดียวในกายนี้สงบอยู่รู้อยู่ในกายนี้อย่างเป็นสุขตามธรรมดาของผู้รู้ ท่านหมายถึงท่านไม่ได้สร้างวัตถุขึ้นมาให้รกคือเป็นภาระแก่ใจท่านอยู่ป่าคือกายนี้อยู่สงบสงัดจากอกุศลแล้ว ถึงขนาดนั้น คุณโรสยังตีความออกนอกลู่นอกทาง คือว่า ไม่ศึกษาประวัติพระมหากัสสปะ ว่าท่านถึงธุดงค์อยู่ป่าเป็นวัตร ท่านแก่แล้ว พระพุทธองค์ก็แนะนำว่า อยู่วัดอยู่กุฎีบ้างเถอะ แต่ท่านก็มีปณิธานของท่าน ท่านทำด้วยปัญญาเพื่อให้ชนรุ่นหลังเห็นเป็นตัวอย่างว่า ท่านสงบได้ด้วยการไม่ได้สร้างวัตถุท่านใช้เงินสร้างป่าไหมคะ ท่านรู้ว่าป่าเปลี่ยวที่แท้จริงคือการอยู่กับปัจจุบันขณะที่ไหนก็ได้งัยคะ พระพุทธเจ้าทรงเล็งเห็นว่าผู้หญิงไม่สมควรบวชค่ะ บรรลุอรหันต์แล้วขนาดนอนในกุฏิตัวเองยังถูกข่มขืนเลย การบวชเนี่ยไม่มีทรัพย์สินเงินทองอยู่ป่าเขาก็ไม่มีใครไปปล้นหรอกคะ ไม่สนใจทำสุตมยปัญญาตรงปัจจุบันแล้วจะได้ปัญญามาแต่ไหนเงินซื้อปัญญาไม่ได้นะคะ ชวนชาวบ้านใช้เงินซื้อบุญไม่ประกอบด้วยปัญญาแถมไม่รู้ว่าเพิ่มแต่ภาระสนองกิเลสใครอยากได้ถึงสร้าง? |
เจ้าของ: | Rosarin [ 20 ม.ค. 2020, 12:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คิดชั้นเดียว, คิดหลายชั้น |
ทุกคำในพระไตรปิฏกกำลังปรากฏว่ามีแล้วเดี๋ยวนี้ตรงปัจจุบันขณะ ไม่ขาดจากสภาพธัมมะเลยแม้แต่ขณะเดียวเป็นเราทำตามคิดเอง จนกว่าจะเริ่มต้นฟังเพื่อเก็บสะสมปัญญารู้ตามปกติตรงสัจจะที่มี ไม่ใช่มีแต่อยากไปทำตามๆกันโดยไม่ฟังเพื่อไตร่ตรองเหตุผล ตัวจริงธัมมะกำลังปรากฏว่ากำลังมีตรงแล้วตามที่ตถาคตตรัส แต่เราน่ะเกิดมาเป็นคนแล้วและได้เจอคำสอนด้วยแต่ลืมฟัง แปลว่าขาดปัญญาตั้งแต่เริ่มฟังจึงปรุงแต่งจิตผิดไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่จะเริ่มคิดตามเพื่อเข้าใจความจริงที่กำลังมีอยู่คะ ตถาคตตรัสรู้ความจริงนี้1เดียวในจักรวาลนี้คนอื่นไม่รู้ ได้แต่หลงคิดทำไปต่างๆนานาจนกว่าจะเริ่มคิดตามๆๆ =ไม่คิดเองแม้แต่1คำต้องฟังคนอื่นพูดแล้วคิดตามได้เท่านั้น ตอนที่คิดตามไม่ได้ขณะนั้นเองคิดไปตามเห็นผิดแล้วนะคะ https://youtu.be/jXPEqiBJixM |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 10 ก.พ. 2020, 18:01 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คิดชั้นเดียว, คิดหลายชั้น |
Rosarin เขียน: cool ทุกคำในพระไตรปิฏกกำลังปรากฏว่ามีแล้วเดี๋ยวนี้ตรงปัจจุบันขณะ ไม่ขาดจากสภาพธัมมะเลยแม้แต่ขณะเดียวเป็นเราทำตามคิดเอง จนกว่าจะเริ่มต้นฟังเพื่อเก็บสะสมปัญญารู้ตามปกติตรงสัจจะที่มี ไม่ใช่มีแต่อยากไปทำตามๆกันโดยไม่ฟังเพื่อไตร่ตรองเหตุผล ตัวจริงธัมมะกำลังปรากฏว่ากำลังมีตรงแล้วตามที่ตถาคตตรัส แต่เราน่ะเกิดมาเป็นคนแล้วและได้เจอคำสอนด้วยแต่ลืมฟัง แปลว่าขาดปัญญาตั้งแต่เริ่มฟังจึงปรุงแต่งจิตผิดไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่จะเริ่มคิดตามเพื่อเข้าใจความจริงที่กำลังมีอยู่คะ ตถาคตตรัสรู้ความจริงนี้1เดียวในจักรวาลนี้คนอื่นไม่รู้ ได้แต่หลงคิดทำไปต่างๆนานาจนกว่าจะเริ่มคิดตามๆๆ =ไม่คิดเองแม้แต่1คำต้องฟังคนอื่นพูดแล้วคิดตามได้เท่านั้น ตอนที่คิดตามไม่ได้ขณะนั้นเองคิดไปตามเห็นผิดแล้วนะคะ https://youtu.be/jXPEqiBJixM นี่เลอะเทอะ ข้างบนเพ้อเจ้อ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 10 ก.พ. 2020, 18:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คิดชั้นเดียว, คิดหลายชั้น |
อ้างคำพูด: พ่อแม่ของผู้เสียชีวิต ได้นิมนต์พระสงฆ์มาประกอบพิธีกรรมเชิญวิญญาณกลับบ้าน ท่ามกลางความโศกเศร้าอย่างมาก โดยทางคุณแม่ร้องไห้แทบขาดใจ และบอกวิญญาณลูกว่า “กลับบ้านเราเถอะลูก ที่นี่ไม่ใช่บ้านเรา” นี่คือพิธีกรรมเบื้องต้นของคนที่ว่าต้องมีศาสนา ซึ่งแต่ละศาสนาๆก็จะมีรูปแบบมีพิธีกรรมของตนต่างกันไปว่ากันตั้งแต่วันแรกเกิดจนวันตาย. อาจมีคนบางคนค้านว่า "คนป่าคนดอย เขาไม่มีศาสนานะ" แม้เขาไม่มีศาสนา ไม่นับถือศาสนาใดๆเลย แต่เขาก็นับถือผี ซึ่งเขาก็มีพิธีกรรมของกลุ่มเขา เพราะศาสนาก็ดี นับถือผีก็ดี นับถือต้นไม้ เป็นต้น ก็ดี นั่นแหละคือที่พึ่งทางใจของคนในขั้นต้น |
เจ้าของ: | Rosarin [ 10 ก.พ. 2020, 22:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คิดชั้นเดียว, คิดหลายชั้น |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: cool ทุกคำในพระไตรปิฏกกำลังปรากฏว่ามีแล้วเดี๋ยวนี้ตรงปัจจุบันขณะ ไม่ขาดจากสภาพธัมมะเลยแม้แต่ขณะเดียวเป็นเราทำตามคิดเอง จนกว่าจะเริ่มต้นฟังเพื่อเก็บสะสมปัญญารู้ตามปกติตรงสัจจะที่มี ไม่ใช่มีแต่อยากไปทำตามๆกันโดยไม่ฟังเพื่อไตร่ตรองเหตุผล ตัวจริงธัมมะกำลังปรากฏว่ากำลังมีตรงแล้วตามที่ตถาคตตรัส แต่เราน่ะเกิดมาเป็นคนแล้วและได้เจอคำสอนด้วยแต่ลืมฟัง แปลว่าขาดปัญญาตั้งแต่เริ่มฟังจึงปรุงแต่งจิตผิดไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่จะเริ่มคิดตามเพื่อเข้าใจความจริงที่กำลังมีอยู่คะ ตถาคตตรัสรู้ความจริงนี้1เดียวในจักรวาลนี้คนอื่นไม่รู้ ได้แต่หลงคิดทำไปต่างๆนานาจนกว่าจะเริ่มคิดตามๆๆ =ไม่คิดเองแม้แต่1คำต้องฟังคนอื่นพูดแล้วคิดตามได้เท่านั้น ตอนที่คิดตามไม่ได้ขณะนั้นเองคิดไปตามเห็นผิดแล้วนะคะ https://youtu.be/jXPEqiBJixM นี่เลอะเทอะ ข้างบนเพ้อเจ้อ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงทุกประการ เห็นทุกภพภูมิคือจิตเห็นสีไม่เข้าใจเหรอ คำสอนทรงตรัสแสดงแต่ความจริงนะคะ จิตเห็นสีคือความจริงของเห็นที่กำลังเห็น เราน่ะไม่รู้ว่าตัวเองเห็นอะไรเพราะไม่ฟัง จะให้ว่ายังไงคะความจริงของเห็นมีแค่สี จะมาเถียงกับคำของตถาคตทำไมล่ะคะ ก็มองดูความจริงที่ตัวเองเห็นดิมีแค่สีมั๊ย ยังไม่รู้สึกตัวกันอีกอยู่ดอกหรือว่าหลงเงา สีที่ปรากฏให้เห็นดับแล้วอดีตสียังมีเหลือ เพราะรูปของสีมีอายุยืนกว่าจิตถึง17ขณะ ปรากฏสีนั้นต่ออีก17ขณะหลังจากเห็นดับ มีอดีตสีอยู่อย่างต่อเนื่องเลยไม่รู้ว่าอันไหน คือความจริงที่กำลังเห็นเพราะขาดปัญญาอยู่ ไม่ฟังคำของตถาคตจากคนอื่นกล่าวให้รู้สึกตัวแปลว่าไม่รู้=มีกิเลส แปลว่ามืดบอดสนิททั้งที่ลืมตาดูแต่คิดตามคำสอนไม่ตรงสักที=ปัญญาไม่เกิดเลย https://youtu.be/CwVOTTaufXY |
หน้า 4 จากทั้งหมด 5 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |