ถ้าคิดไม่ออกนะว่าเห็นสี1สีเป็นยังไงจะบอกวิธีทำ
ให้เห็นสีทีละ1สีให้ดูให้มันเห็นแจ้งลืมตาดูนะไม่ต้องรีบ
หากระดาษสีเอ4มาสัก5สีวางเรียงกันบนโต๊ะเนี่ยเห็นครบ5สีนะ
ทีนี้ลืมตาไว้แล้วยกกระดาษ1สีขึ้นมาใกล้ตาให้มองไม่เห็นสีอื่นที่วางบนโต๊ะ...เห็นแค่สีเดียวแระโล่งไหม
ในสีสีเดียวที่คุณกำลังมองเต็ม2ตามีอย่างอื่นนอกจากสีหนึ่งสีบนกระดาษนั่นไหมคะ...จิตเห็นสีทีละ1สีรู้ยัง

เนี่ยบอกวิธีพิสูจน์แบบวิทยาศาสตร์เลยค่ะ

มีคำให้คิดไตร่ตรองตามอีกสักเล็กน้อยค่ะ
ตอนเอากรดาษสีออกมองไปตามความคิดตัวเองก็คือคิดตามเห็นผิดแน่นอนแล้ว
เพราะถ้าเห็นจริงตามทศพลญาณปรากฏกับตาพระญาณแค่สี1สีจริงแน่นอน
คำสอนของพระพุทธเจ้าพึ่งได้จริงๆถ้าคิดถูกตรงทางคือคิดถูกตามเท่านั้น

Re: จิตเกิดดับสืบต่อจนปรากฏเป็นโลก

อ้า ถูกต้องที่สุดเรยค่ะ คุณยายโรส

โลกของคุณยายโรส เกิดจากความคิด วนๆ เป็นวัฎฎะ
แล้วคิดว่า คิดเหล่านั้น ตรงทาง

แต่ขาดความรู้ ในทศพลญาณที่ถูกต้อง

ทางที่ถูกที่พระพุทธองค์ทรงเห็น ที่พระพุทธทรงองค์สอน และทรงแสดง
คือ มรรค และวิธี ที่หลุดพ้นไปจากโลก

คือ ทางที่พ้นไปจากโลกทางตา โลกทางหู โลกทางจมูก .......ทางความคิด

ไม่ใช่ ธรรมที่คุณยายกำลังแสดงการ วนเวียน ทำให้เป็นวัฏฏะอยู่ เกิดอยู่ ทั้งโลกนี้ โลกหน้า

Re: จิตเกิดดับสืบต่อจนปรากฏเป็นโลก

อ้าถูกที่สุดเรยค่ะ คุณยายโรส

โลกมายากล ของคุณยาย ชูกระดาษสีเหลือง แล้วหลอกว่าเป็นทองคำ

คุณยายเป็น เอตทัคคะ ด้านวิทยาศาสตร์ รายแรก

พิสูจน์อย่างนี้ค่ะ คุณยาย

คำของคุณยายนั้น คิดค้นขึ้นมาเอง

พึงเทียบเคียงในพระสูตร พึงสอบสวนในพระวินัย ถ้าเมื่อเทียบเคียงในพระสูตร สอบสวนในพระวินัย บทและพยัญชนะเหล่านั้น เทียบเคียงกันไม่ได้ในพระสูตร สอบสวนกันไม่ได้ในพระวินัย

คำเหล่านั้น คุณยาย คิดค้นขึ้นมาเอง ไม่ใช่คำพระพุทธองค์แน่นอน

ส่วน

อนันตริยกรรม ห้ามมรรค จริงๆ

อันนี้ คุณยายพิสูจน์ได้ ง่ายๆ เพราะ คุณยาย ไร้มรรค

ไร้วิธีปฎิบัติ ผุดขึ้นมาในปัญญา เรยค่ะ

อ่านก็อ่านแล้วบอกให้คิดให้มันตรงทางตรงที่กำลังมีทีละ1ทางตามปกติ
ไม่มีปัญญาคิดตรงทีละ1ทางแล้วจะเกิดมรรคแรกเหรอคะอ่านอีกที
มรรคแรกคือสัมมาทิฏฐิแปลว่าความคิดเห็นถูกเข้าใจถูกตาม
ถูกตามคือตามคิดถึงความจริง1อย่างตรงกับที่กายใจมี
เดี๋ยวนี้มีความจริงปรากฏให้คิดเห็นถูกตามได้อยู่
ลืมตาปริบๆเห็นผิดคิดผิดจำผิดตามที่ตาเห็น
แต่จริงๆพระพุทธเจ้าบอกว่าคือจิตเห็น1สี
รวมความว่าจิตเห็นแค่สี+แสงก่อนดับ
เราน่ะเห็นไม่ตรงสัจจะของสี1สี
จึงไม่เคยคิดเห็นถูกตรงจริงไง
ตาไม่บอดดูไม่ชัดหรือคะ
ตอนนี้ลืมตาดูโลกไม่รู้เลยหรือคะ
ว่าตาเนื้อทุกคนไม่มีใครเห็นสีตรงทางได้นอกจากฟังเพื่อคิดเห็นที่กำลังเห็นถูกตาม
คนที่กำลังฟังพระพุทธพจน์คิดตามได้ตรงคำตรงเสียงตรงความหมายตรงทางได้เท่านั้น
จึงมีความคิดเห็นถูกเข้าใจถูกตามได้พอหยุดฟังปั๊บกิเลสแต่ละแสนล้านดวงจิตไหลตามการคิดเองทันที
รู้ไหมคะว่ากำลังมีอวิชชา/ภาษาไทยแปลว่าโง่ไม่พึ่งคิดตามคำสอนเพื่อเข้าใจตรง1ทางเพราะเห็นเป็นใหญ่
เห็นเป็นประธานในการรู้แจ้งตามปกติเป็นปกติไม่มีใครทำสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับสืบต่อถึงแสนล้านขณะ

สัจจะของเห็นที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงมีจริงๆตามที่พระองค์ตรัสแสดงตรงลักษณะตรงทางตรงขณะ
มีแค่การสะท้อนของแสง+สี1สีที่มหาภูตรูปกระทบไปเข้าตาเธอตอนลืมตาดับในลูกตาดูอะไรนอกตาล่ะเด่วนี้

ลองคิดเห็นที่ตัวเองกำลังดูให้มันตรงสีแค่1สีลองดูเลยตลอดชีวิตจะคิดได้ไหม
ไม่เคยพึ่งคิดตามคำสอนจะเป็นสาวะกะได้ยังไง(สาวกแปลว่าฟังคำสอนเข้าใจถูกตามได้ตรงสัจจะที่กายใจมี)

1. อินทรีย์พละพร้อม คลองธรรมเป็นใหญ่ ธรรมเป็นกำลัง
2. โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์
3. มรรคสมังคี
4. วิปัสสนาญาณชั้นสูง

ก็บอกแล้วบอกอีกว่าให้คิดตามตรงทีละ1คำในภาษาไทย
ไม่ต้องเอาคำภาษาบาลีมาเขียนให้ดูเหมือนมีปัญญา
ไม่ต้องมองข้ามเกินข้อ1เลยอินทรียพละแปลให้เข้าใจก่อน
ทีนี้คิดตามให้ตรงทางแค่เห็นทางเดียวเท่านั้นไม่ต้องเอาทางอื่นมาปน

อินทรีย์แปลว่าความเป็นใหญ่...พละแปลว่ากำลัง...อินทรีย์พละคือกำลังของจิตที่เป็นใหญ่ตรง1ทาง

ทางตาเนื้อที่กำลังเห็นเนี่ยเรียกว่าจักขุนทรีย์คือเห็นทางตาเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง

อ่ะทีนี้คิดสิ...ไม่ได้กำลังทำฟังอยู่...ความคิดจึงอยู่ที่เห็นเป็นใหญ่

จักขุนทรีย์พละของทุกคนที่กำลังมองเห็นอยู่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ทางเกิดปัญญา

ทางเกิดปัญญาเกิดที่สัทธินทรียพละคือกำลังคิดตามเสียงคำตถาคตตรงความหมายตรงทาง

คิดตามช้าๆที่ละคำบรรทัดข้างล่างนี้ดูสิว่าเห็นสีได้เองเลยหรือฟังเสียงคิดตามให้เข้าใจถูกตามได้เท่านั้น

(จิตเห็นตรงปัจจุบันที่กำลังมีตรงตามคำสอนมีแค่แสง+สี1สีกระทบตาดำดับในตาดำมืดทันทีมีมืดไหมเดี๋ยวนี้)

ผมพูดถึงขณะแห่งมรรค ผล ผมไม่ได้พูดถึงขณะนี้
สิ่งที่คุณเห็น คือปัญญายังไง คุณเห็นอย่างนั้นแล้วพูด
พูดจาก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง พูดเรื่องหนึ่งไปเรื่องหนึ่ง พูด
หลาย ๆ เรื่องเข้าขัดแย้งกันเอง ปัญญาไม่ทำให้คน
พูดจาเลื่อนลอย เหลาะแหละ ไมรู้เรื่องหรอกครับ

เห็นคุณพูดว่าเห็นตรงปจุบันที่กำลังมีตรงตามคำสอน ดับแล้วๆ
ไม่เห็นพูดถึงความเบื่อหน่าย ไม่เห็นพูดเพื่อคลายกำหนัด

คำสอนมองแล้วคิดได้เองอ่านแล้วคิดได้เองงั้นหรือคะ
ปัญญาเกิดได้ตามลำดับตรงทางตรงขณะที่คิดตามปรุงแต่งตรงตามเสียงคำตถาคต
ก็คิดให้มันตรงแค่1ทางที่มี6ทางเดี๋ยวนี้มันคิดพร้อมกันไม่ได้ไงคะ
กำลังเห็นและอยากเห็นอยู่เดียวนี้ติดข้องในเห็นคือกำลังมีภวตัณหา
เห็นคนนี้ฉันเกลียดมันไม่อยากเห็นหน้าไม่อยากเจอคือวิภวตัณหา
ให้ตาบอดเดี๋ยวนี้เอาไหมก็ไม่เอาเพราะกำลังมีกามตัณหาคือพอใจที่มีตาหูจมกลิ้นกายใจอยู่ยังไม่อยากตาย
คำสอนต้องกำลังฟังและกำลังคิดไตร่ตรองตามได้อยู่พอหยุดฟังไม่ฟังก็คิดต่อตามเห็นเป็นใหญ่ก็เห็นผิดอยู่นิ

ขณะฟังธรรม ก็มีสติฟังธรรม
ขณะใครครวญธรร ก็มีสติใคร่ครวญธรรม
ขณะสนทนาธรรม ก็มีสติสนทนาธรรม
ขณะแสดงธรรม ก็มีสติแสดงธรรม
ขณะสาธยายธรรม ก็มีสติสาธยายธรรม

ให้ตาบอดเดี๋ยวนี้เอาไหม ก็ไม่เอาเพราะกำลังมีตัณหา ?
ให้พระอรหัณต์ตาบอด พระอรหันต์ก็ไม่เอา
ให้พระพุทธเจ้าตาบอด พระพุทธเจ้าก็ไม่เอา
ก็ตานี้มีปรโยชน์ แก่การครองธาตุ ขันธ์

พระอรหันต์ ก็ยังมองเห็นคน เห็นโลกปกติ
ไม่ได้เห็นเป็นแสง สี ๑ สี ดับแล้วไม่มีแล้วทั้งวันทั้งคืน
อันนั้นคนบอด

ถูกต้องที่สุดเรยค่ะ คุณยายโรส

Re: จิตเกิดดับสืบต่อจนปรากฏเป็นโลก

โลกของคุณยาย เกิดจาก การหลงเข้าไปในความคิด

โลกทางตา โลกทางหู โลกทางจมูก ลิ้น กาย โลกของคุณยาย เกิดขึ้นจากความคิด

เพราะคุณยายมี อวิชชา จึงเป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร

คุณยายปฎิเสธมรรค เพราะน้อยใจ ที่ อนันตริยกรรม ห้ามมรรคผลคุณยาย
และห้ามคุณยายบวช