ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ ( ความเห็นอนิจ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=57303 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 4 |
เจ้าของ: | Love J. [ 12 มี.ค. 2019, 22:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ ( ความเห็นอนิจ |
ความไม่ยึดมั่นถือมั่น กับ ความไม่มีหลักมีเกณฑ์ พระอรหันต์ทั้งหลายไม่ยึดมั่นถือมั่นใด ๆ ในโลก คงมองเห็นตนเองเป็นแต่เพียงภาระที่ต้องรับผิดชอบดูแล ไม่ทำสิ่งอันเป็นโทษ ทำสิ่งอันประโยชน์แก่โลกด้วยความเมตตาสงสารเพราะได้เห็นทุกข์ในตนมาแล้วจึง เห็นทุกข์ในผู้อื่น บางคนก็ชอบบอกอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ไม่สำรวมระวัง ความคิด คำพูด การกระทำ ไม่คำนึงถึงความเป็นประโยชน์ ความเป็นโทษ ตั้งอยู่บนความประมาททำตนอย่างคนไม่มีหลักมีเกณฑ์ใครตักใครเตือนก็ไม่ได้ คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ฟัง .......................................................................................... สัมมาทิฏฐิ กับ มิจฉาทิฏฐิ ถ้าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้แล้วทำให้เราไม่สำรวมระวังกรรม ไม่มีหิริ โอตัปปะ ไม่รู้เนื้อรู้ตัวตั้งอยู่บนความประมาทแล้วยึดมั่นถือมั่นความเห็นนั้นเชื่อมั่นว่าตนพ้นทุกข์ หลงระเริงว่าตนมีความสุข ความเห็นนั้นก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทิฏฐิรกชัฏ ทิฏฐิกันดาร วิมุตินั้นก็เป็นมิจฉาวิมุติ ไม่เป็นส่วนแห่งวิชชา แต่ถ้าหากเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วทำให้เราปล่อยวางจางคลางทางโลก จิตใจตั้งมั่นอยู่กับเนื้อ กับตัว บาปอกุศลกรรมรำงับ มีสติเห็นกายเห็นใจตนเองเป็นอัตโนมัติแม้ไม่ต้องเฝ้าดู อย่างนี้ย่อมเป็นส่วน แห่งวิชชา ทำให้เกิดปัญญาเห็นอริยสัจ ๔ ความเห็นนั้นจึงเป็นสัมมาทิฏฐิ วิมุตินั้นก็เป็นสัมมาวิมุติ ปล . ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นความเข้าใจของผมเอง ซึ่งอยากให้ลองพิจารณา ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยครับ |
เจ้าของ: | โลกสวย [ 13 มี.ค. 2019, 01:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อนัจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ |
Love J. เขียน: ความไม่ยึดมั่นถือมั่น กับ ความไม่มีหลักมีเกณฑ์ พระอรหันต์ทั้งหลายไม่ยึดมั่นถือมั่นใด ๆ ในโลก คงมองเห็นตนเองเป็นแต่เพียงภาระที่ต้องรับผิดชอบดูแล ไม่ทำสิ่งอันเป็นโทษ ทำสิ่งอันประโยชน์แก่โลกด้วยความเมตตาสงสารเพราะได้เห็นทุกข์ในตนมาแล้วจึง เห็นทุกข์ในผู้อื่น บางคนก็ชอบบอกอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ไม่สำรวมระวัง ความคิด คำพูด การกระทำ ไม่คำนึงถึงความเป็นประโยชน์ ความเป็นโทษ ตั้งอยู่บนความประมาททำตนอย่างคนไม่มีหลักมีเกณฑ์ใครตักใครเตือนก็ไม่ได้ คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ฟัง .......................................................................................... สัมมาทิฏฐิ กับ มิจฉาทิฏฐิ ถ้าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้แล้วทำให้เราไม่สำรวมระวังกรรม ไม่มีหิริ โอตัปปะ ไม่รู้เนื้อรู้ตัวตั้งอยู่บนความประมาทแล้วยึดมั่นถือมั่นความเห็นนั้นเชื่อมั่นว่าตนพ้นทุกข์ หลงระเริงว่าตนมีความสุข ความเห็นนั้นก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทิฏฐิรกชัฏ ทิฏฐิกันดาร วิมุตินั้นก็เป็นมิจฉาวิมุติ ไม่เป็นส่วนแห่งวิชชา แต่ถ้าหากเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วทำให้เราปล่อยวางจางคลางทางโลก จิตใจตั้งมั่นอยู่กับเนื้อ กับตัว บาปอกุศลกรรมรำงับ มีสติเห็นกายเห็นใจตนเองเป็นอัตโนมัติแม้ไม่ต้องเฝ้าดู อย่างนี้ย่อมเป็นส่วน แห่งวิชชา ทำให้เกิดปัญญาเห็นอริยสัจ ๔ ความเห็นนั้นจึงเป็นสัมมาทิฏฐิ วิมุตินั้นก็เป็นสัมมาวิมุติ ปล . ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นความเข้าใจของผมเอง ซึ่งอยากให้ลองพิจารณา ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยครับ เอ่? จะได้ไม่เห็นผิด แนะนำ เริ่มตั้งแต่ สังขารุเบกขาญาณ มรรคญานแท้จริง จึงเกิดขึ้น และเข้าสู่มรรควิถี ขึ้นสู่อริยะมรรค น๊ะค๊ะ |
เจ้าของ: | Love J. [ 13 มี.ค. 2019, 01:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อนัจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ |
โลกสวย เขียน: Love J. เขียน: ความไม่ยึดมั่นถือมั่น กับ ความไม่มีหลักมีเกณฑ์ พระอรหันต์ทั้งหลายไม่ยึดมั่นถือมั่นใด ๆ ในโลก คงมองเห็นตนเองเป็นแต่เพียงภาระที่ต้องรับผิดชอบดูแล ไม่ทำสิ่งอันเป็นโทษ ทำสิ่งอันประโยชน์แก่โลกด้วยความเมตตาสงสารเพราะได้เห็นทุกข์ในตนมาแล้วจึง เห็นทุกข์ในผู้อื่น บางคนก็ชอบบอกอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ไม่สำรวมระวัง ความคิด คำพูด การกระทำ ไม่คำนึงถึงความเป็นประโยชน์ ความเป็นโทษ ตั้งอยู่บนความประมาททำตนอย่างคนไม่มีหลักมีเกณฑ์ใครตักใครเตือนก็ไม่ได้ คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ฟัง .......................................................................................... สัมมาทิฏฐิ กับ มิจฉาทิฏฐิ ถ้าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้แล้วทำให้เราไม่สำรวมระวังกรรม ไม่มีหิริ โอตัปปะ ไม่รู้เนื้อรู้ตัวตั้งอยู่บนความประมาทแล้วยึดมั่นถือมั่นความเห็นนั้นเชื่อมั่นว่าตนพ้นทุกข์ หลงระเริงว่าตนมีความสุข ความเห็นนั้นก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทิฏฐิรกชัฏ ทิฏฐิกันดาร วิมุตินั้นก็เป็นมิจฉาวิมุติ ไม่เป็นส่วนแห่งวิชชา แต่ถ้าหากเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วทำให้เราปล่อยวางจางคลางทางโลก จิตใจตั้งมั่นอยู่กับเนื้อ กับตัว บาปอกุศลกรรมรำงับ มีสติเห็นกายเห็นใจตนเองเป็นอัตโนมัติแม้ไม่ต้องเฝ้าดู อย่างนี้ย่อมเป็นส่วน แห่งวิชชา ทำให้เกิดปัญญาเห็นอริยสัจ ๔ ความเห็นนั้นจึงเป็นสัมมาทิฏฐิ วิมุตินั้นก็เป็นสัมมาวิมุติ ปล . ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นความเข้าใจของผมเอง ซึ่งอยากให้ลองพิจารณา ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยครับ เอ่? จะได้ไม่เห็นผิด แนะนำ เริ่มตั้งแต่ สังขารุเบกขาญาณ มรรคญานแท้จริง จึงเกิดขึ้น และเข้าสู่มรรควิถี ขึ้นสู่อริยะมรรค น๊ะค๊ะ ผมกล่าวถึงธรรมภายนอกครับ |
เจ้าของ: | โลกสวย [ 13 มี.ค. 2019, 03:29 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อนัจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ |
Love J. เขียน: โลกสวย เขียน: Love J. เขียน: ความไม่ยึดมั่นถือมั่น กับ ความไม่มีหลักมีเกณฑ์ พระอรหันต์ทั้งหลายไม่ยึดมั่นถือมั่นใด ๆ ในโลก คงมองเห็นตนเองเป็นแต่เพียงภาระที่ต้องรับผิดชอบดูแล ไม่ทำสิ่งอันเป็นโทษ ทำสิ่งอันประโยชน์แก่โลกด้วยความเมตตาสงสารเพราะได้เห็นทุกข์ในตนมาแล้วจึง เห็นทุกข์ในผู้อื่น บางคนก็ชอบบอกอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ไม่สำรวมระวัง ความคิด คำพูด การกระทำ ไม่คำนึงถึงความเป็นประโยชน์ ความเป็นโทษ ตั้งอยู่บนความประมาททำตนอย่างคนไม่มีหลักมีเกณฑ์ใครตักใครเตือนก็ไม่ได้ คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ฟัง .......................................................................................... สัมมาทิฏฐิ กับ มิจฉาทิฏฐิ ถ้าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้แล้วทำให้เราไม่สำรวมระวังกรรม ไม่มีหิริ โอตัปปะ ไม่รู้เนื้อรู้ตัวตั้งอยู่บนความประมาทแล้วยึดมั่นถือมั่นความเห็นนั้นเชื่อมั่นว่าตนพ้นทุกข์ หลงระเริงว่าตนมีความสุข ความเห็นนั้นก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทิฏฐิรกชัฏ ทิฏฐิกันดาร วิมุตินั้นก็เป็นมิจฉาวิมุติ ไม่เป็นส่วนแห่งวิชชา แต่ถ้าหากเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วทำให้เราปล่อยวางจางคลางทางโลก จิตใจตั้งมั่นอยู่กับเนื้อ กับตัว บาปอกุศลกรรมรำงับ มีสติเห็นกายเห็นใจตนเองเป็นอัตโนมัติแม้ไม่ต้องเฝ้าดู อย่างนี้ย่อมเป็นส่วน แห่งวิชชา ทำให้เกิดปัญญาเห็นอริยสัจ ๔ ความเห็นนั้นจึงเป็นสัมมาทิฏฐิ วิมุตินั้นก็เป็นสัมมาวิมุติ ปล . ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นความเข้าใจของผมเอง ซึ่งอยากให้ลองพิจารณา ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยครับ เอ่? จะได้ไม่เห็นผิด แนะนำ เริ่มตั้งแต่ สังขารุเบกขาญาณ มรรคญานแท้จริง จึงเกิดขึ้น และเข้าสู่มรรควิถี ขึ้นสู่อริยะมรรค น๊ะค๊ะ ผมกล่าวถึงธรรมภายนอกครับ ที่ถูก คือ ความไม่ยึดมั่นถือมั่น คือ องค์ธรรมในมหากริยาจิตของพระอรหันต์ ไม่ใช่ความไม่ยึดมั่นถือมั่นที่คิดขึ้นลอยๆไม่มีปรมัตถ์ธรรมสภาวะรองรับ การเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เริ่มไปตามลำดับขั้นในวิปัสสนา16 เท่านั้น เป็นภาวะของปัญญา ที่ใจเห็น ค่ะ |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 13 มี.ค. 2019, 03:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อนัจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ |
Love J. เขียน: ความไม่ยึดมั่นถือมั่น กับ ความไม่มีหลักมีเกณฑ์ พระอรหันต์ทั้งหลายไม่ยึดมั่นถือมั่นใด ๆ ในโลก คงมองเห็นตนเองเป็นแต่เพียงภาระที่ต้องรับผิดชอบดูแล ไม่ทำสิ่งอันเป็นโทษ ทำสิ่งอันประโยชน์แก่โลกด้วยความเมตตาสงสารเพราะได้เห็นทุกข์ในตนมาแล้วจึง เห็นทุกข์ในผู้อื่น บางคนก็ชอบบอกอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ไม่สำรวมระวัง ความคิด คำพูด การกระทำ ไม่คำนึงถึงความเป็นประโยชน์ ความเป็นโทษ ตั้งอยู่บนความประมาททำตนอย่างคนไม่มีหลักมีเกณฑ์ใครตักใครเตือนก็ไม่ได้ คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ฟัง .......................................................................................... สัมมาทิฏฐิ กับ มิจฉาทิฏฐิ ถ้าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้แล้วทำให้เราไม่สำรวมระวังกรรม ไม่มีหิริ โอตัปปะ ไม่รู้เนื้อรู้ตัวตั้งอยู่บนความประมาทแล้วยึดมั่นถือมั่นความเห็นนั้นเชื่อมั่นว่าตนพ้นทุกข์ หลงระเริงว่าตนมีความสุข ความเห็นนั้นก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทิฏฐิรกชัฏ ทิฏฐิกันดาร วิมุตินั้นก็เป็นมิจฉาวิมุติ ไม่เป็นส่วนแห่งวิชชา แต่ถ้าหากเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วทำให้เราปล่อยวางจางคลางทางโลก จิตใจตั้งมั่นอยู่กับเนื้อ กับตัว บาปอกุศลกรรมรำงับ มีสติเห็นกายเห็นใจตนเองเป็นอัตโนมัติแม้ไม่ต้องเฝ้าดู อย่างนี้ย่อมเป็นส่วน แห่งวิชชา ทำให้เกิดปัญญาเห็นอริยสัจ ๔ ความเห็นนั้นจึงเป็นสัมมาทิฏฐิ วิมุตินั้นก็เป็นสัมมาวิมุติ ปล . ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นความเข้าใจของผมเอง ซึ่งอยากให้ลองพิจารณา ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยครับ การเห็น..กับ..การได้.. อาจต้องแยกกันให้ออก.. |
เจ้าของ: | โลกสวย [ 13 มี.ค. 2019, 04:00 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อนัจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ |
เอ่? พิสูจน์ได้ง่ายๆๆ แค่เนตเสีย โทรศัพท์พัง รถโดนชน ยังไม่ต้องให้ถึง คนรักตาย คนในครอบครัวตาย บ้านไฟไหม้ ก็พิสูจน์ได้ง่ายๆ ว่า เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จริงหรือไม่ ถ้าเห็นจริง แค่ระดับนึง ใจสดชื่น |
เจ้าของ: | Love J. [ 13 มี.ค. 2019, 05:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อนัจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ |
กบนอกกะลา เขียน: Love J. เขียน: ความไม่ยึดมั่นถือมั่น กับ ความไม่มีหลักมีเกณฑ์ พระอรหันต์ทั้งหลายไม่ยึดมั่นถือมั่นใด ๆ ในโลก คงมองเห็นตนเองเป็นแต่เพียงภาระที่ต้องรับผิดชอบดูแล ไม่ทำสิ่งอันเป็นโทษ ทำสิ่งอันประโยชน์แก่โลกด้วยความเมตตาสงสารเพราะได้เห็นทุกข์ในตนมาแล้วจึง เห็นทุกข์ในผู้อื่น บางคนก็ชอบบอกอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ไม่สำรวมระวัง ความคิด คำพูด การกระทำ ไม่คำนึงถึงความเป็นประโยชน์ ความเป็นโทษ ตั้งอยู่บนความประมาททำตนอย่างคนไม่มีหลักมีเกณฑ์ใครตักใครเตือนก็ไม่ได้ คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ฟัง .......................................................................................... สัมมาทิฏฐิ กับ มิจฉาทิฏฐิ ถ้าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้แล้วทำให้เราไม่สำรวมระวังกรรม ไม่มีหิริ โอตัปปะ ไม่รู้เนื้อรู้ตัวตั้งอยู่บนความประมาทแล้วยึดมั่นถือมั่นความเห็นนั้นเชื่อมั่นว่าตนพ้นทุกข์ หลงระเริงว่าตนมีความสุข ความเห็นนั้นก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทิฏฐิรกชัฏ ทิฏฐิกันดาร วิมุตินั้นก็เป็นมิจฉาวิมุติ ไม่เป็นส่วนแห่งวิชชา แต่ถ้าหากเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วทำให้เราปล่อยวางจางคลางทางโลก จิตใจตั้งมั่นอยู่กับเนื้อ กับตัว บาปอกุศลกรรมรำงับ มีสติเห็นกายเห็นใจตนเองเป็นอัตโนมัติแม้ไม่ต้องเฝ้าดู อย่างนี้ย่อมเป็นส่วน แห่งวิชชา ทำให้เกิดปัญญาเห็นอริยสัจ ๔ ความเห็นนั้นจึงเป็นสัมมาทิฏฐิ วิมุตินั้นก็เป็นสัมมาวิมุติ ปล . ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นความเข้าใจของผมเอง ซึ่งอยากให้ลองพิจารณา ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยครับ การเห็น..กับ..การได้.. อาจต้องแยกกันให้ออก.. การเห็น..กับการได้.. อย่างไรช่วยอธิบายเพิ่มเติมได้มั้ยครับ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 13 มี.ค. 2019, 10:55 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อนัจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ |
Love J. เขียน: ความไม่ยึดมั่นถือมั่น กับ ความไม่มีหลักมีเกณฑ์ พระอรหันต์ทั้งหลายไม่ยึดมั่นถือมั่นใด ๆ ในโลก คงมองเห็นตนเองเป็นแต่เพียงภาระที่ต้องรับผิดชอบดูแล ไม่ทำสิ่งอันเป็นโทษ ทำสิ่งอันประโยชน์แก่โลกด้วยความเมตตาสงสารเพราะได้เห็นทุกข์ในตนมาแล้วจึง เห็นทุกข์ในผู้อื่น บางคนก็ชอบบอกอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ไม่สำรวมระวัง ความคิด คำพูด การกระทำ ไม่คำนึงถึงความเป็นประโยชน์ ความเป็นโทษ ตั้งอยู่บนความประมาททำตนอย่างคนไม่มีหลักมีเกณฑ์ใครตักใครเตือนก็ไม่ได้ คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ฟัง .......................................................................................... สัมมาทิฏฐิ กับ มิจฉาทิฏฐิ ถ้าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้แล้วทำให้เราไม่สำรวมระวังกรรม ไม่มีหิริ โอตัปปะ ไม่รู้เนื้อรู้ตัวตั้งอยู่บนความประมาทแล้วยึดมั่นถือมั่นความเห็นนั้นเชื่อมั่นว่าตนพ้นทุกข์ หลงระเริงว่าตนมีความสุข ความเห็นนั้นก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทิฏฐิรกชัฏ ทิฏฐิกันดาร วิมุตินั้นก็เป็นมิจฉาวิมุติ ไม่เป็นส่วนแห่งวิชชา แต่ถ้าหากเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วทำให้เราปล่อยวางจางคลางทางโลก จิตใจตั้งมั่นอยู่กับเนื้อ กับตัว บาปอกุศลกรรมรำงับ มีสติเห็นกายเห็นใจตนเองเป็นอัตโนมัติแม้ไม่ต้องเฝ้าดู อย่างนี้ย่อมเป็นส่วน แห่งวิชชา ทำให้เกิดปัญญาเห็นอริยสัจ ๔ ความเห็นนั้นจึงเป็นสัมมาทิฏฐิ วิมุตินั้นก็เป็นสัมมาวิมุติ ปล . ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นความเข้าใจของผมเอง ซึ่งอยากให้ลองพิจารณา ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยครับ อ้างคำพูด: อนัจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา (ไตรลักษณ์) มันมีมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ซึ่งเป็นธรรมชาติธรรมดาของมัน แล้วมันจะเป็นมิจฉาทิฏฐิได้อย่างไร อ้อ แต่มี ปล.ด้วยว่าเป็นความเห็นความเข้าใจของตัวเอง ถ้าอย่างนั้น ก็ควรให้อภัย |
เจ้าของ: | Love J. [ 13 มี.ค. 2019, 11:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อนัจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ |
กรัชกาย เขียน: Love J. เขียน: ความไม่ยึดมั่นถือมั่น กับ ความไม่มีหลักมีเกณฑ์ พระอรหันต์ทั้งหลายไม่ยึดมั่นถือมั่นใด ๆ ในโลก คงมองเห็นตนเองเป็นแต่เพียงภาระที่ต้องรับผิดชอบดูแล ไม่ทำสิ่งอันเป็นโทษ ทำสิ่งอันประโยชน์แก่โลกด้วยความเมตตาสงสารเพราะได้เห็นทุกข์ในตนมาแล้วจึง เห็นทุกข์ในผู้อื่น บางคนก็ชอบบอกอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ไม่สำรวมระวัง ความคิด คำพูด การกระทำ ไม่คำนึงถึงความเป็นประโยชน์ ความเป็นโทษ ตั้งอยู่บนความประมาททำตนอย่างคนไม่มีหลักมีเกณฑ์ใครตักใครเตือนก็ไม่ได้ คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ฟัง .......................................................................................... สัมมาทิฏฐิ กับ มิจฉาทิฏฐิ ถ้าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้แล้วทำให้เราไม่สำรวมระวังกรรม ไม่มีหิริ โอตัปปะ ไม่รู้เนื้อรู้ตัวตั้งอยู่บนความประมาทแล้วยึดมั่นถือมั่นความเห็นนั้นเชื่อมั่นว่าตนพ้นทุกข์ หลงระเริงว่าตนมีความสุข ความเห็นนั้นก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทิฏฐิรกชัฏ ทิฏฐิกันดาร วิมุตินั้นก็เป็นมิจฉาวิมุติ ไม่เป็นส่วนแห่งวิชชา แต่ถ้าหากเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วทำให้เราปล่อยวางจางคลางทางโลก จิตใจตั้งมั่นอยู่กับเนื้อ กับตัว บาปอกุศลกรรมรำงับ มีสติเห็นกายเห็นใจตนเองเป็นอัตโนมัติแม้ไม่ต้องเฝ้าดู อย่างนี้ย่อมเป็นส่วน แห่งวิชชา ทำให้เกิดปัญญาเห็นอริยสัจ ๔ ความเห็นนั้นจึงเป็นสัมมาทิฏฐิ วิมุตินั้นก็เป็นสัมมาวิมุติ ปล . ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นความเข้าใจของผมเอง ซึ่งอยากให้ลองพิจารณา ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยครับ อ้างคำพูด: อนัจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา (ไตรลักษณ์) มันมีมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ซึ่งเป็นธรรมชาติธรรมดาของมัน แล้วมันจะเป็นมิจฉาทิฏฐิได้อย่างไร อ้อ แต่มี ปล.ด้วยว่าเป็นความเห็นความเข้าใจของตัวเอง ถ้าอย่างนั้น ก็ควรให้อภัย ผมเห็นว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิด้ายเหตุดังนี้ 1. ไม่เห็นทุกข์ตามเป็นจริง 2. ไม่เห็นเหตุแห่งทุกข์ตามเป็นจริง 3. ไม่เห็นความดับทุกข์ตามเป็นจริง 4. ไม่เห็นทางดับทุกข์ตามเป็นจริง 5. ไม่หยั่งลงสู่กุศลธรรมทั้งหลาย 6. ไมใช่ทางสายกลาง มชฌิมาปฏิปทา ด้วยเหตุว่า ไม่หยั่งลงสู่กุศลธรรมทั้งหลาย |
เจ้าของ: | Rosarin [ 13 มี.ค. 2019, 13:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อนัจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ |
Love J. เขียน: ความไม่ยึดมั่นถือมั่น กับ ความไม่มีหลักมีเกณฑ์ พระอรหันต์ทั้งหลายไม่ยึดมั่นถือมั่นใด ๆ ในโลก คงมองเห็นตนเองเป็นแต่เพียงภาระที่ต้องรับผิดชอบดูแล ไม่ทำสิ่งอันเป็นโทษ ทำสิ่งอันประโยชน์แก่โลกด้วยความเมตตาสงสารเพราะได้เห็นทุกข์ในตนมาแล้วจึง เห็นทุกข์ในผู้อื่น บางคนก็ชอบบอกอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ไม่สำรวมระวัง ความคิด คำพูด การกระทำ ไม่คำนึงถึงความเป็นประโยชน์ ความเป็นโทษ ตั้งอยู่บนความประมาททำตนอย่างคนไม่มีหลักมีเกณฑ์ใครตักใครเตือนก็ไม่ได้ คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ฟัง .......................................................................................... สัมมาทิฏฐิ กับ มิจฉาทิฏฐิ ถ้าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้แล้วทำให้เราไม่สำรวมระวังกรรม ไม่มีหิริ โอตัปปะ ไม่รู้เนื้อรู้ตัวตั้งอยู่บนความประมาทแล้วยึดมั่นถือมั่นความเห็นนั้นเชื่อมั่นว่าตนพ้นทุกข์ หลงระเริงว่าตนมีความสุข ความเห็นนั้นก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทิฏฐิรกชัฏ ทิฏฐิกันดาร วิมุตินั้นก็เป็นมิจฉาวิมุติ ไม่เป็นส่วนแห่งวิชชา แต่ถ้าหากเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วทำให้เราปล่อยวางจางคลางทางโลก จิตใจตั้งมั่นอยู่กับเนื้อ กับตัว บาปอกุศลกรรมรำงับ มีสติเห็นกายเห็นใจตนเองเป็นอัตโนมัติแม้ไม่ต้องเฝ้าดู อย่างนี้ย่อมเป็นส่วน แห่งวิชชา ทำให้เกิดปัญญาเห็นอริยสัจ ๔ ความเห็นนั้นจึงเป็นสัมมาทิฏฐิ วิมุตินั้นก็เป็นสัมมาวิมุติ ปล . ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นความเข้าใจของผมเอง ซึ่งอยากให้ลองพิจารณา ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยครับ ในพระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นการแสดงความจริงให้เข้าใจถูกตามการตรัสรู้ ไม่ใช่การคิดนึกด้นเดาโดยขาดการไตร่ตรองตามคำสอน มิจฉาทิฏฐิเป็นธัมมะชนิดที่ตรงกันข้ามกับสัมมาทิฏฐิที่เป็นความคิดถูกตามคำสอน มิจฉาทิฏฐิคือความคิดเห็นผิดไม่ตรงตามคำสอนเป็นความหลงผิดจำผิดว่ามีตัวเราเต็มๆ สัมมาทิฏฐิคือความคิดเห็นถูกตรงตามคำสอนทีละคำตรงความจริงที่กายใจตนเองกำลังมี คำว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นสามัญลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเป็นปกติธรรมดา ไม่มีใครคิดใครทำใครสร้างความเป็นจริงที่กำลังมีกำลังเกิดดับเป็นไปเพราะทุกอย่างเกิดแล้วดับแล้วทันที มีแต่ต้องอาศัยการฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงเป็นพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงตรัสรู้ความจริงทั้งหมดหนึ่งเดียวในจักรวาลนี้และทรงแสดงความเกิดดับที่กำลังเป็นไปเดี๋ยวนี้ตามปกติ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 13 มี.ค. 2019, 14:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อนัจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ |
Love J. เขียน: กรัชกาย เขียน: Love J. เขียน: ความไม่ยึดมั่นถือมั่น กับ ความไม่มีหลักมีเกณฑ์ พระอรหันต์ทั้งหลายไม่ยึดมั่นถือมั่นใด ๆ ในโลก คงมองเห็นตนเองเป็นแต่เพียงภาระที่ต้องรับผิดชอบดูแล ไม่ทำสิ่งอันเป็นโทษ ทำสิ่งอันประโยชน์แก่โลกด้วยความเมตตาสงสารเพราะได้เห็นทุกข์ในตนมาแล้วจึง เห็นทุกข์ในผู้อื่น บางคนก็ชอบบอกอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ไม่สำรวมระวัง ความคิด คำพูด การกระทำ ไม่คำนึงถึงความเป็นประโยชน์ ความเป็นโทษ ตั้งอยู่บนความประมาททำตนอย่างคนไม่มีหลักมีเกณฑ์ใครตักใครเตือนก็ไม่ได้ คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ฟัง .......................................................................................... สัมมาทิฏฐิ กับ มิจฉาทิฏฐิ ถ้าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้แล้วทำให้เราไม่สำรวมระวังกรรม ไม่มีหิริ โอตัปปะ ไม่รู้เนื้อรู้ตัวตั้งอยู่บนความประมาทแล้วยึดมั่นถือมั่นความเห็นนั้นเชื่อมั่นว่าตนพ้นทุกข์ หลงระเริงว่าตนมีความสุข ความเห็นนั้นก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทิฏฐิรกชัฏ ทิฏฐิกันดาร วิมุตินั้นก็เป็นมิจฉาวิมุติ ไม่เป็นส่วนแห่งวิชชา แต่ถ้าหากเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วทำให้เราปล่อยวางจางคลางทางโลก จิตใจตั้งมั่นอยู่กับเนื้อ กับตัว บาปอกุศลกรรมรำงับ มีสติเห็นกายเห็นใจตนเองเป็นอัตโนมัติแม้ไม่ต้องเฝ้าดู อย่างนี้ย่อมเป็นส่วน แห่งวิชชา ทำให้เกิดปัญญาเห็นอริยสัจ ๔ ความเห็นนั้นจึงเป็นสัมมาทิฏฐิ วิมุตินั้นก็เป็นสัมมาวิมุติ ปล . ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นความเข้าใจของผมเอง ซึ่งอยากให้ลองพิจารณา ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยครับ อ้างคำพูด: อนัจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา (ไตรลักษณ์) มันมีมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ซึ่งเป็นธรรมชาติธรรมดาของมัน แล้วมันจะเป็นมิจฉาทิฏฐิได้อย่างไร อ้อ แต่มี ปล.ด้วยว่าเป็นความเห็นความเข้าใจของตัวเอง ถ้าอย่างนั้น ก็ควรให้อภัย ผมเห็นว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิด้ายเหตุดังนี้ 1. ไม่เห็นทุกข์ตามเป็นจริง 2. ไม่เห็นเหตุแห่งทุกข์ตามเป็นจริง 3. ไม่เห็นความดับทุกข์ตามเป็นจริง 4. ไม่เห็นทางดับทุกข์ตามเป็นจริง 5. ไม่หยั่งลงสู่กุศลธรรมทั้งหลาย 6. ไมใช่ทางสายกลาง มชฌิมาปฏิปทา ด้วยเหตุว่า ไม่หยั่งลงสู่กุศลธรรมทั้งหลาย อนัจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ ตั้งโจทก์ผิด คิดผลลัพธ์ออกมาได้เท่าไหร่ผิดหมด |
เจ้าของ: | Love J. [ 13 มี.ค. 2019, 17:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อนัจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ |
กรัชกาย เขียน: Love J. เขียน: กรัชกาย เขียน: Love J. เขียน: ความไม่ยึดมั่นถือมั่น กับ ความไม่มีหลักมีเกณฑ์ พระอรหันต์ทั้งหลายไม่ยึดมั่นถือมั่นใด ๆ ในโลก คงมองเห็นตนเองเป็นแต่เพียงภาระที่ต้องรับผิดชอบดูแล ไม่ทำสิ่งอันเป็นโทษ ทำสิ่งอันประโยชน์แก่โลกด้วยความเมตตาสงสารเพราะได้เห็นทุกข์ในตนมาแล้วจึง เห็นทุกข์ในผู้อื่น บางคนก็ชอบบอกอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ไม่สำรวมระวัง ความคิด คำพูด การกระทำ ไม่คำนึงถึงความเป็นประโยชน์ ความเป็นโทษ ตั้งอยู่บนความประมาททำตนอย่างคนไม่มีหลักมีเกณฑ์ใครตักใครเตือนก็ไม่ได้ คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ฟัง .......................................................................................... สัมมาทิฏฐิ กับ มิจฉาทิฏฐิ ถ้าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้แล้วทำให้เราไม่สำรวมระวังกรรม ไม่มีหิริ โอตัปปะ ไม่รู้เนื้อรู้ตัวตั้งอยู่บนความประมาทแล้วยึดมั่นถือมั่นความเห็นนั้นเชื่อมั่นว่าตนพ้นทุกข์ หลงระเริงว่าตนมีความสุข ความเห็นนั้นก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทิฏฐิรกชัฏ ทิฏฐิกันดาร วิมุตินั้นก็เป็นมิจฉาวิมุติ ไม่เป็นส่วนแห่งวิชชา แต่ถ้าหากเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วทำให้เราปล่อยวางจางคลางทางโลก จิตใจตั้งมั่นอยู่กับเนื้อ กับตัว บาปอกุศลกรรมรำงับ มีสติเห็นกายเห็นใจตนเองเป็นอัตโนมัติแม้ไม่ต้องเฝ้าดู อย่างนี้ย่อมเป็นส่วน แห่งวิชชา ทำให้เกิดปัญญาเห็นอริยสัจ ๔ ความเห็นนั้นจึงเป็นสัมมาทิฏฐิ วิมุตินั้นก็เป็นสัมมาวิมุติ ปล . ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นความเข้าใจของผมเอง ซึ่งอยากให้ลองพิจารณา ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยครับ อ้างคำพูด: อนัจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา (ไตรลักษณ์) มันมีมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ซึ่งเป็นธรรมชาติธรรมดาของมัน แล้วมันจะเป็นมิจฉาทิฏฐิได้อย่างไร อ้อ แต่มี ปล.ด้วยว่าเป็นความเห็นความเข้าใจของตัวเอง ถ้าอย่างนั้น ก็ควรให้อภัย ผมเห็นว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิด้ายเหตุดังนี้ 1. ไม่เห็นทุกข์ตามเป็นจริง 2. ไม่เห็นเหตุแห่งทุกข์ตามเป็นจริง 3. ไม่เห็นความดับทุกข์ตามเป็นจริง 4. ไม่เห็นทางดับทุกข์ตามเป็นจริง 5. ไม่หยั่งลงสู่กุศลธรรมทั้งหลาย 6. ไมใช่ทางสายกลาง มชฌิมาปฏิปทา ด้วยเหตุว่า ไม่หยั่งลงสู่กุศลธรรมทั้งหลาย อนัจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ ตั้งโจทก์ผิด คิดผลลัพธ์ออกมาได้เท่าไหร่ผิดหมด โจทย์ผิด ผลลัพธ์ผิด นั้นก็เป็นความคิดเห็นตามเหตุตามผลของคุณกรัชกาย สัมมาทิฏฐิ คือ เห็นทางพ้นทุกข์ ไม่เห็นทางพ้นทุกข์ผมจึงว่า มิจฉาทิฏฐิ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 13 มี.ค. 2019, 20:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อนัจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ |
Love J. เขียน: กรัชกาย เขียน: Love J. เขียน: กรัชกาย เขียน: Love J. เขียน: ความไม่ยึดมั่นถือมั่น กับ ความไม่มีหลักมีเกณฑ์ พระอรหันต์ทั้งหลายไม่ยึดมั่นถือมั่นใด ๆ ในโลก คงมองเห็นตนเองเป็นแต่เพียงภาระที่ต้องรับผิดชอบดูแล ไม่ทำสิ่งอันเป็นโทษ ทำสิ่งอันประโยชน์แก่โลกด้วยความเมตตาสงสารเพราะได้เห็นทุกข์ในตนมาแล้วจึง เห็นทุกข์ในผู้อื่น บางคนก็ชอบบอกอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ไม่สำรวมระวัง ความคิด คำพูด การกระทำ ไม่คำนึงถึงความเป็นประโยชน์ ความเป็นโทษ ตั้งอยู่บนความประมาททำตนอย่างคนไม่มีหลักมีเกณฑ์ใครตักใครเตือนก็ไม่ได้ คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ฟัง .......................................................................................... สัมมาทิฏฐิ กับ มิจฉาทิฏฐิ ถ้าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้แล้วทำให้เราไม่สำรวมระวังกรรม ไม่มีหิริ โอตัปปะ ไม่รู้เนื้อรู้ตัวตั้งอยู่บนความประมาทแล้วยึดมั่นถือมั่นความเห็นนั้นเชื่อมั่นว่าตนพ้นทุกข์ หลงระเริงว่าตนมีความสุข ความเห็นนั้นก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทิฏฐิรกชัฏ ทิฏฐิกันดาร วิมุตินั้นก็เป็นมิจฉาวิมุติ ไม่เป็นส่วนแห่งวิชชา แต่ถ้าหากเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วทำให้เราปล่อยวางจางคลางทางโลก จิตใจตั้งมั่นอยู่กับเนื้อ กับตัว บาปอกุศลกรรมรำงับ มีสติเห็นกายเห็นใจตนเองเป็นอัตโนมัติแม้ไม่ต้องเฝ้าดู อย่างนี้ย่อมเป็นส่วน แห่งวิชชา ทำให้เกิดปัญญาเห็นอริยสัจ ๔ ความเห็นนั้นจึงเป็นสัมมาทิฏฐิ วิมุตินั้นก็เป็นสัมมาวิมุติ ปล . ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นความเข้าใจของผมเอง ซึ่งอยากให้ลองพิจารณา ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยครับ อ้างคำพูด: อนัจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา (ไตรลักษณ์) มันมีมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ซึ่งเป็นธรรมชาติธรรมดาของมัน แล้วมันจะเป็นมิจฉาทิฏฐิได้อย่างไร อ้อ แต่มี ปล.ด้วยว่าเป็นความเห็นความเข้าใจของตัวเอง ถ้าอย่างนั้น ก็ควรให้อภัย ผมเห็นว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิด้ายเหตุดังนี้ 1. ไม่เห็นทุกข์ตามเป็นจริง 2. ไม่เห็นเหตุแห่งทุกข์ตามเป็นจริง 3. ไม่เห็นความดับทุกข์ตามเป็นจริง 4. ไม่เห็นทางดับทุกข์ตามเป็นจริง 5. ไม่หยั่งลงสู่กุศลธรรมทั้งหลาย 6. ไมใช่ทางสายกลาง มชฌิมาปฏิปทา ด้วยเหตุว่า ไม่หยั่งลงสู่กุศลธรรมทั้งหลาย อนัจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ ตั้งโจทก์ผิด คิดผลลัพธ์ออกมาได้เท่าไหร่ผิดหมด โจทย์ผิด ผลลัพธ์ผิด นั้นก็เป็นความคิดเห็นตามเหตุตามผลของคุณกรัชกาย สัมมาทิฏฐิ คือ เห็นทางพ้นทุกข์ ไม่เห็นทางพ้นทุกข์ผมจึงว่า มิจฉาทิฏฐิ อ้างคำพูด: อนัจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ ไตรลักษณ์ คือ ลักษณะสามอย่าง ได้แก่ ความเป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นั้น มันเป็นธรรมชาติ มันจะเป็นมิจฉาทิฏฐิได้อย่างไร คุณว่า ขันนี่ เป็นมิจฉาทิฏฐิได้ไหม |
เจ้าของ: | Love J. [ 13 มี.ค. 2019, 20:59 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อนัจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ |
Love J. เขียน: ความไม่ยึดมั่นถือมั่น กับ ความไม่มีหลักมีเกณฑ์
พระอรหันต์ทั้งหลายไม่ยึดมั่นถือมั่นใด ๆ ในโลก คงมองเห็นตนเองเป็นแต่เพียงภาระที่ต้องรับผิดชอบดูแล ไม่ทำสิ่งอันเป็นโทษ ทำสิ่งอันประโยชน์แก่โลกด้วยความเมตตาสงสารเพราะได้เห็นทุกข์ในตนมาแล้วจึง เห็นทุกข์ในผู้อื่น บางคนก็ชอบบอกอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ไม่สำรวมระวัง ความคิด คำพูด การกระทำ ไม่คำนึงถึงความเป็นประโยชน์ ความเป็นโทษ ตั้งอยู่บนความประมาททำตนอย่างคนไม่มีหลักมีเกณฑ์ใครตักใครเตือนก็ไม่ได้ คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ฟัง [*]ที่ผมยกพระอรหันต์มาเปรียบเทียบนี้เพื่อแสดงให้เห็นผู้สิ้นความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ แล้วต่างกันกับ ผู้ไม่มีหลักมีเกณฑ์อย่างไร .......................................................................................... สัมมาทิฏฐิ กับ มิจฉาทิฏฐิ ถ้าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้แล้วทำให้เราไม่สำรวมระวังกรรม ไม่มีหิริ โอตัปปะ ไม่รู้เนื้อรู้ตัวตั้งอยู่บนความประมาทแล้วยึดมั่นถือมั่นความเห็นนั้นเชื่อมั่นว่าตนพ้นทุกข์ หลงระเริงว่าตนมีความสุข ความเห็นนั้นก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทิฏฐิรกชัฏ ทิฏฐิกันดาร วิมุตินั้นก็เป็นมิจฉาวิมุติ ไม่เป็นส่วนแห่งวิชชา แต่ถ้าหากเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วทำให้เราปล่อยวางจางคลางทางโลก จิตใจตั้งมั่นอยู่กับเนื้อ กับตัว บาปอกุศลกรรมรำงับ มีสติเห็นกายเห็นใจตนเองเป็นอัตโนมัติแม้ไม่ต้องเฝ้าดู อย่างนี้ย่อมเป็นส่วน แห่งวิชชา ทำให้เกิดปัญญาเห็นอริยสัจ ๔ ความเห็นนั้นจึงเป็นสัมมาทิฏฐิ วิมุตินั้นก็เป็นสัมมาวิมุติ .............................................................................................. ผมเห็นว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิด้ายเหตุดังนี้ ไม่เห็นทุกข์ตามเป็นจริง ไม่เห็นเหตุแห่งทุกข์ตามเป็นจริง ไม่เห็นความดับทุกข์ตามเป็นจริง ไม่เห็นทางดับทุกข์ตามเป็นจริง ไม่หยั่งลงสู่กุศลธรรมทั้งหลาย ไมใช่ทางสายกลาง มชฌิมาปฏิปทา ด้วยเหตุว่าไม่หยั่งลงสู่กุศลธรรมทั้งหลาย [*] ทำไมจึงไม่เห็นอริยสัจ ๔ ตามจริง เพราะอโยนิโสมนสิการ ทำไว้ใจใจโดยไม่แยบคาย เช่น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งทั้งหลายเกิดดับเองไม่มีผู้ใดกระทำสิ่งใดให้เกิด ไม่มีผู้ใดกระทำสิ่งใดให้ดับ เมื่อทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายอย่างนี้ ก็มีความเห็นสิ่งทั้งหลายเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เหมือนกันแต่เห็นว่าไม่มีอัตตาการ ไม่มีผู้ใดละอะไร ผู้ทำความเพียรไม่มี พระอริยสาวกไม่มี พระอรหันต์ผู้สิ้นกิเลสไม่มี ความเห็นนี้ย่อมไม่ทำความเพียรเพื่อกำหนดรู้ทุกข์ตามจริง เหตุแห่งทุกข์ที่ต้องละ ความดับทุกข์ที่ต้องทำให้แจ้ง ทางดำเนินสู่ความดับทุกข์ที่ต้องเจริญ ปล . ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นความเข้าใจของผมเอง ซึ่งอยากให้ลองพิจารณา ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยครับ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 13 มี.ค. 2019, 21:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อนัจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ |
Love J. เขียน: Love J. เขียน: ความไม่ยึดมั่นถือมั่น กับ ความไม่มีหลักมีเกณฑ์ พระอรหันต์ทั้งหลายไม่ยึดมั่นถือมั่นใด ๆ ในโลก คงมองเห็นตนเองเป็นแต่เพียงภาระที่ต้องรับผิดชอบดูแล ไม่ทำสิ่งอันเป็นโทษ ทำสิ่งอันประโยชน์แก่โลกด้วยความเมตตาสงสารเพราะได้เห็นทุกข์ในตนมาแล้วจึง เห็นทุกข์ในผู้อื่น บางคนก็ชอบบอกอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ไม่สำรวมระวัง ความคิด คำพูด การกระทำ ไม่คำนึงถึงความเป็นประโยชน์ ความเป็นโทษ ตั้งอยู่บนความประมาททำตนอย่างคนไม่มีหลักมีเกณฑ์ใครตักใครเตือนก็ไม่ได้ คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ฟัง [*]ที่ผมยกพระอรหันต์มาเปรียบเทียบนี้เพื่อแสดงให้เห็นผู้สิ้นความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ แล้วต่างกันกับ ผู้ไม่มีหลักมีเกณฑ์อย่างไร .......................................................................................... สัมมาทิฏฐิ กับ มิจฉาทิฏฐิ ถ้าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้แล้วทำให้เราไม่สำรวมระวังกรรม ไม่มีหิริ โอตัปปะ ไม่รู้เนื้อรู้ตัวตั้งอยู่บนความประมาทแล้วยึดมั่นถือมั่นความเห็นนั้นเชื่อมั่นว่าตนพ้นทุกข์ หลงระเริงว่าตนมีความสุข ความเห็นนั้นก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทิฏฐิรกชัฏ ทิฏฐิกันดาร วิมุตินั้นก็เป็นมิจฉาวิมุติ ไม่เป็นส่วนแห่งวิชชา แต่ถ้าหากเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วทำให้เราปล่อยวางจางคลางทางโลก จิตใจตั้งมั่นอยู่กับเนื้อ กับตัว บาปอกุศลกรรมรำงับ มีสติเห็นกายเห็นใจตนเองเป็นอัตโนมัติแม้ไม่ต้องเฝ้าดู อย่างนี้ย่อมเป็นส่วน แห่งวิชชา ทำให้เกิดปัญญาเห็นอริยสัจ ๔ ความเห็นนั้นจึงเป็นสัมมาทิฏฐิ วิมุตินั้นก็เป็นสัมมาวิมุติ .............................................................................................. ผมเห็นว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิด้ายเหตุดังนี้ ไม่เห็นทุกข์ตามเป็นจริง ไม่เห็นเหตุแห่งทุกข์ตามเป็นจริง ไม่เห็นความดับทุกข์ตามเป็นจริง ไม่เห็นทางดับทุกข์ตามเป็นจริง ไม่หยั่งลงสู่กุศลธรรมทั้งหลาย ไมใช่ทางสายกลาง มชฌิมาปฏิปทา ด้วยเหตุว่าไม่หยั่งลงสู่กุศลธรรมทั้งหลาย [*] ทำไมจึงไม่เห็นอริยสัจ ๔ ตามจริง เพราะอโยนิโสมนสิการ ทำไว้ใจใจโดยไม่แยบคาย เช่น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งทั้งหลายเกิดดับเองไม่มีผู้ใดกระทำสิ่งใดให้เกิด ไม่มีผู้ใดกระทำสิ่งใดให้ดับ เมื่อทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายอย่างนี้ ก็มีความเห็นสิ่งทั้งหลายเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เหมือนกันแต่เห็นว่าไม่มีอัตตาการ ไม่มีผู้ใดละอะไร ผู้ทำความเพียรไม่มี พระอริยสาวกไม่มี พระอรหันต์ผู้สิ้นกิเลสไม่มี ความเห็นนี้ย่อมไม่ทำความเพียรเพื่อกำหนดรู้ทุกข์ตามจริง เหตุแห่งทุกข์ที่ต้องละ ความดับทุกข์ที่ต้องทำให้แจ้ง ทางดำเนินสู่ความดับทุกข์ที่ต้องเจริญ ปล . ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นความเข้าใจของผมเอง ซึ่งอยากให้ลองพิจารณา ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยครับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ อ้างคำพูด: กรัชกาย ตั้งโจทก์ผิด คิดผลลัพธ์ออกมาได้เท่าไหร่ผิดหมด อ้างคำพูด: Love J.
โจทย์ผิด ผลลัพธ์ผิด นั้นก็เป็นความคิดเห็นตามเหตุตามผลของคุณกรัชกาย สัมมาทิฏฐิ คือ เห็นทางพ้นทุกข์ ไม่เห็นทางพ้นทุกข์ผมจึงว่า มิจฉาทิฏฐิ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 4 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |