วันเวลาปัจจุบัน 29 เม.ย. 2024, 16:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 274 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13 ... 19  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 17:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
งั้นอย่างนี้เนาะทุกท่าน จะได้จบแบบไม่ขัดใจกันนะครับ ท่านกรัซกาย เมย์ ท่านทริปเปิ้ลเอส

1. รูปแบบประโยค เป็นของหลวงปู่ดุลย์ ท่านกล่าวไว้ดีแล้ว
2. เนื้อในประโยค เป็นของปุถุชนที่มีโอกาสรู้เห็นได้ตามจริง
3. โดยปุถุชนอย่างผมนำเอารูปแบบการจำกัดความของหลวงปู่ดุลย์มาใช้ เพื่อจำกัดความในสิ่งที่ตนรู้เห็นในพระอริยะสัจ ๔ เพื่อเป็นแนวความจำให้หวนระลึกถึงปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นต่อไปของตน
- ซึ่ง ทั้ง 3 เหตุผล หากคนไม่ปฏิบัติเห็นจริงจะเอามาจำกัดความใดๆให้เข้าใจง่ายไม่ได้เลย


ทีนี้หากท่านทั้งหลายได้มีโอกาสไปเห็นสังขารบ้างแล้ว จิตเดินในสติปัฏฐานบ้างแล้ว สันตติขาดบ้างแล้ว จิตทำความแยบคายในไตรลักษณ์บ้างแล้ว หน่ายสำรอกออกบ้างแล้ว จิตทำกิจบ้างแล้ว ท่านใช้ความจำกัดความอย่างไรบ้างเพื่อที่ย้ำหลักในการปฏิบัติของตนเอง หรือแนะนำบอกกล่าวกับผู้อื่นให้สามารถระลึกแล้วปฏิบัติเห็นชัดได้

- พระอริยะสัจ ๔ ที่ผมมีโอกาสรู้เห็นโดยปุถุชนอย่า่งผม ผมจำกัดความแบบนั้น

- ธรรมสาสวะอื่นเช่น ทาน ศีล ภาวนา ผมปฏิบัติจนเห็นชัดแล้วได้คำจำกัดความว่า.. ทำจิตให้ผ่องใส(ภาวนา อบรมจิตให้เป็นกุศลปราศจากกิเลสจิตจึงผ่องใส) มีใจเอื้อเฟื้อ(ทาน เพราะจิตเป็นจิตจะเอื้อเฟื้อสละ) เว้นจากความเบียดเบียน(ศีล เพราะจิตเป็นศีล มันละเว้นตั้งแต่เจตนา)

- สัมมัปปธาน ๔ มีสติดำรงมั่น ทำใจให้เบิกบานสว่างไสว


ท่านล่ะครับ ให้คำจำกัดความอย่างไร เห็นมายังไงบ้างครับ :b1: :b1: :b1:


วันนี้หนูไม่คริคริ หละค่ะ

แต่ ก๊ากๆๆๆ เรยหละค่ะ


ของก๊อบลอกเลียนแบบหลวงปู่ดูลย์

ไม่มีพระป่าองค์ใด ไม่มีองค์อื่นใดเรยในสำนักหลวงปู่มั่น
ไม่ว่าหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่เหรียญ หลวงปู่พวง หลวงปู่ประสิทธ์ หลวงปู่เปลี่ยน หลวงปู่วิริยังค์
หลวงตามหาบัว และองค์อื่นๆ ในสายพระอาจารย์มั่น ไม่มีสักองค์เดียว
ที่มาตั้งสโลแกนเลียนแบบหลวงปู่ดูลย์ ไม่มีแม้องค์เดียวค่ะ

สำนักบูรพาราม สุรินทร์ ทุกองค์ ไม่มีสักองค์เดียว
ที่ไปตั้งสโลกแกนเลียนแบบคำหลวงปู่ดูลย์ แบบคุณแค่อากาศ

แต่คุณแค่อากาศ กล้าเนอะ

และคำที่คุณแค่อากาศ แสดง
ความหมายต่างกันลิบลับจากที่หลวงป่ดูลย์แสดง

เมเรยต่อคำของคุณแค่อากศให้ไง ว่า
จิตเห็นนิโรธ เป็นสมุทัย....

ก๊ากๆๆๆๆ

คุยว่าปฎิบัติเหลือเกิน
แต่ปฎิบัติมั่ว สอบลงกะปริยัติไม่ได้ ลอบลงพระไตรปิฎกไม่ได้
ถ้าเม เป็นแค่คนท่องจำ ไม่ผ่านสิ่งเหล่านัั้นมา มีเหรอจะกล้ามาแย้งคุณแค่อากาศ และเหล่าผู้ทรงคุณวุฒิในบอร์ดได้

ก๊ากๆๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 17:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
งั้นอย่างนี้เนาะทุกท่าน จะได้จบแบบไม่ขัดใจกันนะครับ ท่านกรัซกาย เมย์ ท่านทริปเปิ้ลเอส

1. รูปแบบประโยค เป็นของหลวงปู่ดุลย์ ท่านกล่าวไว้ดีแล้ว
2. เนื้อในประโยค เป็นของปุถุชนที่มีโอกาสรู้เห็นได้ตามจริง
3. โดยปุถุชนอย่างผมนำเอารูปแบบการจำกัดความของหลวงปู่ดุลย์มาใช้ เพื่อจำกัดความในสิ่งที่ตนรู้เห็นในพระอริยะสัจ ๔ เพื่อเป็นแนวความจำให้หวนระลึกถึงปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นต่อไปของตน
- ซึ่ง ทั้ง 3 เหตุผล หากคนไม่ปฏิบัติเห็นจริงจะเอามาจำกัดความใดๆให้เข้าใจง่ายไม่ได้เลย


ทีนี้หากท่านทั้งหลายได้มีโอกาสไปเห็นสังขารบ้างแล้ว จิตเดินในสติปัฏฐานบ้างแล้ว สันตติขาดบ้างแล้ว จิตทำความแยบคายในไตรลักษณ์บ้างแล้ว หน่ายสำรอกออกบ้างแล้ว จิตทำกิจบ้างแล้ว ท่านใช้ความจำกัดความอย่างไรบ้างเพื่อที่ย้ำหลักในการปฏิบัติของตนเอง หรือแนะนำบอกกล่าวกับผู้อื่นให้สามารถระลึกแล้วปฏิบัติเห็นชัดได้

- พระอริยะสัจ ๔ ที่ผมมีโอกาสรู้เห็นโดยปุถุชนอย่า่งผม ผมจำกัดความแบบนั้น

- ธรรมสาสวะอื่นเช่น ทาน ศีล ภาวนา ผมปฏิบัติจนเห็นชัดแล้วได้คำจำกัดความว่า.. ทำจิตให้ผ่องใส(ภาวนา อบรมจิตให้เป็นกุศลปราศจากกิเลสจิตจึงผ่องใส) มีใจเอื้อเฟื้อ(ทาน เพราะจิตเป็นจิตจะเอื้อเฟื้อสละ) เว้นจากความเบียดเบียน(ศีล เพราะจิตเป็นศีล มันละเว้นตั้งแต่เจตนา)

- สัมมัปปธาน ๔ มีสติดำรงมั่น ทำใจให้เบิกบานสว่างไสว


ท่านล่ะครับ ให้คำจำกัดความอย่างไร เห็นมายังไงบ้างครับ :b1: :b1: :b1:




คุณนักปฎิบัติแค่อากาศ คะ
เมจะถามทีละอันแระกัน เห็นคุณว่า บอกว่าถ้ามีโอกาสได้เห้นสังขารแล้ว.....


สังขารคืออะไร
การเห็นสังขาร ของคุณนักปฎิบัติ น่ะ
การเห็นเป็นยังไง ลักษณะที่เข้าไปเห็น ผลที่เข้าไปเห้น เป็นยังไง
ได้โปรด ช่วยอธิบายหน่อยนะคะ

เอาจุดสำคัญก็พอ ว่าอย่างไรเรียกว่าการเห็นสังขาร
จะได้ให้สายพระอาจารย์มั่น และสายบูรพาราม ได้ฟังกันด้วยค่ะ
อ่อ สายปริยัติ สายอภิธรรมด้วยนะคะ

ขอบพระคุณนะค๊ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 19:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
งั้นอย่างนี้เนาะทุกท่าน จะได้จบแบบไม่ขัดใจกันนะครับ ท่านกรัซกาย เมย์ ท่านทริปเปิ้ลเอส

1. รูปแบบประโยค เป็นของหลวงปู่ดุลย์ ท่านกล่าวไว้ดีแล้ว
2. เนื้อในประโยค เป็นของปุถุชนที่มีโอกาสรู้เห็นได้ตามจริง
3. โดยปุถุชนอย่างผมนำเอารูปแบบการจำกัดความของหลวงปู่ดุลย์มาใช้ เพื่อจำกัดความในสิ่งที่ตนรู้เห็นในพระอริยะสัจ ๔ เพื่อเป็นแนวความจำให้หวนระลึกถึงปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นต่อไปของตน
- ซึ่ง ทั้ง 3 เหตุผล หากคนไม่ปฏิบัติเห็นจริงจะเอามาจำกัดความใดๆให้เข้าใจง่ายไม่ได้เลย


ทีนี้หากท่านทั้งหลายได้มีโอกาสไปเห็นสังขารบ้างแล้ว จิตเดินในสติปัฏฐานบ้างแล้ว สันตติขาดบ้างแล้ว จิตทำความแยบคายในไตรลักษณ์บ้างแล้ว หน่ายสำรอกออกบ้างแล้ว จิตทำกิจบ้างแล้ว ท่านใช้ความจำกัดความอย่างไรบ้างเพื่อที่ย้ำหลักในการปฏิบัติของตนเอง หรือแนะนำบอกกล่าวกับผู้อื่นให้สามารถระลึกแล้วปฏิบัติเห็นชัดได้

- พระอริยะสัจ ๔ ที่ผมมีโอกาสรู้เห็นโดยปุถุชนอย่า่งผม ผมจำกัดความแบบนั้น

- ธรรมสาสวะอื่นเช่น ทาน ศีล ภาวนา ผมปฏิบัติจนเห็นชัดแล้วได้คำจำกัดความว่า.. ทำจิตให้ผ่องใส(ภาวนา อบรมจิตให้เป็นกุศลปราศจากกิเลสจิตจึงผ่องใส) มีใจเอื้อเฟื้อ(ทาน เพราะจิตเป็นจิตจะเอื้อเฟื้อสละ) เว้นจากความเบียดเบียน(ศีล เพราะจิตเป็นศีล มันละเว้นตั้งแต่เจตนา)

- สัมมัปปธาน ๔ มีสติดำรงมั่น ทำใจให้เบิกบานสว่างไสว


ท่านล่ะครับ ให้คำจำกัดความอย่างไร เห็นมายังไงบ้างครับ :b1: :b1: :b1:


วันนี้หนูไม่คริคริ หละค่ะ

แต่ ก๊ากๆๆๆ เรยหละค่ะ


ของก๊อบลอกเลียนแบบหลวงปู่ดูลย์

ไม่มีพระป่าองค์ใด ไม่มีองค์อื่นใดเรยในสำนักหลวงปู่มั่น
ไม่ว่าหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่เหรียญ หลวงปู่พวง หลวงปู่ประสิทธ์ หลวงปู่เปลี่ยน หลวงปู่วิริยังค์
หลวงตามหาบัว และองค์อื่นๆ ในสายพระอาจารย์มั่น ไม่มีสักองค์เดียว
ที่มาตั้งสโลแกนเลียนแบบหลวงปู่ดูลย์ ไม่มีแม้องค์เดียวค่ะ

สำนักบูรพาราม สุรินทร์ ทุกองค์ ไม่มีสักองค์เดียว
ที่ไปตั้งสโลกแกนเลียนแบบคำหลวงปู่ดูลย์ แบบคุณแค่อากาศ

แต่คุณแค่อากาศ กล้าเนอะ

และคำที่คุณแค่อากาศ แสดง
ความหมายต่างกันลิบลับจากที่หลวงป่ดูลย์แสดง

เมเรยต่อคำของคุณแค่อากศให้ไง ว่า
จิตเห็นนิโรธ เป็นสมุทัย....

ก๊ากๆๆๆๆ

คุยว่าปฎิบัติเหลือเกิน
แต่ปฎิบัติมั่ว สอบลงกะปริยัติไม่ได้ ลอบลงพระไตรปิฎกไม่ได้
ถ้าเม เป็นแค่คนท่องจำ ไม่ผ่านสิ่งเหล่านัั้นมา มีเหรอจะกล้ามาแย้งคุณแค่อากาศ และเหล่าผู้ทรงคุณวุฒิในบอร์ดได้

ก๊ากๆๆ



เพราะเมไม่เคยไปเรียนกับครูบาอาจารย์ท่านจำพร่ำเพ้อไปเรื่อยตามแต่จะหาอ่านเจอในเวบก็ไม่รู้ว่าท่านสอนอะไรบ้าง จนหลายๆท่านละสังขารไปแล้ว

ที่ยังมีอยู่ก็ลองไปเรียนกับหลวงตาสิริ อินทรสิริ วัดถ้ำผาอแดงผานิมิตดูสิครับ มันจะดีและมีคุณสูงกว่าพ่นน้ำลายตามกิเลสตนไร้สาระในเวบครับ :b1: :b1: :b1:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 19:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
งั้นอย่างนี้เนาะทุกท่าน จะได้จบแบบไม่ขัดใจกันนะครับ ท่านกรัซกาย เมย์ ท่านทริปเปิ้ลเอส

1. รูปแบบประโยค เป็นของหลวงปู่ดุลย์ ท่านกล่าวไว้ดีแล้ว
2. เนื้อในประโยค เป็นของปุถุชนที่มีโอกาสรู้เห็นได้ตามจริง
3. โดยปุถุชนอย่างผมนำเอารูปแบบการจำกัดความของหลวงปู่ดุลย์มาใช้ เพื่อจำกัดความในสิ่งที่ตนรู้เห็นในพระอริยะสัจ ๔ เพื่อเป็นแนวความจำให้หวนระลึกถึงปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นต่อไปของตน
- ซึ่ง ทั้ง 3 เหตุผล หากคนไม่ปฏิบัติเห็นจริงจะเอามาจำกัดความใดๆให้เข้าใจง่ายไม่ได้เลย


ทีนี้หากท่านทั้งหลายได้มีโอกาสไปเห็นสังขารบ้างแล้ว จิตเดินในสติปัฏฐานบ้างแล้ว สันตติขาดบ้างแล้ว จิตทำความแยบคายในไตรลักษณ์บ้างแล้ว หน่ายสำรอกออกบ้างแล้ว จิตทำกิจบ้างแล้ว ท่านใช้ความจำกัดความอย่างไรบ้างเพื่อที่ย้ำหลักในการปฏิบัติของตนเอง หรือแนะนำบอกกล่าวกับผู้อื่นให้สามารถระลึกแล้วปฏิบัติเห็นชัดได้

- พระอริยะสัจ ๔ ที่ผมมีโอกาสรู้เห็นโดยปุถุชนอย่า่งผม ผมจำกัดความแบบนั้น

- ธรรมสาสวะอื่นเช่น ทาน ศีล ภาวนา ผมปฏิบัติจนเห็นชัดแล้วได้คำจำกัดความว่า.. ทำจิตให้ผ่องใส(ภาวนา อบรมจิตให้เป็นกุศลปราศจากกิเลสจิตจึงผ่องใส) มีใจเอื้อเฟื้อ(ทาน เพราะจิตเป็นจิตจะเอื้อเฟื้อสละ) เว้นจากความเบียดเบียน(ศีล เพราะจิตเป็นศีล มันละเว้นตั้งแต่เจตนา)

- สัมมัปปธาน ๔ มีสติดำรงมั่น ทำใจให้เบิกบานสว่างไสว


ท่านล่ะครับ ให้คำจำกัดความอย่างไร เห็นมายังไงบ้างครับ :b1: :b1: :b1:




คุณนักปฎิบัติแค่อากาศ คะ
เมจะถามทีละอันแระกัน เห็นคุณว่า บอกว่าถ้ามีโอกาสได้เห้นสังขารแล้ว.....


สังขารคืออะไร
การเห็นสังขาร ของคุณนักปฎิบัติ น่ะ
การเห็นเป็นยังไง ลักษณะที่เข้าไปเห็น ผลที่เข้าไปเห้น เป็นยังไง
ได้โปรด ช่วยอธิบายหน่อยนะคะ

เอาจุดสำคัญก็พอ ว่าอย่างไรเรียกว่าการเห็นสังขาร
จะได้ให้สายพระอาจารย์มั่น และสายบูรพาราม ได้ฟังกันด้วยค่ะ
อ่อ สายปริยัติ สายอภิธรรมด้วยนะคะ

ขอบพระคุณนะค๊ะ



แล้วเมล่ะ สังขารคืออะไร เห็นแบบไหน ได้ยังไง :b1: :b1: :b1:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 21:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
โลกสวย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
งั้นอย่างนี้เนาะทุกท่าน จะได้จบแบบไม่ขัดใจกันนะครับ ท่านกรัซกาย เมย์ ท่านทริปเปิ้ลเอส

1. รูปแบบประโยค เป็นของหลวงปู่ดุลย์ ท่านกล่าวไว้ดีแล้ว
2. เนื้อในประโยค เป็นของปุถุชนที่มีโอกาสรู้เห็นได้ตามจริง
3. โดยปุถุชนอย่างผมนำเอารูปแบบการจำกัดความของหลวงปู่ดุลย์มาใช้ เพื่อจำกัดความในสิ่งที่ตนรู้เห็นในพระอริยะสัจ ๔ เพื่อเป็นแนวความจำให้หวนระลึกถึงปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นต่อไปของตน
- ซึ่ง ทั้ง 3 เหตุผล หากคนไม่ปฏิบัติเห็นจริงจะเอามาจำกัดความใดๆให้เข้าใจง่ายไม่ได้เลย


ทีนี้หากท่านทั้งหลายได้มีโอกาสไปเห็นสังขารบ้างแล้ว จิตเดินในสติปัฏฐานบ้างแล้ว สันตติขาดบ้างแล้ว จิตทำความแยบคายในไตรลักษณ์บ้างแล้ว หน่ายสำรอกออกบ้างแล้ว จิตทำกิจบ้างแล้ว ท่านใช้ความจำกัดความอย่างไรบ้างเพื่อที่ย้ำหลักในการปฏิบัติของตนเอง หรือแนะนำบอกกล่าวกับผู้อื่นให้สามารถระลึกแล้วปฏิบัติเห็นชัดได้

- พระอริยะสัจ ๔ ที่ผมมีโอกาสรู้เห็นโดยปุถุชนอย่า่งผม ผมจำกัดความแบบนั้น

- ธรรมสาสวะอื่นเช่น ทาน ศีล ภาวนา ผมปฏิบัติจนเห็นชัดแล้วได้คำจำกัดความว่า.. ทำจิตให้ผ่องใส(ภาวนา อบรมจิตให้เป็นกุศลปราศจากกิเลสจิตจึงผ่องใส) มีใจเอื้อเฟื้อ(ทาน เพราะจิตเป็นจิตจะเอื้อเฟื้อสละ) เว้นจากความเบียดเบียน(ศีล เพราะจิตเป็นศีล มันละเว้นตั้งแต่เจตนา)

- สัมมัปปธาน ๔ มีสติดำรงมั่น ทำใจให้เบิกบานสว่างไสว


ท่านล่ะครับ ให้คำจำกัดความอย่างไร เห็นมายังไงบ้างครับ :b1: :b1: :b1:


วันนี้หนูไม่คริคริ หละค่ะ

แต่ ก๊ากๆๆๆ เรยหละค่ะ


ของก๊อบลอกเลียนแบบหลวงปู่ดูลย์

ไม่มีพระป่าองค์ใด ไม่มีองค์อื่นใดเรยในสำนักหลวงปู่มั่น
ไม่ว่าหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่เหรียญ หลวงปู่พวง หลวงปู่ประสิทธ์ หลวงปู่เปลี่ยน หลวงปู่วิริยังค์
หลวงตามหาบัว และองค์อื่นๆ ในสายพระอาจารย์มั่น ไม่มีสักองค์เดียว
ที่มาตั้งสโลแกนเลียนแบบหลวงปู่ดูลย์ ไม่มีแม้องค์เดียวค่ะ

สำนักบูรพาราม สุรินทร์ ทุกองค์ ไม่มีสักองค์เดียว
ที่ไปตั้งสโลกแกนเลียนแบบคำหลวงปู่ดูลย์ แบบคุณแค่อากาศ

แต่คุณแค่อากาศ กล้าเนอะ

และคำที่คุณแค่อากาศ แสดง
ความหมายต่างกันลิบลับจากที่หลวงป่ดูลย์แสดง

เมเรยต่อคำของคุณแค่อากศให้ไง ว่า
จิตเห็นนิโรธ เป็นสมุทัย....

ก๊ากๆๆๆๆ

คุยว่าปฎิบัติเหลือเกิน
แต่ปฎิบัติมั่ว สอบลงกะปริยัติไม่ได้ ลอบลงพระไตรปิฎกไม่ได้
ถ้าเม เป็นแค่คนท่องจำ ไม่ผ่านสิ่งเหล่านัั้นมา มีเหรอจะกล้ามาแย้งคุณแค่อากาศ และเหล่าผู้ทรงคุณวุฒิในบอร์ดได้

ก๊ากๆๆ



เพราะเมไม่เคยไปเรียนกับครูบาอาจารย์ท่านจำพร่ำเพ้อไปเรื่อยตามแต่จะหาอ่านเจอในเวบก็ไม่รู้ว่าท่านสอนอะไรบ้าง จนหลายๆท่านละสังขารไปแล้ว

ที่ยังมีอยู่ก็ลองไปเรียนกับหลวงตาสิริ อินทรสิริ วัดถ้ำผาอแดงผานิมิตดูสิครับ มันจะดีและมีคุณสูงกว่าพ่นน้ำลายตามกิเลสตนไร้สาระในเวบครับ :b1: :b1: :b1:


555


คุณคงเรียนมากะหลวงตาสิริ มากมายอักโข

ฝากถามท่านได้มั๊ยคะ
ว่า การเห็นสังขารของท่าน เป็นแบบไหน?
เอาเรื่องง่ายๆแค่นี้ก่อน

ต่างกะหลวงปู่พุธ ฐานิโย ยังไง
ต่างกะหลวงปู่ดูลย์ ยังไง

หรือไม่คุณก็ตอบมาแทนก็ได้ ในเมื่อคุณแนะนำให้เมไปเรียนกะท่าน


แก้ไขล่าสุดโดย โลกสวย เมื่อ 07 ก.พ. 2019, 21:06, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 21:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
โลกสวย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
งั้นอย่างนี้เนาะทุกท่าน จะได้จบแบบไม่ขัดใจกันนะครับ ท่านกรัซกาย เมย์ ท่านทริปเปิ้ลเอส

1. รูปแบบประโยค เป็นของหลวงปู่ดุลย์ ท่านกล่าวไว้ดีแล้ว
2. เนื้อในประโยค เป็นของปุถุชนที่มีโอกาสรู้เห็นได้ตามจริง
3. โดยปุถุชนอย่างผมนำเอารูปแบบการจำกัดความของหลวงปู่ดุลย์มาใช้ เพื่อจำกัดความในสิ่งที่ตนรู้เห็นในพระอริยะสัจ ๔ เพื่อเป็นแนวความจำให้หวนระลึกถึงปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นต่อไปของตน
- ซึ่ง ทั้ง 3 เหตุผล หากคนไม่ปฏิบัติเห็นจริงจะเอามาจำกัดความใดๆให้เข้าใจง่ายไม่ได้เลย


ทีนี้หากท่านทั้งหลายได้มีโอกาสไปเห็นสังขารบ้างแล้ว จิตเดินในสติปัฏฐานบ้างแล้ว สันตติขาดบ้างแล้ว จิตทำความแยบคายในไตรลักษณ์บ้างแล้ว หน่ายสำรอกออกบ้างแล้ว จิตทำกิจบ้างแล้ว ท่านใช้ความจำกัดความอย่างไรบ้างเพื่อที่ย้ำหลักในการปฏิบัติของตนเอง หรือแนะนำบอกกล่าวกับผู้อื่นให้สามารถระลึกแล้วปฏิบัติเห็นชัดได้

- พระอริยะสัจ ๔ ที่ผมมีโอกาสรู้เห็นโดยปุถุชนอย่า่งผม ผมจำกัดความแบบนั้น

- ธรรมสาสวะอื่นเช่น ทาน ศีล ภาวนา ผมปฏิบัติจนเห็นชัดแล้วได้คำจำกัดความว่า.. ทำจิตให้ผ่องใส(ภาวนา อบรมจิตให้เป็นกุศลปราศจากกิเลสจิตจึงผ่องใส) มีใจเอื้อเฟื้อ(ทาน เพราะจิตเป็นจิตจะเอื้อเฟื้อสละ) เว้นจากความเบียดเบียน(ศีล เพราะจิตเป็นศีล มันละเว้นตั้งแต่เจตนา)

- สัมมัปปธาน ๔ มีสติดำรงมั่น ทำใจให้เบิกบานสว่างไสว


ท่านล่ะครับ ให้คำจำกัดความอย่างไร เห็นมายังไงบ้างครับ :b1: :b1: :b1:




คุณนักปฎิบัติแค่อากาศ คะ
เมจะถามทีละอันแระกัน เห็นคุณว่า บอกว่าถ้ามีโอกาสได้เห้นสังขารแล้ว.....


สังขารคืออะไร
การเห็นสังขาร ของคุณนักปฎิบัติ น่ะ
การเห็นเป็นยังไง ลักษณะที่เข้าไปเห็น ผลที่เข้าไปเห้น เป็นยังไง
ได้โปรด ช่วยอธิบายหน่อยนะคะ

เอาจุดสำคัญก็พอ ว่าอย่างไรเรียกว่าการเห็นสังขาร
จะได้ให้สายพระอาจารย์มั่น และสายบูรพาราม ได้ฟังกันด้วยค่ะ
อ่อ สายปริยัติ สายอภิธรรมด้วยนะคะ

ขอบพระคุณนะค๊ะ



แล้วเมล่ะ สังขารคืออะไร เห็นแบบไหน ได้ยังไง :b1: :b1: :b1:



ก๊ากๆๆ

เมถามไปไม่ตอบ

ไม่กล้าตอบ
กลัวตอบแล้วเสียหน้า หรอคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 21:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


เม ถามอีกที นะคะ

สังขารคืออะไร ?
การเห็นสังขาร ของคุณนักปฎิบัติ น่ะ
การเห็นเป็นยังไง ?ลักษณะที่เข้าไปเห็น ?ผลที่เข้าไปเห้น? เป็นยังไง
ได้โปรด ช่วยอธิบายหน่อยนะคะ

เอาจุดสำคัญก็พอ ว่าอย่างไรเรียกว่าการเห็นสังขาร
จะได้ให้สายพระอาจารย์มั่น และสายบูรพาราม ได้ฟังกันด้วยค่ะ
อ่อ สายปริยัติ สายอภิธรรมด้วยนะคะ

ขอบพระคุณนะค๊ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 23:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
เม ถามอีกที นะคะ

สังขารคืออะไร ?
การเห็นสังขาร ของคุณนักปฎิบัติ น่ะ
การเห็นเป็นยังไง ?ลักษณะที่เข้าไปเห็น ?ผลที่เข้าไปเห้น? เป็นยังไง
ได้โปรด ช่วยอธิบายหน่อยนะคะ

เอาจุดสำคัญก็พอ ว่าอย่างไรเรียกว่าการเห็นสังขาร
จะได้ให้สายพระอาจารย์มั่น และสายบูรพาราม ได้ฟังกันด้วยค่ะ
อ่อ สายปริยัติ สายอภิธรรมด้วยนะคะ

ขอบพระคุณนะค๊ะ


กลัวหรอเมจะตอบพี่ :b32: :b32: :b32: เวลาถามคืนแล้วเปลี่ยนประเด็น :b32: :b32: :b32: จะมาหลอกถามแล้วจำไปโม้ระรานคนอื่นต่อหราจ๊ะ

จะทำเหมือนท่องจำอภิธรรมไปโม้ผิดๆระรานคนอื่นสินะ พลาดแล้วล่ะมาหลอกเอาของจริงไม่ได้หรอกเม :b32: :b32: :b32:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 23:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
โลกสวย เขียน:
เม ถามอีกที นะคะ

สังขารคืออะไร ?
การเห็นสังขาร ของคุณนักปฎิบัติ น่ะ
การเห็นเป็นยังไง ?ลักษณะที่เข้าไปเห็น ?ผลที่เข้าไปเห้น? เป็นยังไง
ได้โปรด ช่วยอธิบายหน่อยนะคะ

เอาจุดสำคัญก็พอ ว่าอย่างไรเรียกว่าการเห็นสังขาร
จะได้ให้สายพระอาจารย์มั่น และสายบูรพาราม ได้ฟังกันด้วยค่ะ
อ่อ สายปริยัติ สายอภิธรรมด้วยนะคะ

ขอบพระคุณนะค๊ะ


กลัวหรอเมจะตอบพี่ :b32: :b32: :b32: เวลาถามคืนแล้วเปลี่ยนประเด็น :b32: :b32: :b32: จะมาหลอกถามแล้วจำไปโม้ระรานคนอื่นต่อหราจ๊ะ

จะทำเหมือนท่องจำอภิธรรมไปโม้ผิดๆระรานคนอื่นสินะ พลาดแล้วล่ะมาหลอกเอาของจริงไม่ได้หรอกเม :b32: :b32: :b32:


ตอบมาซะดีกว่า นะค๊ะ

สังขารคืออะไร ?
การเห็นสังขาร ของคุณนักปฎิบัติ น่ะ
การเห็นเป็นยังไง ?ลักษณะที่เข้าไปเห็น ?ผลที่เข้าไปเห้น? เป็นยังไง
ได้โปรด ช่วยอธิบายหน่อยนะคะ

เชิญอาจารย์ที่คุณแค่อากาศ แนะนำ มาช่วยตอบก็ได้นะค๊ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2019, 00:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ลองปฏิบัติให้ได้ฌาณนะครับ พอเมื่อปฏิบัติไป จะเข้าใจรู้จัก วิจาร วิจารคืออะไร ก็ตัวรื่องราวของสิ่งที่ตรึกนั้นแหละคือวิจาร เพื่อละอกุศลวิตก และอกุศลวิจาร การกรรมฐานจึงมี พุทโธ เป็นวิตก มีวิจารคือลม แต่คิดว่าถึงพูดไปก็คงไม่เกิดประโยชน์ คนที่ท่องจำกับคนที่ปฏิบัติจะเรียนรู้ ทำความรู้ความเข้าใจมาต่างกัน ส่วนคนที่มีทั้งปริยัติ ปฏฺบัติ ถึง ปฏิเวท ก็จะรู้ทั้ง 2 อย่าง ไม่มีสิ่งใดขัดกันเลย ซึ่งผมก็ชี้แจงครบทั้ง 2 อย่าง ลองปฏิบัติดูก่อนครับแล้วจะเข้าใจ คนที่ท่องจำโดยมากรู้จักแต่วิตก วิจารรู้แต่บัญญัติ รู้แต่ว่าตรอง รู้แต่ว่าแนบอารมณ์ แต่ไม่เคยเข้าใจจริงๆว่าคืออะไร ซึ่งจะมีแค่คนที่ปฏิบัติเท่านั้นที่จะเห็น วิตก แยกวิจาร ครับ


ก๊ากๆๆๆๆ

อาจารย์ของเจ้าชายสิทธัตถะ ปฎิบัติได้จนบรรลุ ฌาน ขั้นสูงสุด

แต่ๆๆๆๆๆๆ


พระพุทธองค์ ตรัสว่า

"ฉิบ*หายนะ" เสียแล้วด้วยคุณธรรม

นี่คือตัวอย่าง คุณแค่อากาศ เรยมาแนะนำให้ปฎิบัติให้ได้ฌาน อันไม่ใช่พุทธวิชชา

ก๊ากๆๆๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2019, 00:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ลองปฏิบัติให้ได้ฌาณนะครับ พอเมื่อปฏิบัติไป จะเข้าใจรู้จัก วิจาร วิจารคืออะไร ก็ตัวรื่องราวของสิ่งที่ตรึกนั้นแหละคือวิจาร เพื่อละอกุศลวิตก และอกุศลวิจาร การกรรมฐานจึงมี พุทโธ เป็นวิตก มีวิจารคือลม แต่คิดว่าถึงพูดไปก็คงไม่เกิดประโยชน์ คนที่ท่องจำกับคนที่ปฏิบัติจะเรียนรู้ ทำความรู้ความเข้าใจมาต่างกัน ส่วนคนที่มีทั้งปริยัติ ปฏฺบัติ ถึง ปฏิเวท ก็จะรู้ทั้ง 2 อย่าง ไม่มีสิ่งใดขัดกันเลย ซึ่งผมก็ชี้แจงครบทั้ง 2 อย่าง ลองปฏิบัติดูก่อนครับแล้วจะเข้าใจ คนที่ท่องจำโดยมากรู้จักแต่วิตก วิจารรู้แต่บัญญัติ รู้แต่ว่าตรอง รู้แต่ว่าแนบอารมณ์ แต่ไม่เคยเข้าใจจริงๆว่าคืออะไร ซึ่งจะมีแค่คนที่ปฏิบัติเท่านั้นที่จะเห็น วิตก แยกวิจาร ครับ


ก๊ากๆๆๆ

ปริยัติ ไม่ตรงตามพระพุทธองค์สอน
นี่คือตัวอย่าง คุณแค่อากาศ ที่ไม่ได้เรียนปริยัติ ตามคำสอนพระพุทธองค์
ก็เรยปฎิบัติ ถึงปฎิเวธ มั่วหนักอีก

เพราะไม่รู้ว่า

พุทโธ ไม่ใช่วิปัสสนา

วิปัสสนา ต้องมีนามรูปปรมัตถ์ เป็นอารมณ์เท่านั้น


เมื่อครั้งอุทกดาบส บรรลุฌาน 8 ถึงแก่ความตาย

พระพุทธองค์ ทรงตรัสว่า ฉิบ หาย แล้วจากคุณธรรม

ก๊ากๆๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2019, 00:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ลองปฏิบัติให้ได้ฌาณนะครับ พอเมื่อปฏิบัติไป จะเข้าใจรู้จัก วิจาร วิจารคืออะไร ก็ตัวรื่องราวของสิ่งที่ตรึกนั้นแหละคือวิจาร เพื่อละอกุศลวิตก และอกุศลวิจาร การกรรมฐานจึงมี พุทโธ เป็นวิตก มีวิจารคือลม แต่คิดว่าถึงพูดไปก็คงไม่เกิดประโยชน์ คนที่ท่องจำกับคนที่ปฏิบัติจะเรียนรู้ ทำความรู้ความเข้าใจมาต่างกัน ส่วนคนที่มีทั้งปริยัติ ปฏฺบัติ ถึง ปฏิเวท ก็จะรู้ทั้ง 2 อย่าง ไม่มีสิ่งใดขัดกันเลย ซึ่งผมก็ชี้แจงครบทั้ง 2 อย่าง ลองปฏิบัติดูก่อนครับแล้วจะเข้าใจ คนที่ท่องจำโดยมากรู้จักแต่วิตก วิจารรู้แต่บัญญัติ รู้แต่ว่าตรอง รู้แต่ว่าแนบอารมณ์ แต่ไม่เคยเข้าใจจริงๆว่าคืออะไร ซึ่งจะมีแค่คนที่ปฏิบัติเท่านั้นที่จะเห็น วิตก แยกวิจาร ครับ


ก๊ากๆๆๆ

นี่คือความรู้ผิดๆ ของคุณแค่อากาศ ที่ไม่ได้ผ่านการศึกษา 84000 พระธรรมขันธ์มาเรย

เรยไม่รู้ว่าวิปัสสนา ไม่ได้มีฌาน เป็นอารมณ์
แต่ ฌาน ที่ถูกต้อง จะเกิดขึ้นประกอบ กับ มรรคจิต เป็นไปด้วยอำนาจของวิปัสสนา
เมื่อบุคคลนั้นๆ บรรลุวิปัสสนาญาน

ที่ถูกต้อง ตามพุทธวิชาตามคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

วิปัสสนา จึง ไม่ต้องเจริญ ฌาน


นี่แค่คำของคุณแค่อากาศ ไม่กี่บันทัด ยังมั่วแหลก ผิดเพี้ยนไปจากพระปริยัติ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงหลายประการ

นับเป็นตัวอย่าง คนที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรม 84000 พระธรรมขันธ์มาเรย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2019, 09:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
ลองปฏิบัติให้ได้ฌาณนะครับ พอเมื่อปฏิบัติไป จะเข้าใจรู้จัก วิจาร วิจารคืออะไร ก็ตัวรื่องราวของสิ่งที่ตรึกนั้นแหละคือวิจาร เพื่อละอกุศลวิตก และอกุศลวิจาร การกรรมฐานจึงมี พุทโธ เป็นวิตก มีวิจารคือลม แต่คิดว่าถึงพูดไปก็คงไม่เกิดประโยชน์ คนที่ท่องจำกับคนที่ปฏิบัติจะเรียนรู้ ทำความรู้ความเข้าใจมาต่างกัน ส่วนคนที่มีทั้งปริยัติ ปฏฺบัติ ถึง ปฏิเวท ก็จะรู้ทั้ง 2 อย่าง ไม่มีสิ่งใดขัดกันเลย ซึ่งผมก็ชี้แจงครบทั้ง 2 อย่าง ลองปฏิบัติดูก่อนครับแล้วจะเข้าใจ คนที่ท่องจำโดยมากรู้จักแต่วิตก วิจารรู้แต่บัญญัติ รู้แต่ว่าตรอง รู้แต่ว่าแนบอารมณ์ แต่ไม่เคยเข้าใจจริงๆว่าคืออะไร ซึ่งจะมีแค่คนที่ปฏิบัติเท่านั้นที่จะเห็น วิตก แยกวิจาร ครับ


ก๊ากๆๆๆ

นี่คือความรู้ผิดๆ ของคุณแค่อากาศ ที่ไม่ได้ผ่านการศึกษา 84000 พระธรรมขันธ์มาเรย

เรยไม่รู้ว่าวิปัสสนา ไม่ได้มีฌาน เป็นอารมณ์
แต่ ฌาน ที่ถูกต้อง จะเกิดขึ้นประกอบ กับ มรรคจิต เป็นไปด้วยอำนาจของวิปัสสนา
เมื่อบุคคลนั้นๆ บรรลุวิปัสสนาญาน

ที่ถูกต้อง ตามพุทธวิชาตามคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

วิปัสสนา จึง ไม่ต้องเจริญ ฌาน


นี่แค่คำของคุณแค่อากาศ ไม่กี่บันทัด ยังมั่วแหลก ผิดเพี้ยนไปจากพระปริยัติ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงหลายประการ

นับเป็นตัวอย่าง คนที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรม 84000 พระธรรมขันธ์มาเรย


สาธุ พูดดีๆก็เป็นนี่ น่ารักขึ้นเยอะเลยนะเม อย่างนี้มันดูเมงามขึ้นมาเลย ถ้าลดความไร้สาระตามกิเลสลงได้จะงามกว่านี้มาก

..คนที่รู้จักพุทโธแค่คำบริกรรมก็เข้าใจอย่างเมพูดนั่นแหละ แต่ที่ปฏิบัติจริงคนที่ถึงพุทโธ ท่านมีจิตเป็นผู้รู้ คือรู้เห็นของจริงต่างหากจากสมมติกิเลสของปลอม จิตเป็นผู้ตื่น ตื่นจากสมมติกิเลสของปลอมจิตน้อมลงตรงมรรคผลนิพพาน ทำความแยบคายเบิกบานพ้นจากสมมติกิเลสของปลอม เป็นจิตของคนถึงพุทโธ พุทโธเป็นพระอริยะสัจ ๔ รู้ทุกข์ เห็นสมุทัย ตื่นจากทุกข์ ละสมุทัย ตื่นจากสมุทัยเดินมรรค ถึงมรรค เบิกบานด้วยผล ผลอันเบิกบานพ้นแล้วจากสมมติกิเลวของปลอมคือนิโรธ นี่คือจิตเป็นพุทโธ

..ที่เมกล่าวมา การอาศัยท่องจำคิดตามเอามันไม่เห็นจริงหรอก ทุกวันนี้ที่เมท่องจำก็ยังไม่เห็นจริงเลย เห็นแต่ตัวหนังสือ คนที่เห็นจริงถึงมรรคถึงผล ความคิดจะไม่มีอกุศล จะไม่มีวาจาประการใดด้วยกิเลส ไม่กระทำด้วยกิเลส ใจปล่อยละ วางง่าย ฉลาดในธรรม
..ที่เมพูดมาล้วนพยายามกล่าวพูดตามความการบรรลุธรรมสายสุกขวิปัสสก เพราะปฏิบัติไม่มากบรรลุไว แต่ต่อให้อ่านจำให้ตายหากเหตุไม้เต็มก็ได้แค่ท่องจำ สายนี้ท่านจะอาศัยอุปจาระฌาณ เข้าได้หลายๆชั่วโมงไม่อาศัยฌาณทำวิปัสสนา ซึ่งท่านไปไวจริง ปัญญามากแต่เห็นไม่ครบหมด ไม่ใช่สายนี้ท่านไม่มีสมาธิ ไม่เจริญสมาธิ หรือไม่เจริญถึงฌาณ แต่ว่าท่านใช้อุปจาระสมาธิโยนิโสมนสิการ
..ส่วนในวิชชา ๓ เตวิชโช ขึ้นไปท่านเข้าปฏิบัติกรรมฐานตามที่พระพุทธศาสดาตรัสสอน กรรมฐาน ๔๐ ครบลงฌาณ เข้าฌาณทำวิปัสสนา สมดั่งพระพุทธศาสดาตรัสไว้ในแต่ละฌาณบรรลุธรรมได้ด้วยฌาณนั้นๆ ทำให้เห็นเยอะกว่าสุกขวิปัสสก
..คนอาศัยเวทนาลัดทำอรูปบ้าง เรียนอรูปโดยไม่ทำรูปฌาณบ้าง ก็ไม่ได้หมายความว่าบรรลุธรรม หรือได้ปฏิสัมทัปปัตโต :b53: :b53:

ขออนุโมทนาครับ

:b8: :b8: :b8:

รู้สึกออกนอกทางหัวข้อกระทู้มาเยอะเลย กลายเป็นเอาความหลงมาโม้กัน :b32: :b32: :b32:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


แก้ไขล่าสุดโดย แค่อากาศ เมื่อ 08 ก.พ. 2019, 10:21, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2019, 09:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ถ้ายอมรับกันว่า นี่ก็เป็นธรรมะ (ไม่ยอมรับก็แล้วไป) แล้วหัวเราะได้ไหม ?


ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้า ได้ตรัสแสดงเหตุผลในการที่จะมีทรัพย์ หรือประโยชน์ที่ควรถือเอาจากทรัพย์สมบัติ แก่อนาถบิณฑิกคฤหบดี โดยตรัสให้เหมาะกับสภาพสังคมสมัยนั้น พึงพิจารณาจับเอาสารัตถะตามสมควร ดังต่อไปนี้


"ดูกรคฤหบดี ประโยชน์ที่ควรถือเอาแห่งโภคะทั้งหลาย มี ๕ ประการ ดังนี้ คือ


๑) ด้วยโภคะที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร เก็บรวบรวมขึ้นด้วยกำลังแขน อย่างอาบเหงื่อต่างน้ำ ซึ่งเป็นของชอบธรรม ได้มาโดยธรรม อริยสาวก ย่อมเลี้ยงตัวให้เป็นสุข ให้เอิบอิ่ม เอาใจใส่ดูแลตนให้เป็นสุขโดยชอบ ย่อมเลี้ยงมารดาบิดา...บุตรภรรยา คนรับใช้กรรมกรคนงาน ให้เป็นสุข ให้เอิบอิ่ม เอาใจใส่ดูแลให้เป็นสุขโดยชอบ นี้คือ ประโยชน์ที่ควรถือเอาแห่งโภคะ ข้อที่ ๑


๒) อีกประการหนึ่ง ด้วยโภคะที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร....ได้มาโดยธรรม อริยสาวก ย่อมเลี้ยงมิตรสหาย และผู้ร่วมกิจการงานทั้งหลาย ให้เป็นสุข ให้เอิบอิ่ม เอาใจใส่ดูแลให้เป็นสุขโดยชอบ นี้คือ ประโยชน์ที่ควรถือเอาแห่งโภคะ ข้อที่ ๒


๓) อีกประการหนึ่ง ด้วยโภคะที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร....ได้มาโดยธรรม อริยสาวก ย่อมป้องกันโภคะจากยันตราย ที่จะเกิดแต่ไฟ น้ำ พระราชา โจร หรือทายาทอัปรีย์ ทำตนให้สวัสดี นี้คือ ประโยชน์ที่ควรถือเอาแห่งโภคะ ข้อที่ ๓


๔) อีกประการหนึ่ง ด้วยโภคะที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร....ได้มาโดยธรรม อริยสาวก ย่อมกระทำพลีกรรม ๕ อย่าง คือ ญาติพลี (สงเคราะห์ญาติ) อติถิพลี (ต้อนรับแขก) ปุพพเปตพลี (ทำบุญอุทิศผู้ล่วงลับ) ราชพลี (บำรุงราชการ-เสียภาษี) เทวตาพลี (ถวายเทวดาหรือบำรุงศาสนา) นี้คือ ประโยชน์ที่ควรถือเอาแห่งโภคะ ข้อที่ ๔


๕) อีกประการหนึ่ง ด้วยโภคะที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร....ได้มาโดยธรรม อริยสาวก ย่อมประดิษฐานทักขิณาอันส่งผลสูง อันอำนวยอารมณ์ดีงาม มีผลเป็นสุข เป็นไปเพื่อสวรรค์ ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้เว้นจากความมัวเมาประมาท ตั้งอยู่ในขันติโสรัจจะ ซึ่งฝึกฝนตนเอง ทำตนเองให้สงบ ทำตนเองให้หายร้อนกิเลสได้ นี้คือ ประโยชน์ที่ควรถือเอาแห่งโภคะ ข้อที่ ๕

"คหบดี ประโยชน์ที่ควรถือเอาแห่งโภคะมี ๕ ประการเหล่านี้แล"


"ถ้าเมื่ออริยสาวกนั้นถือเอาอยู่ ซึ่งประโยชน์ที่ควรถือเอาแห่งโภคะ ๕ ประการเหล่านี้ โภคะหมดสิ้นไป เขาย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า อันใดเป็นประโยชน์ที่ควรถือเอาแห่งโภคะ ประโยชน์เหล่านั้นเราก็ถือเอาแล้ว และโภคะของเราก็หมดสิ้นไป โดยนัยนี้ อริยสาวกนั้นก็ไม่มีความเดือดร้อนใจ

"และหากว่า เมื่ออริยสาวกนั้นถือเอาอยู่ ซึ่งประโยชน์ที่ควรถือเอาแห่งโภคะ ๕ ประการเหล่านี้ โภคะทรัพย์เพิ่มพูนยิ่งขึ้น โดยนัยนี้ อริยสาวกนั้นก็ไม่มีความเดือดร้อนใจ เป็นอันไม่มีความเดือดร้อนใจทั้งสองกรณี" *(องฺ.ปญฺจก.22/41/48)



สาธุท่านกรัซกาย ที่ท่านยกมานี้เข้สกับหัวข้อกระทู้ดีด้วยครับ แม้จะยกมาคุยแสดงกับท่านทริปเปิ้ลเอสก็มีประโยชน์มากครับ

ขออนุโมทนาครับ

เมื่อมีโภคะ ๕ ประการ ก็ต้องมี..
๑. หัวใจนักปราชญ์ สุ จิ ปุ ลิ
๒. หัวใจเศรษฐี อุ อา กะ สะ
๓. ทรัพย์ ๕ ประการ
๔. อริยะทรัพย์ ๗ ประการ

ฯลฯ

..เชิญยกหัวข้อสนทนาครับเพื่อสติปัญญาในการดำรงชีพด้วยธรรม อันเป็นเหตุสะสมใน สุจริต ๓ นั่นเองซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายของกระทู้นี้ ที่กล่าวทั้งเหตุ กล่าวทั้งปัจจัย กล่างทั้งผล สาธยายให้เจริญง่าย และ สามารถเจริญเหตุสะสมได้ไม่ว่าฆราวาส หรือสงฆ์ ทำให้ธรรมมะไม่ใช่เรื่องไกลตัว ไม่น่าเบื่อปฏิบัติยากอักต่อไปครับ

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2019, 13:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
โลกสวย เขียน:
ลองปฏิบัติให้ได้ฌาณนะครับ พอเมื่อปฏิบัติไป จะเข้าใจรู้จัก วิจาร วิจารคืออะไร ก็ตัวรื่องราวของสิ่งที่ตรึกนั้นแหละคือวิจาร เพื่อละอกุศลวิตก และอกุศลวิจาร การกรรมฐานจึงมี พุทโธ เป็นวิตก มีวิจารคือลม แต่คิดว่าถึงพูดไปก็คงไม่เกิดประโยชน์ คนที่ท่องจำกับคนที่ปฏิบัติจะเรียนรู้ ทำความรู้ความเข้าใจมาต่างกัน ส่วนคนที่มีทั้งปริยัติ ปฏฺบัติ ถึง ปฏิเวท ก็จะรู้ทั้ง 2 อย่าง ไม่มีสิ่งใดขัดกันเลย ซึ่งผมก็ชี้แจงครบทั้ง 2 อย่าง ลองปฏิบัติดูก่อนครับแล้วจะเข้าใจ คนที่ท่องจำโดยมากรู้จักแต่วิตก วิจารรู้แต่บัญญัติ รู้แต่ว่าตรอง รู้แต่ว่าแนบอารมณ์ แต่ไม่เคยเข้าใจจริงๆว่าคืออะไร ซึ่งจะมีแค่คนที่ปฏิบัติเท่านั้นที่จะเห็น วิตก แยกวิจาร ครับ


ก๊ากๆๆๆ

นี่คือความรู้ผิดๆ ของคุณแค่อากาศ ที่ไม่ได้ผ่านการศึกษา 84000 พระธรรมขันธ์มาเรย

เรยไม่รู้ว่าวิปัสสนา ไม่ได้มีฌาน เป็นอารมณ์
แต่ ฌาน ที่ถูกต้อง จะเกิดขึ้นประกอบ กับ มรรคจิต เป็นไปด้วยอำนาจของวิปัสสนา
เมื่อบุคคลนั้นๆ บรรลุวิปัสสนาญาน

ที่ถูกต้อง ตามพุทธวิชาตามคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

วิปัสสนา จึง ไม่ต้องเจริญ ฌาน


นี่แค่คำของคุณแค่อากาศ ไม่กี่บันทัด ยังมั่วแหลก ผิดเพี้ยนไปจากพระปริยัติ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงหลายประการ

นับเป็นตัวอย่าง คนที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรม 84000 พระธรรมขันธ์มาเรย


สาธุ พูดดีๆก็เป็นนี่ น่ารักขึ้นเยอะเลยนะเม อย่างนี้มันดูเมงามขึ้นมาเลย ถ้าลดความไร้สาระตามกิเลสลงได้จะงามกว่านี้มาก

..คนที่รู้จักพุทโธแค่คำบริกรรมก็เข้าใจอย่างเมพูดนั่นแหละ แต่ที่ปฏิบัติจริงคนที่ถึงพุทโธ ท่านมีจิตเป็นผู้รู้ คือรู้เห็นของจริงต่างหากจากสมมติกิเลสของปลอม จิตเป็นผู้ตื่น ตื่นจากสมมติกิเลสของปลอมจิตน้อมลงตรงมรรคผลนิพพาน ทำความแยบคายเบิกบานพ้นจากสมมติกิเลสของปลอม เป็นจิตของคนถึงพุทโธ พุทโธเป็นพระอริยะสัจ ๔ รู้ทุกข์ เห็นสมุทัย ตื่นจากทุกข์ ละสมุทัย ตื่นจากสมุทัยเดินมรรค ถึงมรรค เบิกบานด้วยผล ผลอันเบิกบานพ้นแล้วจากสมมติกิเลวของปลอมคือนิโรธ นี่คือจิตเป็นพุทโธ

..ที่เมกล่าวมา การอาศัยท่องจำคิดตามเอามันไม่เห็นจริงหรอก ทุกวันนี้ที่เมท่องจำก็ยังไม่เห็นจริงเลย เห็นแต่ตัวหนังสือ คนที่เห็นจริงถึงมรรคถึงผล ความคิดจะไม่มีอกุศล จะไม่มีวาจาประการใดด้วยกิเลส ไม่กระทำด้วยกิเลส ใจปล่อยละ วางง่าย ฉลาดในธรรม
..ที่เมพูดมาล้วนพยายามกล่าวพูดตามความการบรรลุธรรมสายสุกขวิปัสสก เพราะปฏิบัติไม่มากบรรลุไว แต่ต่อให้อ่านจำให้ตายหากเหตุไม้เต็มก็ได้แค่ท่องจำ สายนี้ท่านจะอาศัยอุปจาระฌาณ เข้าได้หลายๆชั่วโมงไม่อาศัยฌาณทำวิปัสสนา ซึ่งท่านไปไวจริง ปัญญามากแต่เห็นไม่ครบหมด ไม่ใช่สายนี้ท่านไม่มีสมาธิ ไม่เจริญสมาธิ หรือไม่เจริญถึงฌาณ แต่ว่าท่านใช้อุปจาระสมาธิโยนิโสมนสิการ
..ส่วนในวิชชา ๓ เตวิชโช ขึ้นไปท่านเข้าปฏิบัติกรรมฐานตามที่พระพุทธศาสดาตรัสสอน กรรมฐาน ๔๐ ครบลงฌาณ เข้าฌาณทำวิปัสสนา สมดั่งพระพุทธศาสดาตรัสไว้ในแต่ละฌาณบรรลุธรรมได้ด้วยฌาณนั้นๆ ทำให้เห็นเยอะกว่าสุกขวิปัสสก
..คนอาศัยเวทนาลัดทำอรูปบ้าง เรียนอรูปโดยไม่ทำรูปฌาณบ้าง ก็ไม่ได้หมายความว่าบรรลุธรรม หรือได้ปฏิสัมทัปปัตโต :b53: :b53:

ขออนุโมทนาครับ

:b8: :b8: :b8:

รู้สึกออกนอกทางหัวข้อกระทู้มาเยอะเลย กลายเป็นเอาความหลงมาโม้กัน :b32: :b32: :b32:


ก๊ากๆๆ

คุณแค่อากาศ แสดงความตื้นเขินออกมาอีก เพราะไม่ได้เรียนปริยัติ
ไม่ได้ศึกษาพระธรรม 84000 พระธรรมขันธ์มาเรย


เรยเข้าใจผิดๆๆๆๆ ไม่รู้ว่า

สมถะพุทโธ ไม่สามารถทำให้เป็นพระอนาคามีบุคคลได้
ต้องวิปัสสนา ตามพุทธวิชชาเท่านั้น

ผู้รู้ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อย่างสมถะ จึงไม่ตื่น

เปรียบเทียบไม่ได้เรย กะผู้รู้ผุ้ตื่น ผู้เบิกบาน แบบพระอรหันต์
แบบพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า

ก๊ากๆๆๆ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 274 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13 ... 19  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 124 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร