วันเวลาปัจจุบัน 28 เม.ย. 2024, 17:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 92 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2018, 17:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss

พระเทวทัตเป็นพระญาติได้สมาบัติด้วยทำไมตกนรกคะ
:b12:
:b4: :b4:



กรรมไงครับคุณโรส :b32: :b32: :b32: อย่าบอกนะว่าไม่เคยรู้ว่าพระเทวทัตทำผิดอะไรไว้ อิอิ
อภิญญา ๕ อรูปฌาณ ๔ ที่พระเทวทัตได้เป็นแค่โลกียฌาณ อย่าบอกนะครับว่าไม่รู้ตรงนี้ด้วย
- คุณโรสรู้ แต่แค่อยากถามใช่ไหมครับ เพื่อรอดูคำตอบว่าตรงใจตนไหม


Rosarin เขียน:
พระแปลว่าผู้ประเสริฐ
พุทธะแปลว่ารู้ ตื่น เบิกบาน
ศาสนาแปลว่าคำสอน

พระพุทธศาสนาคือคำสอนของผู้ประเสริฐที่รู้ตื่นเบิกบานในธัมมะ

และพระรัตนตรัยสูงสุดคือพระพุทธเจ้าเป็นศาสดา

และทรงยกคำสอนขึ้นแทนพระองค์

ศาสนา=คำสอน=ศาสดา

พระพุทธเจ้าเอาเงินมาแจกไหมคะ

ยังมีข้อห้ามบรรพชิตยินดีในการรับเงินทองและรูปิยะ(สิ่งที่ใช้แทนเงิน)


- พระพุทธเจ้าแจกไงครับก่อนบารมีเต็ม สมัยที่เสวยชาติเป็นพระเวสสันดรทำมากโขเลย แม้กาลก่อนก็มทำแต่เด่่นสุดคือพระเวสสันดร :b32: :b32: อย่าบอกนะว่าเรียนอภิธรรมแต่ไม่รู้ ทศชาติชาดก
- คุณโรสรู้ แต่แค่อยากถามใช่ไหมครับ เพื่อรอดูคำตอบว่าตรงใจตนไหม

- ทานของคุณโรสคือเงินเท่านั้นหราครับ ผมไม่เคยพูดนะว่าต้องให้เฉพาะเงินนี่ครับ ผมกล่าวว่า โภคทรัพย์สมบัติ ถวายภัตราหาร สิ่งขอเครื่องใช้ คือของอุปโภค บริโภค รวมทั้งเงินด้วย การเปลี่ยนเงินให้เป็นบุญ ไม่ได้หมายถึงว่าเอาเงินไปให้พระนี่ครับ เราเอาเงินซื้อน้ำซื้อข้าวถวายพระก็เป็นการเปลี่ยนเงินเป็นบุญ นี่อย่าบอกนะครับว่าคุณโรสไม่เคยรู้เลย :b32: :b32: :b32:
- คุณโรสรู้ แต่แค่อยากถามใช่ไหมครับ เพื่อรอดูคำตอบว่าตรงใจตนไหม

- ในพระไตรไม่มีการกล่าวถึงทานที่พระพุทธเจ้าสอนหรอครับ แล้วในอภิธรรมไม่มีทานจิตหรอครับ ..ย่อมมีใช่ไหมครับ "การให้ธรรมทาน..หากเรายังไม่มีแม้อามิสทาน แล้วจะไปเอาธรรมที่ไหนมาให้ทานเขาได้ ธรรมทานที่ให้ก็เป็นของปลอมไปในทันที" :b32: :b32: :b32:
- คุณโรสรู้ แต่แค่อยากถามใช่ไหมครับ เพื่อรอดูคำตอบว่าตรงใจตนไหม

ขอบคุณท่านโรสรินที่กรุณาตั้งกระทู้ถามพอให้ผมได้มีโอกาสสนทนาธรรมด้วยนะครับ :b8: :b8: :b8:
- เพื่อให้ผมชี้ให้เห็นได้ว่า อภิญญา อรูปฌาณ ก็มมีทั้งโลกียะและโลกุตระ ดังนั้นหากยังไม่บรรลุอรหันต์เพียงไรก็อย่าหลงไปตามกำลังจิตที่ข่มจิตไว้อยู่
- เพื่อให้ผมชี้ให้เห็นได้ว่า พระพุทธเจ้า พระบรมศาสดาก็ทำบารมีทานเป็นอันมาก เพื่อให้อิ่มเต็มกำลังใจ จนเมื่อถึงกาลตรัสรู้ ควรแก่การเป็นผู้รับ
- เพื่อให้ผมชี้ให้เห็นได้ว่า พระวินัยที่พระพุทธศาสดาทรงบัญญัติขึ้นไม่ได้ห้ามภิกษุรับเงิน แต่ให้รับเงินอันผู้เลื่อมใสนั้นถวายให้เอาเก็ยไว้กับทายกผู้ดูแล เมื่อจำเป็นต้องใช้จ่ายก็ให้บอกทายกนำสิ่งของที่มีค่าเท่าจำนวนเงินนั้นมาถวาย พระป่าท่านจึงมีใบปวารณา ไม่รับเงินโดยตรง หรือให้เก็บไว้ในที่อันสมควรเมื่อใช้ก็ให้ทายกนั้นจับจ่ายใช้สอยถวาย

:b12:
ไม่มีอะไรวุ่นวายต้องคิดยาวให้ยุ่งยากเช็คเอาไปขึ้นเงินก็คือรูปียะ
พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ว่าภิกษุที่รับเงินคือโจร
ปล้นศาสนาคือไม่บอกชาวบ้านว่ารับเงินไม่ได้
แถมทำเป็นปกติใช้จ่ายซื้อขายแลกเปลี่ยน
เหมือนเดิมทำตามนิสัยเดิมก่อนบวชไงคะ
บรรพชาแปลว่าสละเพศคฤหัสถ์หมด
อาบัติเป็นปกติคือมิจฉาชีพดีๆนี่เอง
มีคำเรียกหลายคำภิกษุลามก
อลัชชีมหาโจรเศรษฐีหัวโล้น
ปล้นคำสอนคือจอมปลอม
บวชไม่ทำตามสิกขาบท
แต่ทำเพื่อต้องการลาภ
สักการะต่างๆเขาให้
ภิกษุในธรรมวินัย
ปล้นปัจจัย4ของ
ทักขิไณยบุคคล
คำสอนตรงมาก
ไม่มีรับก่อนค่อย
มาปลงอาบัตินะ
บวชไม่เรียนด้วยดี
คิดเองทำตามกิเลส
อยากบวชด้วยกิเลส
หิวเงินมากกันนักหรือ
ไปไหนกันล่ะอบายภูมิน๊า
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2018, 19:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss

พระเทวทัตเป็นพระญาติได้สมาบัติด้วยทำไมตกนรกคะ
:b12:
:b4: :b4:



กรรมไงครับคุณโรส :b32: :b32: :b32: อย่าบอกนะว่าไม่เคยรู้ว่าพระเทวทัตทำผิดอะไรไว้ อิอิ
อภิญญา ๕ อรูปฌาณ ๔ ที่พระเทวทัตได้เป็นแค่โลกียฌาณ อย่าบอกนะครับว่าไม่รู้ตรงนี้ด้วย
- คุณโรสรู้ แต่แค่อยากถามใช่ไหมครับ เพื่อรอดูคำตอบว่าตรงใจตนไหม


Rosarin เขียน:
พระแปลว่าผู้ประเสริฐ
พุทธะแปลว่ารู้ ตื่น เบิกบาน
ศาสนาแปลว่าคำสอน

พระพุทธศาสนาคือคำสอนของผู้ประเสริฐที่รู้ตื่นเบิกบานในธัมมะ

และพระรัตนตรัยสูงสุดคือพระพุทธเจ้าเป็นศาสดา

และทรงยกคำสอนขึ้นแทนพระองค์

ศาสนา=คำสอน=ศาสดา

พระพุทธเจ้าเอาเงินมาแจกไหมคะ

ยังมีข้อห้ามบรรพชิตยินดีในการรับเงินทองและรูปิยะ(สิ่งที่ใช้แทนเงิน)


- พระพุทธเจ้าแจกไงครับก่อนบารมีเต็ม สมัยที่เสวยชาติเป็นพระเวสสันดรทำมากโขเลย แม้กาลก่อนก็มทำแต่เด่่นสุดคือพระเวสสันดร :b32: :b32: อย่าบอกนะว่าเรียนอภิธรรมแต่ไม่รู้ ทศชาติชาดก
- คุณโรสรู้ แต่แค่อยากถามใช่ไหมครับ เพื่อรอดูคำตอบว่าตรงใจตนไหม

- ทานของคุณโรสคือเงินเท่านั้นหราครับ ผมไม่เคยพูดนะว่าต้องให้เฉพาะเงินนี่ครับ ผมกล่าวว่า โภคทรัพย์สมบัติ ถวายภัตราหาร สิ่งขอเครื่องใช้ คือของอุปโภค บริโภค รวมทั้งเงินด้วย การเปลี่ยนเงินให้เป็นบุญ ไม่ได้หมายถึงว่าเอาเงินไปให้พระนี่ครับ เราเอาเงินซื้อน้ำซื้อข้าวถวายพระก็เป็นการเปลี่ยนเงินเป็นบุญ นี่อย่าบอกนะครับว่าคุณโรสไม่เคยรู้เลย :b32: :b32: :b32:
- คุณโรสรู้ แต่แค่อยากถามใช่ไหมครับ เพื่อรอดูคำตอบว่าตรงใจตนไหม

- ในพระไตรไม่มีการกล่าวถึงทานที่พระพุทธเจ้าสอนหรอครับ แล้วในอภิธรรมไม่มีทานจิตหรอครับ ..ย่อมมีใช่ไหมครับ "การให้ธรรมทาน..หากเรายังไม่มีแม้อามิสทาน แล้วจะไปเอาธรรมที่ไหนมาให้ทานเขาได้ ธรรมทานที่ให้ก็เป็นของปลอมไปในทันที" :b32: :b32: :b32:
- คุณโรสรู้ แต่แค่อยากถามใช่ไหมครับ เพื่อรอดูคำตอบว่าตรงใจตนไหม

ขอบคุณท่านโรสรินที่กรุณาตั้งกระทู้ถามพอให้ผมได้มีโอกาสสนทนาธรรมด้วยนะครับ :b8: :b8: :b8:
- เพื่อให้ผมชี้ให้เห็นได้ว่า อภิญญา อรูปฌาณ ก็มมีทั้งโลกียะและโลกุตระ ดังนั้นหากยังไม่บรรลุอรหันต์เพียงไรก็อย่าหลงไปตามกำลังจิตที่ข่มจิตไว้อยู่
- เพื่อให้ผมชี้ให้เห็นได้ว่า พระพุทธเจ้า พระบรมศาสดาก็ทำบารมีทานเป็นอันมาก เพื่อให้อิ่มเต็มกำลังใจ จนเมื่อถึงกาลตรัสรู้ ควรแก่การเป็นผู้รับ
- เพื่อให้ผมชี้ให้เห็นได้ว่า พระวินัยที่พระพุทธศาสดาทรงบัญญัติขึ้นไม่ได้ห้ามภิกษุรับเงิน แต่ให้รับเงินอันผู้เลื่อมใสนั้นถวายให้เอาเก็ยไว้กับทายกผู้ดูแล เมื่อจำเป็นต้องใช้จ่ายก็ให้บอกทายกนำสิ่งของที่มีค่าเท่าจำนวนเงินนั้นมาถวาย พระป่าท่านจึงมีใบปวารณา ไม่รับเงินโดยตรง หรือให้เก็บไว้ในที่อันสมควรเมื่อใช้ก็ให้ทายกนั้นจับจ่ายใช้สอยถวาย

:b12:
ไม่มีอะไรวุ่นวายต้องคิดยาวให้ยุ่งยากเช็คเอาไปขึ้นเงินก็คือรูปียะ
พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ว่าภิกษุที่รับเงินคือโจร
ปล้นศาสนาคือไม่บอกชาวบ้านว่ารับเงินไม่ได้
แถมทำเป็นปกติใช้จ่ายซื้อขายแลกเปลี่ยน
เหมือนเดิมทำตามนิสัยเดิมก่อนบวชไงคะ
บรรพชาแปลว่าสละเพศคฤหัสถ์หมด
อาบัติเป็นปกติคือมิจฉาชีพดีๆนี่เอง
มีคำเรียกหลายคำภิกษุลามก
อลัชชีมหาโจรเศรษฐีหัวโล้น
ปล้นคำสอนคือจอมปลอม
บวชไม่ทำตามสิกขาบท
แต่ทำเพื่อต้องการลาภ
สักการะต่างๆเขาให้
ภิกษุในธรรมวินัย
ปล้นปัจจัย4ของ
ทักขิไณยบุคคล
คำสอนตรงมาก
ไม่มีรับก่อนค่อย
มาปลงอาบัตินะ
บวชไม่เรียนด้วยดี
คิดเองทำตามกิเลส
อยากบวชด้วยกิเลส
หิวเงินมากกันนักหรือ
ไปไหนกันล่ะอบายภูมิน๊า
:b12:
:b32: :b32:


คุณรสก็อย่าใจแคบสิ่ ... :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2018, 19:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss

พระเทวทัตเป็นพระญาติได้สมาบัติด้วยทำไมตกนรกคะ
:b12:
:b4: :b4:



กรรมไงครับคุณโรส :b32: :b32: :b32: อย่าบอกนะว่าไม่เคยรู้ว่าพระเทวทัตทำผิดอะไรไว้ อิอิ
อภิญญา ๕ อรูปฌาณ ๔ ที่พระเทวทัตได้เป็นแค่โลกียฌาณ อย่าบอกนะครับว่าไม่รู้ตรงนี้ด้วย
- คุณโรสรู้ แต่แค่อยากถามใช่ไหมครับ เพื่อรอดูคำตอบว่าตรงใจตนไหม


Rosarin เขียน:
พระแปลว่าผู้ประเสริฐ
พุทธะแปลว่ารู้ ตื่น เบิกบาน
ศาสนาแปลว่าคำสอน

พระพุทธศาสนาคือคำสอนของผู้ประเสริฐที่รู้ตื่นเบิกบานในธัมมะ

และพระรัตนตรัยสูงสุดคือพระพุทธเจ้าเป็นศาสดา

และทรงยกคำสอนขึ้นแทนพระองค์

ศาสนา=คำสอน=ศาสดา

พระพุทธเจ้าเอาเงินมาแจกไหมคะ

ยังมีข้อห้ามบรรพชิตยินดีในการรับเงินทองและรูปิยะ(สิ่งที่ใช้แทนเงิน)


- พระพุทธเจ้าแจกไงครับก่อนบารมีเต็ม สมัยที่เสวยชาติเป็นพระเวสสันดรทำมากโขเลย แม้กาลก่อนก็มทำแต่เด่่นสุดคือพระเวสสันดร :b32: :b32: อย่าบอกนะว่าเรียนอภิธรรมแต่ไม่รู้ ทศชาติชาดก
- คุณโรสรู้ แต่แค่อยากถามใช่ไหมครับ เพื่อรอดูคำตอบว่าตรงใจตนไหม

- ทานของคุณโรสคือเงินเท่านั้นหราครับ ผมไม่เคยพูดนะว่าต้องให้เฉพาะเงินนี่ครับ ผมกล่าวว่า โภคทรัพย์สมบัติ ถวายภัตราหาร สิ่งขอเครื่องใช้ คือของอุปโภค บริโภค รวมทั้งเงินด้วย การเปลี่ยนเงินให้เป็นบุญ ไม่ได้หมายถึงว่าเอาเงินไปให้พระนี่ครับ เราเอาเงินซื้อน้ำซื้อข้าวถวายพระก็เป็นการเปลี่ยนเงินเป็นบุญ นี่อย่าบอกนะครับว่าคุณโรสไม่เคยรู้เลย :b32: :b32: :b32:
- คุณโรสรู้ แต่แค่อยากถามใช่ไหมครับ เพื่อรอดูคำตอบว่าตรงใจตนไหม

- ในพระไตรไม่มีการกล่าวถึงทานที่พระพุทธเจ้าสอนหรอครับ แล้วในอภิธรรมไม่มีทานจิตหรอครับ ..ย่อมมีใช่ไหมครับ "การให้ธรรมทาน..หากเรายังไม่มีแม้อามิสทาน แล้วจะไปเอาธรรมที่ไหนมาให้ทานเขาได้ ธรรมทานที่ให้ก็เป็นของปลอมไปในทันที" :b32: :b32: :b32:
- คุณโรสรู้ แต่แค่อยากถามใช่ไหมครับ เพื่อรอดูคำตอบว่าตรงใจตนไหม

ขอบคุณท่านโรสรินที่กรุณาตั้งกระทู้ถามพอให้ผมได้มีโอกาสสนทนาธรรมด้วยนะครับ :b8: :b8: :b8:
- เพื่อให้ผมชี้ให้เห็นได้ว่า อภิญญา อรูปฌาณ ก็มมีทั้งโลกียะและโลกุตระ ดังนั้นหากยังไม่บรรลุอรหันต์เพียงไรก็อย่าหลงไปตามกำลังจิตที่ข่มจิตไว้อยู่
- เพื่อให้ผมชี้ให้เห็นได้ว่า พระพุทธเจ้า พระบรมศาสดาก็ทำบารมีทานเป็นอันมาก เพื่อให้อิ่มเต็มกำลังใจ จนเมื่อถึงกาลตรัสรู้ ควรแก่การเป็นผู้รับ
- เพื่อให้ผมชี้ให้เห็นได้ว่า พระวินัยที่พระพุทธศาสดาทรงบัญญัติขึ้นไม่ได้ห้ามภิกษุรับเงิน แต่ให้รับเงินอันผู้เลื่อมใสนั้นถวายให้เอาเก็ยไว้กับทายกผู้ดูแล เมื่อจำเป็นต้องใช้จ่ายก็ให้บอกทายกนำสิ่งของที่มีค่าเท่าจำนวนเงินนั้นมาถวาย พระป่าท่านจึงมีใบปวารณา ไม่รับเงินโดยตรง หรือให้เก็บไว้ในที่อันสมควรเมื่อใช้ก็ให้ทายกนั้นจับจ่ายใช้สอยถวาย

:b12:
ไม่มีอะไรวุ่นวายต้องคิดยาวให้ยุ่งยากเช็คเอาไปขึ้นเงินก็คือรูปียะ
พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ว่าภิกษุที่รับเงินคือโจร
ปล้นศาสนาคือไม่บอกชาวบ้านว่ารับเงินไม่ได้
แถมทำเป็นปกติใช้จ่ายซื้อขายแลกเปลี่ยน
เหมือนเดิมทำตามนิสัยเดิมก่อนบวชไงคะ
บรรพชาแปลว่าสละเพศคฤหัสถ์หมด
อาบัติเป็นปกติคือมิจฉาชีพดีๆนี่เอง
มีคำเรียกหลายคำภิกษุลามก
อลัชชีมหาโจรเศรษฐีหัวโล้น
ปล้นคำสอนคือจอมปลอม
บวชไม่ทำตามสิกขาบท
แต่ทำเพื่อต้องการลาภ
สักการะต่างๆเขาให้
ภิกษุในธรรมวินัย
ปล้นปัจจัย4ของ
ทักขิไณยบุคคล
คำสอนตรงมาก
ไม่มีรับก่อนค่อย
มาปลงอาบัตินะ
บวชไม่เรียนด้วยดี
คิดเองทำตามกิเลส
อยากบวชด้วยกิเลส
หิวเงินมากกันนักหรือ
ไปไหนกันล่ะอบายภูมิน๊า
:b12:
:b32: :b32:



คุณโรสถวายข้าวปลาอาหารไม่เป็นหรอครับ ถึงพูดแต่เงิน นี่แสดงว่าคุณโรสสำคัญใจแค่เงิน คิดถึงแต่เงิน เป็นผู้มักโลภ จึงกล่าวถึงแต่เงิน :b14: :b14: :b14:

โลภไม่ใช่น้อยนะครับคุณโรส :b9: :b9: :b9: :b9:

- การถวายทานภิกษุ ผมบอกไปแล้วนี่ครับว่าไม่ใช่แค่เงิน สิ่งของอุปโภคบริโภค คือ ปัจจัย ๔ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค

- คุณโรสไม่รู้ใช่ไหมครับว่านี่เป็นการถวายทานภัตรหาร เพราะไม่เคยทำจึงกล่าวถึงแต่เงินๆๆๆๆ :b32: :b32: :b32:

- ดังนี้แล้วจะเอาธรรมทานที่ไหนไปให้คนอื่นได้เล่า ขนาดเพียงเท่านี้ยังไม่เคยทำ ทำไม่ได้ คุณโรสโตพอจะมีวุฒิภาวะที่ดีจะรับรู้ได้แล้วนะครับ ถ้ายังอยู่แค่นี้ก็น่าเสียดายครับ

:b14: :b14: :b14:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2018, 21:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
Rosarin เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss

พระเทวทัตเป็นพระญาติได้สมาบัติด้วยทำไมตกนรกคะ
:b12:
:b4: :b4:



กรรมไงครับคุณโรส :b32: :b32: :b32: อย่าบอกนะว่าไม่เคยรู้ว่าพระเทวทัตทำผิดอะไรไว้ อิอิ
อภิญญา ๕ อรูปฌาณ ๔ ที่พระเทวทัตได้เป็นแค่โลกียฌาณ อย่าบอกนะครับว่าไม่รู้ตรงนี้ด้วย
- คุณโรสรู้ แต่แค่อยากถามใช่ไหมครับ เพื่อรอดูคำตอบว่าตรงใจตนไหม


Rosarin เขียน:
พระแปลว่าผู้ประเสริฐ
พุทธะแปลว่ารู้ ตื่น เบิกบาน
ศาสนาแปลว่าคำสอน

พระพุทธศาสนาคือคำสอนของผู้ประเสริฐที่รู้ตื่นเบิกบานในธัมมะ

และพระรัตนตรัยสูงสุดคือพระพุทธเจ้าเป็นศาสดา

และทรงยกคำสอนขึ้นแทนพระองค์

ศาสนา=คำสอน=ศาสดา

พระพุทธเจ้าเอาเงินมาแจกไหมคะ

ยังมีข้อห้ามบรรพชิตยินดีในการรับเงินทองและรูปิยะ(สิ่งที่ใช้แทนเงิน)


- พระพุทธเจ้าแจกไงครับก่อนบารมีเต็ม สมัยที่เสวยชาติเป็นพระเวสสันดรทำมากโขเลย แม้กาลก่อนก็มทำแต่เด่่นสุดคือพระเวสสันดร :b32: :b32: อย่าบอกนะว่าเรียนอภิธรรมแต่ไม่รู้ ทศชาติชาดก
- คุณโรสรู้ แต่แค่อยากถามใช่ไหมครับ เพื่อรอดูคำตอบว่าตรงใจตนไหม

- ทานของคุณโรสคือเงินเท่านั้นหราครับ ผมไม่เคยพูดนะว่าต้องให้เฉพาะเงินนี่ครับ ผมกล่าวว่า โภคทรัพย์สมบัติ ถวายภัตราหาร สิ่งขอเครื่องใช้ คือของอุปโภค บริโภค รวมทั้งเงินด้วย การเปลี่ยนเงินให้เป็นบุญ ไม่ได้หมายถึงว่าเอาเงินไปให้พระนี่ครับ เราเอาเงินซื้อน้ำซื้อข้าวถวายพระก็เป็นการเปลี่ยนเงินเป็นบุญ นี่อย่าบอกนะครับว่าคุณโรสไม่เคยรู้เลย :b32: :b32: :b32:
- คุณโรสรู้ แต่แค่อยากถามใช่ไหมครับ เพื่อรอดูคำตอบว่าตรงใจตนไหม

- ในพระไตรไม่มีการกล่าวถึงทานที่พระพุทธเจ้าสอนหรอครับ แล้วในอภิธรรมไม่มีทานจิตหรอครับ ..ย่อมมีใช่ไหมครับ "การให้ธรรมทาน..หากเรายังไม่มีแม้อามิสทาน แล้วจะไปเอาธรรมที่ไหนมาให้ทานเขาได้ ธรรมทานที่ให้ก็เป็นของปลอมไปในทันที" :b32: :b32: :b32:
- คุณโรสรู้ แต่แค่อยากถามใช่ไหมครับ เพื่อรอดูคำตอบว่าตรงใจตนไหม

ขอบคุณท่านโรสรินที่กรุณาตั้งกระทู้ถามพอให้ผมได้มีโอกาสสนทนาธรรมด้วยนะครับ :b8: :b8: :b8:
- เพื่อให้ผมชี้ให้เห็นได้ว่า อภิญญา อรูปฌาณ ก็มมีทั้งโลกียะและโลกุตระ ดังนั้นหากยังไม่บรรลุอรหันต์เพียงไรก็อย่าหลงไปตามกำลังจิตที่ข่มจิตไว้อยู่
- เพื่อให้ผมชี้ให้เห็นได้ว่า พระพุทธเจ้า พระบรมศาสดาก็ทำบารมีทานเป็นอันมาก เพื่อให้อิ่มเต็มกำลังใจ จนเมื่อถึงกาลตรัสรู้ ควรแก่การเป็นผู้รับ
- เพื่อให้ผมชี้ให้เห็นได้ว่า พระวินัยที่พระพุทธศาสดาทรงบัญญัติขึ้นไม่ได้ห้ามภิกษุรับเงิน แต่ให้รับเงินอันผู้เลื่อมใสนั้นถวายให้เอาเก็ยไว้กับทายกผู้ดูแล เมื่อจำเป็นต้องใช้จ่ายก็ให้บอกทายกนำสิ่งของที่มีค่าเท่าจำนวนเงินนั้นมาถวาย พระป่าท่านจึงมีใบปวารณา ไม่รับเงินโดยตรง หรือให้เก็บไว้ในที่อันสมควรเมื่อใช้ก็ให้ทายกนั้นจับจ่ายใช้สอยถวาย

:b12:
ไม่มีอะไรวุ่นวายต้องคิดยาวให้ยุ่งยากเช็คเอาไปขึ้นเงินก็คือรูปียะ
พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ว่าภิกษุที่รับเงินคือโจร
ปล้นศาสนาคือไม่บอกชาวบ้านว่ารับเงินไม่ได้
แถมทำเป็นปกติใช้จ่ายซื้อขายแลกเปลี่ยน
เหมือนเดิมทำตามนิสัยเดิมก่อนบวชไงคะ
บรรพชาแปลว่าสละเพศคฤหัสถ์หมด
อาบัติเป็นปกติคือมิจฉาชีพดีๆนี่เอง
มีคำเรียกหลายคำภิกษุลามก
อลัชชีมหาโจรเศรษฐีหัวโล้น
ปล้นคำสอนคือจอมปลอม
บวชไม่ทำตามสิกขาบท
แต่ทำเพื่อต้องการลาภ
สักการะต่างๆเขาให้
ภิกษุในธรรมวินัย
ปล้นปัจจัย4ของ
ทักขิไณยบุคคล
คำสอนตรงมาก
ไม่มีรับก่อนค่อย
มาปลงอาบัตินะ
บวชไม่เรียนด้วยดี
คิดเองทำตามกิเลส
อยากบวชด้วยกิเลส
หิวเงินมากกันนักหรือ
ไปไหนกันล่ะอบายภูมิน๊า
:b12:
:b32: :b32:



คุณโรสถวายข้าวปลาอาหารไม่เป็นหรอครับ ถึงพูดแต่เงิน นี่แสดงว่าคุณโรสสำคัญใจแค่เงิน คิดถึงแต่เงิน เป็นผู้มักโลภ จึงกล่าวถึงแต่เงิน :b14: :b14: :b14:

โลภไม่ใช่น้อยนะครับคุณโรส :b9: :b9: :b9: :b9:

- การถวายทานภิกษุ ผมบอกไปแล้วนี่ครับว่าไม่ใช่แค่เงิน สิ่งของอุปโภคบริโภค คือ ปัจจัย ๔ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค

- คุณโรสไม่รู้ใช่ไหมครับว่านี่เป็นการถวายทานภัตรหาร เพราะไม่เคยทำจึงกล่าวถึงแต่เงินๆๆๆๆ :b32: :b32: :b32:

- ดังนี้แล้วจะเอาธรรมทานที่ไหนไปให้คนอื่นได้เล่า ขนาดเพียงเท่านี้ยังไม่เคยทำ ทำไม่ได้ คุณโรสโตพอจะมีวุฒิภาวะที่ดีจะรับรู้ได้แล้วนะครับ ถ้ายังอยู่แค่นี้ก็น่าเสียดายครับ

:b14: :b14: :b14:

:b32:
ยังไม่เก็ต...เอาสีเสื้อผ้าออก
ระหว่างผู้บวชกะผู้ไม่บวชต่างกันตรงไหน
ผู้ไม่บวชก็ศึกษาคำสอนและนั่งสมาธิกายหายหมดได้เหมือนกัน
:b12:
คำสอนนั้นไม่ผิด
แต่เห็นผิดกันทุกคนไม่ทราบหรือ
แสงสี1สีกระทบตาดับหมดในดวงตาไม่มีข้างนอกเลย
เอาอะไรมาคิดเห็นถูกตามคำสอนคุณกระโดดเข้าไปในลูกตาเพื่อดูสีได้ไหมมันดับมีเงินข้างนอกให้เห็นไหม
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2018, 09:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


..

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


แก้ไขล่าสุดโดย แค่อากาศ เมื่อ 04 ธ.ค. 2018, 18:24, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2018, 15:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
Rosarin เขียน:
แค่อากาศ เขียน:

คุณโรสถวายข้าวปลาอาหารไม่เป็นหรอครับ ถึงพูดแต่เงิน นี่แสดงว่าคุณโรสสำคัญใจแค่เงิน คิดถึงแต่เงิน เป็นผู้มักโลภ จึงกล่าวถึงแต่เงิน :b14: :b14: :b14:

โลภไม่ใช่น้อยนะครับคุณโรส :b9: :b9: :b9: :b9:

- การถวายทานภิกษุ ผมบอกไปแล้วนี่ครับว่าไม่ใช่แค่เงิน สิ่งของอุปโภคบริโภค คือ ปัจจัย ๔ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค

- คุณโรสไม่รู้ใช่ไหมครับว่านี่เป็นการถวายทานภัตรหาร เพราะไม่เคยทำจึงกล่าวถึงแต่เงินๆๆๆๆ :b32: :b32: :b32:

- ดังนี้แล้วจะเอาธรรมทานที่ไหนไปให้คนอื่นได้เล่า ขนาดเพียงเท่านี้ยังไม่เคยทำ ทำไม่ได้ คุณโรสโตพอจะมีวุฒิภาวะที่ดีจะรับรู้ได้แล้วนะครับ ถ้ายังอยู่แค่นี้ก็น่าเสียดายครับ

:b14: :b14: :b14:

:b32:
ยังไม่เก็ต...เอาสีเสื้อผ้าออก
ระหว่างผู้บวชกะผู้ไม่บวชต่างกันตรงไหน
ผู้ไม่บวชก็ศึกษาคำสอนและนั่งสมาธิกายหายหมดได้เหมือนกัน
:b12:
คำสอนนั้นไม่ผิด
แต่เห็นผิดกันทุกคนไม่ทราบหรือ
แสงสี1สีกระทบตาดับหมดในดวงตาไม่มีข้างนอกเลย
เอาอะไรมาคิดเห็นถูกตามคำสอนคุณกระโดดเข้าไปในลูกตาเพื่อดูสีได้ไหมมันดับมีเงินข้างนอกให้เห็นไหม
:b32: :b32:


กล่าวถึงผู้ปฏิบัติ
เมื่อแก้ผ้าออก ผู้บวชกับผู้ไม่บวชต่างกันที่ เพศ ความสำรวมระวัง ธาุตขันธ์ กล่าวคือ
1. เพศ คือ เพศบรรพชิต(ผู้ถือครองผ้าไตร เจริญปฏิบัติตามพระพุทธศาสดา) และเพศฆราวาส(คนทั่วไปหาได้ทั่วไป)
2. สังวร คือ การสำรวมระวังอินทรีย์ ยึดถือข้อวัตร ศีล ..ภิกษุพระวินัย ศีล 227 ข้อ และ ฆราวาส ศีล ๕ ศีล ๘
3. ธาตุขันธ์ คือ ความบริสุทธิ์ในขันธ์ ๕ ภิกษุผู้ปฏิบัติตามพระพุทธศาสดาย่อมบริสุทธิ์ ด้วยศีลวัตร 227 ข้อ สมาธิ ปัญญา ธาตุขันธ์นี้สะอาดตามธรรมที่เข้าถึง ดังว่าที่เราเห็นพระอริยะสงฆ์ธาตุขันธ์แปรเป็นพระธาตุ และฆราวาส ธาตุขันธ์ย่อมบริสุทธิ์ด้วย บุญกิริยาวัตถุ 10 ศีล ๕ กุศลกรรมบถ ๑๐ ศีล ๘ สมาธิ ปัญญา

สีรู้ว่าสีอะไรก็สมมติทั้งนั้น มาจากสัญญาทั้งสิ้น รู้ว่านี่คือสี รู้ว่านี่คือแสงก็ล้วนสัญญาทั้งสิ้น เว้นแต่เข้าเนวะสัญญานาสัญญายตนะ

ความเห็นผิดในสิ่งที่ควร แต่สอนกันว่าไม่ควรเจริญใน บุญกิริยาวัถุ 10 อันพระพุทธศาสดาตรัสไว้ดีแล้ว น้อมไปในความตระหนี่ หวงแหน อภิชชา โทมนัส ชื่อว่าเห็นผิด เมื่อเห็นผิดก็คิดผิด-พูดผิด-ทำผิด-ดำรงชีพผิด-เพียรผิด-ระลึกผิด-ตั้งมั่นผิด-รู้ผิด
- ดังที่คุณโรสไม่ให้ทาน เห็นว่าทานไม่จำเป็น เป็นสิ่งไม่มีคุณค่า
- ก็คิดว่าจะให้ทานไปทำไมสิ้นเปลืองเปล่าๆ
- ก็เกิดวจีอันส่อเสียดในทาน กล่าวหาทาน ว่าร้ายในทาน
- ก็เกิดการกระทำที่งดเว้นจากทาน
- ประครองตนโดยงดเว้นจากทาน เพียรมุ่งมั่นละเว้นทาน ไม่เอื้อเฟื้อเกื้อกูล
- ระลึกถึงความสิ้นเปลืองสูญค่าหากให้ทาน น้อมใจไปในอย่างอื่น
- จิตตั้งมั่นละเว้นทาน ไม่มีความเอื้อเฟื้อเกื้อกูล
- เข้าถึงความสุจริตที่บริบูรณ์ไม่ได้ ด้วยพระพุทธเจ้าตรัสว่าทานควรเจริญทั้งภายในภายนอก
.. ทานอันเป็นอามิสมีให้แบ่งปันโภคทรัพย์ในภายนอก
.. ทานอันเป็นภายในควรเจริญ การให้ทานในภายในกายใจตน คือ..
.....ให้ชีวิตและอิสระสุขแก่เขา
.....ให้เขาได้คงไว้ซึ่งสิ่งอันเป็นที่รัก
.....ให้เขาได้คงไว้ซึ่งบุคคลอันเป็นที่รัก
.....ให้เขาได้รับรู้และขจรไปด้วยความจริงที่ไม่ยังเวรภัยและความเสื่อมสูญแก่เขา
.....ให้เราระลึกได้ไม่ขาดสติ เพื่อประครองใจละเว้นจากบาปอกุศลทั้งปวง

- จิตเข้าไม่ถึงจาคะ ไม่ถึงความละโลภ ตระหนี่ อภิชฌา สละคืนอุปธิ คือโลภะ ไม่ได้

---------------------------------------------

ดังนั้นให้ทำก่อนจึงจะเห็นได้ ไม่ทำก็ไม่รู้ไม่เห็นสัมผัสไม่ได้ ..หากกล่าวถึงขนาดนี้แล้ว ผู้ที่เข้าถึงธรรมของพระพุทธเจ้า พระบรมศาสดา จะรู้เห็นทันทีครับ จะเว้นก็แต่ผู้ที่ไม่รู้จริง มีโลภะมาก ตระหนี่มาก ตัดจากโภคทรัพย์สมบัติตนเองไม่ได้เท่านั้น ที่จะยังคงไม่ถึงธรรมนี้ ถ้าถึงพระรัตนตรัยอันน้อมไปในมรรคแล้ว น้อยนึงก็ไม่มีคิดร้ายต่อพระรัตนตรัย แม้สมมติสงฆ์ก็ตาม

ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นครับคุณโรสรินคนสวย :b18: :b18: :b18:

---------------------------------------------

อินทรีย์คือความเป็นใหญ่
จักขุนทรีย์...ตาเป็นใหญ่ในการดูการเห็น
และตาไม่ใช่ปัญญาไม่ใช่ธัมมะชนิดเดียวกัน
ผู้รู้ที่มีปัญญาเป็นใหญ่เป็นปัญญินทรีย์คือปัญญาเป็นใหญ่แปลว่า
มีปัญญาเจตสิกเป็นใหญ่ในการรู้สิ่งที่กำลังมีจริงๆที่กำลังปรากฏว่ามีเดี๋ยวนี้
ตานั้นน่ะไม่เห็นอะไรเลย...แต่เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นคือแสงสี1สีกระทบลูกตาดับมืดมีอะไรให้เห็นนอกตาไหม
https://youtu.be/JIziDb8gIak
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2018, 21:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
อินทรีย์คือความเป็นใหญ่
จักขุนทรีย์...ตาเป็นใหญ่ในการดูการเห็น
และตาไม่ใช่ปัญญาไม่ใช่ธัมมะชนิดเดียวกัน
ผู้รู้ที่มีปัญญาเป็นใหญ่เป็นปัญญินทรีย์คือปัญญาเป็นใหญ่แปลว่า
มีปัญญาเจตสิกเป็นใหญ่ในการรู้สิ่งที่กำลังมีจริงๆที่กำลังปรากฏว่ามีเดี๋ยวนี้
ตานั้นน่ะไม่เห็นอะไรเลย...แต่เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นคือแสงสี1สีกระทบลูกตาดับมืดมีอะไรให้เห็นนอกตาไหม
https://youtu.be/JIziDb8gIak
:b12:
:b32: :b32:



- การท่องจำมาพูด มันหาง่าย หาได้ทั่วไป มีมากมายให้เห็นหาได้ไม่ยาก
- คนที่ปฏิบัติแล้วทำให้เข้าถึงจริงมันหายากไม่มีให้เห็นทั่วไป
- คนท่องจำมาพูดเขาท่องจำแบบไหนก็พูดได้แค่แบบนั้น ทำธรรมที่ยากให้ง่ายไม่ได้เพราะยังไม่ถึง ไม่แทงตลอด ทำสิ่งที่ง่ายให้ยากขึ้นไปอีกเพราะไม่รู้จริง

- ดังนั้นไปทำมาก่อน ให้เห็นจริงบ่อยๆแล้วมาพูด คุณโรสรินจะเป็นบุคคลผู้หาได้ยากในโลก ทำธรรมที่ยากให้ง่ายได้แค่ทำไว้ในใจเป็น

ผมรอเชียร์คุณโรสรินคนสวยอยู่นะครับ สู้ๆครับ

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


แก้ไขล่าสุดโดย แค่อากาศ เมื่อ 04 ธ.ค. 2018, 11:25, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2018, 23:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
Rosarin เขียน:
อินทรีย์คือความเป็นใหญ่
จักขุนทรีย์...ตาเป็นใหญ่ในการดูการเห็น
และตาไม่ใช่ปัญญาไม่ใช่ธัมมะชนิดเดียวกัน
ผู้รู้ที่มีปัญญาเป็นใหญ่เป็นปัญญินทรีย์คือปัญญาเป็นใหญ่แปลว่า
มีปัญญาเจตสิกเป็นใหญ่ในการรู้สิ่งที่กำลังมีจริงๆที่กำลังปรากฏว่ามีเดี๋ยวนี้
ตานั้นน่ะไม่เห็นอะไรเลย...แต่เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นคือแสงสี1สีกระทบลูกตาดับมืดมีอะไรให้เห็นนอกตาไหม
https://youtu.be/JIziDb8gIak
:b12:
:b32: :b32:



- การท่องจำมาพูด มันหาวง่าย หาได้ทั่วไป มีมากมายให้เห็นหาได้ไม่ยาก
- คนที่ปฏิบัติแล้วทำให้เข้าถึงจริงมันหายากไม่มีให้เห็นทั่วไป
- คนท่องจำมาพูดเขาท่องจำแบบไหนก็พูดได้แค่แบบนั้น ทำธรรมที่ยากให้ง่ายไม่ได้เพราะยังไม่ถึง ไม่แทงตลอด ทำสิ่งที่ง่ายให้ยากขึ้นไปอีกเพราะไม่รู้จริง

- ดังนั้นไปทำมาก่อน ให้เห็นจริงบ่อยๆแล้วมาพูด คุณโรสรินจะเป็นบุคคลผู้หาได้ยากในโลก ทำธรรมที่ยากให้ง่ายได้แค่ทำไว้ในใจเป็น

ผมรอเชียร์คุณโรสรินคนสวยอยู่นะครับ สู้ๆครับ

:b32:
เห็นก็เห็นแล้วก็ดูสิเดี๋ยวนี้เห็นอะไร...ความจริงของเห็นตรงจริงมีแค่แสงสี1สี
ได้ยินก็ได้ยินแล้วก็ฟังสิมีกี่เสียงเดี๋ยวนี้...ความจริงตรงคำสอนมีได้ทีละ1เสียง
ทุกทางที่เกิดขึ้นตั้งอยู่นิดนึงแล้วดับหายไปเกิดมาทำไมจากไม่มีแล้วมีแล้วก็หายวับ
มีแต่อุปาทานขันธ์คิดไปทำใครทำคะ...ละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ด้วยการดับเห็นผิด
ตัวตนนั้นไม่มีอยู่แล้วไม่ไปไหนมันก็ไม่มีตัวตนเข้าใจไหมเพราะมันดับหมดไปๆๆๆตลอดเวลา
ที่กำลังกะพริบตาอยู่ทุกขณะคือเห็นใหม่ทั้งหมดในสังสารวัฏฏ์ดับเป็นอดีตแล้วเอากลับมาแก้ไม่ได้
มีแต่ต้องเพียรฟังตรงจริงตรงขณะเพื่อรู้ตรงจริงที่กายใจตรงตามคำสอนทีละคำเพราะจิตคิดได้ทีละ1คำ
ดี....ชั่ว=2คำ...ทำให้เป็นเสียงเดียวกันได้ก็ไม่ต้องฟัง....ถ้าทำไม่ได้ต้องฟังเท่านั้นคือสิ่งที่ทำตามคำสอนได้
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2018, 23:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Rosarin เขียน:
อินทรีย์คือความเป็นใหญ่
จักขุนทรีย์...ตาเป็นใหญ่ในการดูการเห็น
และตาไม่ใช่ปัญญาไม่ใช่ธัมมะชนิดเดียวกัน
ผู้รู้ที่มีปัญญาเป็นใหญ่เป็นปัญญินทรีย์คือปัญญาเป็นใหญ่แปลว่า
มีปัญญาเจตสิกเป็นใหญ่ในการรู้สิ่งที่กำลังมีจริงๆที่กำลังปรากฏว่ามีเดี๋ยวนี้
ตานั้นน่ะไม่เห็นอะไรเลย...แต่เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นคือแสงสี1สีกระทบลูกตาดับมืดมีอะไรให้เห็นนอกตาไหม
https://youtu.be/JIziDb8gIak
:b12:
:b32: :b32:



- การท่องจำมาพูด มันหาวง่าย หาได้ทั่วไป มีมากมายให้เห็นหาได้ไม่ยาก
- คนที่ปฏิบัติแล้วทำให้เข้าถึงจริงมันหายากไม่มีให้เห็นทั่วไป
- คนท่องจำมาพูดเขาท่องจำแบบไหนก็พูดได้แค่แบบนั้น ทำธรรมที่ยากให้ง่ายไม่ได้เพราะยังไม่ถึง ไม่แทงตลอด ทำสิ่งที่ง่ายให้ยากขึ้นไปอีกเพราะไม่รู้จริง

- ดังนั้นไปทำมาก่อน ให้เห็นจริงบ่อยๆแล้วมาพูด คุณโรสรินจะเป็นบุคคลผู้หาได้ยากในโลก ทำธรรมที่ยากให้ง่ายได้แค่ทำไว้ในใจเป็น

ผมรอเชียร์คุณโรสรินคนสวยอยู่นะครับ สู้ๆครับ

:b32:
เห็นก็เห็นแล้วก็ดูสิเดี๋ยวนี้เห็นอะไร...ความจริงของเห็นตรงจริงมีแค่แสงสี1สี
ได้ยินก็ได้ยินแล้วก็ฟังสิมีกี่เสียงเดี๋ยวนี้...ความจริงตรงคำสอนมีได้ทีละ1เสียง
ทุกทางที่เกิดขึ้นตั้งอยู่นิดนึงแล้วดับหายไปเกิดมาทำไมจากไม่มีแล้วมีแล้วก็หายวับ
มีแต่อุปาทานขันธ์คิดไปทำใครทำคะ...ละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ด้วยการดับเห็นผิด
ตัวตนนั้นไม่มีอยู่แล้วไม่ไปไหนมันก็ไม่มีตัวตนเข้าใจไหมเพราะมันดับหมดไปๆๆๆตลอดเวลา
ที่กำลังกะพริบตาอยู่ทุกขณะคือเห็นใหม่ทั้งหมดในสังสารวัฏฏ์ดับเป็นอดีตแล้วเอากลับมาแก้ไม่ได้
มีแต่ต้องเพียรฟังตรงจริงตรงขณะเพื่อรู้ตรงจริงที่กายใจตรงตามคำสอนทีละคำเพราะจิตคิดได้ทีละ1คำ
ดี....ชั่ว=2คำ...ทำให้เป็นเสียงเดียวกันได้ก็ไม่ต้องฟัง....ถ้าทำไม่ได้ต้องฟังเท่านั้นคือสิ่งที่ทำตามคำสอนได้
:b32: :b32: :b32:



สาธุขออนุโมทนาครับคุณโรสรินคนสวย ผมสรรเสริญปัญญานะ แต่ปัญญานั้นเป็นการเรียนรู้แล้วทำแล้วเห็นจริง หากยังไม่เห็นจริงฉันใดมันก็เป็นแค่วิชาเรียนม่องจำไว้สอบเท่านั้น ไม่ได้เอามาใช้งานจริง

ขออนุโมทนาธรรมคุณโรสครับ

Kiss Kiss Kiss

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2018, 06:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
Rosarin เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Rosarin เขียน:
อินทรีย์คือความเป็นใหญ่
จักขุนทรีย์...ตาเป็นใหญ่ในการดูการเห็น
และตาไม่ใช่ปัญญาไม่ใช่ธัมมะชนิดเดียวกัน
ผู้รู้ที่มีปัญญาเป็นใหญ่เป็นปัญญินทรีย์คือปัญญาเป็นใหญ่แปลว่า
มีปัญญาเจตสิกเป็นใหญ่ในการรู้สิ่งที่กำลังมีจริงๆที่กำลังปรากฏว่ามีเดี๋ยวนี้
ตานั้นน่ะไม่เห็นอะไรเลย...แต่เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นคือแสงสี1สีกระทบลูกตาดับมืดมีอะไรให้เห็นนอกตาไหม
https://youtu.be/JIziDb8gIak
:b12:
:b32: :b32:



- การท่องจำมาพูด มันหาวง่าย หาได้ทั่วไป มีมากมายให้เห็นหาได้ไม่ยาก
- คนที่ปฏิบัติแล้วทำให้เข้าถึงจริงมันหายากไม่มีให้เห็นทั่วไป
- คนท่องจำมาพูดเขาท่องจำแบบไหนก็พูดได้แค่แบบนั้น ทำธรรมที่ยากให้ง่ายไม่ได้เพราะยังไม่ถึง ไม่แทงตลอด ทำสิ่งที่ง่ายให้ยากขึ้นไปอีกเพราะไม่รู้จริง

- ดังนั้นไปทำมาก่อน ให้เห็นจริงบ่อยๆแล้วมาพูด คุณโรสรินจะเป็นบุคคลผู้หาได้ยากในโลก ทำธรรมที่ยากให้ง่ายได้แค่ทำไว้ในใจเป็น

ผมรอเชียร์คุณโรสรินคนสวยอยู่นะครับ สู้ๆครับ

:b32:
เห็นก็เห็นแล้วก็ดูสิเดี๋ยวนี้เห็นอะไร...ความจริงของเห็นตรงจริงมีแค่แสงสี1สี
ได้ยินก็ได้ยินแล้วก็ฟังสิมีกี่เสียงเดี๋ยวนี้...ความจริงตรงคำสอนมีได้ทีละ1เสียง
ทุกทางที่เกิดขึ้นตั้งอยู่นิดนึงแล้วดับหายไปเกิดมาทำไมจากไม่มีแล้วมีแล้วก็หายวับ
มีแต่อุปาทานขันธ์คิดไปทำใครทำคะ...ละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ด้วยการดับเห็นผิด
ตัวตนนั้นไม่มีอยู่แล้วไม่ไปไหนมันก็ไม่มีตัวตนเข้าใจไหมเพราะมันดับหมดไปๆๆๆตลอดเวลา
ที่กำลังกะพริบตาอยู่ทุกขณะคือเห็นใหม่ทั้งหมดในสังสารวัฏฏ์ดับเป็นอดีตแล้วเอากลับมาแก้ไม่ได้
มีแต่ต้องเพียรฟังตรงจริงตรงขณะเพื่อรู้ตรงจริงที่กายใจตรงตามคำสอนทีละคำเพราะจิตคิดได้ทีละ1คำ
ดี....ชั่ว=2คำ...ทำให้เป็นเสียงเดียวกันได้ก็ไม่ต้องฟัง....ถ้าทำไม่ได้ต้องฟังเท่านั้นคือสิ่งที่ทำตามคำสอนได้
:b32: :b32: :b32:



สาธุขออนุโมทนาครับคุณโรสรินคนสวย ผมสรรเสริญปัญญานะ แต่ปัญญานั้นเป็นการเรียนรู้แล้วทำแล้วเห็นจริง หากยังไม่เห็นจริงฉันใดมันก็เป็นแค่วิชาเรียนม่องจำไว้สอบเท่านั้น ไม่ได้เอามาใช้งานจริง

ขออนุโมทนาธรรมคุณโรสครับ

Kiss Kiss Kiss

ปัญญา ตาม คำสอน
ไม่ใช่ ปัญญา แบบคิดเอง
ต้องพึ่ง คิดตาม ตรงทีละคำ
คิดตาม ตรงจริง ตรงสัจจะ ตรงทาง
ทางหนึ่งทางใดใน6ทางทีละ1ทางตรงตัวจริงธัมมะ
ต้องอาศัยฟังเสียงตรงขณะเดี๋ยวนี้ เพื่อรู้คิดเห็นถูก ตรงเห็นตามได้ตรงเสียงที่กำลังได้ยิน
รู้ความหมายของเสียงที่กำลังฟังเข้าใจความจริงเพื่อรู้จักตัวจริงของกิเลสที่กำลังมีตามได้เกิดปัญญาละไม่รู้
กิเลสแปลว่าไม่รู้
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2018, 08:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Rosarin เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Rosarin เขียน:
อินทรีย์คือความเป็นใหญ่
จักขุนทรีย์...ตาเป็นใหญ่ในการดูการเห็น
และตาไม่ใช่ปัญญาไม่ใช่ธัมมะชนิดเดียวกัน
ผู้รู้ที่มีปัญญาเป็นใหญ่เป็นปัญญินทรีย์คือปัญญาเป็นใหญ่แปลว่า
มีปัญญาเจตสิกเป็นใหญ่ในการรู้สิ่งที่กำลังมีจริงๆที่กำลังปรากฏว่ามีเดี๋ยวนี้
ตานั้นน่ะไม่เห็นอะไรเลย...แต่เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นคือแสงสี1สีกระทบลูกตาดับมืดมีอะไรให้เห็นนอกตาไหม
https://youtu.be/JIziDb8gIak
:b12:
:b32: :b32:



- การท่องจำมาพูด มันหาวง่าย หาได้ทั่วไป มีมากมายให้เห็นหาได้ไม่ยาก
- คนที่ปฏิบัติแล้วทำให้เข้าถึงจริงมันหายากไม่มีให้เห็นทั่วไป
- คนท่องจำมาพูดเขาท่องจำแบบไหนก็พูดได้แค่แบบนั้น ทำธรรมที่ยากให้ง่ายไม่ได้เพราะยังไม่ถึง ไม่แทงตลอด ทำสิ่งที่ง่ายให้ยากขึ้นไปอีกเพราะไม่รู้จริง

- ดังนั้นไปทำมาก่อน ให้เห็นจริงบ่อยๆแล้วมาพูด คุณโรสรินจะเป็นบุคคลผู้หาได้ยากในโลก ทำธรรมที่ยากให้ง่ายได้แค่ทำไว้ในใจเป็น

ผมรอเชียร์คุณโรสรินคนสวยอยู่นะครับ สู้ๆครับ

:b32:
เห็นก็เห็นแล้วก็ดูสิเดี๋ยวนี้เห็นอะไร...ความจริงของเห็นตรงจริงมีแค่แสงสี1สี
ได้ยินก็ได้ยินแล้วก็ฟังสิมีกี่เสียงเดี๋ยวนี้...ความจริงตรงคำสอนมีได้ทีละ1เสียง
ทุกทางที่เกิดขึ้นตั้งอยู่นิดนึงแล้วดับหายไปเกิดมาทำไมจากไม่มีแล้วมีแล้วก็หายวับ
มีแต่อุปาทานขันธ์คิดไปทำใครทำคะ...ละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ด้วยการดับเห็นผิด
ตัวตนนั้นไม่มีอยู่แล้วไม่ไปไหนมันก็ไม่มีตัวตนเข้าใจไหมเพราะมันดับหมดไปๆๆๆตลอดเวลา
ที่กำลังกะพริบตาอยู่ทุกขณะคือเห็นใหม่ทั้งหมดในสังสารวัฏฏ์ดับเป็นอดีตแล้วเอากลับมาแก้ไม่ได้
มีแต่ต้องเพียรฟังตรงจริงตรงขณะเพื่อรู้ตรงจริงที่กายใจตรงตามคำสอนทีละคำเพราะจิตคิดได้ทีละ1คำ
ดี....ชั่ว=2คำ...ทำให้เป็นเสียงเดียวกันได้ก็ไม่ต้องฟัง....ถ้าทำไม่ได้ต้องฟังเท่านั้นคือสิ่งที่ทำตามคำสอนได้
:b32: :b32: :b32:



สาธุขออนุโมทนาครับคุณโรสรินคนสวย ผมสรรเสริญปัญญานะ แต่ปัญญานั้นเป็นการเรียนรู้แล้วทำแล้วเห็นจริง หากยังไม่เห็นจริงฉันใดมันก็เป็นแค่วิชาเรียนม่องจำไว้สอบเท่านั้น ไม่ได้เอามาใช้งานจริง

ขออนุโมทนาธรรมคุณโรสครับ

Kiss Kiss Kiss

ปัญญา ตาม คำสอน
ไม่ใช่ ปัญญา แบบคิดเอง
ต้องพึ่ง คิดตาม ตรงทีละคำ
คิดตาม ตรงจริง ตรงสัจจะ ตรงทาง
ทางหนึ่งทางใดใน6ทางทีละ1ทางตรงตัวจริงธัมมะ
ต้องอาศัยฟังเสียงตรงขณะเดี๋ยวนี้ เพื่อรู้คิดเห็นถูก ตรงเห็นตามได้ตรงเสียงที่กำลังได้ยิน
รู้ความหมายของเสียงที่กำลังฟังเข้าใจความจริงเพื่อรู้จักตัวจริงของกิเลสที่กำลังมีตามได้เกิดปัญญาละไม่รู้
กิเลสแปลว่าไม่รู้
:b12:
:b32: :b32:

จิตปรมัตถ์ทีละ1แต่ละ1ตรง1ขณะตามคำสอนไม่มีกิเลสเจือปน
แต่สัจจะของกิเลสมันนอนในจิตคุณรอไหลออกมาตอนคุณเห็น
จะไปไหนจะไปทำอะไรแค่ลืมตาเห็นกิเลสก็ไหลไปตามสิ่งที่คุณเห็นทันที
ประมาทการฟังแล้วเมื่อไหนหนอปัญญาที่รู้จะกำลังดับกิเลสคืออวิชชาที่กำลังมีได้
สิกขาคือศึกษาเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏตรงตามเสียงของผู้อื่นกล่าวตามคำตถาคตคือปรโตโฆสะ
คิดทำตามกิเลสตนเองคือคิดเองก็เหมือนทัพพีจุ่มในหม้อแกงจะรู้รสแกงหรือจะรู้รสต้องตักมาใส่ปากทีละคำ
เพียรฟังเข้าใจถูกตามได้ตรงสัจจะที่กำลังปรากฏคือการตักแกงใส่ปากแล้วเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืนไงคะ
https://youtu.be/zaAZ8nWOOsE
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2018, 09:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


แก้ไขล่าสุดโดย แค่อากาศ เมื่อ 04 ธ.ค. 2018, 18:24, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2018, 10:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
กิเลสอยู่ที่สังขารขันธ์ที่คุณปรุงเห็นที่คุณกำลังเห็น
จะมีสัมมาทิฏฐิตามคำสอนต้องอาศัยการฟังคำสอน
วิญญาณขันธ์คือจิต1เดียวไม่มีกุศลหรืออกุศลปนเลย
กิเลสมีในจิตตนเองที่ยังครองกายอยู่ถึงจะฟังแล้วคิดตามได้
ถ้าอยู่ในร่างสัตว์ดิรัจฉานมดเอยจิ้งจกตุ๊กแกแมลงสาปเอยเต็มบ้าน
สมมุติคุณเปิดเสียงคลิปธัมมะไว้ทุกชีวิตในบ้านคุณก็ได้ยินแต่คนเท่านั้นที่คิดตามได้
ไม่ชอบแมลงสาปไม่อยากให้มีตุ๊กแกโผล่มาให้เห็นทั้งเกลียดทั้งกลัวขยะแขยงมันอยู่ที่จิตใจคุณส่งไป
เอาง่ายๆแค่เห็นแล้วรู้สึกชอบพอใจทันทีก็คือกิเลสโลภะเกิดเวลาไม่ชอบโทสะเกิดดับหมดครบ6ทางแล้วค่ะ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2018, 10:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


แก้ไขล่าสุดโดย แค่อากาศ เมื่อ 04 ธ.ค. 2018, 18:24, แก้ไขแล้ว 16 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2018, 10:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ทดไว้ก่อน ขอทำงานแล้วจะกลับมา ^^

แค่อากาศ เขียน:
หากไม่ทำแต่จำมาพูดมันก็แค่วิชาเรียนที่มีทั่วไป ทำให้พระธรรมไม่ทรงคุณค่าไม่ได้ล้ำค่าใดๆ เพราะที่ท่องจำมาตนไม่เห็นจริงเป็นการฟังและสอนให้เชื่อตามๆกันมาเท่านั้น เมื่อใดเห็นจริงเมื่อนั้นเห็นพระพุทธเจ้า


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 92 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 211 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร