วันเวลาปัจจุบัน 25 ธ.ค. 2025, 21:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2022, 06:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เวลาเรานั่งฟังพระสนทนาธรรม ทางยูทูปบ้าง หรือไปวัดฟังด้วยตัวเองบ้าง หลวงพ่อหรือหลวงปู่สายปฏิบัติ ก็มักจะเริ่มต้นสนทนาธรรมด้วยการเอาร่างกาย เอาขันธ์มาพูด พูดถึงความเสื่อม ความแก่ลง ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความตาย เพราะตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านจะตรัสถึงเรื่องเกิดแก่เจ็บตายเป็นหลัก ท่านเริ่มต้นด้วยการดำริ การพิจารณาให้เห็นสภาพ การดำริถึงความเสื่อม เกิดแก่เจ็บตาย เป็นการชี้ให้เห็นภัยของภพชาติ ก็ต้องหาหนทางปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับสภาพของชีวิตนั่นคือการนำเอามรรค มาปฏิบัติใช้ มรรคคือหนทางแห่งการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง ทุกครั้งเวลาเราฟังหลวงพ่อหลวงปู่พูด จะได้ยินท่านพูดแต่เรื่องความเกิดแก่เจ็บตาย ลงกันสมกันกับคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อให้จิตดำริถึงให้น้อมเอามรรคมาปฏิบัติ

แต่หากไม่เกิดดำริ ไม่พูดถึง ไม่พิจารณาภัยที่ปรากฏอยู่ มันก็ไม่มีตัวดำริชอบ ไม่มีการน้อมเอามรรคมาใช้ มันข้ามขั้นตอนไปที่ ผล และนิพพานไปโน่น หลงเข้าป่าเข้าดง ไปกันใหญ่ และนำเอาหลักธรรมที่ข้ามขั้นตอนไปที่ผล มาระแวงสงสัยในธรรม ยกตนข่มท่านว่าไม่ใช่พุทธวัจนะ นู่นนั่นนี่ ไม่ยอมรับในธรรมของพระปฏิบัติ แต่มุ่งเน้นความเห็นตนเองไปที่ผลและนิพพาน หันข้างซ้ายทีขวาที กลายเป็นลังเลสงสัย มันคือกิเลสขั้นต้นคือนิวรณ์ทั้ง 5 คือเป็นความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย จะเอาแต่พระพุทธ ไม่เอาพระธรรม ไม่เอาพระสงฆ์ นั่นคือนิวรณ์ กิเลสขั้นต้นๆด้วยซ้ำ ถ้าเป็นนักปฏิบัติ ความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัยนี่ตัดไปได้เลย ข้ามนิวรณ์ทั้ง 5 เข้าสู่มรรค คือหลักการปฏิบัติที่ถูกต้องก่อน

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2022, 17:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8617


 ข้อมูลส่วนตัว


ทำไมเราจะต้องเรียกว่าท่านเป็นพระนักปฏิบัติด้วย
แล้วที่ท่านมาสอนมาแสดงธรรมมันจะไม่ขัดกันหรือ

ถ้าหากว่าเราเรียกพระนักปฏิบัติ มันก็ต้องเกิดมีพระปริยัติ
อีกด้วย พระนักปฏิบัติก็คือพระที่ไม่ได้เรียนปริยัติ
ส่วนพระปริยัติก็เรียนอย่างเดียวไม่ต้องปฏิบัติ

หรือจะเรียกให้มันดูโก้เก๋เรียกความขลัง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2022, 08:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


คำสนทนาธรรมที่พระหลวงพ่อหรือหลวงปู่ท่านได้เล่าออกมา เป็นคำที่ลงกันสมกันกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็แสดงสถานะของหลวงปู่หลวงพ่ออยู่แล้วว่าท่านปฏิบัติให้เกิดการพิจารณาขึ้น สิ่งใดที่ดำริขึ้นมา เพราะพิจารณาเห็นตามสิ่งที่ดำริแล้วใช้ชีวิตประจำวันด้วยมรรคก็สมบูรณ์ด้วยความหมายแล้วครับว่าเป็นพระนักปฏิบัติ ถ้าไม่มีมรรคมาเป็นแนวทางนี่สิไม่ใช่พระนักปฏิบัติ ปริยัติคือการเรียนสิ่งที่ปรากฏในตำรา ไม่ได้บอกว่าผู้เรียนดำริเรื่องอะไร ถ้าผู้เรียนดำริว่าเรามัวแต่เรียนสิ่งที่ปรากฏในคำสอนค่ำลงแล้วกลับห้องล็อคประตูเข้านอนมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเพราะปล่อยเวลาให้สูญเปล่า

ยิ่งเรียนปริยัติอย่างเดียวแล้วไม่ปฏิบัติก็แสดงว่าในขณะเรียนไม่เกิดความดำริอะไรขึ้นเลยแล้วจะเอามรรคมาเป็นแนวทางดำเนินชีวิตตอนไหนล่ะ ถึงต้องมีขั้นตอนแสดงไว้ไงครับว่า

ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวท

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2022, 14:00 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2974


 ข้อมูลส่วนตัว


เวลาเรานั่งฟังพระสนทนาธรรม ทางยูทูปบ้าง หรือไปวัดฟังด้วยตัวเองบ้าง หลวงพ่อหรือหลวงปู่สายปฏิบัติ ก็มักจะเริ่มต้นสนทนาธรรมด้วยการเอาร่างกาย เอาขันธ์มาพูด พูดถึงความเสื่อม ความแก่ลง ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความตาย เพราะตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านจะตรัสถึงเรื่องเกิดแก่เจ็บตายเป็นหลัก ท่านเริ่มต้นด้วยการดำริ การพิจารณาให้เห็นสภาพ การดำริถึงความเสื่อม เกิดแก่เจ็บตาย เป็นการชี้ให้เห็นภัยของภพชาติ ก็ต้องหาหนทางปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับสภาพของชีวิตนั่นคือการนำเอามรรค มาปฏิบัติใช้ มรรคคือหนทางแห่งการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง ทุกครั้งเวลาเราฟังหลวงพ่อหลวงปู่พูด จะได้ยินท่านพูดแต่เรื่องความเกิดแก่เจ็บตาย ลงกันสมกันกับคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อให้จิตดำริถึงให้น้อมเอามรรคมาปฏิบัติ

แต่หากไม่เกิดดำริ ไม่พูดถึง ไม่พิจารณาภัยที่ปรากฏอยู่ มันก็ไม่มีตัวดำริชอบ ไม่มีการน้อมเอามรรคมาใช้ มันข้ามขั้นตอนไปที่ ผล และนิพพานไปโน่น หลงเข้าป่าเข้าดง ไปกันใหญ่ และนำเอาหลักธรรมที่ข้ามขั้นตอนไปที่ผล มาระแวงสงสัยในธรรม ยกตนข่มท่านว่าไม่ใช่พุทธวัจนะ นู่นนั่นนี่ ไม่ยอมรับในธรรมของพระปฏิบัติ แต่มุ่งเน้นความเห็นตนเองไปที่ผลและนิพพาน หันข้างซ้ายทีขวาที กลายเป็นลังเลสงสัย มันคือกิเลสขั้นต้นคือนิวรณ์ทั้ง 5 คือเป็นความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย จะเอาแต่พระพุทธ ไม่เอาพระธรรม ไม่เอาพระสงฆ์ นั่นคือนิวรณ์ กิเลสขั้นต้นๆด้วยซ้ำ ถ้าเป็นนักปฏิบัติ ความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัยนี่ตัดไปได้เลย ข้ามนิวรณ์ทั้ง 5 เข้าสู่มรรค คือหลักการปฏิบัติที่ถูกต้องก่อน

ลุงหมาน เขียน:
ทำไมเราจะต้องเรียกว่าท่านเป็นพระนักปฏิบัติด้วย
แล้วที่ท่านมาสอนมาแสดงธรรมมันจะไม่ขัดกันหรือ

ถ้าหากว่าเราเรียกพระนักปฏิบัติ มันก็ต้องเกิดมีพระปริยัติ
อีกด้วย พระนักปฏิบัติก็คือพระที่ไม่ได้เรียนปริยัติ
ส่วนพระปริยัติก็เรียนอย่างเดียวไม่ต้องปฏิบัติ

หรือจะเรียกให้มันดูโก้เก๋เรียกความขลัง


student เขียน:
คำสนทนาธรรมที่พระหลวงพ่อหรือหลวงปู่ท่านได้เล่าออกมา เป็นคำที่ลงกันสมกันกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็แสดงสถานะของหลวงปู่หลวงพ่ออยู่แล้วว่าท่านปฏิบัติให้เกิดการพิจารณาขึ้น สิ่งใดที่ดำริขึ้นมา เพราะพิจารณาเห็นตามสิ่งที่ดำริแล้วใช้ชีวิตประจำวันด้วยมรรคก็สมบูรณ์ด้วยความหมายแล้วครับว่าเป็นพระนักปฏิบัติ ถ้าไม่มีมรรคมาเป็นแนวทางนี่สิไม่ใช่พระนักปฏิบัติ ปริยัติคือการเรียนสิ่งที่ปรากฏในตำรา ไม่ได้บอกว่าผู้เรียนดำริเรื่องอะไร ถ้าผู้เรียนดำริว่าเรามัวแต่เรียนสิ่งที่ปรากฏในคำสอนค่ำลงแล้วกลับห้องล็อคประตูเข้านอนมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเพราะปล่อยเวลาให้สูญเปล่า

ยิ่งเรียนปริยัติอย่างเดียวแล้วไม่ปฏิบัติก็แสดงว่าในขณะเรียนไม่เกิดความดำริอะไรขึ้นเลยแล้วจะเอามรรคมาเป็นแนวทางดำเนินชีวิตตอนไหนล่ะ ถึงต้องมีขั้นตอนแสดงไว้ไงครับว่า

ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวท


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: วันนี้, 18:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 เม.ย. 2015, 09:43
โพสต์: 793

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาสาธุนะครับ
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 13 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร