ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่เป็นทุกข์
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=56735
หน้า 3 จากทั้งหมด 5

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 23 ม.ค. 2019, 09:32 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่เป็นทุกข์

ปรมัตถ์, ปรมัตถะ (ปรม+อัตถ) 1. ประโยชน์อย่างยิ่ง, จุดหมายสูงสุด คือ พระนิพพาน 2. ก) ความหมายสูงสุด, ความหมายที่แท้จริง เช่น ในคำว่า ปรมัตถสัจจะ ข) สภาวะตามความหมายสูงสุด, สภาวะที่มีในความหมายที่แท้จริง, สภาวธรรม บางทีใช้ว่า ปรมัตถธรรม

ปรมัตถ์ที่พบในพระไตรปิฎก ตามปกติใช้ในความหมายนัยที่ 1. คือ จุดหมาย หรือประโยชน์สูงสุด เฉพาะอย่างยิ่ง ได้แก่ นิพพาน
แต่ในคัมภีร์สมัยต่อมา มีการใช้ในนัยที่ 2. บ่อยขึ้น คือ ในความหมายว่าเป็นจริงหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะใช้ในแง่ความหมายอย่างไหน ก็บรรจบที่นิพพาน เพราะนิพพานนั้น ทั้งเป็นประโยชน์สูงสุด และเป็นสภาวะที่จริงแท้ (นิพพานเป็นปรมัตถ์ในทั้งสองนัย)

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 23 ม.ค. 2019, 09:34 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่เป็นทุกข์

อัตถะ 1. ประโยชน์, ผลที่มุ่งหมาย, จุดหมาย

อัตถะ ๓ คือ ๑. ทิฏฐธัมมิกัตถะ ประโยชน์ปัจจุบัน, ประโยชน์ในภพนี้

๒. สัมปรายิกัตถะ ประโยชน์เบื้องหน้า, ประโยชน์ในภพหน้า

๓. ปรมัตถะ ประโยชน์อย่างยิ่ง, ประโยชน์สูงสุด คือ พระนิพพาน

อัตถะ ๓ อีกหมวดหนึ่ง คือ ๑. อัตตัตถะ ประโยชน์ตน

๒. ปรัตถะ ประโยชน์ผู้อื่น

๓. อุภยัตถะ ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

2. ความหมาย, ความหมายแห่งพุทธพจน์, พระสูตร พระธรรมเทศนา หรือพุทธพจน์ ว่าโดยการแปลความหมาย แยกเป็น อัตถะ ๒ คือ

๑. เนยยัตถะ (พระสูตร) ซึ่งมีความหมายที่จะต้องไขความ, พุทธพจน์ที่ตรัสตามสมมติ อันจะต้องเข้าใจความจริงแท้ที่ซ้อนอยู่อีกชั้นหนึ่ง เช่น ที่ตรัส เรื่องบุคคล ตัวตน เรา-เขา ว่า บุคคล ๔ ประเภท, ตนเป็นทีพึ่งของตน เป็นต้น

2. นีตัตถะ (พระสูตร) ซึ่งมีความหมายที่แสดงชัดโดยตรงแล้ว, พุทธพจน์ที่ตรัสโดยปรมัตถ์ ซึ่งมีความหมายตรงไปตรงมาตามสภาวะ เช่นที่ตรัสว่า รูป เสียง กลิ่น รส เป็นต้น อรรถ ก็เขียน

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 23 ม.ค. 2019, 09:41 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่เป็นทุกข์

ชีวิต ความเป็นอยู่

ชีวิตินทรีย์ อินทรีย์คือชีวิต, สภาวะที่เป็นใหญ่ในการตามรักษาสหชาตธรรม (ธรรมที่เกิดร่วมด้วย) ดุจน้ำหล่อเลี้ยงดอกบัว เป็นต้น มี ๒ ฝ่ายคือ

๑. ชีวิตินทรีย์ที่เป็นชีวิตรูป เป็นอุปาทายรูป อย่างหนึ่ง เป็นเจ้าการในการรักษาหล่อเลี้ยงเหล่ากรรมชรูป (รูปที่เกิดแต่กรรม) บางทีเรียกว่า รูปชีวิตินทรีย์

๒. ชีวิตินทรีย์เป็นเจตสิกเป็นสัพพจิตตสาธารณเจตสิก อย่างหนึ่ง เป็นเจ้าการในการรักษาหล่อเลี้ยงนามธรรมคือจิตและเจตสิกทั้งหลาย บางทีเรียกอรูปชีวิตินทรีย์ หรือนามชีวิตินทรีย์

อายุ สภาวธรรมที่ทำให้ชีวิตดำรงอยู่หรือเป็นไป, พลังที่หล่อเลี้ยงดำรงรักษาชีวิต, พลังชีวิต, ความสามารถของชีวิตที่จะดำรงอยู่และดำเนินต่อไป, ตามปกติท่านอธิบายว่า อายุ ก็คือ ชีวิตินทรีย์ นั่นเอง, ช่วงเวลาที่ชีวิตจะเป็นอยู่ได้ หรือได้เป็นอยู่, ในภาษาไทย อายุ มีความหมายเพี้ยนไปในทางที่ไม่น่าพอใจ เช่น กลายเป็นความผ่านล่วงไปหรือความลดถอยของชีวิต

(ภาษาทางธรรม มิใช่ภาษาไทย)

เจ้าของ:  โลกสวย [ 23 ม.ค. 2019, 20:36 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่เป็นทุกข์

กบนอกกะลา เขียน:
โลกสวย เขียน:

ปรมัตถ์ ไม่ได้มีชีวิต
มีแต่จิต เจตสิก รูป นิพพาน ค่ะ


บ่อยครั้ง...เรามีชีวิต..แต่ไม่เข้าใจชีวิต

ชีวิต..ชีวะ...ชีพ..เป็นความหมายของ...ความเป็นอยู่..ความเป็นไป...ความเปลี่ยนแปลงไป...ไม่นิ่ง...ไม่หยุด....การสั่นไหว..การขยับ..ของขณะปัจจุบัน...ตามวิถีของเจตนา...

เราจึงให้พวกต้นไม้..พืช..เป็นสิ่งมีชีวิต..เพราะมีการขยับเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีระบบ..คล้ายมีเจตนา

เจตนา...นี้สำคัญ...เป็นตัวแสดงความเป็น..ชีพ..ชีวะ..ชีวิต

แต่ก็เป็นธรรมดา...ที่เราเรามีชีวิต..ใช้ชีวิต..จนมองชีวิตในรูปแบบที่ชินตา..จนหลงชีวิต...ลืมรากเหง้าของชีวิตไป

หลง..จนกล่าวว่า..ชีวิตไม่ใช่ชีวิต

จะไม่เกินความจริงเลย..ถ้าจะกล่าวว่า..ปรมัตถ์..นั้นแหละชีวิต..ที่แท้จริง
หากมีเจตนา....จิต..เจตสิก..รูป..นิพพาน..ก็เป็นชีวิต

คนที่หลงชีวิต..หลงสัญญาความจำ...ยึดมั่นในสัญญาความจำ...ก็เลยกล่าวแบบหลงๆว่า

อ้างคำพูด:
ปรมัตถ์ ไม่ได้มีชีวิต
มีแต่จิต เจตสิก รูป นิพพาน


เรียกว่า..."มีชีวิต แต่ไม่เข้าใจชีวิต"

:b32: :b32: :b32:


555

เพราะพี่กบไม่ได้เรียนพระอภิธรรม เรยไม่เข้าใจชีวิต ไม่รู้ว่า
ปรมัตถ์คือประโยชน์สูงสุดในชีวิต

เจ้าของ:  โลกสวย [ 23 ม.ค. 2019, 20:39 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่เป็นทุกข์

กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
เพราะคุณลุงกรัชกาย ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม เรยไม่รู้ว่า
ไม่มีใครทุกข์เรย

มีแต่จิต เจตสิก รูป นิพพานค่ะ

คริคริ


แล้วใครเขาว่าเผ่นหน้าตั้งอยู่นั่นน่า :b32: ฉี่สีม่วงอยู่นั่นน่า

คำถาม

นู๋เมโลกสวย มาแล้วไปเมืองทองธานีกินข้าวเหนียวมะม่วงเป่า คิกๆๆ


คริๆ

คนเขียนข่าวเค้าไม่เรียนพระอภิธรรมน่ะแหละค่ะ
รู้แต่สมมุติบัญญัติ
เรยไม่รู้ว่า
ไม่มีใครวิ่งหน้าตั้ง ไม่มีใครฉี่ม่วงสักคนหรอก

เพราะปรมัตถ์ธรรม มีแต่จิต เจตสิก รูป นิพพานเท่านั้นค่ะ


แล้วจิต เจตสิก รูป นิพพาน ตามอภิธรรมตามปรมัตถ์มีชีวิตซึ่งวิ่งได้มั้ย


555
เพราะคุณลุงกรัชกายไมได้เรียนปริยัติ ไม่ได้ปฎิบัติ
เรยไม่รู้ว่า

ปรมัตถ์ ไม่ได้มีชีวิต
มีแต่จิต เจตสิก รูป นิพพาน ค่ะ


ไม่อยากพูดเลยกลัวจะเสียใจอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งลุงก็หวงวิชา :b32:

จิต เจตสิก รูป นั่นแหละชีวิต ชีวิตใคร ? ก็ชีวิตแต่ละคนละท่านที่กิน ขี้ pี้ นอน ดื่ม ทำ พูด คิดนี่แหละ ในเจตสิก ๕๒ มีชีวิตินทรีย์เจตสิกนี่แหละตัวชีวิต

นั่นพูดตามหลักอภิธรรม แต่ถ้าพูดแนวพระสูตรแล้ว มันก็คนนี่แหละ แต่คำสอนแนวอภิธรรมคน ไม่เรียกสัตว์ บุคคล ตัว ตน เราเขา เรียกเป็น จิต เจตสิก รูป พูดเป็นคำศัพท์ว่า ปรมัตถ์ (ปรม+อัตถะ)

เคยพูดไม่น้อยกว่าสองครั้งแล้วว่า ดูคนต้องดูสองชั้นจึงจะเห็นธรรมะ ชั้นนอกดูแบบพระสูตร ชั้นในดูแนวอภิธรรม คิกๆๆ แนวอภิธรรมต้องปฏิบัติจะเห็นชัดแจ๋วเลย


555
เพราะลุงกรัชกายไม่ได้เรียนพระอภิธรรม
เรยไม่รู้ว่า กิน อี้ * นอน ไม่ใช่ประโยชน์สูงสุดในชีวิต

ประโยชน์สูงสุดในชีวิต คือ ปรมัตถ์ธรรม จิต เจตสิก รูป นิพพาน
อันนี้ ทำให้เจ้าชายสิทธธัตถะ เป็นพระพุทธเจ้าได้
ทำให้หลายต่อหลายท่านเป็นพระอรหันต์ได้
คริคริ

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 23 ม.ค. 2019, 21:05 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่เป็นทุกข์

โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
เพราะคุณลุงกรัชกาย ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม เรยไม่รู้ว่า
ไม่มีใครทุกข์เรย

มีแต่จิต เจตสิก รูป นิพพานค่ะ

คริคริ


แล้วใครเขาว่าเผ่นหน้าตั้งอยู่นั่นน่า :b32: ฉี่สีม่วงอยู่นั่นน่า

คำถาม

นู๋เมโลกสวย มาแล้วไปเมืองทองธานีกินข้าวเหนียวมะม่วงเป่า คิกๆๆ


คริๆ

คนเขียนข่าวเค้าไม่เรียนพระอภิธรรมน่ะแหละค่ะ
รู้แต่สมมุติบัญญัติ
เรยไม่รู้ว่า
ไม่มีใครวิ่งหน้าตั้ง ไม่มีใครฉี่ม่วงสักคนหรอก

เพราะปรมัตถ์ธรรม มีแต่จิต เจตสิก รูป นิพพานเท่านั้นค่ะ


แล้วจิต เจตสิก รูป นิพพาน ตามอภิธรรมตามปรมัตถ์มีชีวิตซึ่งวิ่งได้มั้ย


555
เพราะคุณลุงกรัชกายไมได้เรียนปริยัติ ไม่ได้ปฎิบัติ
เรยไม่รู้ว่า

ปรมัตถ์ ไม่ได้มีชีวิต
มีแต่จิต เจตสิก รูป นิพพาน ค่ะ


ไม่อยากพูดเลยกลัวจะเสียใจอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งลุงก็หวงวิชา :b32:

จิต เจตสิก รูป นั่นแหละชีวิต ชีวิตใคร ? ก็ชีวิตแต่ละคนละท่านที่กิน ขี้ pี้ นอน ดื่ม ทำ พูด คิดนี่แหละ ในเจตสิก ๕๒ มีชีวิตินทรีย์เจตสิกนี่แหละตัวชีวิต

นั่นพูดตามหลักอภิธรรม แต่ถ้าพูดแนวพระสูตรแล้ว มันก็คนนี่แหละ แต่คำสอนแนวอภิธรรมคน ไม่เรียกสัตว์ บุคคล ตัว ตน เราเขา เรียกเป็น จิต เจตสิก รูป พูดเป็นคำศัพท์ว่า ปรมัตถ์ (ปรม+อัตถะ)

เคยพูดไม่น้อยกว่าสองครั้งแล้วว่า ดูคนต้องดูสองชั้นจึงจะเห็นธรรมะ ชั้นนอกดูแบบพระสูตร ชั้นในดูแนวอภิธรรม คิกๆๆ แนวอภิธรรมต้องปฏิบัติจะเห็นชัดแจ๋วเลย


555
เพราะลุงกรัชกายไม่ได้เรียนพระอภิธรรม
เรยไม่รู้ว่า กิน อี้ * นอน ไม่ใช่ประโยชน์สูงสุดในชีวิต

ประโยชน์สูงสุดในชีวิต คือ ปรมัตถ์ธรรม จิต เจตสิก รูป นิพพาน
อันนี้ ทำให้เจ้าชายสิทธธัตถะ เป็นพระพุทธเจ้าได้
ทำให้หลายต่อหลายท่านเป็นพระอรหันต์ได้
คริคริ


กิน ขี้ อี้ นอน มันก็ จิต เจตสิก รูป นี่เอง ไม่ใช่ใครที่ไหนดอก ท่อนนี้พูดภาษาอภิธรรม
แล้วก็จิต เจตสิก รูป มันก็คนนี่เองไม่ใช่ใครที่ไหนดอก ท่อนนี้พูดภาษาชาวบ้าน

พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระอานนท์ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ฯลฯ ไม่กิน ไม่ขี้ ไม่หลับ ไม่นอน กันหรือยังไง ? ท่อนนี้พูดให้คิดให้เห็นภาพกว้าง

เจ้าของ:  โลกสวย [ 23 ม.ค. 2019, 21:20 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่เป็นทุกข์

กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
เพราะคุณลุงกรัชกาย ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม เรยไม่รู้ว่า
ไม่มีใครทุกข์เรย

มีแต่จิต เจตสิก รูป นิพพานค่ะ

คริคริ


แล้วใครเขาว่าเผ่นหน้าตั้งอยู่นั่นน่า :b32: ฉี่สีม่วงอยู่นั่นน่า

คำถาม

นู๋เมโลกสวย มาแล้วไปเมืองทองธานีกินข้าวเหนียวมะม่วงเป่า คิกๆๆ


คริๆ

คนเขียนข่าวเค้าไม่เรียนพระอภิธรรมน่ะแหละค่ะ
รู้แต่สมมุติบัญญัติ
เรยไม่รู้ว่า
ไม่มีใครวิ่งหน้าตั้ง ไม่มีใครฉี่ม่วงสักคนหรอก

เพราะปรมัตถ์ธรรม มีแต่จิต เจตสิก รูป นิพพานเท่านั้นค่ะ


แล้วจิต เจตสิก รูป นิพพาน ตามอภิธรรมตามปรมัตถ์มีชีวิตซึ่งวิ่งได้มั้ย


555
เพราะคุณลุงกรัชกายไมได้เรียนปริยัติ ไม่ได้ปฎิบัติ
เรยไม่รู้ว่า

ปรมัตถ์ ไม่ได้มีชีวิต
มีแต่จิต เจตสิก รูป นิพพาน ค่ะ


ไม่อยากพูดเลยกลัวจะเสียใจอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งลุงก็หวงวิชา :b32:

จิต เจตสิก รูป นั่นแหละชีวิต ชีวิตใคร ? ก็ชีวิตแต่ละคนละท่านที่กิน ขี้ pี้ นอน ดื่ม ทำ พูด คิดนี่แหละ ในเจตสิก ๕๒ มีชีวิตินทรีย์เจตสิกนี่แหละตัวชีวิต

นั่นพูดตามหลักอภิธรรม แต่ถ้าพูดแนวพระสูตรแล้ว มันก็คนนี่แหละ แต่คำสอนแนวอภิธรรมคน ไม่เรียกสัตว์ บุคคล ตัว ตน เราเขา เรียกเป็น จิต เจตสิก รูป พูดเป็นคำศัพท์ว่า ปรมัตถ์ (ปรม+อัตถะ)

เคยพูดไม่น้อยกว่าสองครั้งแล้วว่า ดูคนต้องดูสองชั้นจึงจะเห็นธรรมะ ชั้นนอกดูแบบพระสูตร ชั้นในดูแนวอภิธรรม คิกๆๆ แนวอภิธรรมต้องปฏิบัติจะเห็นชัดแจ๋วเลย


555
เพราะลุงกรัชกายไม่ได้เรียนพระอภิธรรม
เรยไม่รู้ว่า กิน อี้ * นอน ไม่ใช่ประโยชน์สูงสุดในชีวิต

ประโยชน์สูงสุดในชีวิต คือ ปรมัตถ์ธรรม จิต เจตสิก รูป นิพพาน
อันนี้ ทำให้เจ้าชายสิทธธัตถะ เป็นพระพุทธเจ้าได้
ทำให้หลายต่อหลายท่านเป็นพระอรหันต์ได้
คริคริ


กิน ขี้ อี้ นอน มันก็ จิต เจตสิก รูป นี่เอง ไม่ใช่ใครที่ไหนดอก ท่อนนี้พูดภาษาอภิธรรม
แล้วก็จิต เจตสิก รูป มันก็คนนี่เองไม่ใช่ใครที่ไหนดอก ท่อนนี้พูดภาษาชาวบ้าน

พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระอานนท์ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ฯลฯ ไม่กิน ไม่ขี้ ไม่หลับ ไม่นอน กันหรือยังไง ? ท่อนนี้พูดให้คิดให้เห็นภาพกว้าง

คริคริ

เพราะคุณลุงไม่ได้เรียนพระอภิธรรม
เรยไม่รู้ว่า พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ มีแต่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นปรมัตถ์ธรรม
เปนประโยชน์สูงสุด ไม่ได้เอาบัญญัติมาสะเปะสะปะหรอกค่ะ

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 23 ม.ค. 2019, 21:30 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่เป็นทุกข์

โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
เพราะคุณลุงกรัชกาย ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม เรยไม่รู้ว่า
ไม่มีใครทุกข์เรย

มีแต่จิต เจตสิก รูป นิพพานค่ะ

คริคริ


แล้วใครเขาว่าเผ่นหน้าตั้งอยู่นั่นน่า :b32: ฉี่สีม่วงอยู่นั่นน่า

คำถาม

นู๋เมโลกสวย มาแล้วไปเมืองทองธานีกินข้าวเหนียวมะม่วงเป่า คิกๆๆ


คริๆ

คนเขียนข่าวเค้าไม่เรียนพระอภิธรรมน่ะแหละค่ะ
รู้แต่สมมุติบัญญัติ
เรยไม่รู้ว่า
ไม่มีใครวิ่งหน้าตั้ง ไม่มีใครฉี่ม่วงสักคนหรอก

เพราะปรมัตถ์ธรรม มีแต่จิต เจตสิก รูป นิพพานเท่านั้นค่ะ


แล้วจิต เจตสิก รูป นิพพาน ตามอภิธรรมตามปรมัตถ์มีชีวิตซึ่งวิ่งได้มั้ย


555
เพราะคุณลุงกรัชกายไมได้เรียนปริยัติ ไม่ได้ปฎิบัติ
เรยไม่รู้ว่า

ปรมัตถ์ ไม่ได้มีชีวิต
มีแต่จิต เจตสิก รูป นิพพาน ค่ะ


ไม่อยากพูดเลยกลัวจะเสียใจอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งลุงก็หวงวิชา :b32:

จิต เจตสิก รูป นั่นแหละชีวิต ชีวิตใคร ? ก็ชีวิตแต่ละคนละท่านที่กิน ขี้ pี้ นอน ดื่ม ทำ พูด คิดนี่แหละ ในเจตสิก ๕๒ มีชีวิตินทรีย์เจตสิกนี่แหละตัวชีวิต

นั่นพูดตามหลักอภิธรรม แต่ถ้าพูดแนวพระสูตรแล้ว มันก็คนนี่แหละ แต่คำสอนแนวอภิธรรมคน ไม่เรียกสัตว์ บุคคล ตัว ตน เราเขา เรียกเป็น จิต เจตสิก รูป พูดเป็นคำศัพท์ว่า ปรมัตถ์ (ปรม+อัตถะ)

เคยพูดไม่น้อยกว่าสองครั้งแล้วว่า ดูคนต้องดูสองชั้นจึงจะเห็นธรรมะ ชั้นนอกดูแบบพระสูตร ชั้นในดูแนวอภิธรรม คิกๆๆ แนวอภิธรรมต้องปฏิบัติจะเห็นชัดแจ๋วเลย


555
เพราะลุงกรัชกายไม่ได้เรียนพระอภิธรรม
เรยไม่รู้ว่า กิน อี้ * นอน ไม่ใช่ประโยชน์สูงสุดในชีวิต

ประโยชน์สูงสุดในชีวิต คือ ปรมัตถ์ธรรม จิต เจตสิก รูป นิพพาน
อันนี้ ทำให้เจ้าชายสิทธธัตถะ เป็นพระพุทธเจ้าได้
ทำให้หลายต่อหลายท่านเป็นพระอรหันต์ได้
คริคริ


กิน ขี้ อี้ นอน มันก็ จิต เจตสิก รูป นี่เอง ไม่ใช่ใครที่ไหนดอก ท่อนนี้พูดภาษาอภิธรรม
แล้วก็จิต เจตสิก รูป มันก็คนนี่เองไม่ใช่ใครที่ไหนดอก ท่อนนี้พูดภาษาชาวบ้าน

พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระอานนท์ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ฯลฯ ไม่กิน ไม่ขี้ ไม่หลับ ไม่นอน กันหรือยังไง ? ท่อนนี้พูดให้คิดให้เห็นภาพกว้าง

คริคริ

เพราะคุณลุงไม่ได้เรียนพระอภิธรรม
เรยไม่รู้ว่า พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ มีแต่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นปรมัตถ์ธรรม
เปนประโยชน์สูงสุด


เจ้าชายสิทธัตถะ อุปติสสะ โกลิตะ พ่อแม่ปู่ตาย่ายายของเจ้าชายสิทธัตถะ เป็นต้น เป็นคนหรือไม่ใช่คน

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 23 ม.ค. 2019, 21:36 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่เป็นทุกข์

ลงบทความนี้ประกบไว้ไว้เถียงกันด้วย คิกๆๆ




ตัวสภาวะ

พุทธธรรมมองเห็นสิ่งทั้งหลายเป็นธาตุ เป็นธรรม เป็นสภาวะ* ( นิยมเรียกยาวเป็น "สภาวธรรม" ตามคำบาลีว่า "สภาวธมฺม" ซึ่งมาจาก ส+ภาว+ธมฺม แปลตรงตัวว่า สิ่งที่มีภาวะของมันเอง ) อันมีอยู่เป็นอยู่ตามภาวะของมัน ที่เป็นของมันอย่างนั้น เช่นนั้น ตามธรรมดาของมัน มิใช่มีเป็นสัตว์ บุคคล อัตตา ตัวตน เราเขา ที่จะยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ครอบครอง บังคับบัญชาให้เป็นไปตามปรารถนาอย่างไรๆ ได้


บรรดาสิ่งทั้งหลายที่รู้จักเข้าใจกันอยู่โดยทั่วไปนั้น มีอยู่เป็นอยู่เป็นไปในรูปของส่วนประกอบต่างๆ ที่มาประชุมกัน ตัวตนแท้ๆ ของสิ่งทั้งหลายไม่มี เมื่อแยกส่วนต่างๆ ที่มาประกอบกันเข้านั้นออกไป ให้หมด ก็จะไม่พบตัวตนของสิ่งนั้นเหลืออยู่ ตัวอย่างง่ายๆ ที่ยกขึ้นอ้างกันบ่อยๆ คือ "รถ" เมื่อนำส่วนประกอบต่างๆมาประกอบเข้าด้วยกันตามแบบที่กำหนด ก็บัญญัติเรียกกันว่า "รถ"

แต่ถ้าแยกส่วนประกอบทั้งหมดออกจากกัน ก็็จะหาตัวตนของรถไม่ได้ มีแต่ส่วนประกอบทั้งหลาย ซึ่งมีชื่อเรียกต่างๆกัน จำเพาะแต่ละอย่างอยู่แล้ว คือตัวตนของรถมิได้มีอยู่ต่างหากจากส่วนประกอบเหล่านั้น มีแต่เพียงคำบัญญัติว่า "รถ"

สำหรับสภาพที่มารวมตัวกันเข้าของส่วนประกอบเหล่านั้น แม้ส่วนประกอบแต่ละอย่างๆนั้นเอง ก็ปรากฏขึ้นโดยการรวมกันเข้าของส่วนประกอบย่อยๆ ต่อๆไปอีก และหาตัวตนที่แท้ไม่พบเช่นเดียวกัน เมื่อจะพูดว่าสิ่งทั้งหลายมีอยู่ ก็ต้องเข้าใจในความหมายว่า มีอยู่ในฐานะมีส่วนประกอบต่างๆ มาประชุมเข้าด้วยกัน


เมื่อมองเห็นสภาพของสิ่งทั้งหลายในรูปของการประชุมส่วนประกอบเช่นนี้ พุทธธรรมจึงต้องแสดงต่อไปว่า ส่วนประกอบต่างๆ เหล่านั้นเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง อย่างน้อยก็พอเป็นตัวอย่าง และโดยที่พุทธธรรมมีความเกี่ยวข้องเป็นพิเศษกับเรื่องชีวิต โดยเฉพาะด้านจิตใจ การแสดงส่วนประกอบต่างๆ จึงต้องครอบคลุมทั้งวัตถุและจิตใจ หรือทั้งรูปธรรมและนามธรรม และมักแยกเป็นพิเศษในด้านจิตใจ

การแสดงส่วนประกอบต่างๆนั้น ย่อมทำได้หลายแบบ สุดแต่วัตถุประสงค์จำเพาะของการแสดงแบบนั้นๆ แต่ในที่นี้ แสดงแบบขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นแบบที่นิยมในพระสูตร

โดยวิธีแบ่งแบบขันธ์ ๕ พุทธธรรมแยกแยะชีวิตพร้อมทั้งองคาพยพทั้งหมดที่บัญญัติเรียกว่า "สัตว์" "บุคคล" ฯลฯ ออกเป็นส่วนประกอบต่างๆ ๕ ประเภท หรือ ๕ หมวด เรียกทางธรรมว่า เบญจขันธ์ คือ

๑. รูป (Corporeality) ได้แก่ ส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทั้งหมด ร่างกาย และพฤติกรรมทั้งหมดของร่างกาย หรือสสารและพลังงานฝ่ายวัตถุ พร้อมทั้งคุณสมบัติ และพฤติกรรมต่างๆ ของสสารพลังงานเหล่านั้น

๒. เวทนา (Feeling หรือ Sensation) ได้แก่ ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ ซึ่งเกิดจากผัสสะทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ

๓. สัญญา (Perception) ได้แก่ ความกำหนดได้ หรือหมายรู้ คือ กำหนดรู้อาการเครื่องหมายลักษณะต่างๆ อันเป็นเหตุให้จำอารมณ์ นั้นๆได้

๔. สังขาร (Mental Formations หรือ Volitional Activities) ได้แก่ องค์ประกอบหรือคุณสมบัติต่างๆของจิต มีเจตนาเป็นตัวนำ ซึ่งแต่งจิตให้ดีหรือชั่วหรือเป็นกลางๆ ปรุงแปรการตริตรึกนึกคิดในใจ และการแสดงออกทางกาย วาจา ให้เป็นไปต่างๆ เป็นที่มาของกรรม เช่น ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ปัญญา โมหะ โลภะ โทสะ มานะ ทิฏฐิ อิสสา มัจฉริยะ เป็นต้น เรียกรวมอย่างง่ายๆว่า เครื่องปรุงของจิต เครื่องปรุงของความคิด หรือเครื่องปรุงของกรรม

๕. วิญญาณ (Consciousness) ได้แก่ ความรู้แจ้งอารมณ์ทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ คือ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส การรู้สัมผัสทางกาย และการรู้อารมณ์ทางใจ

ข้อ ๑ เป็นรูปขันธ์ ๔ ข้อหลังเป็นนามขันธ์ เรียกสั้นๆว่า รูปนาม

เจ้าของ:  โลกสวย [ 23 ม.ค. 2019, 21:38 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่เป็นทุกข์

กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
เพราะคุณลุงกรัชกาย ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม เรยไม่รู้ว่า
ไม่มีใครทุกข์เรย

มีแต่จิต เจตสิก รูป นิพพานค่ะ

คริคริ


แล้วใครเขาว่าเผ่นหน้าตั้งอยู่นั่นน่า :b32: ฉี่สีม่วงอยู่นั่นน่า

คำถาม

นู๋เมโลกสวย มาแล้วไปเมืองทองธานีกินข้าวเหนียวมะม่วงเป่า คิกๆๆ


คริๆ

คนเขียนข่าวเค้าไม่เรียนพระอภิธรรมน่ะแหละค่ะ
รู้แต่สมมุติบัญญัติ
เรยไม่รู้ว่า
ไม่มีใครวิ่งหน้าตั้ง ไม่มีใครฉี่ม่วงสักคนหรอก

เพราะปรมัตถ์ธรรม มีแต่จิต เจตสิก รูป นิพพานเท่านั้นค่ะ


แล้วจิต เจตสิก รูป นิพพาน ตามอภิธรรมตามปรมัตถ์มีชีวิตซึ่งวิ่งได้มั้ย


555
เพราะคุณลุงกรัชกายไมได้เรียนปริยัติ ไม่ได้ปฎิบัติ
เรยไม่รู้ว่า

ปรมัตถ์ ไม่ได้มีชีวิต
มีแต่จิต เจตสิก รูป นิพพาน ค่ะ


ไม่อยากพูดเลยกลัวจะเสียใจอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งลุงก็หวงวิชา :b32:

จิต เจตสิก รูป นั่นแหละชีวิต ชีวิตใคร ? ก็ชีวิตแต่ละคนละท่านที่กิน ขี้ pี้ นอน ดื่ม ทำ พูด คิดนี่แหละ ในเจตสิก ๕๒ มีชีวิตินทรีย์เจตสิกนี่แหละตัวชีวิต

นั่นพูดตามหลักอภิธรรม แต่ถ้าพูดแนวพระสูตรแล้ว มันก็คนนี่แหละ แต่คำสอนแนวอภิธรรมคน ไม่เรียกสัตว์ บุคคล ตัว ตน เราเขา เรียกเป็น จิต เจตสิก รูป พูดเป็นคำศัพท์ว่า ปรมัตถ์ (ปรม+อัตถะ)

เคยพูดไม่น้อยกว่าสองครั้งแล้วว่า ดูคนต้องดูสองชั้นจึงจะเห็นธรรมะ ชั้นนอกดูแบบพระสูตร ชั้นในดูแนวอภิธรรม คิกๆๆ แนวอภิธรรมต้องปฏิบัติจะเห็นชัดแจ๋วเลย


555
เพราะลุงกรัชกายไม่ได้เรียนพระอภิธรรม
เรยไม่รู้ว่า กิน อี้ * นอน ไม่ใช่ประโยชน์สูงสุดในชีวิต

ประโยชน์สูงสุดในชีวิต คือ ปรมัตถ์ธรรม จิต เจตสิก รูป นิพพาน
อันนี้ ทำให้เจ้าชายสิทธธัตถะ เป็นพระพุทธเจ้าได้
ทำให้หลายต่อหลายท่านเป็นพระอรหันต์ได้
คริคริ


กิน ขี้ อี้ นอน มันก็ จิต เจตสิก รูป นี่เอง ไม่ใช่ใครที่ไหนดอก ท่อนนี้พูดภาษาอภิธรรม
แล้วก็จิต เจตสิก รูป มันก็คนนี่เองไม่ใช่ใครที่ไหนดอก ท่อนนี้พูดภาษาชาวบ้าน

พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระอานนท์ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ฯลฯ ไม่กิน ไม่ขี้ ไม่หลับ ไม่นอน กันหรือยังไง ? ท่อนนี้พูดให้คิดให้เห็นภาพกว้าง

คริคริ

เพราะคุณลุงไม่ได้เรียนพระอภิธรรม
เรยไม่รู้ว่า พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ มีแต่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นปรมัตถ์ธรรม
เปนประโยชน์สูงสุด


เจ้าชายสิทธัตถะ อุปติสสะ โกลิตะ พ่อแม่ปู่ตาย่ายายของเจ้าชายสิทธัตถะ เป็นต้น เป็นคนหรือไม่ใช่คน

คริคริ

เพราะคุณลุงกรัชกายไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้ปฎิบัติ
เรยไม่รู้สว่า เจ้าชายสิทธัตถะ ท่านถอนกายบัญญัติออกไป
มีแต่จิต เจตสิก สภาวะรูป และนิพพาน เป็นอามรณ์เท่านั้นค่ะ

555

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 23 ม.ค. 2019, 21:39 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่เป็นทุกข์

แค่นั้นแหละบทศึกษาเบื้องต้น ต้องทำความเข้าใจให้ถูกให้ชัด

ถ้ายังแยกแยะคำสอนเบื้องต้นนี้ไม่ออกแล้ว ป่วยการที่จะศึกษายิ่งขึ้นไป

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 23 ม.ค. 2019, 21:40 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่เป็นทุกข์

โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
เพราะคุณลุงกรัชกาย ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม เรยไม่รู้ว่า
ไม่มีใครทุกข์เรย

มีแต่จิต เจตสิก รูป นิพพานค่ะ

คริคริ


แล้วใครเขาว่าเผ่นหน้าตั้งอยู่นั่นน่า :b32: ฉี่สีม่วงอยู่นั่นน่า

คำถาม

นู๋เมโลกสวย มาแล้วไปเมืองทองธานีกินข้าวเหนียวมะม่วงเป่า คิกๆๆ


คริๆ

คนเขียนข่าวเค้าไม่เรียนพระอภิธรรมน่ะแหละค่ะ
รู้แต่สมมุติบัญญัติ
เรยไม่รู้ว่า
ไม่มีใครวิ่งหน้าตั้ง ไม่มีใครฉี่ม่วงสักคนหรอก

เพราะปรมัตถ์ธรรม มีแต่จิต เจตสิก รูป นิพพานเท่านั้นค่ะ


แล้วจิต เจตสิก รูป นิพพาน ตามอภิธรรมตามปรมัตถ์มีชีวิตซึ่งวิ่งได้มั้ย


555
เพราะคุณลุงกรัชกายไมได้เรียนปริยัติ ไม่ได้ปฎิบัติ
เรยไม่รู้ว่า

ปรมัตถ์ ไม่ได้มีชีวิต
มีแต่จิต เจตสิก รูป นิพพาน ค่ะ


ไม่อยากพูดเลยกลัวจะเสียใจอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งลุงก็หวงวิชา :b32:

จิต เจตสิก รูป นั่นแหละชีวิต ชีวิตใคร ? ก็ชีวิตแต่ละคนละท่านที่กิน ขี้ pี้ นอน ดื่ม ทำ พูด คิดนี่แหละ ในเจตสิก ๕๒ มีชีวิตินทรีย์เจตสิกนี่แหละตัวชีวิต

นั่นพูดตามหลักอภิธรรม แต่ถ้าพูดแนวพระสูตรแล้ว มันก็คนนี่แหละ แต่คำสอนแนวอภิธรรมคน ไม่เรียกสัตว์ บุคคล ตัว ตน เราเขา เรียกเป็น จิต เจตสิก รูป พูดเป็นคำศัพท์ว่า ปรมัตถ์ (ปรม+อัตถะ)

เคยพูดไม่น้อยกว่าสองครั้งแล้วว่า ดูคนต้องดูสองชั้นจึงจะเห็นธรรมะ ชั้นนอกดูแบบพระสูตร ชั้นในดูแนวอภิธรรม คิกๆๆ แนวอภิธรรมต้องปฏิบัติจะเห็นชัดแจ๋วเลย


555
เพราะลุงกรัชกายไม่ได้เรียนพระอภิธรรม
เรยไม่รู้ว่า กิน อี้ * นอน ไม่ใช่ประโยชน์สูงสุดในชีวิต

ประโยชน์สูงสุดในชีวิต คือ ปรมัตถ์ธรรม จิต เจตสิก รูป นิพพาน
อันนี้ ทำให้เจ้าชายสิทธธัตถะ เป็นพระพุทธเจ้าได้
ทำให้หลายต่อหลายท่านเป็นพระอรหันต์ได้
คริคริ


กิน ขี้ อี้ นอน มันก็ จิต เจตสิก รูป นี่เอง ไม่ใช่ใครที่ไหนดอก ท่อนนี้พูดภาษาอภิธรรม
แล้วก็จิต เจตสิก รูป มันก็คนนี่เองไม่ใช่ใครที่ไหนดอก ท่อนนี้พูดภาษาชาวบ้าน

พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระอานนท์ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ฯลฯ ไม่กิน ไม่ขี้ ไม่หลับ ไม่นอน กันหรือยังไง ? ท่อนนี้พูดให้คิดให้เห็นภาพกว้าง

คริคริ

เพราะคุณลุงไม่ได้เรียนพระอภิธรรม
เรยไม่รู้ว่า พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ มีแต่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นปรมัตถ์ธรรม
เปนประโยชน์สูงสุด


เจ้าชายสิทธัตถะ อุปติสสะ โกลิตะ พ่อแม่ปู่ตาย่ายายของเจ้าชายสิทธัตถะ เป็นต้น เป็นคนหรือไม่ใช่คน

คริคริ

เพราะคุณลุงกรัชกายไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้ปฎิบัติ
เรยไม่รู้สว่า เจ้าชายสิทธัตถะ ท่านถอนกายบัญญัติออกไป
มีแต่จิต เจตสิก สภาวะรูป และนิพพาน เป็นอามรณ์เท่านั้นค่ะ

555



เจ้าชายสิทธัตถะเป็นคนไหม เอาตรงนี้ก่อน เป็นคน หรือไม่ใช่คน

เจ้าของ:  โลกสวย [ 23 ม.ค. 2019, 21:42 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่เป็นทุกข์

กรัชกาย เขียน:
ลงบทความนี้ประกบไว้ไว้เถียงกันด้วย คิกๆๆ




ตัวสภาวะ

พุทธธรรมมองเห็นสิ่งทั้งหลายเป็นธาตุ เป็นธรรม เป็นสภาวะ* ( นิยมเรียกยาวเป็น "สภาวธรรม" ตามคำบาลีว่า "สภาวธมฺม" ซึ่งมาจาก ส+ภาว+ธมฺม แปลตรงตัวว่า สิ่งที่มีภาวะของมันเอง ) อันมีอยู่เป็นอยู่ตามภาวะของมัน ที่เป็นของมันอย่างนั้น เช่นนั้น ตามธรรมดาของมัน มิใช่มีเป็นสัตว์ บุคคล อัตตา ตัวตน เราเขา ที่จะยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ครอบครอง บังคับบัญชาให้เป็นไปตามปรารถนาอย่างไรๆ ได้


บรรดาสิ่งทั้งหลายที่รู้จักเข้าใจกันอยู่โดยทั่วไปนั้น มีอยู่เป็นอยู่เป็นไปในรูปของส่วนประกอบต่างๆ ที่มาประชุมกัน ตัวตนแท้ๆ ของสิ่งทั้งหลายไม่มี เมื่อแยกส่วนต่างๆ ที่มาประกอบกันเข้านั้นออกไป ให้หมด ก็จะไม่พบตัวตนของสิ่งนั้นเหลืออยู่ ตัวอย่างง่ายๆ ที่ยกขึ้นอ้างกันบ่อยๆ คือ "รถ" เมื่อนำส่วนประกอบต่างๆมาประกอบเข้าด้วยกันตามแบบที่กำหนด ก็บัญญัติเรียกกันว่า "รถ"

แต่ถ้าแยกส่วนประกอบทั้งหมดออกจากกัน ก็็จะหาตัวตนของรถไม่ได้ มีแต่ส่วนประกอบทั้งหลาย ซึ่งมีชื่อเรียกต่างๆกัน จำเพาะแต่ละอย่างอยู่แล้ว คือตัวตนของรถมิได้มีอยู่ต่างหากจากส่วนประกอบเหล่านั้น มีแต่เพียงคำบัญญัติว่า "รถ"

สำหรับสภาพที่มารวมตัวกันเข้าของส่วนประกอบเหล่านั้น แม้ส่วนประกอบแต่ละอย่างๆนั้นเอง ก็ปรากฏขึ้นโดยการรวมกันเข้าของส่วนประกอบย่อยๆ ต่อๆไปอีก และหาตัวตนที่แท้ไม่พบเช่นเดียวกัน เมื่อจะพูดว่าสิ่งทั้งหลายมีอยู่ ก็ต้องเข้าใจในความหมายว่า มีอยู่ในฐานะมีส่วนประกอบต่างๆ มาประชุมเข้าด้วยกัน


เมื่อมองเห็นสภาพของสิ่งทั้งหลายในรูปของการประชุมส่วนประกอบเช่นนี้ พุทธธรรมจึงต้องแสดงต่อไปว่า ส่วนประกอบต่างๆ เหล่านั้นเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง อย่างน้อยก็พอเป็นตัวอย่าง และโดยที่พุทธธรรมมีความเกี่ยวข้องเป็นพิเศษกับเรื่องชีวิต โดยเฉพาะด้านจิตใจ การแสดงส่วนประกอบต่างๆ จึงต้องครอบคลุมทั้งวัตถุและจิตใจ หรือทั้งรูปธรรมและนามธรรม และมักแยกเป็นพิเศษในด้านจิตใจ

การแสดงส่วนประกอบต่างๆนั้น ย่อมทำได้หลายแบบ สุดแต่วัตถุประสงค์จำเพาะของการแสดงแบบนั้นๆ แต่ในที่นี้ แสดงแบบขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นแบบที่นิยมในพระสูตร

โดยวิธีแบ่งแบบขันธ์ ๕ พุทธธรรมแยกแยะชีวิตพร้อมทั้งองคาพยพทั้งหมดที่บัญญัติเรียกว่า "สัตว์" "บุคคล" ฯลฯ ออกเป็นส่วนประกอบต่างๆ ๕ ประเภท หรือ ๕ หมวด เรียกทางธรรมว่า เบญจขันธ์ คือ

๑. รูป (Corporeality) ได้แก่ ส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทั้งหมด ร่างกาย และพฤติกรรมทั้งหมดของร่างกาย หรือสสารและพลังงานฝ่ายวัตถุ พร้อมทั้งคุณสมบัติ และพฤติกรรมต่างๆ ของสสารพลังงานเหล่านั้น

๒. เวทนา (Feeling หรือ Sensation) ได้แก่ ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ ซึ่งเกิดจากผัสสะทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ

๓. สัญญา (Perception) ได้แก่ ความกำหนดได้ หรือหมายรู้ คือ กำหนดรู้อาการเครื่องหมายลักษณะต่างๆ อันเป็นเหตุให้จำอารมณ์ นั้นๆได้

๔. สังขาร (Mental Formations หรือ Volitional Activities) ได้แก่ องค์ประกอบหรือคุณสมบัติต่างๆของจิต มีเจตนาเป็นตัวนำ ซึ่งแต่งจิตให้ดีหรือชั่วหรือเป็นกลางๆ ปรุงแปรการตริตรึกนึกคิดในใจ และการแสดงออกทางกาย วาจา ให้เป็นไปต่างๆ เป็นที่มาของกรรม เช่น ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ปัญญา โมหะ โลภะ โทสะ มานะ ทิฏฐิ อิสสา มัจฉริยะ เป็นต้น เรียกรวมอย่างง่ายๆว่า เครื่องปรุงของจิต เครื่องปรุงของความคิด หรือเครื่องปรุงของกรรม

๕. วิญญาณ (Consciousness) ได้แก่ ความรู้แจ้งอารมณ์ทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ คือ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส การรู้สัมผัสทางกาย และการรู้อารมณ์ทางใจ

ข้อ ๑ เป็นรูปขันธ์ ๔ ข้อหลังเป็นนามขันธ์ เรียกสั้นๆว่า รูปนาม

คริคริ

แสดงว่าคุณลุงกรัชกายไม่ได้ปฎิบัติธรรม
เรยไม่สามารถรู้อาการของความเป็นไปแห่งปัจจัยธรรม
อันมีทุกข์ลักษณะ
อนิจจลักษณะ
อนัตตะลักษณะ
อสุภภะลักษณะ
555

เจ้าของ:  โลกสวย [ 23 ม.ค. 2019, 21:43 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่เป็นทุกข์

กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
เพราะคุณลุงกรัชกาย ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม เรยไม่รู้ว่า
ไม่มีใครทุกข์เรย

มีแต่จิต เจตสิก รูป นิพพานค่ะ

คริคริ


แล้วใครเขาว่าเผ่นหน้าตั้งอยู่นั่นน่า :b32: ฉี่สีม่วงอยู่นั่นน่า

คำถาม

นู๋เมโลกสวย มาแล้วไปเมืองทองธานีกินข้าวเหนียวมะม่วงเป่า คิกๆๆ


คริๆ

คนเขียนข่าวเค้าไม่เรียนพระอภิธรรมน่ะแหละค่ะ
รู้แต่สมมุติบัญญัติ
เรยไม่รู้ว่า
ไม่มีใครวิ่งหน้าตั้ง ไม่มีใครฉี่ม่วงสักคนหรอก

เพราะปรมัตถ์ธรรม มีแต่จิต เจตสิก รูป นิพพานเท่านั้นค่ะ


แล้วจิต เจตสิก รูป นิพพาน ตามอภิธรรมตามปรมัตถ์มีชีวิตซึ่งวิ่งได้มั้ย


555
เพราะคุณลุงกรัชกายไมได้เรียนปริยัติ ไม่ได้ปฎิบัติ
เรยไม่รู้ว่า

ปรมัตถ์ ไม่ได้มีชีวิต
มีแต่จิต เจตสิก รูป นิพพาน ค่ะ


ไม่อยากพูดเลยกลัวจะเสียใจอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งลุงก็หวงวิชา :b32:

จิต เจตสิก รูป นั่นแหละชีวิต ชีวิตใคร ? ก็ชีวิตแต่ละคนละท่านที่กิน ขี้ pี้ นอน ดื่ม ทำ พูด คิดนี่แหละ ในเจตสิก ๕๒ มีชีวิตินทรีย์เจตสิกนี่แหละตัวชีวิต

นั่นพูดตามหลักอภิธรรม แต่ถ้าพูดแนวพระสูตรแล้ว มันก็คนนี่แหละ แต่คำสอนแนวอภิธรรมคน ไม่เรียกสัตว์ บุคคล ตัว ตน เราเขา เรียกเป็น จิต เจตสิก รูป พูดเป็นคำศัพท์ว่า ปรมัตถ์ (ปรม+อัตถะ)

เคยพูดไม่น้อยกว่าสองครั้งแล้วว่า ดูคนต้องดูสองชั้นจึงจะเห็นธรรมะ ชั้นนอกดูแบบพระสูตร ชั้นในดูแนวอภิธรรม คิกๆๆ แนวอภิธรรมต้องปฏิบัติจะเห็นชัดแจ๋วเลย


555
เพราะลุงกรัชกายไม่ได้เรียนพระอภิธรรม
เรยไม่รู้ว่า กิน อี้ * นอน ไม่ใช่ประโยชน์สูงสุดในชีวิต

ประโยชน์สูงสุดในชีวิต คือ ปรมัตถ์ธรรม จิต เจตสิก รูป นิพพาน
อันนี้ ทำให้เจ้าชายสิทธธัตถะ เป็นพระพุทธเจ้าได้
ทำให้หลายต่อหลายท่านเป็นพระอรหันต์ได้
คริคริ


กิน ขี้ อี้ นอน มันก็ จิต เจตสิก รูป นี่เอง ไม่ใช่ใครที่ไหนดอก ท่อนนี้พูดภาษาอภิธรรม
แล้วก็จิต เจตสิก รูป มันก็คนนี่เองไม่ใช่ใครที่ไหนดอก ท่อนนี้พูดภาษาชาวบ้าน

พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระอานนท์ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ฯลฯ ไม่กิน ไม่ขี้ ไม่หลับ ไม่นอน กันหรือยังไง ? ท่อนนี้พูดให้คิดให้เห็นภาพกว้าง

คริคริ

เพราะคุณลุงไม่ได้เรียนพระอภิธรรม
เรยไม่รู้ว่า พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ มีแต่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นปรมัตถ์ธรรม
เปนประโยชน์สูงสุด


เจ้าชายสิทธัตถะ อุปติสสะ โกลิตะ พ่อแม่ปู่ตาย่ายายของเจ้าชายสิทธัตถะ เป็นต้น เป็นคนหรือไม่ใช่คน

คริคริ

เพราะคุณลุงกรัชกายไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้ปฎิบัติ
เรยไม่รู้สว่า เจ้าชายสิทธัตถะ ท่านถอนกายบัญญัติออกไป
มีแต่จิต เจตสิก สภาวะรูป และนิพพาน เป็นอามรณ์เท่านั้นค่ะ

555



เจ้าชายสิทธัตถะเป็นคนไหม เอาตรงนี้ก่อน เป็นคน หรือไม่ใช่คน


คริคริ
แสดงว่าคุณลุงกรัชกาย ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม เรยไม่รู้ว่า
เจ้าชายสิทธัตถะ เป็นสมมุติบัญญัติ
ไม่ใช่ปรมัตถ์ธรรม
ปรมัตถ์ธรรม มีแต่ จิต เจตสิก รูป นิพพานเท่านั้นค่ะ
555

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 23 ม.ค. 2019, 21:45 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่เป็นทุกข์

อ้างคำพูด:
โลกสวย
เพราะคุณลุงกรัชกายไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้ปฎิบัติ
เรยไม่รู้สว่า เจ้าชายสิทธัตถะ ท่านถอนกายบัญญัติออกไป
มีแต่จิต เจตสิก สภาวะรูป และนิพพาน เป็นอามรณ์เท่านั้นค่ะ

555


อ้างคำพูด:
กรัชกาย
เจ้าชายสิทธัตถะเป็นคนไหม เอาตรงนี้ก่อน เป็นคน หรือไม่ใช่คน



ต้องการคำตอบนี้ก่อน :b1:

หน้า 3 จากทั้งหมด 5 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/