ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=56695 |
หน้า 10 จากทั้งหมด 24 |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 05 ธ.ค. 2018, 19:28 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
eragon_joe เขียน: กบนอกกะลา เขียน: eragon_joe เขียน: กบนอกกะลา เขียน: แค่อากาศ เขียน: .. แต่ถ้าขณะนั้นมีญาณรู้ล่ะครับว่าต้องสละอย่างนี้เพื่อตัดตรงนี้ แล้วจะได้สิ่งนี้ๆกลับมา จึงสละอย่างนี้เป็นไปได้มั้ยครับ ความเห็นนะ..ไม่น่าจะมีญาณ...อย่างนั้นหรอกครับ... ที่ว่า ต้องสละอย่างนี้..เพื่อตัดตรงนี้....นี้.เป็นความคิดครับ... ตอน..สละ..จริงๆ...จะไม่ได้ต้องการอะไร... ก็มีปัญหาว่า...อ้าวแล้ว...ทานลูกทานเมีย..เพื่อโพธิญาณ..ละ?..มิใช่เพราะมีญาณรู้ว่า..ทำอย่างนี้เพื่อให้ได้อย่างนั้น..ไม่ใช่หรือ? (เลยเป็นที่มาให้คนนอกโจมตีทำนองว่า...โพธิสัตว์พุทธเราเห็นแก่ตัว) อันนี้...ไม่ทราบจริงๆว่าตอนนั้นพระโพธิสัตว์รู้สึกอย่างไร...ก็เป็นแต่เพียงการคาดเดา..ก็ไมรู้จริงไม่จริงอย่างไร... แต่ในที่นี้..พูดถึงสาวกภูมิ...ความคิดว่า..สละอันนี้เพื่อจะตัดอะไรได้..นั้น...ยังไม่ใช่ญาณ...เป็นระดับความคิด...การสละนั้น...ก็กลายเป็นการฝึกตน..เฉยๆ ถามว่า...การจะเอาพรหมวิหาร๔ มาเป็นวิปัสสนาได้มั้ย? แต่ผมกลับเห็นว่าวิปัสสนาญาณ..ต่างหาก..ทำให้เกิดพรหมวิหาร๔ ได้สมบูรณ์.. คือ เราสัมผัสอยู่กับธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา ก็แค่สัมผัส ก็จะเหมือนกับเราฟังเด็กพูดน่ะ เขาจะเดินเข้ามาสะกิดเราบอก ขอน้ำส้มด้วยครับ เมื่อปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่งแล้ว ผู้ปฏิบัติจะได้รับแรงสะท้อนจากธรรมชาติ และเมื่อปฏิบัติ ทวนกระแส นั่นคือ วิถีมันจะเป็นการค่อย ๆ คืนสู่สามัญ กระแสของเราไปแตะกับธรรมด้วยวิถีสลัดคืน ธรรมก็สะท้อนกลับมาหาเราด้วยพลังนั้น เหมือนเอกอนยิ้มให้อ๊บซ์ อ๊บซ์ก็ยิ้มกลับ เมื่อเรากำลังสลัด ธรรมก็สะท้อนพลังกันกลับไปกลับมา และธรรมจะสะท้อนสิ่งที่เป็นแรงที่เรายังยึดเหนี่ยวออกมาให้เราเห็น ที่เห็น เพราะ เมื่อเราเดินจิตทวนกระแส ถ้าหากว่าสิ่งใดที่เกาะติดอยู่และเดินตามกระแสอยู่ จิตจะเห็น แล้วเขาจะรู้สึกคัน ๆ เอง มันเหมือนเส้นเชือก...เส้นใย...ที่ตอนแรกมันไม่ปรากฏ...แต่พอขยับจะจากไป...เส้นเชือกที่โยงกับสิ่งนั้น..มันก็ตึงขึ้นมา..ก็รู้เองว่า..อ้อ..มันโยงกับสิ่งนั้น..มันโยงกับสิ่งนี้...มันก็รู้แต่ว่าต้องจัดการกับเชือก..เท่านั้น มีใยเส้นหนึ่ง...เหนียวหนืด...ยึดได้...พุ่งไปสุดขอบนอกโลกก็ยึดกับโลกยึดสุดขีดก็ไม่ยอมขาด...จะเอากรรไกรมาตัดแล้วเชียว..ความคิดหนึ่งก็แว๊บขึ้นมา แห่ม..มันจะบรรลุง่ายเกินไป เด้วจะไร้รสชาติ...ขอมาวาดลวดลายซะหน่อย.. ที่จริงแล้ว...มันไม่มีอะไรมากเลย...มันอาลัยอาวรณ์โลก..แค่นั้นเอง ที่ต้องชี้ให้จิตเห็น..ว่า..นี้ทุกข์..นี้เหตุของทุกข์..นี้ทุกข์..นี้เหตุของทุกข์..ซ้ำ ๆ ๆ ๆ...ก็เพื่อแค่ตัดอาลัยในโลก ทำไมมันถึงอาลัยในโลก?....ก็แค่เพราะมันเห็นว่า..จะดีมีความสุข..แม้แต่จะสำเร็จ..มันก็คิดว่า..สำเร็จแบบนั้นดี..แบบนี้ดี..เล้ย.. สัณชาติญาณก็ทำแต่งานมุ่งสู่โลกอย่างเดียว...เอกอนใช้คำอะไรนะ...อุปนิสัยใช่มั้ย? ทำไมมันจึงคิดว่า...โลกจะดีมีความสุขละ?...ก็แค่มันโง่... แหมมมม...ธรรมกระทู้นี้ มีหนังกะติ๊กด้วย ตั๊บ กะ A-Gard เคยเห็น หนังกะติ๊ก มั๊ย เล่าให้ Gon ฟังบ้าง |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 05 ธ.ค. 2018, 20:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
แค่อากาศ เขียน: ตั้งคำถามใหม่ต่อนะครับสมองกำลังเปิดกว้างครับ อิอิ แล้วเอาพรหมวิหาร ๔ ให้เป็นวิปัสสนายังไงครับ ส่วนใหญ่เอกอนไม่คุ้นกับการเอา พรหมวิหาร เป็นวิปัสนานะ เอาเป็นว่าเล่าเรื่องตรงที่เอกอนพอจะเข้าใจได้เลยดีก่า จริง ๆ เอกอนก็จะคิดว่า พรหมวิหารเรามีแล้ว เพราะเราเรียนมาตั้งแต่ ประถม นั่นล่ะ แต่ในการเดินสมาธิ (การปฏิบัติสมาธิ) โดยธรรมชาติ สมาธิจะเดินเรียบตั้งมั่น และปรับระดับไปได้ กายต้องสงบระงับ วาจา(ความคิดฟุ้ง)ต้องสงบระงับ ใจต้องสงบระงับ ซึ่ง ศีล ทำให้ กาย วาจา ใจ มันเป็นปกติสุข เมื่อใจยังกระสับกระสาย ด้วยกิเลส ก็พิจารณากามคุณไป เพื่อให้จิตคลายจากการหมกมุ่น เมื่อทุกอย่างค่อย ๆ เข้ารูปเข้ารอย กายสงบ วาจาสงบ จิตสงบ ตั้งมั่นได้เป็นลำดับ ซึ่งจริง ๆ เอกอนก็ไม่รู้หรอกว่าเอกอนทำสมาธิได้ระดับไหน แต่จริง ๆ น่าจะรู้นั่นล่ะ แต่ไม่พูดถึงจะดีก่า เพราะ เอกอน จับอาการบางอย่างของจิตเวลาที่จะเปลี่ยนระดับความละเอียดได้ มันจะเหมือนนั่งชิงช้าสวรรค์ขาลง มันลงจนสุด และก็ไต่ระดับขึ้นไหม่ มันเหมือนตกภวังค์และขึ้นรับอารมณ์ใหม่ แรก ๆ ที่จับความรู้สึกได้ก็ ตื่นเต้นดี เพราะมันเหมือนกับนั่งรถไฟเหาะที่มันมีจังหวะที่มันวูบลงมาแล้วมันก็ขึ้นรับอารมณ์ใหม่ แต่มันก็จะเป็นอย่างนั้นทุกครั้ง จนเราก็ชินกับสิ่งที่ดำเนินไป มันก็เป็นการรู้ พออาการปรากฏเราก็พร้อมที่จะม้วนตัวแล้วขึ้นรับอารมณ์ใหม่ ทำ ๆ ไป มันก็เหมือนกับว่าเราเป็นนักกีฬาว่ายน้ำที่เมื่อใกล้ถึงขอบสระเราก็รู้ และเราก็เตรียมม้วนตัวกลับมาอีกครั้ง สมาธิก็เดินไปได้เรื่อย ๆ นะ จนถึงระดับหนึ่ง เอกอนตกภวังค์และจะขึ้นสู่อารมณ์ใหม่ ปรากฏว่าก็เห็นชัด ๆ ว่า มันพยายามจะขึ้นรับอารมณ์ แต่มันเกี่ยวไม่ติด มันก็ร่วงลงมา มันก็เป็นคำถามที่ว่า ทำไมเราถึงเกี่ยวอารมณ์นั้นไม่ได้ คือจริง ๆ เมื่อพิจารณาทบทวนวนซ้ำอยู่หลายรอบ มันชัดเจนว่า อารมณ์ที่ละก่อนหน้ามันหยาบกว่า อารมณ์ใหม่ที่เข้าไปเกี่ยว ซึ่งเอกอนสามารถละอารมณ์หยาบได้ และเดินจิตที่ละเอียดขึ้นได้ แต่ไม่สามารถที่จะทรงตัวอยู่ในอารมณ์นั้นได้ แต่ตอนนั้นก็รู้แล้วว่า ถ้าจะทรงตัวอยู่ในอารมณ์นั้นได้ ต้องเจริญพรหมวิหาร คือ ไม่มีใครต้องบอกนะ แต่ปฏิบัติไปแล้วมันเห็นซ้ำ ๆ ว่าอารมณ์บนระนาบนั้นคืออะไร จิตก็บอกกับเราเองว่า ต้องเจริญพรหมวิหาร 4 ทำไมจิตถึงตอบกับเราได้ ก็ ตั้งแต่ได้เรียนเรื่องพรหมวิหาร 4 ตั้งแต่ประถมจนโต แม้เราจะฟังแล้วเข้าใจไปตามความคิด แต่มันต้องมีสักครั้งหรือหลายครั้ง ที่เราบังเอิญเกิดการกระทำอันเป็นเมตตา-กรุณา ไปแบบเรื่อย ๆ ซึ่งการกระทำซึ่งกุศลจิตอันเป็น เมตตา กรุณา ในแต่ละครั้ง อารมณ์ที่ปรากฏตามมา จะถูกบันทึกไว้เป็นสัญญา เมื่อมันเจออารมณ์ มันก็มีสัญญาที่จำอารมณ์นั้น ๆ ได้ มันก็เอามาบอกเรา ซึ่งเมื่อเราเข้าสมาธิ และไปเจอระนาบที่เป็นอารมณ์นั้น แต่เรายังไม่อาจจะทรงตัวอยู่ได้ แต่จิตเขารู้ เขาก็ตอบเรากลับมา ว่าระนาบข้างหน้าน่ะ ที่เราเกี่ยวไม่ติดน่ะ คืออารมณ์ประมาณพรหมวิหาร เพราะระนาบนั้นเป็นอารมณ์ที่ละเอียด ซึ่งเราเข้าถึงได้ แต่เราไม่สามารถทรงตัวอยู่ตรงนั้นได้ ก็หล่นลงมาตามระเบียบ ซึ่งถ้าจะทรงตัวอยู่ให้ได้ ต้องทำอารมณ์ของระนาบนั้นให้มาก เพื่อให้จิตคุ้นชินที่จะตั้งอยู่ในอารมณ์นั้น ซึ่ง การเจริญพรหมวิหาร ในตอนนั้น ชัด ๆ บังเอิญตอนนั้นมีเรื่องของ ศัตรูในที่ทำงาน ก็เลยได้หยิบเรื่องนั้นขึ้นมาพิจารณา เรื่องอาฆาต พยาบาท เจ็บ แค้น เคือง โกรธ คือมันจะมีเรื่องราวแนว ๆ นี้มาให้เราต้องเผชิญหน้า และเรียนรู้ไปกับมันน่ะ ไม่รู้จิตน้อมนำการแผ่เมตตาเข้ามาชะโลมใจ กล่อมใจ ไม่รู้วันละกี่รอบต่อกี่รอบ ตั้งแต่ตื่นเช้า จนกระทั่งจะนอน ก็ตรึกแต่เรื่องเกี่ยวกับการแผ่เมตตา อภัย ไม่ถือสา อโหสิ ฯลฯ และเมื่อจิตพร้อม คือเราทำไปแบบไม่ต้องคาดหวัง คือมันก็คาดหวังไม่ได้น่ะ เพราะทำมาหลายรอบแล้ว ขึ้นเกาะวิถีไม่ติดก็คือไม่ติด แต่บทเขาพร้อม เมื่อเข้าจะเกี่ยววิถีและโนม้ตัวขึ้นไปตั้งอยู่ได้ ถ้าตั้งอยู่ได้ เขาจะทำได้เอง การเจริญพรหมวิหารตรงนี้ ก็คือ ออกมาแก้ปัญหาในชีวิตจริง เรียนรู้ทำใจไปพร้อม ๆ กับชีวิตจริง ไม่ได้เข้าไปพยายามแก้พยายามทำอะไรในสมาธินะ เพราะเอกอนทำอย่างนั้นไม่ได้ ทำสมาธิช่วงนั้น จะรู้ว่าเราจะไปแต่งองค์ทรงเครื่องอะไรข้างในสมาธิไม่ได้ จะต้องปรับกระบวน ฝึกฝนกันข้างนอก ตอนใช้ชีวิตประจำวันนี่ล่ะ พอทำสมาธิก็ไปตามปกตินั่นล่ะ มันจำได้นิ่ ซึ่งพอจะขึ้นสู่วิถี ก็ลุ้นกันตอนม้วนตัวขึ้นวิถี่นี่แหละ ถ้าไม่ได้ก็คือยังไม่ได้ ก็กลับออกมาแต่งองค์ทรงเครื่อง ฝึกฝนกระบวนท่าม้วนกลางอากาศใหม่ แล้วก็เข้าไปใหม่ ซึ่งขอเพียงเขาเกี่ยวติดได้ครั้งเดียว จิตเขาจะจำได้ ขึ้นท่านั้นเมื่อไรเขาก็จะไปตามร่องที่เขาได้ทำเอาไว้แล้ว ซึ่ง ความคุ้นชิน การเสพคุ้นจนเป็นอุปนิสัยของจิต บางครั้งถ้าสิ่งนั้นเป็นทางที่เป็นไปอันเป็นกุศล จิตก็จะเจริญไปในทางอันเป็นกุศล คือเมื่อมันได้ทำร่องรอยไว้แล้ว ร่องรอยก็จะค่อย ๆ ทอดยาวออกไปในแนวทางที่ทำร่องไว้ แต่ถ้าหากว่ารองนั้นไม่ใช่ การจะทำให้จิตสร้างร่องใหม่เพื่อเบียงตัวเองออกมาจากร่องเดิม เป็นเรื่องที่ค่อนข้าง ไม่ง่าย ร่องรอยของอุปนิสัยของจิต นั่นคือ ร่องรอยของ กรรม กรรมทิ้งร่องรอยเอาไว้ ให้เป็นไป |
เจ้าของ: | แค่อากาศ [ 05 ธ.ค. 2018, 21:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
กบนอกกะลา เขียน: การสละ..เป็น....ต้องเข้าใจธรรม.. เมื่อเข้าใจธรรม..ลึกขึ้นไป..ลึกขึ้นไป..ก็จะสละได้เป็น...ละเอียดขึ้นไป..ละเอียดขึ้นไป..ตามกำลังความรู้ ก็ผมบอกว่าสมมติไงครับท่านอ๊บ 555 ว่าหากตอนนั้นท่านอ๊บไม่รู้ธรรม ไม่รู้พระพุทธศาสนาไงครับ แต่อาศัยบารมีเก่าอะครับ เป็นการเปรียบเปรยครับ สาธุครับท่านอ๊บ..ผมเห็นจริงตามนั้นด้วยนะที่ท่านอ๊บกล่าวว่าวิปัสนาต่างหากที่ทำพรหมวิหาร ๔ ให้บริบูรณ์ ไม่ใช่พรหมวิหาร ๔ ทำวิปัสสนาให้บริบูรณ์ ... แต่ถ้าในมุมกลับกันที่เป็นการเกื้อหนุนกันล่ะครับ ..ไว้ผมจะมาโม้เรื่องนี้ต่อครับ การเกื้อหนุนกันให้จ่างฝ่ายต่างบริบูรณ์ ตอนี้กระทู้เราเยอะจัดไหลไวมาก ผมตาลาย 5555 ใช้มือถือครับ 555 |
เจ้าของ: | แค่อากาศ [ 05 ธ.ค. 2018, 21:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
eragon_joe เขียน: แค่อากาศ เขียน: ตั้งคำถามใหม่ต่อนะครับสมองกำลังเปิดกว้างครับ อิอิ แล้วเอาพรหมวิหาร ๔ ให้เป็นวิปัสสนายังไงครับ ส่วนใหญ่เอกอนไม่คุ้นกับการเอา พรหมวิหาร เป็นวิปัสนานะ เอาเป็นว่าเล่าเรื่องตรงที่เอกอนพอจะเข้าใจได้เลยดีก่า จริง ๆ เอกอนก็จะคิดว่า พรหมวิหารเรามีแล้ว เพราะเราเรียนมาตั้งแต่ ประถม นั่นล่ะ แต่ในการเดินสมาธิ (การปฏิบัติสมาธิ) โดยธรรมชาติ สมาธิจะเดินเรียบตั้งมั่น และปรับระดับไปได้ กายต้องสงบระงับ วาจา(ความคิดฟุ้ง)ต้องสงบระงับ ใจต้องสงบระงับ ซึ่ง ศีล ทำให้ กาย วาจา ใจ มันเป็นปกติสุข เมื่อใจยังกระสับกระสาย ด้วยกิเลส ก็พิจารณากามคุณไป เพื่อให้จิตคลายจากการหมกมุ่น เมื่อทุกอย่างค่อย ๆ เข้ารูปเข้ารอย กายสงบ วาจาสงบ จิตสงบ ตั้งมั่นได้เป็นลำดับ ซึ่งจริง ๆ เอกอนก็ไม่รู้หรอกว่าเอกอนทำสมาธิได้ระดับไหน แต่จริง ๆ น่าจะรู้นั่นล่ะ แต่ไม่พูดถึงจะดีก่า เพราะ เอกอน จับอาการบางอย่างของจิตเวลาที่จะเปลี่ยนระดับความละเอียดได้ มันจะเหมือนนั่งชิงช้าสวรรค์ขาลง มันลงจนสุด และก็ไต่ระดับขึ้นไหม่ มันเหมือนตกภวังค์และขึ้นรับอารมณ์ใหม่ แรก ๆ ที่จับความรู้สึกได้ก็ ตื่นเต้นดี เพราะมันเหมือนกับนั่งรถไฟเหาะที่มันมีจังหวะที่มันวูบลงมาแล้วมันก็ขึ้นรับอารมณ์ใหม่ แต่มันก็จะเป็นอย่างนั้นทุกครั้ง จนเราก็ชินกับสิ่งที่ดำเนินไป มันก็เป็นการรู้ พออาการปรากฏเราก็พร้อมที่จะม้วนตัวแล้วขึ้นรับอารมณ์ใหม่ ทำ ๆ ไป มันก็เหมือนกับว่าเราเป็นนักกีฬาว่ายน้ำที่เมื่อใกล้ถึงขอบสระเราก็รู้ และเราก็เตรียมม้วนตัวกลับมาอีกครั้ง สมาธิก็เดินไปได้เรื่อย ๆ นะ จนถึงระดับหนึ่ง เอกอนตกภวังค์และจะขึ้นสู่อารมณ์ใหม่ ปรากฏว่าก็เห็นชัด ๆ ว่า มันพยายามจะขึ้นรับอารมณ์ แต่มันเกี่ยวไม่ติด มันก็ร่วงลงมา มันก็เป็นคำถามที่ว่า ทำไมเราถึงเกี่ยวอารมณ์นั้นไม่ได้ คือจริง ๆ เมื่อพิจารณาทบทวนวนซ้ำอยู่หลายรอบ มันชัดเจนว่า อารมณ์ที่ละก่อนหน้ามันหยาบกว่า อารมณ์ใหม่ที่เข้าไปเกี่ยว ซึ่งเอกอนสามารถละอารมณ์หยาบได้ และเดินจิตที่ละเอียดขึ้นได้ แต่ไม่สามารถที่จะทรงตัวอยู่ในอารมณ์นั้นได้ แต่ตอนนั้นก็รู้แล้วว่า ถ้าจะทรงตัวอยู่ในอารมณ์นั้นได้ ต้องเจริญพรหมวิหาร คือ ไม่มีใครต้องบอกนะ แต่ปฏิบัติไปแล้วมันเห็นซ้ำ ๆ ว่าอารมณ์บนระนาบนั้นคืออะไร จิตก็บอกกับเราเองว่า ต้องเจริญพรหมวิหาร 4 ทำไมจิตถึงตอบกับเราได้ ก็ ตั้งแต่ได้เรียนเรื่องพรหมวิหาร 4 ตั้งแต่ประถมจนโต แม้เราจะฟังแล้วเข้าใจไปตามความคิด แต่มันต้องมีสักครั้งหรือหลายครั้ง ที่เราบังเอิญเกิดการกระทำอันเป็นเมตตา-กรุณา ไปแบบเรื่อย ๆ ซึ่งการกระทำซึ่งกุศลจิตอันเป็น เมตตา กรุณา ในแต่ละครั้ง อารมณ์ที่ปรากฏตามมา จะถูกบันทึกไว้เป็นสัญญา เมื่อมันเจออารมณ์ มันก็มีสัญญาที่จำอารมณ์นั้น ๆ ได้ มันก็เอามาบอกเรา ซึ่งเมื่อเราเข้าสมาธิ และไปเจอระนาบที่เป็นอารมณ์นั้น แต่เรายังไม่อาจจะทรงตัวอยู่ได้ แต่จิตเขารู้ เขาก็ตอบเรากลับมา ว่าระนาบข้างหน้าน่ะ ที่เราเกี่ยวไม่ติดน่ะ คืออารมณ์ประมาณพรหมวิหาร เพราะระนาบนั้นเป็นอารมณ์ที่ละเอียด ซึ่งเราเข้าถึงได้ แต่เราไม่สามารถทรงตัวอยู่ตรงนั้นได้ ก็หล่นลงมาตามระเบียบ ซึ่งถ้าจะทรงตัวอยู่ให้ได้ ต้องทำอารมณ์ของระนาบนั้นให้มาก เพื่อให้จิตคุ้นชินที่จะตั้งอยู่ในอารมณ์นั้น ซึ่ง การเจริญพรหมวิหาร ในตอนนั้น ชัด ๆ บังเอิญตอนนั้นมีเรื่องของ ศัตรูในที่ทำงาน ก็เลยได้หยิบเรื่องนั้นขึ้นมาพิจารณา เรื่องอาฆาต พยาบาท เจ็บ แค้น เคือง โกรธ คือมันจะมีเรื่องราวแนว ๆ นี้มาให้เราต้องเผชิญหน้า และเรียนรู้ไปกับมันน่ะ ไม่รู้จิตน้อมนำการแผ่เมตตาเข้ามาชะโลมใจ กล่อมใจ ไม่รู้วันละกี่รอบต่อกี่รอบ ตั้งแต่ตื่นเช้า จนกระทั่งจะนอน ก็ตรึกแต่เรื่องเกี่ยวกับการแผ่เมตตา อภัย ไม่ถือสา อโหสิ ฯลฯ และเมื่อจิตพร้อม คือเราทำไปแบบไม่ต้องคาดหวัง คือมันก็คาดหวังไม่ได้น่ะ เพราะทำมาหลายรอบแล้ว ขึ้นเกาะวิถีไม่ติดก็คือไม่ติด แต่บทเขาพร้อม เมื่อเข้าจะเกี่ยววิถีและโนม้ตัวขึ้นไปตั้งอยู่ได้ ถ้าตั้งอยู่ได้ เขาจะทำได้เอง การเจริญพรหมวิหารตรงนี้ ก็คือ ออกมาแก้ปัญหาในชีวิตจริง เรียนรู้ทำใจไปพร้อม ๆ กับชีวิตจริง ไม่ได้เข้าไปพยายามแก้พยายามทำอะไรในสมาธินะ เพราะเอกอนทำอย่างนั้นไม่ได้ ทำสมาธิช่วงนั้น จะรู้ว่าเราจะไปแต่งองค์ทรงเครื่องอะไรข้างในสมาธิไม่ได้ จะต้องปรับกระบวน ฝึกฝนกันข้างนอก ตอนใช้ชีวิตประจำวันนี่ล่ะ พอทำสมาธิก็ไปตามปกตินั่นล่ะ มันจำได้นิ่ ซึ่งพอจะขึ้นสู่วิถี ก็ลุ้นกันตอนม้วนตัวขึ้นวิถี่นี่แหละ ถ้าไม่ได้ก็คือยังไม่ได้ ก็กลับออกมาแต่งองค์ทรงเครื่อง ฝึกฝนกระบวนท่าม้วนกลางอากาศใหม่ แล้วก็เข้าไปใหม่ ซึ่งขอเพียงเขาเกี่ยวติดได้ครั้งเดียว จิตเขาจะจำได้ ขึ้นท่านั้นเมื่อไรเขาก็จะไปตามร่องที่เขาได้ทำเอาไว้แล้ว ซึ่ง ความคุ้นชิน การเสพคุ้นจนเป็นอุปนิสัยของจิต บางครั้งถ้าสิ่งนั้นเป็นทางที่เป็นไปอันเป็นกุศล จิตก็จะเจริญไปในทางอันเป็นกุศล คือเมื่อมันได้ทำร่องรอยไว้แล้ว ร่องรอยก็จะค่อย ๆ ทอดยาวออกไปในแนวทางที่ทำร่องไว้ แต่ถ้าหากว่ารองนั้นไม่ใช่ การจะทำให้จิตสร้างร่องใหม่เพื่อเบียงตัวเองออกมาจากร่องเดิม เป็นเรื่องที่ค่อนข้าง ไม่ง่าย ร่องรอยของอุปนิสัยของจิต นั่นคือ ร่องรอยของ กรรม กรรมทิ้งร่องรอยเอาไว้ ให้เป็นไป สาธุครับ ท่านเอกอน..ใช่เลยเรื่องเข้าสมาธิ เด๋วผมมาต่อพรหมวิหาร ๔ นะครับ ตาอักเสบจ้องมือถือนานไม่ได้ครัล 5555 |
เจ้าของ: | แค่อากาศ [ 06 ธ.ค. 2018, 12:03 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
ถูกแล้วดีแล้วท่านอ๊บ ที่ว่า.. วิปัสสนาต่างหากที่ทำให้พรหมวิหาร ๔ บริบูรณ์ .. สาธุ สาธุ สาธุ เจริญใจดีแท้ ผมก็เห็นเช่นนั้น ถ้ามองในมุมกลับกันล่ะครับ เมตตาเจโตวิมุตติของพระพุทธเจ้ากับมหาสติปัฏฐาน ว่าด้วยความเกื้อหนุนกัน กล่าวถึงผู้มีสมถะนำ วิปัสสนาตาม - พรหมวิหาร ๔ ใช้ปรับจิตพื้นฐานแก่ ศีล และสมาธิจิต ในสมถะ คือ จินตะมยปัญญา - สมาธิจิตมีปัญญาในสมถะ ทำให้เข้าไปเห็นจริงใน พรหมวิหาร ๔ เป็นจินตะมยปัญญา - จินตะมยปัญญาจากพรหมวิหาร ๔ ทำให้จิตเห็น และจิตน้อมไปในมหาสติโดยตรง - ปัญญาญาณจากภาวนาแห่งมหาสติ ทำให้พรหมวิหาร ๔ บริบูรณ์ - ผลอันเกิดจากพรหมวิหาร ๔ ที่บริบูรณ์ด้วยมหาสติ ทำให้เข้าถึงสภาวะธรรมอันเป็นผลแห่งวิปัสสนาที่เสวยอารมณ์อันเป็นสุขปลดเปลื่องอาสวะนั้นแล้วด้วยดี **(ข้อนี้มีเฉพาะในศาสนาพุทธตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธศาดนานี้เท่านั้น ศาสนาอื่นไม่มี เพราะนี่คือ เจโตวิมุตติ ของพระพุทธเจ้า พระบรมศาสดา)** **(ถ้าจะกล่าวให้เข้าใจง่ายก็คือ - พรหมวิหาร๔ เจโตวิมุตติ ของพระพุทธเจ้า เป็นเวทนา(ผล) และมนสิการ(เหตุ) ของมหาสติปัฏฐาน ๔ - มหาสติปัฏฐาน ๔ คือวิปัสสนาเครื่องหลุดพ้นให้เสวยเวทนานั้นบริบูรณ์ และมนสิการได้ถูกตรงทางพ้นทุกข์ มุ่งไปสู่โพชฌงค์ และวิชชา(พระอริยะสัจ๔) วิมุตติ(สละคืน)ได้นั่นเอง - นี่คือสายเจโตวิมุตติว่าด้วยความเกื้อกูลกันระหว่าง พรหมวิหาร ๔ กับ มหาสติปัฏฐาน ที่มีเฉพาะพระพุทธศาสนานี้เท่านั้น)** อันนี้แค่ความเห็นจากการปฏิบัติเท่านั้นนะครับ ผสมกับความคิดอนุมานจำเพาะเมตตาเจโตวิมุตติ ซึ่งยังกายอยู่ ซึ่งจำเพาะแต่คนที่ได้รูปฌาณให้เดินจิตไปในมหาสติเท่านั้น ซึ่งตรงนี้ไม่ได้บอกว่าจริง แต่จะจริงแท้ได้กับท่านที่ใช้เจโตวิมุตติ แบบสมาธินำ วิปัสสนาตาม เพราะภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เจริญ สมถะและวิปัสสนา ๓ ประเภท ๑. วิ. นำ - ส.ตาม ๒. ส.นำ - วิ. ตาม ๓. วิ. และ ส. ควบคู่กันไป ที่สุดคือไปจุดเดียวกัน ดังนี้ครับ ท่านอ๊บว่ากระไรครับในมุมมมองนี้ ผมขออนุญาตลบหลายส่วนออกนะครับมันจะเป็นสัญญาแก่ผู้ฝึกมหม่ที่เข้ามาอ่าน |
เจ้าของ: | แค่อากาศ [ 06 ธ.ค. 2018, 12:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
ผมไม่ถึงธรรมนะครับแต่ก็เจริญอยู่ โม้ไปเรื่อยครับ อิอิ แต่สิ่งที่ผมโพสท์ไม่มีที่ไหน มีที่ผมคนเดียว อิอิ แต่ธรรมทั้งปวงของผมไม่ขัดกับมี่พระพุทธเจ้าตรัสสอนแน่นอน และเป็นสิ่งที่ไปตรงตามพระธรรมของพระศาสดา เพราะเดินตามทางที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนครับ ขอบพระคุณทุกท่านที่เมตตา แค่อากาศ คนหล่อสุดใน ๓ โลก คนนี้ครับ อิอิ |
เจ้าของ: | แค่อากาศ [ 06 ธ.ค. 2018, 12:10 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
กระทู้ตอบนี้ เด๋วมาคุยกับท่านเอกอนต่อครับ ผมพิมพ์ในมือถือก๊อปปี้ลงๆๆๆ อาจมีเขียนวนคำซ้ำนะครับ ไม่ได้เปิด labtop |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 06 ธ.ค. 2018, 16:12 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
แค่อากาศ เขียน: กระทู้ตอบนี้ เด๋วมาคุยกับท่านเอกอนต่อครับ ผมพิมพ์ในมือถือก๊อปปี้ลงๆๆๆ อาจมีเขียนวนคำซ้ำนะครับ ไม่ได้เปิด labtop 555 รอ |
เจ้าของ: | แค่อากาศ [ 06 ธ.ค. 2018, 17:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
จะถามแล้วครับ |
เจ้าของ: | แค่อากาศ [ 06 ธ.ค. 2018, 20:57 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
eragon_joe เขียน: แค่อากาศ เขียน: กระทู้ตอบนี้ เด๋วมาคุยกับท่านเอกอนต่อครับ ผมพิมพ์ในมือถือก๊อปปี้ลงๆๆๆ อาจมีเขียนวนคำซ้ำนะครับ ไม่ได้เปิด labtop 555 รอ ท่านเอกอนแนะนำไว้ดีมากครับ เรื่อวการทำสะสมเหตุ ทำบ่อยก็กลายเป็นนิสัย เป็นจริต มี่สุดก็เป็นบารมีในตนติดตามไปทุกภพชาติ ทีนี้กล่าวถึงพรหมวิหาร ๔ ท่านเอกอนมีวิธีทำไว้ในใจอย่างไรให้เข้าถึงครับ ตรงนี้ต่อให้เป็นอุปนิสัยเราก็รู้ว่าขณะนั้นทำไว้ในใจยังไงใช่ไหมครับ คำถามต่อไปนี้จะสัมพันธ์กันกับกระทู้ท่านเอกอนที่ตอบผมล่าสุดครับ.. คำถามที่ ๓ หรือ ๔ หรือ ๕ ไม่แน่ใจ อิอิ เอา ๓ ละกันครับ ๑. เมตตา ท่านเอกอนมนสิการไปยังไงเมื่อเจอสิ่งที่ชัง ๒. กรุณา ท่านเอกอนมนสิการไปยังไงเมื่อเจอสิ่วที่ชัง ๓. มุทิตา ท่ารเอกอนมนสิการไปยังไงเมื่อเจอสิ่งที่ชัง ๔. อุเบกขา ท่านเอกอนมนสิการไปยังไงเมื่อเจอสิ่งที่ชัง ๕. แล้วถ้าเจอสิ่งที่ชังท่านเอกอนเปลี่ยนมนสิการไปในศีลแทนได้ไหมครับ เพราะเหตุใด ๖. ศีลในพระพุทธศาสนา คือ ผลของพรหมวิหาร ๔ ใช่หรือไม่ เพราะเหตุใด ๗. ถ้า ศีล..ของพระพุทธเจ้า คือ ผลของพรหมวิหาร ๔ ..ก็ด้วยเหตุว่า อินทรีย์สังวร เป็นอาหาร(คือเหตุปัจจัยสืบ)ของความสุจริต ความสุจริตเป็นเหตุปัจจัยของมหาสติปัฏฐาน แล้วอย่างนั้น พรหมวิหาร ๔ คือ ตัวเหตุปัจจัยที่ทำให้มหาสติบริบูรณ์ด้วยหรือไม่ครับ เพระเหตุใด |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 06 ธ.ค. 2018, 21:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
แค่อากาศ เขียน: s002 ขอบพระคุณทุกท่านที่เมตตา แค่อากาศ คนหล่อสุดใน ๓ โลก คนนี้ครับ อิอิ กล่าวถึง 3 โลกใน ทัศนะของ A-Gard ในตอนนี้ให้ฟังหน่อยสิ่ |
เจ้าของ: | แค่อากาศ [ 06 ธ.ค. 2018, 21:51 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
eragon_joe เขียน: แค่อากาศ เขียน: s002 ขอบพระคุณทุกท่านที่เมตตา แค่อากาศ คนหล่อสุดใน ๓ โลก คนนี้ครับ อิอิ กล่าวถึง 3 โลกใน ทัศนะของ A-Gard ในตอนนี้ให้ฟังหน่อยสิ่ โลกความฝัน โลกสมมติ โลกส่วนตัว ครับ 555 |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 06 ธ.ค. 2018, 23:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
แค่อากาศ เขียน: eragon_joe เขียน: แค่อากาศ เขียน: กระทู้ตอบนี้ เด๋วมาคุยกับท่านเอกอนต่อครับ ผมพิมพ์ในมือถือก๊อปปี้ลงๆๆๆ อาจมีเขียนวนคำซ้ำนะครับ ไม่ได้เปิด labtop 555 รอ ท่านเอกอนแนะนำไว้ดีมากครับ เรื่อวการทำสะสมเหตุ ทำบ่อยก็กลายเป็นนิสัย เป็นจริต มี่สุดก็เป็นบารมีในตนติดตามไปทุกภพชาติ ทีนี้กล่าวถึงพรหมวิหาร ๔ ท่านเอกอนมีวิธีทำไว้ในใจอย่างไรให้เข้าถึงครับ ตรงนี้ต่อให้เป็นอุปนิสัยเราก็รู้ว่าขณะนั้นทำไว้ในใจยังไงใช่ไหมครับ คำถามต่อไปนี้จะสัมพันธ์กันกับกระทู้ท่านเอกอนที่ตอบผมล่าสุดครับ.. คำถามที่ ๓ หรือ ๔ หรือ ๕ ไม่แน่ใจ อิอิ เอา ๓ ละกันครับ ๑. เมตตา ท่านเอกอนมนสิการไปยังไงเมื่อเจอสิ่งที่ชัง ๒. กรุณา ท่านเอกอนมนสิการไปยังไงเมื่อเจอสิ่วที่ชัง ๓. มุทิตา ท่ารเอกอนมนสิการไปยังไงเมื่อเจอสิ่งที่ชัง ๔. อุเบกขา ท่านเอกอนมนสิการไปยังไงเมื่อเจอสิ่งที่ชัง ๕. แล้วถ้าเจอสิ่งที่ชังท่านเอกอนเปลี่ยนมนสิการไปในศีลแทนได้ไหมครับ เพราะเหตุใด ๖. ศีลในพระพุทธศาสนา คือ ผลของพรหมวิหาร ๔ ใช่หรือไม่ เพราะเหตุใด ๗. ถ้า ศีล..ของพระพุทธเจ้า คือ ผลของพรหมวิหาร ๔ ..ก็ด้วยเหตุว่า อินทรีย์สังวร เป็นอาหาร(คือเหตุปัจจัยสืบ)ของความสุจริต ความสุจริตเป็นเหตุปัจจัยของมหาสติปัฏฐาน แล้วอย่างนั้น พรหมวิหาร ๔ คือ ตัวเหตุปัจจัยที่ทำให้มหาสติบริบูรณ์ด้วยหรือไม่ครับ เพระเหตุใด ตอบแล้วววว แต่ ... อิอิ หายไปในอากาศเยียบย้อยแย๊ว บิวท์อารมณ์ตอบนี่ ไม่ง่ายเลยน่ะ สงสัยความเห็นของเอกอน จะอด รอความเห็นท่านตั๊บ ท่านอ๊บซ์ งาม ๆ เถอะ |
เจ้าของ: | แค่อากาศ [ 06 ธ.ค. 2018, 23:12 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
eragon_joe เขียน: ตอบแล้วววว แต่ ... อิอิ หายไปในอากาศเยียบย้อยแย๊ว บิวท์อารมณ์ตอบนี่ ไม่ง่ายเลยน่ะ สงสัยความเห็นของเอกอน จะอด รอความเห็นท่านตั๊บ ท่านอ๊บซ์ งาม ๆ เถอะ เดจาวู เหมือนเหตุการณ์นี้ๆเคยเกิดขึ้นแล้วเลย |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 07 ธ.ค. 2018, 01:12 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
ต้องปรับจากความเห็นตรง ๆ เป็นความเห็นธรรมดา ๆ ซื่อ ๆ เอาเป็นส่วน ๆ ไปเน๊อะ คือการจะทำอะไรโดยเบื้องต้น สุจริต คำนี้เป็นคำที่มีความหมายสำหรับเอกอนก็คือ นอกเป็นเช่นไร ในก็ให้เป็นเช่นนั้น ไม่ใช่ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก ทำนองนั้น คือ ใจคิดอย่าง กาย-วาจาทำอีกอย่าง ตัวนี้ก็จะไปสัมพันธ์กับศีล ที่จะต้องเจริญทั้งศีลภายใน และศีลภายนอก(ศีลที่แสดง) ไปด้วยกันได้ ไม่ปีน ไม่เขย่งหน้า เขย่งหลัง คือเอกอนสังเกตเวลาที่ทำสมาธิ แล้วนั่งมองจิตที่มันฟุ้งไปต่าง ๆ นานากว่ามันจะสงบลงได้ เอกอนขี้เกียจนั่งดูความฟุ้งน่ะ ก็เลยต้องจัดระเบียบกันตั้งแต่ภายนอก กิจกรรมภายนอกอะไรที่ฟุ้ง ๆ ก็ทยอยละซะ มันจะได้ไม่ไปออกฤทธิ์ภายใน เรื่องแบบนี้ก็คล้าย ๆ กับ พวกที่ชอบกินเผ็ด แล้วก็ไปลำบากท้องน่ะ (ลำบากทวาร ) ถ้าไม่อยากลำบากท้อง ก็เลือกกินที่มันถูกสุขลักษณะหน่อย เป็นเรื่องที่ต้องฝึกอย่างง่าย ๆ เอกอนแทบจะไม่เคยนินทาใครนะ จริงๆเป็นนิสัยที่ผู้หญิงชอบนะ จับกลุ่มนินทา การจับกลุ่มนินทา มันเจริญงอกงามขึ้นได้ เพราะคิดไปในทางจะกล่าวถึงผู้อื่นในทางร้าย เมื่อคิดแล้วก็คันปาก แล้วก็ไปหาคนจับกลุ่มนินทา เป็นกิจกรรมที่เอร็ดอร่อยมาก ก็ฝึกที่จะไม่ไปจับกลุ่ม ฝึกที่จะสำรวมวาจา แรก ๆ ใจมันคอยคิด ก็สำรวม ถ้าไม่นินทาจนชิน ผลพฤติกรรมมันก็โยงไปแตะศีล แตะสติ แตะสมาธิ โดยปริยาย มันได้สติที่คอยสอดส่องสำรวมกาย-วาจา-ใจ อุปนิสัยตรึกไปในทางสำรวมก็ค่อย ๆ มีขึ้น และค่อย ๆ แนบไปกับชีวิต เมื่อสติดูแลกำกับดีอยู่ ความฟุ้งไปในอกุศลจิตก็ค่อย ๆ ลดลง สมาธิที่เป็นไปในชีวิตแต่ละวันมันก็มีขึ้น ทุกอย่างมันเป็นไปโดยแนบเนียน ถ้าหากว่าเอกอนเล่า เอกอนจะเล่าเป็นจุด ๆ ไม่ถูก เพราะเอกอนไม่ได้จับธรรมอะไรเพียง 1 ไว้แน่น แต่จะนำธรรมมาใช่ร่วมกัน ประกอบกัน และบริหารนอก บริหารในให้สัมพันธ์กัน แค่อากาศ เขียน: eragon_joe เขียน: แค่อากาศ เขียน: กระทู้ตอบนี้ เด๋วมาคุยกับท่านเอกอนต่อครับ ผมพิมพ์ในมือถือก๊อปปี้ลงๆๆๆ อาจมีเขียนวนคำซ้ำนะครับ ไม่ได้เปิด labtop 555 รอ ท่านเอกอนแนะนำไว้ดีมากครับ เรื่อวการทำสะสมเหตุ ทำบ่อยก็กลายเป็นนิสัย เป็นจริต มี่สุดก็เป็นบารมีในตนติดตามไปทุกภพชาติ ทีนี้กล่าวถึงพรหมวิหาร ๔ ท่านเอกอนมีวิธีทำไว้ในใจอย่างไรให้เข้าถึงครับ การงดเว้นซึ่งการนินทาก็เป็นการเจริญพรหมวิหาร 4 นะ จริงมั๊ย อ้างคำพูด: ตรงนี้ต่อให้เป็นอุปนิสัยเราก็รู้ว่าขณะนั้นทำไว้ในใจยังไงใช่ไหมครับ คำถามต่อไปนี้จะสัมพันธ์กันกับกระทู้ท่านเอกอนที่ตอบผมล่าสุดครับ.. พรหมวิหารแทรกซึมเข้าไปในทุกอย่าง ความกตัญญูก็เป็น Moment หนึ่งของพรหมวิหาร แม้เงินเดือนเราจะมีน้อย แต่บางคนก็รู้จักที่จะใช้จ่ายอย่างประหยัด เพื่อที่จะมีเงินเดือนส่วนหนึ่งไว้เลี้ยงดูบิดามารดา ผู้ปฏิบัติย่อมรู้นั่นล่ะ พรหมวิหารแทรกซึมไปกับชีวิตทั่วไปนี่ล่ะ อ้างคำพูด: คำถามที่ ๓ หรือ ๔ หรือ ๕ ไม่แน่ใจ อิอิ เอา ๓ ละกันครับ ๑. เมตตา ท่านเอกอนมนสิการไปยังไงเมื่อเจอสิ่งที่ชัง ที่ราวตากผ้าบ้านเอกอนมีแตนมาทำรัง เขาก็ทำรังกันอย่างสุขสบายนะ อยู่ในร่ม มีหลังคาบัง ลมไม่กวน ฝนไม่สาด รังก็นับว่าใหญ่ เพราะทำเลเหมาะ เวลาเอกอนซักผ้าแล้วเอาผ้าไปตาก เอกอนต้องคอยระวัง ด้วยความที่เอกอนคิดว่าเขาคงจะชินกับเอกอนแล้ว แต่วันหนึ่งเอกอนซักผ้าห่ม เขาไม่ชินกับผ้าห่ม เขาเห็นมันใหญ่ เขาก็เลยบินมาต่อยเอกอน เจ็บจี๊ดเลย ก็ตกใจนิด ๆ เพราะไม่เคยโดนแมลงต่อยเลย ไม่รู้ว่าจะแพ้รึเปล่า แต่เอกอนไม่รู้สึกเจ็บมากนัก ก็เริ่มเป็นห่วงว่า เขาจะตายมั๊ย ก็ไปเปิด google ดู ok แตนต่อยได้หลายที เขาไม่ทิ้งเหล็กใน ดังนั้นเขาไม่ตาย และเขาก็อยู่ตรงนั้นต่อไป ไม่ได้คิดจะไล่เขาเลย จริง ๆ ก็ถือว่าเอกอนอาจจะเลือกทำไม่ถูก เพราะนับได้ว่าเขาเป็นสัตว์มีพิษ แต่เอกอนมองว่าตรงนั้นเป็นอันตรายกับเอกอนโดยหลัก ๆ เพียงผู้เดียว เพราะคงไม่มีใครเข้าไปยุ่งกับราวตากผ้าบ้านเอกอนให้โดนแตนต่อยหรอกเน๊อะ มีแต่เอกอนเท่านั่นล่ะ ซึ่งเอกอนรับมือกับอันตรายนั้นได้ เอกอนเคยเจองูหลุดเลื้อยเข้ามาในสำนักงาน คือคนอื่นเห็นเขาก็จะไล่ตีให้ตาย แต่วันนั้นเอกอนอยู่ด้วย เอกอนไม่ให้ฆ่า เอกอนให้คนช่วย ๆ กันจับมันไปปล่อย แต่ไม่มีใครกล้าจับ เอกอนก็เลยต้องจับไปปล่อยเอย แต่จริง ๆ มีลุง รปภ.ช่วย เขาบอกว่าเขาก็กลัว เป็นเขาเขาตีตายอย่างเดียว แต่เขาเห็นเอกอนมีเมตตาจะเอาไปปล่อย เขาก็เลยช่วยหาไม้มากดหัวงูให้นิ่ง และให้เอกอนจับไปปล่อย เวลาคิดไปในเรื่องพรหมวิหาร มันง่าย แต่เวลาเผชิญหน้ากับทางเลือกที่ภัยมาถึงตัว ความกลัวที่ต้องการกำจัดสิ่งนั้นไปให้พ้น กับความเมตตา มันจะลงมาสู้กันให้เห็นในอารมณ์ตรงนั้นเลย ว่าอะไรจะชนะ อ้างคำพูด: ๒. กรุณา ท่านเอกอนมนสิการไปยังไงเมื่อเจอสิ่วที่ชัง ๓. มุทิตา ท่ารเอกอนมนสิการไปยังไงเมื่อเจอสิ่งที่ชัง ๔. อุเบกขา ท่านเอกอนมนสิการไปยังไงเมื่อเจอสิ่งที่ชัง 3 ข้อนี้ เอกอนยังนึกไม่ออกว่า step จริง ๆ ของมันจะต้องเป็นไง แต่ เอกอนเคยชังพี่ชายนะ แต่เมื่อวันหนึ่งเพื่อชีวิตความอยู่รอดของครอบครัว เอกอนก็ต้องละทิฐิในความชังในตัวเขาออก และหันมาเผชิญหน้าที่จะดูแลเขาด้วยหน้าที่ของเราต่อครอบครัว ก็ต้องพยายามละทิฐิที่ชังเขา ก็ต้องมองให้เห็นโทษของความชัง เช่นครอบครัวอาจแตกแยก ทุกอย่างก้าวไปสู่ความทุกข์ การชังก็ทุกข์นะ การพยายามละซึ่งความชังก็ทุกข์น่ะ เพราะ หนึ่งคือฆ่าเขา กับอีกหนึ่งคือฆ่าเราเอง การเผชิญหน้ากับคนที่เราชัง และเขาก็ชังเรา มันก็ต้อง อุเบกขา อยู่พอสมควรล่ะ เพราะมันไม่ใช่คิดปุ๊ป ทำได้ปั๊บ บางทีกว่าเขาจะเห็นคุณค่า กว่าเราจะฆ่าตนเองจน เขาเห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำ มันก็เหมือนกับ เราฆ่าตัวเองทุกวัน และก็ลุกขึ้นมายิ้มสู้กับคู่กรณี เหมือนดอกไม้ประหลาด ที่ต้องตายทุกคืน และก็ต้องตื่นมาบานในตอนกลางวันทุกวัน อ้างคำพูด: ๕. แล้วถ้าเจอสิ่งที่ชังท่านเอกอนเปลี่ยนมนสิการไปในศีลแทนได้ไหมครับ เพราะเหตุใด โดยมากเอกอนไม่ค่อยเจอสิ่งที่ชังนะ ส่วนใหญ่จะสำรวมจิตไว้ได้อยู่ ถ้าเห็นความชังจะเกิด ก็ลดการเสวนา อ้างคำพูด: ๖. ศีลในพระพุทธศาสนา คือ ผลของพรหมวิหาร ๔ ใช่หรือไม่ เพราะเหตุใด ๗. ถ้า ศีล..ของพระพุทธเจ้า คือ ผลของพรหมวิหาร ๔ ..ก็ด้วยเหตุว่า อินทรีย์สังวร เป็นอาหาร(คือเหตุปัจจัยสืบ)ของความสุจริต ความสุจริตเป็นเหตุปัจจัยของมหาสติปัฏฐาน แล้วอย่างนั้น พรหมวิหาร ๔ คือ ตัวเหตุปัจจัยที่ทำให้มหาสติบริบูรณ์ด้วยหรือไม่ครับ เพระเหตุใด ก็ถ้าหากว่ามีพรหมวิหาร ก็แทบจะไม่ต้องกังวลเรื่องผิดศีลเลย พรหมวิหาร ทำให้มหาสติปัฏฐานมีกำลังขึ้น ซึ่งจะทำให้บริบูรณ์หรือไม่ เอกอนไม่รู้นะ เผื่อใครจะเห็นว่าได้ เขาย่อมมีเหตุผลที่จะเห็นเช่นนั้น แต่ในมุมที่เอกอนเข้าใจ เอกอนมองว่าพรหมวิหารเพียงทำให้อัตตาน้อยลงทุกที แต่ไม่ได้ทำให้แจ้งในอนัตตา สิ่งที่ทำให้แจ้งอนัตา คือ ทุกข์ ต้องเห็นทุกข์ในอารมณ์นั้น เมื่อ เห็นทุกข์ ก็เข้าสู่ สมุทัย นิโรธ มรรค แจ้ง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คิดว่านะ ... ทำไมตั้งคำถามยากแถะ ๆ |
หน้า 10 จากทั้งหมด 24 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |