ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=56685 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 6 |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 30 ต.ค. 2018, 18:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี |
![]() อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี อิมสฺสุปปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้ก็ดับ (ด้วย) |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 30 ต.ค. 2018, 18:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี |
อิทัปปัจจยตา “ภาวะที่มีอันนี้ๆ เป็นปัจจัย” ความเป็นไปตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย, กระบวนธรรมแห่งเหตุปัจจัย, กฎที่ว่า “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี, เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น; เป็นอีกชื่อหนึ่งของหลัก ปฏิจจสมุปบาท หรือปัจจยาการ ปัจจยาการ อาการที่เป็นปัจจัยแก่กัน, หมายถึง ปฏิจจสมุปบาท ปฏิจจสมุปบาท “การที่ธรรมทั้งหลายอาศัยกันเกิดขึ้นพร้อม” สภาพอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น, การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีขึ้น, การที่ทุกข์เกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัยต่อเนื่องกันมา |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 31 ต.ค. 2018, 05:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี |
คุณโรส, พี่เมโลกสวย พอนึกออกมั้ยขอรับโผม นั่นแหละหลักธรรมซึ่งมันอาศัยกันและกันเกิดขึ้น (ข้างเกิด) ถ้ามองกลับด้านเมื่อตัดวงจรแล้วผลข้างปลายก็ดับด้วย (ข้างดับ) ถ้ามองให้ลึกถึงสิ่งที่พวกเราตามหากัน คือ จิต ![]() @ ทุกข์ @ สมุทัย (เหตุให้ทุกข์เกิด) @นิโรธ @มรรค (วิธีปฏิบัติ) |
เจ้าของ: | Rosarin [ 31 ต.ค. 2018, 07:19 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี |
![]() ชื่อหัวข้อว่า...Re: เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี ทั้งหมดที่คิดว่ามีเพราะมีจิตครองร่างอยู่ พอไม่มีจิตอย่างเดียวเท่านั้นอะไรๆก็มีไม่ได้ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 31 ต.ค. 2018, 07:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี |
Rosarin เขียน: :b12: ชื่อหัวข้อว่า...Re: เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี ทั้งหมดที่คิดว่ามีเพราะมีจิตครองร่างอยู่ พอไม่มีจิตอย่างเดียวเท่านั้นอะไรๆก็มีไม่ได้ ตามหาจิตเจอะแล้วหรอ ![]() ![]() ก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่สื่อถึงอยู่ดี แล้วนี่มีจิตไหม ![]() |
เจ้าของ: | Rosarin [ 31 ต.ค. 2018, 14:17 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: :b12: ชื่อหัวข้อว่า...Re: เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี ทั้งหมดที่คิดว่ามีเพราะมีจิตครองร่างอยู่ พอไม่มีจิตอย่างเดียวเท่านั้นอะไรๆก็มีไม่ได้ ตามหาจิตเจอะแล้วหรอ ![]() ![]() ก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่สื่อถึงอยู่ดี แล้วนี่มีจิตไหม ![]() ![]() จิตอยู่ที่กายก็รู้ที่กายไม่ใช่เหรอเกี่ยวอะไรกะดินฟ้าอากาศภูเขามีแต่ภูเราที่ต้องดูตัวเองไงคะ เพราะกิเลสที่ไม่รู้นอนมาในจิตของเราเองนะคะไม่เข้าใจคำสอนก็คิดแต่จะไปทำ ความจริงมีแล้วกำลังเกิดดับเองตามเหตุปัจจัยมีที่กายใจตนเท่านั้น ไม่รู้ความจริงที่กำลังปรากฏแสดงว่ามันเกิดเป็นอวิชชาของเราไปแล้ว จะเข้าใจตามเกิดสัมมาตามคำสอนได้คุณต้องกำลังคิดตามพร้อมระลึกรู้สึกตัวว่าตรงกับคำที่กำลังฟังไหม ![]() ![]() |
เจ้าของ: | Love J. [ 31 ต.ค. 2018, 19:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี |
Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: :b12: ชื่อหัวข้อว่า...Re: เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี ทั้งหมดที่คิดว่ามีเพราะมีจิตครองร่างอยู่ พอไม่มีจิตอย่างเดียวเท่านั้นอะไรๆก็มีไม่ได้ ตามหาจิตเจอะแล้วหรอ ![]() ![]() ก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่สื่อถึงอยู่ดี แล้วนี่มีจิตไหม ![]() ![]() จิตอยู่ที่กายก็รู้ที่กายไม่ใช่เหรอเกี่ยวอะไรกะดินฟ้าอากาศภูเขามีแต่ภูเราที่ต้องดูตัวเองไงคะ เพราะกิเลสที่ไม่รู้นอนมาในจิตของเราเองนะคะไม่เข้าใจคำสอนก็คิดแต่จะไปทำ ความจริงมีแล้วกำลังเกิดดับเองตามเหตุปัจจัยมีที่กายใจตนเท่านั้น ไม่รู้ความจริงที่กำลังปรากฏแสดงว่ามันเกิดเป็นอวิชชาของเราไปแล้ว จะเข้าใจตามเกิดสัมมาตามคำสอนได้คุณต้องกำลังคิดตามพร้อมระลึกรู้สึกตัวว่าตรงกับคำที่กำลังฟังไหม ![]() ![]() หากรู้ความจริงที่กำลังปรากฎแสดง แล้วจะเป็นยังไงต่อไป ทุกข์จะดับไปอย่างไร อวิชชาจะดับไปอย่างไร กิเลสถูกปหานอย่างไร ![]() ![]() |
เจ้าของ: | Rosarin [ 31 ต.ค. 2018, 20:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี |
Love J. เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: :b12: ชื่อหัวข้อว่า...Re: เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี ทั้งหมดที่คิดว่ามีเพราะมีจิตครองร่างอยู่ พอไม่มีจิตอย่างเดียวเท่านั้นอะไรๆก็มีไม่ได้ ตามหาจิตเจอะแล้วหรอ ![]() ![]() ก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่สื่อถึงอยู่ดี แล้วนี่มีจิตไหม ![]() ![]() จิตอยู่ที่กายก็รู้ที่กายไม่ใช่เหรอเกี่ยวอะไรกะดินฟ้าอากาศภูเขามีแต่ภูเราที่ต้องดูตัวเองไงคะ เพราะกิเลสที่ไม่รู้นอนมาในจิตของเราเองนะคะไม่เข้าใจคำสอนก็คิดแต่จะไปทำ ความจริงมีแล้วกำลังเกิดดับเองตามเหตุปัจจัยมีที่กายใจตนเท่านั้น ไม่รู้ความจริงที่กำลังปรากฏแสดงว่ามันเกิดเป็นอวิชชาของเราไปแล้ว จะเข้าใจตามเกิดสัมมาตามคำสอนได้คุณต้องกำลังคิดตามพร้อมระลึกรู้สึกตัวว่าตรงกับคำที่กำลังฟังไหม ![]() ![]() หากรู้ความจริงที่กำลังปรากฎแสดง แล้วจะเป็นยังไงต่อไป ทุกข์จะดับไปอย่างไร อวิชชาจะดับไปอย่างไร กิเลสถูกปหานอย่างไร ![]() ![]() ![]() ถ้ายังปรุงแต่งชอบใจไม่ชอบใจอยู่ ยังร้องรำทำเพลงยังไม่รู้ความจริง ก็ยังไม่รู้ทุกข์ไงคะยังยึดมั่นถือมั่น ในสมมุติเข้าไม่ถึงสัจจะตราบใดก็ ดับอะไรไม่ได้เพราะสร้างเหตุใหม่ ให้เกิดแล้วเกิดอีกมากกว่าเดิมไงคะ จนกว่าจะได้ฟังคำของพระพุทธเจ้า แล้วเห็นโทษในอกุศลละอกุศลนั้นได้ ถ้ายังไม่เห็นโทษก็ติดข้องอยากทำไงคะ เพราะธัมมะของตถาคตเป็นเรื่องละตัวตน และละความไม่รู้จนเข้าถึงสัจจะตามคำสอนได้ สามารถลดความเห็นผิดลงสละละจางคลายลงของ ความติดข้องต้องการอยากได้เพิ่มเพราะเห็นโทษภัยเอง ไม่มีใครทำอะไรได้นอกจากฟังเพื่อดับความเห็นผิดอบรมจิต เจริญปัญญาจากการฟังแล้วไตร่ตรองละเอียดรอบคอบรู้ว่าตนไม่รู้อะไรบ้างค่ะ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | โลกสวย [ 01 พ.ย. 2018, 04:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี |
กรัชกาย เขียน: ![]() อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี อิมสฺสุปปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้ก็ดับ (ด้วย) คริคริ เพราะลุงกรัชกายไม่ได้เรียนปัจจัยสังคหวิภาค ในพระอภิธรรม ได้แต่พูดอิทัปปจยตา แต่ไม่รู้ว่า ปฎิจจสมุบาท มี 11 อาการ 12 องค์ธรรม พระพุทธองค์ ปรินิพพานไปสองพันกว่าปีแล้ว แต่ โลกนี้ ยังไม่ได้ดับไป |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 01 พ.ย. 2018, 07:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี |
โลกสวย เขียน: กรัชกาย เขียน: ![]() อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี อิมสฺสุปปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้ก็ดับ (ด้วย) คริคริ เพราะลุงกรัชกายไม่ได้เรียนปัจจัยสังคหวิภาค ในพระอภิธรรม ได้แต่พูดอิทัปปจยตา แต่ไม่รู้ว่า ปฎิจจสมุบาท มี 11 อาการ 12 องค์ธรรม พระพุทธองค์ ปรินิพพานไปสองพันกว่าปีแล้ว แต่ โลกนี้ ยังไม่ได้ดับไป แค่เห็นภาพที่เอามาประกอบก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ สิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี นึกเอาเองมโนเอาเองทั้งนั้นว่ามันน่าใช่ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 01 พ.ย. 2018, 09:00 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี |
ลุงหมาน เขียน: โลกสวย เขียน: กรัชกาย เขียน: ![]() อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี อิมสฺสุปปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้ก็ดับ (ด้วย) คริคริ เพราะลุงกรัชกายไม่ได้เรียนปัจจัยสังคหวิภาค ในพระอภิธรรม ได้แต่พูดอิทัปปจยตา แต่ไม่รู้ว่า ปฎิจจสมุบาท มี 11 อาการ 12 องค์ธรรม พระพุทธองค์ ปรินิพพานไปสองพันกว่าปีแล้ว แต่ โลกนี้ ยังไม่ได้ดับไป แค่เห็นภาพที่เอามาประกอบก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ สิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี นึกเอาเองมโนเอาเองทั้งนั้นว่ามันน่าใช่ ให้โอกาสทั้งสองคนนึกคิดใหม่ ฝน+เมฆ+น้ำ <= สิ่งนี้มี สิ่งนี้ จึงมี เป็นต้น ดูความหมายหลักนี้ประกอบ อิทัปปัจจยตา “ภาวะที่มีอันนี้ๆ เป็นปัจจัย” ความเป็นไปตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย, กระบวนธรรมแห่งเหตุปัจจัย, กฎที่ว่า “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี, เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น; เป็นอีกชื่อหนึ่งของหลัก ปฏิจจสมุปบาท หรือปัจจยาการ ปัจจยาการ อาการที่เป็นปัจจัยแก่กัน, หมายถึง ปฏิจจสมุปบาท ปฏิจจสมุปบาท “การที่ธรรมทั้งหลายอาศัยกันเกิดขึ้นพร้อม” สภาพอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น, การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีขึ้น, การที่ทุกข์เกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัยต่อเนื่องกันมา ส่วนอาการสิบเอ็ด สิบสองที่พี่เมว่านั่น นำไปเทียบกับ ปัจจยาการ ฝน เมฆ น้ำ เมื่อเข้าใจแล้ว ก็เข้าใจ อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป ฯลฯ ว่ามันเป็นอิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาทหรือปัจจยาการ ดังนี้แล. |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 01 พ.ย. 2018, 09:27 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี |
โลกสวย เขียน: กรัชกาย เขียน: ![]() อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี อิมสฺสุปปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้ก็ดับ (ด้วย) คริคริ เพราะลุงกรัชกายไม่ได้เรียนปัจจัยสังคหวิภาค ในพระอภิธรรม ได้แต่พูดอิทัปปจยตา แต่ไม่รู้ว่า ปฎิจจสมุบาท มี 11 อาการ 12 องค์ธรรม พระพุทธองค์ ปรินิพพานไปสองพันกว่าปีแล้ว แต่ โลกนี้ ยังไม่ได้ดับไป อ้างคำพูด: พระพุทธองค์ ปรินิพพานไปสองพันกว่าปีแล้ว แต่ โลกนี้ ยังไม่ได้ดับไป พี่เมโลกสวย คิดเรื่องเกิด-ดับ เกิด-ดับ เกิด-ดับ เหมือนคุณโรสศิษย์แม่สุจินเด๊ะเรย คือไปเข้าใจว่า ดับเหมือนไฟตกน้ำดับไป ดับแล้วจ้อยไปเบย ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกพะย่ะค่ะ เอาตัวอย่างง่ายๆเห็น เช่น ขนตามตัวเราขนเก่าร่วงไป ขนใหม่เกิดแทนๆๆ ลึกลงไป เกิดดับทางนามธรรม คือ จิตเกิดดับ ความคิดนึกดวงก่อนเรื่องก่อนดับไป ความนึกความคิดเรื่องใหม่ก็เกิดแทน ฯลฯ เกิด-ดับๆๆๆๆ เบื้องต้นให้สังเกตอย่างนี้ ในแต่ละวันๆ ตั้งแต่ลืมตาตื่นนอนมาเนี่ย เราคิดนึกเรื่องอะไรบ้างในละชั่วโมง แต่ละนาที แต่ละวินาที สังเกตดู ถ้าลืมตายังเห็นไม่ชัด ให้หลับตาโดยเอาจิตไปจับไปยึดตรงไหนสักแห่งที่ตัวเรา เอาที่ลมหายใจก็ได้ เอาที่อาการท้องพองกับท้องยุบก็ได้ ดูสิมันคิดมันนึกเรื่องอะไรบ้าง วิบคิดเรื่องนี้ คิดจบแล้ว วิบคิดเรื่องอื่นต่อๆไปอีก ลองนั่งสังเกตความรู้สึกนึกตัวเองดู นั่นแหละพะย่ะค่ะ การเกิดดับของจิตของความคิด ซึ่งทางธรรมต้องการสื่อถึง |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 01 พ.ย. 2018, 09:52 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี |
ดูตัวอย่างข้อหนึ่ง สิ่งที่ปิดบังไตรลักษณ์ ทั้งที่ความเป็นอนิจจัง ทุกข์ และอนัตตานี้เป็นลักษณะสามัญของสิ่งทั้งหลาย เป็นความจริงที่แสดงตัวของมันเองอยู่ตามธรรมดาตลอดทุกเวลา แต่ คนทั่วไปก็มองไม่เห็น ทั้งนี้เพราะเป็นเหมือนมีสิ่งปิดบังคอยซ่อนคลุมไว้ ถ้าไม่มนสิการคือไม่ใส่ใจพิจารณาอย่างถูกต้อง ก็มองไม่เห็น สิ่งที่เป็น เหมือนเครื่องปิดบังซ่อนคลุมเหล่านี้ คือ 1. สันตติ บังอนิจจลักษณะ 2. อิริยาบถ บังทุกขลักษณะ 3. ฆนะ บังอนัตตลักษณะ อธิบายข้อที่ 1 สันตติ บังอนิจจลักษณะ 1. ท่านกล่าวว่า เพราะมิได้มนสิการความเกิด และความดับ หรือความเกิดขึ้นและความเสื่อมสิ้นไปก็ถูก สันตติ คือ ความสืบต่อ หรือ ความเป็นไปอย่างต่อเนื่องปิดบังไว้ อนิจจลักษณะ จึงไม่ปรากฏ สิ่งทั้งหลายที่เรารู้เราเห็นนั้น ล้วนแต่มีความเกิดขึ้นและความแตกสลายอยู่ภายในตลอดเวลา แต่ความเกิด-ดับ นั้นเป็นไปอย่างหนุนเนื่องติดต่อกันรวดเร็วมาก คือ เกิด-ดับ-เกิด-ดับ-เกิด-ดับ ฯลฯ ความเป็นไปต่อเนื่องอย่างรวดเร็วยิ่งนั้น ทำให้เรามองเห็นเป็นว่า สิ่งนั้นคงที่ถาวร เป็นอย่างหนึ่งอย่างเดิม ไม่มีความเปลี่ยนแปลง เหมือนอย่างตัวเราเองหรือคนใกล้เคียงอยู่ด้วยกัน มองเห็นกันเสมือนว่า เป็นอย่างเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานสังเกตดู หรือไม่เห็นกันนานๆ เมื่อพบกันอีกจึงรู้ว่าได้มีความเปลี่ยนแปลงไปแล้วจากเดิม แต่ความเป็นจริง ความเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นอยู่ตลอด เวลาทีละน้อยและต่อเนื่องจนไม่เห็นช่องว่าง ตัวอย่างเปรียบเทียบพอให้เห็นง่ายขึ้น เช่น ใบพัดที่กำลังหมุนอยู่อย่างเร็วยิ่ง มองเห็นเป็นแผ่นกลมแผ่นเดียวนิ่ง เมื่อทำให้หมุนช้าลง ก็เห็นเป็นใบพัดกำลังเคลื่อนไหวแยกเป็นใบๆ เมื่อจับหยุดมองดู ก็เห็นชัดว่า เป็นใบพัดต่างหากกัน 2 ใบ 3 ใบ 4 ใบ หรือ เหมือนคนเอามือจับก้านธูปที่จุดไฟติดอยู่แล้วแกว่งหมุนอย่างรวดเร็วเป็นวงกลม มองดูเหมือนเป็นไฟรูปวงกลม แต่ความจริงเป็นเพียงธูปก้าน เดียวที่ทำให้เกิดรูปต่อเนื่องติดเป็นพืดไป หรือ เหมือนหลอดไฟฟ้าที่ติดไฟอยู่สว่างจ้า มองเห็นเป็นดวงไฟที่สว่างคงที่ แต่ความจริงเป็นกระแสไฟฟ้า ที่เกิด-ดับไหลเนื่องผ่านไปอย่างรวดเร็ว หรือ เหมือนมวลน้ำในแม่น้ำ ที่มองเห็นดูเป็นผืนหนึ่งผืนเดียว แต่ความจริงเป็นกระแสน้ำที่ไหลผ่านไปๆ เกิดจากน้ำหยดน้อยๆมากมายมารวมกันและไหลเนื่อง สิ่งทั้งหลายเช่นดังตัวอย่างเหล่านี้ เมื่อใช้เครื่องมือหรือวิธีการที่ ถูกต้องมากำหนดแยกมนสิการเห็นความเกิดขึ้นและความดับไปจึงจะประจักษ์ความไม่เที่ยงแท้ ไม่คงที่ เป็นอนิจจัง |
เจ้าของ: | โลกสวย [ 01 พ.ย. 2018, 11:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี |
กรัชกาย เขียน: โลกสวย เขียน: กรัชกาย เขียน: ![]() อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี อิมสฺสุปปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้ก็ดับ (ด้วย) คริคริ เพราะลุงกรัชกายไม่ได้เรียนปัจจัยสังคหวิภาค ในพระอภิธรรม ได้แต่พูดอิทัปปจยตา แต่ไม่รู้ว่า ปฎิจจสมุบาท มี 11 อาการ 12 องค์ธรรม พระพุทธองค์ ปรินิพพานไปสองพันกว่าปีแล้ว แต่ โลกนี้ ยังไม่ได้ดับไป อ้างคำพูด: พระพุทธองค์ ปรินิพพานไปสองพันกว่าปีแล้ว แต่ โลกนี้ ยังไม่ได้ดับไป พี่เมโลกสวย คิดเรื่องเกิด-ดับ เกิด-ดับ เกิด-ดับ เหมือนคุณโรสศิษย์แม่สุจินเด๊ะเรย คือไปเข้าใจว่า ดับเหมือนไฟตกน้ำดับไป ดับแล้วจ้อยไปเบย ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกพะย่ะค่ะ เอาตัวอย่างง่ายๆเห็น เช่น ขนตามตัวเราขนเก่าร่วงไป ขนใหม่เกิดแทนๆๆ ลึกลงไป เกิดดับทางนามธรรม คือ จิตเกิดดับ ความคิดนึกดวงก่อนเรื่องก่อนดับไป ความนึกความคิดเรื่องใหม่ก็เกิดแทน ฯลฯ เกิด-ดับๆๆๆๆ เบื้องต้นให้สังเกตอย่างนี้ ในแต่ละวันๆ ตั้งแต่ลืมตาตื่นนอนมาเนี่ย เราคิดนึกเรื่องอะไรบ้างในละชั่วโมง แต่ละนาที แต่ละวินาที สังเกตดู ถ้าลืมตายังเห็นไม่ชัด ให้หลับตาโดยเอาจิตไปจับไปยึดตรงไหนสักแห่งที่ตัวเรา เอาที่ลมหายใจก็ได้ เอาที่อาการท้องพองกับท้องยุบก็ได้ ดูสิมันคิดมันนึกเรื่องอะไรบ้าง วิบคิดเรื่องนี้ คิดจบแล้ว วิบคิดเรื่องอื่นต่อๆไปอีก ลองนั่งสังเกตความรู้สึกนึกตัวเองดู นั่นแหละพะย่ะค่ะ การเกิดดับของจิตของความคิด ซึ่งทางธรรมต้องการสื่อถึง ความคิดดับไป แต่โลกยังอยู่ คริคริ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 02 พ.ย. 2018, 08:29 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี |
นำหลักล้วนๆมาเทียบกันดู น้ำ +ไอน้ำ + เมฆ + อุณหภูมิ + ฝน (เป็นน้ำขังอยู่ตามห้วยหนองคลองบึง...วน เป็นวัฏฏจักร) อาสวะ < = (เหลียวหลัง - แลหน้า) = > อวิชชา = > สังขาร = > วิญญาณ = > นามรูป = > สฬายตนะ = >ผัสสะ = > เวทนา = >ตัณหา = > อุปาทาน = > ภพ = > ชาติ = > ชรามรณะ + โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส < = (กองทุกข์ทั้งปวงจึงมีด้วยอาการอย่างนี้ - วนเป็นวัฏฏจักร) = > อาสวะ = > อวิชชา => สังขาร ... |
หน้า 1 จากทั้งหมด 6 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |