วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 10:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 35 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2018, 21:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงคะ เมยขอความรู้ ในทุกเรื่องของอรหันต์ผล ต่ำกว่านั้นไม่เอาคะ ขอความรู้ทุกแง่ทุกมุม ในเชิงอภิธรรม หรือ พระสูตรก็ได้...คือทุกเรื่อง..เมยขอเรียนรู้คะ :b8: (นอกเรื่องอรหันต์ผลไม่เอาคะ ลุง)
.
.
.
เมยจะเป็นแก้วน้ำเปล่า..รอดูดซับความรู้จากลุงนะคะ :b53: :b55: :b53:


แก้ไขล่าสุดโดย สายน้ำเมย เมื่อ 27 ก.ย. 2018, 23:07, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2018, 23:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนอื่น เมยแจ้งลุงก่อนคะ.. คติในการเดินทางธรรมของเมยคือ...

........อยากรู้ต้องถาม อยากได้ต้องขอ.......

และเมื่อมันเป็นทางธรรม เมยยิ่งไม่อายที่จะขอความรู้

เพราะในทางธรรม ทั้งสองฝ่ายมีแต่ได้กับได้ ไม่มีใครเสีย

เมยผู้ขอธรรม เมยได้ความรู้ :b8: ...ลุงผู้ที่เมยขอธรรม ได้ทำธรรมทาน :b44:

มันจึงเป็นเหตุผล ที่ทำให้เมยมาข้อความรู้จากลุงหมาน ในเรื่องที่เมยไม่รู้คะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2018, 01:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณลุงหมาน นอนให้น้ำเกลืออยู่ ค่ะ
ไกล้ถึงเวลา ลมเข้าไม่ออก ลมออกไม่เข้าแล้วค่ะ
ยังมาไม่ได้

เม มาแจกความรู้ให้ฟรีๆ ก่อนนะคะ
เป็นธรรมทาน แต่เมไม่รับกุศลจากธรรมทานนั้นหรอก
ขออุทิศยกให้สัตว์โลกทั้งหมดค่ะ

ก่อนอื่น ขอแนะนำ บุคคลแรก

นี่คือ อรหัตตผลสัมมาสัมพุทธเจ้า ค่ะ

" เราแสวงหานายช่างผู้สร้างเรือนคือตัณหา เมื่อไม่พบก็ต้องท่องเที่ยวไปตลอดชาติสงสารเป็นอันมากการเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ ดูกร นายช่างผู้สร้างเรือนคือตัณหา เราพบท่านแล้ว ท่านจักสร้างเรือนแก่เราอีกไม่ได้แล้ว โครงสร้างเรือนของท่าน เราก็หักหมดแล้วยอดเรือนคือ อวิชชา เราก็รื้อเสียแล้ว จิตเราถึง วิสังขารปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ เพราะเราบรรลุธรรมที่สิ้นตัณหาแล้ว "


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2018, 08:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
คุณลุงหมาน นอนให้น้ำเกลืออยู่ ค่ะ
ไกล้ถึงเวลา ลมเข้าไม่ออก ลมออกไม่เข้าแล้วค่ะ
ยังมาไม่ได้

เม มาแจกความรู้ให้ฟรีๆ ก่อนนะคะ
เป็นธรรมทาน แต่เมไม่รับกุศลจากธรรมทานนั้นหรอก
ขออุทิศยกให้สัตว์โลกทั้งหมดค่ะ

ก่อนอื่น ขอแนะนำ บุคคลแรก

นี่คือ อรหัตตผลสัมมาสัมพุทธเจ้า ค่ะ

" เราแสวงหานายช่างผู้สร้างเรือนคือตัณหา เมื่อไม่พบก็ต้องท่องเที่ยวไปตลอดชาติสงสารเป็นอันมากการเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ ดูกร นายช่างผู้สร้างเรือนคือตัณหา เราพบท่านแล้ว ท่านจักสร้างเรือนแก่เราอีกไม่ได้แล้ว โครงสร้างเรือนของท่าน เราก็หักหมดแล้วยอดเรือนคือ อวิชชา เราก็รื้อเสียแล้ว จิตเราถึง วิสังขารปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ เพราะเราบรรลุธรรมที่สิ้นตัณหาแล้ว "


:b53: :b36: :b53: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2018, 08:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความหมายถ้อยคำที่พูดถึง มีอะระหังเป็นต้น


อรหํ (พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น) เป็นพระอรหันต์ คือ เป็นผู้ไกลจากกิเลสและบาปธรรม ทรงความบริสุทธิ์, หรือเป็นผู้กำจัดข้าศึกคือกิเลสสิ้นแล้ว, หรือเป็นผู้หักกำแห่งสังสารจักร อันได้แก่ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม, หรือเป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอน เป็นผู้ควรรับความเคารพ ควรแก่ทักณิณา และการบูชาพิเศษ, หรือเป็นผู้ไม่มีข้อเร้นลับ, คือไม่มีข้อเสียหายอันควรปกปิด

อรหัต ความเป็นพระอรหันต์, ชื่อมรรคผลขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา ซึ่งตัดกิเลสในสันดานได้เด็ดขาด, เขียนอย่างคำเดิมเป็น อรหัตต์

อรหัตตผล ผลคือการสำเร็จเป็นพระอรหันต์, ผลคือความเป็นอรหันต์, ผลที่ได้รับจากการละสังโยชน์ทั้งหมดอันสืบเนื่องมาจากอรหัตตมรรค ทำให้เป็นพระอรหันต์

อรหัตตมรรค ทางปฏิบัติเพื่อบรรลุผลคือความเป็นพระอรหันต์, ญาณคือความรู้เป็นเหตุละ สังโยชน์ ได้ทั้ง ๑๐


อรหัตตวิโมกข์ ความพ้นจากกิเลสด้วยอรหัต หรือเพราะสำเร็จอรหัต คือหลุดพ้นขั้นละกิเลสได้สิ้นเชิง และเด็ดขาด สำเร็จเป็นพระอรหันต์

อรหันต์ ผู้สำเร็จธรรมวิเศษสูงสุดในพระพุทธศาสนา, พระอริยบุคคลชั้นสูงสุด ผู้ได้บรรลุอรหัตผล,

อรหันตขีณาสพ พระอรหันต์ผู้สิ้นอาสวะแล้ว ใช้สำหรับพระสาวก, สำหรับพระพุทธเจ้า ใช้คำว่า อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ผู้ตรัสรู้ชอบเอง

พระอรหันต์ ๒ ประเภท คือ พระสุกขวิปัสสก กับ พระสมถยานิก,

พระอรหันต์ ๔ คือ ๑. พระสุกขวิปัสสก ๒. พระเตวิชชะ (ผู้ได้ วิชชา ๓) ๓. พระฉฬภิญญะ (ผู้ได้ อภิญญา ๖) ๔. พระปฏิสัมภิทัปปัตตะ (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔)

พระอรหันต์ ๕ คือ ๑. พระปัญญาวิมุต ๒. พระอุภโตภาควิมุต ๓. พระเตวิชชะ ๔ พระฉฬภิญญะ ๕. พระปฏิสัมภิทัปปัตตะ

พระอรรถกถาจารย์แสดงความหมายของ อรหันต์ ไว้ ๕ นัย คือ

๑. เป็นผู้ไกล (อารกะ) จากกิเลส (คือห่างไกลไม่อยู่ในกระแสกิเลสที่จะทำให้มัวหมองได้เลย)
๒. กำจัดข้าศึก (อริ+หต) คือ กิเลสหมดสิ้นแล้ว
๓. เป็นผู้หักคือรื้อทำลายกำ (อร+หต) แห่งสังสารจักรเสร็จแล้ว
๔. เป็นผู้ควร (อรห) แก่การบูชาพิเศษของเทพและมนุษย์ทั้งหลาย
๕. ไม่มีที่ลับ (น + รห) ในการทำบาป คือ ไม่มีความชั่วความเสียหายที่จะต้องปิดบัง
ความหมายทั้ง ๕ นี้ ตามปกติใช้อธิบายคำว่า อรหันต์ ที่เป็นพุทธคุณ ข้อที่ ๑

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2018, 10:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ความหมายถ้อยคำที่พูดถึง มีอะระหังเป็นต้น


อรหํ (พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น) เป็นพระอรหันต์ คือ เป็นผู้ไกลจากกิเลสและบาปธรรม ทรงความบริสุทธิ์, หรือเป็นผู้กำจัดข้าศึกคือกิเลสสิ้นแล้ว, หรือเป็นผู้หักกำแห่งสังสารจักร อันได้แก่ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม, หรือเป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอน เป็นผู้ควรรับความเคารพ ควรแก่ทักณิณา และการบูชาพิเศษ, หรือเป็นผู้ไม่มีข้อเร้นลับ, คือไม่มีข้อเสียหายอันควรปกปิด

อรหัต ความเป็นพระอรหันต์, ชื่อมรรคผลขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา ซึ่งตัดกิเลสในสันดานได้เด็ดขาด, เขียนอย่างคำเดิมเป็น อรหัตต์

อรหัตตผล ผลคือการสำเร็จเป็นพระอรหันต์, ผลคือความเป็นอรหันต์, ผลที่ได้รับจากการละสังโยชน์ทั้งหมดอันสืบเนื่องมาจากอรหัตตมรรค ทำให้เป็นพระอรหันต์

อรหัตตมรรค ทางปฏิบัติเพื่อบรรลุผลคือความเป็นพระอรหันต์, ญาณคือความรู้เป็นเหตุละ สังโยชน์ ได้ทั้ง ๑๐


อรหัตตวิโมกข์ ความพ้นจากกิเลสด้วยอรหัต หรือเพราะสำเร็จอรหัต คือหลุดพ้นขั้นละกิเลสได้สิ้นเชิง และเด็ดขาด สำเร็จเป็นพระอรหันต์

อรหันต์ ผู้สำเร็จธรรมวิเศษสูงสุดในพระพุทธศาสนา, พระอริยบุคคลชั้นสูงสุด ผู้ได้บรรลุอรหัตผล,

อรหันตขีณาสพ พระอรหันต์ผู้สิ้นอาสวะแล้ว ใช้สำหรับพระสาวก, สำหรับพระพุทธเจ้า ใช้คำว่า อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ผู้ตรัสรู้ชอบเอง

พระอรหันต์ ๒ ประเภท คือ พระสุกขวิปัสสก กับ พระสมถยานิก,

พระอรหันต์ ๔ คือ ๑. พระสุกขวิปัสสก ๒. พระเตวิชชะ (ผู้ได้ วิชชา ๓) ๓. พระฉฬภิญญะ (ผู้ได้ อภิญญา ๖) ๔. พระปฏิสัมภิทัปปัตตะ (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔)

พระอรหันต์ ๕ คือ ๑. พระปัญญาวิมุต ๒. พระอุภโตภาควิมุต ๓. พระเตวิชชะ ๔ พระฉฬภิญญะ ๕. พระปฏิสัมภิทัปปัตตะ

พระอรรถกถาจารย์แสดงความหมายของ อรหันต์ ไว้ ๕ นัย คือ

๑. เป็นผู้ไกล (อารกะ) จากกิเลส (คือห่างไกลไม่อยู่ในกระแสกิเลสที่จะทำให้มัวหมองได้เลย)
๒. กำจัดข้าศึก (อริ+หต) คือ กิเลสหมดสิ้นแล้ว
๓. เป็นผู้หักคือรื้อทำลายกำ (อร+หต) แห่งสังสารจักรเสร็จแล้ว
๔. เป็นผู้ควร (อรห) แก่การบูชาพิเศษของเทพและมนุษย์ทั้งหลาย
๕. ไม่มีที่ลับ (น + รห) ในการทำบาป คือ ไม่มีความชั่วความเสียหายที่จะต้องปิดบัง
ความหมายทั้ง ๕ นี้ ตามปกติใช้อธิบายคำว่า อรหันต์ ที่เป็นพุทธคุณ ข้อที่ ๑


:b36: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2018, 10:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตามนี้คะ
แนบไฟล์:
1.jpg
1.jpg [ 215.78 KiB | เปิดดู 2552 ครั้ง ]


อธิบายให้ฟังได้ไหมคะ? :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2018, 11:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
นิพพานเป็นสภาวะดับโลภะได้หมด
หลังจากที่อนาคามีดับโมหะและโทสะ
ดังนั้นถ้ายังอยากรู้ยังอยากถึงนิพพาน
แปลว่าถึงไม่ได้เพราะนิพพานหมดอยาก
เพราะเป็นปัญญาถึงระดับโลกุตตระที่เหนือโลก
เพราะโลกคือสิ่งที่เกิดดับยังติดข้องแม้เล็กน้อยก็คือโลภะ
โลภเติมเกลือปรุงอาหารอยู่ชอบแต่ดีๆไม่ดีไม่ชอบไม่อยากได้นั่นน่ะยังมีกิเลสไง
ยังอยากรู้ยังอยากถึงแต่ไม่ทำเหตุเพิ่มปัญญาแปลว่าหมดโอกาสถึงเพราะอยากรู้เร็วเป็นไปไม่ได้ต้องฟังก่อน
ทางเกิดของปัญญาคือเข้าใจถูกตามคำสอนมีทางเดียวคือจิตได้ยินต้องรู้ตรงขณะว่าทำสุตมยปัญญาตรงไหม
:b12:
:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2018, 11:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


สายน้ำเมย เขียน:
ตามนี้คะ
แนบไฟล์:
1.jpg


อธิบายให้ฟังได้ไหมคะ? :b53:


อรหัตตผลจิต เป็นเจตสิกปรุงแต่งจิต ทีเกิดขึ้นเพียงขนะย่อยแล้วดับไป
เพื่อเป็นเครื่องหมายให้จิตรู้เท่านั้นค่ะ

สภาพรู้ของจิตเป็นวิชชา เต็มที่บริบุรณ์ ปราศจากอวิชชา
ไม่ต้องอาศัยเจตสิกเพื่อเป็นที่รู้อารมณ์อีก
เป็นปฎิจจสมุบาทธรรม ที่เกิดขึ้น ในวันตรัสรู้ ของพระพุทธองค์
คงเหลือแต่สังขารขันธ์
จนกว่าจะละ ปรินิพพานค่ะ




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2018, 11:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
ตามนี้คะ
แนบไฟล์:
1.jpg


อธิบายให้ฟังได้ไหมคะ? :b53:


อรหัตตผลจิต เป็นเจตสิกปรุงแต่งจิต ทีเกิดขึ้นเพียงขนะย่อยแล้วดับไป
เพื่อเป็นเครื่องหมายให้จิตรู้เท่านั้นค่ะ

สภาพรู้ของจิตเป็นวิชชา เต็มที่บริบุรณ์ ปราศจากอวิชชา
ไม่ต้องอาศัยเจตสิกเพื่อเป็นที่รู้อารมณ์อีก
เป็นปฎิจจสมุบาทธรรม ที่เกิดขึ้น ในวันตรัสรู้ ของพระพุทธองค์
คงเหลือแต่สังขารขันธ์
จนกว่าจะละ ปรินิพพานค่ะ




แปลว่า ผังนี้ เป็นผังของการเดินทางของมรรค..ผลที่เสวยผลแล้ว จะอยู่นอกเหนือ ผังนี้ ใช่ไหมคะ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2018, 12:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


สายน้ำเมย เขียน:
โลกสวย เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
ตามนี้คะ
แนบไฟล์:
1.jpg


อธิบายให้ฟังได้ไหมคะ? :b53:


อรหัตตผลจิต เป็นเจตสิกปรุงแต่งจิต ทีเกิดขึ้นเพียงขนะย่อยแล้วดับไป
เพื่อเป็นเครื่องหมายให้จิตรู้เท่านั้นค่ะ

สภาพรู้ของจิตเป็นวิชชา เต็มที่บริบุรณ์ ปราศจากอวิชชา
ไม่ต้องอาศัยเจตสิกเพื่อเป็นที่รู้อารมณ์อีก
เป็นปฎิจจสมุบาทธรรม ที่เกิดขึ้น ในวันตรัสรู้ ของพระพุทธองค์
คงเหลือแต่สังขารขันธ์
จนกว่าจะละ ปรินิพพานค่ะ




แปลว่า ผังนี้ เป็นผังของการเดินทางของมรรค..ผลที่เสวยผลแล้ว จะอยู่นอกเหนือ ผังนี้ ใช่ไหมคะ?


มรรค การปฎิบัติ
แม้นแต่เบื้องต้น ในการปฎิบัติ

ในปรมัตถ์ธรรม ในพระอภิธรรม ก็เน้นมากๆๆ ว่า การปฎิบัติมี แต่ตัวตนผู้ปฎิบัติไม่มี
เพราะมีแต่ จิต เจตสิก รูป ที่ปฎิบัติ
ไม่มีตัวตน ของผุ้ปฎิบัติ ไปรองรับการปฎิบัติค่ะ
แท่จริงแล้ว มีแต่ จิต เจต สิก และรูป ปฎิบัติเท่านั้น
คือ นามและรูป ปฎิบัติ

และตามแผนผังนี้ จะนับว่าเป็นมรรคก็ได้ค่ะ
เป็นทางเดินของสามสิบเอ็ดภพภูมิ ที่ประกอบด้วย เจตสิก
ทั้งโลกียะ และโลกุตระ ตลอดจนอริยะมรรคระดับต่างๆ

ทั้งหมด ยังขึ้นกะเวลา ในปัจจุบันขนะ ของ เจตสิก ที่เกิดพร้อมจิต

เจตสิก ต้องเกิดพร้อมจิต เมื่อไม่มีเจตสิกเกิด จิตจึงไม่ปรากฎ

จิต มีแต่สภาพรู้ ที่เต็มไปด้วยวิชชา พ้นจากความหลง พ้นจากกาลเวลา
จิตไม่ใช่ตน ตนไม่ใช่จิต
นามและรูป ในแผนผังจึงไม่ปรากฎ เพื่อให้จิตต้องรู้อารมณ์อีกค่ะ



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2018, 12:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
โลกสวย เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
ตามนี้คะ
แนบไฟล์:
1.jpg


อธิบายให้ฟังได้ไหมคะ? :b53:


อรหัตตผลจิต เป็นเจตสิกปรุงแต่งจิต ทีเกิดขึ้นเพียงขนะย่อยแล้วดับไป
เพื่อเป็นเครื่องหมายให้จิตรู้เท่านั้นค่ะ

สภาพรู้ของจิตเป็นวิชชา เต็มที่บริบุรณ์ ปราศจากอวิชชา
ไม่ต้องอาศัยเจตสิกเพื่อเป็นที่รู้อารมณ์อีก
เป็นปฎิจจสมุบาทธรรม ที่เกิดขึ้น ในวันตรัสรู้ ของพระพุทธองค์
คงเหลือแต่สังขารขันธ์
จนกว่าจะละ ปรินิพพานค่ะ




แปลว่า ผังนี้ เป็นผังของการเดินทางของมรรค..ผลที่เสวยผลแล้ว จะอยู่นอกเหนือ ผังนี้ ใช่ไหมคะ?


มรรค การปฎิบัติ
แม้นแต่เบื้องต้น ในการปฎิบัติ

ในปรมัตถ์ธรรม ในพระอภิธรรม ก็เน้นมากๆๆ ว่า การปฎิบัติมี แต่ตัวตนผู้ปฎิบัติไม่มี
เพราะมีแต่ จิต เจตสิก รูป ที่ปฎิบัติ
ไม่มีตัวตน ของผุ้ปฎิบัติ ไปรองรับการปฎิบัติค่ะ
แท่จริงแล้ว มีแต่ จิต เจต สิก และรูป ปฎิบัติเท่านั้น
คือ นามและรูป ปฎิบัติ

และตามแผนผังนี้ จะนับว่าเป็นมรรคก็ได้ค่ะ
เป็นทางเดินของสามสิบเอ็ดภพภูมิ ที่ประกอบด้วย เจตสิก
ทั้งโลกียะ และโลกุตระ ตลอดจนอริยะมรรคระดับต่างๆ

ทั้งหมด ยังขึ้นกะเวลา ในปัจจุบันขนะ ของ เจตสิก ที่เกิดพร้อมจิต

เจตสิก ต้องเกิดพร้อมจิต เมื่อไม่มีเจตสิกเกิด จิตจึงไม่ปรากฎ

จิต มีแต่สภาพรู้ ที่เต็มไปด้วยวิชชา พ้นจากความหลง พ้นจากกาลเวลา
จิตไม่ใช่ตน ตนไม่ใช่จิต
นามและรูป ในแผนผังจึงไม่ปรากฎ เพื่อให้จิตต้องรู้อารมณ์อีกค่ะ




ขอบคุณคะ..เข้าใจละ ผังนี้เป็นเส้นทางของการเดินมรรค...งั้นไม่สนใจละ

..ขอปิดกระทู้นะคะ ขอบคุณคะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2018, 15:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


สายน้ำเมย เขียน:
โลกสวย เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
โลกสวย เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
ตามนี้คะ
แนบไฟล์:
1.jpg


อธิบายให้ฟังได้ไหมคะ? :b53:


อรหัตตผลจิต เป็นเจตสิกปรุงแต่งจิต ทีเกิดขึ้นเพียงขนะย่อยแล้วดับไป
เพื่อเป็นเครื่องหมายให้จิตรู้เท่านั้นค่ะ

สภาพรู้ของจิตเป็นวิชชา เต็มที่บริบุรณ์ ปราศจากอวิชชา
ไม่ต้องอาศัยเจตสิกเพื่อเป็นที่รู้อารมณ์อีก
เป็นปฎิจจสมุบาทธรรม ที่เกิดขึ้น ในวันตรัสรู้ ของพระพุทธองค์
คงเหลือแต่สังขารขันธ์
จนกว่าจะละ ปรินิพพานค่ะ




แปลว่า ผังนี้ เป็นผังของการเดินทางของมรรค..ผลที่เสวยผลแล้ว จะอยู่นอกเหนือ ผังนี้ ใช่ไหมคะ?


มรรค การปฎิบัติ
แม้นแต่เบื้องต้น ในการปฎิบัติ

ในปรมัตถ์ธรรม ในพระอภิธรรม ก็เน้นมากๆๆ ว่า การปฎิบัติมี แต่ตัวตนผู้ปฎิบัติไม่มี
เพราะมีแต่ จิต เจตสิก รูป ที่ปฎิบัติ
ไม่มีตัวตน ของผุ้ปฎิบัติ ไปรองรับการปฎิบัติค่ะ
แท่จริงแล้ว มีแต่ จิต เจต สิก และรูป ปฎิบัติเท่านั้น
คือ นามและรูป ปฎิบัติ

และตามแผนผังนี้ จะนับว่าเป็นมรรคก็ได้ค่ะ
เป็นทางเดินของสามสิบเอ็ดภพภูมิ ที่ประกอบด้วย เจตสิก
ทั้งโลกียะ และโลกุตระ ตลอดจนอริยะมรรคระดับต่างๆ

ทั้งหมด ยังขึ้นกะเวลา ในปัจจุบันขนะ ของ เจตสิก ที่เกิดพร้อมจิต

เจตสิก ต้องเกิดพร้อมจิต เมื่อไม่มีเจตสิกเกิด จิตจึงไม่ปรากฎ

จิต มีแต่สภาพรู้ ที่เต็มไปด้วยวิชชา พ้นจากความหลง พ้นจากกาลเวลา
จิตไม่ใช่ตน ตนไม่ใช่จิต
นามและรูป ในแผนผังจึงไม่ปรากฎ เพื่อให้จิตต้องรู้อารมณ์อีกค่ะ




ขอบคุณคะ..เข้าใจละ ผังนี้เป็นเส้นทางของการเดินมรรค...งั้นไม่สนใจละ

..ขอปิดกระทู้นะคะ ขอบคุณคะ :b8:


ความเข้าใจ ความไม่เข้าใจ ความสนใจ ความไม่สนใจ ก็ยังเป็นเจตสิกเกิดขึ้น
ซ้อนเจตสิกอีกชั้น เพื่อให้จิตรับรู้อารมณ์ นะคะ

แต่แท้จริง จิต ไม่ได้รับอารมณ์จากบัญญัติเหล่านั้นค่ะ

ทางทวารรับรู้โคจรวิถีในปรมัตถ์อะไร ทางใจรู้ได้เช่นนั้น

ทางใจ รับได้แต่ สี เสียง กลิ่น รส หรือแข็ง อ่อน อย่างใดอย่างหนึ่งที่ใจรับรู้จากทวารนั้นๆ

ไม่ได้มี ความหมายของบัญญัติ หรือ ความเข้าใจ หรือไม่เข้าใจ ของตัวตนคนสัตว์ อย่างใดเรยค่ะ

และในพันปีที่สามนี้ ไม่มีอรหัตตผลในโลก
เป็นไปได้ด้วยอำนาจพระอนาคามีเท่านั้น

นี่เป็นตัวอย่าง ผู้ไม่ได้เรียนปรมัตถ์มาเรย ไม่สนใจ

จึงไม่ไม่สามารถ ประจักษ์ ในปรมัตถ์ ที่กำลังปรากฎอยู่เฉพาะหน้า
ไม่สามารถแยก รูปนามปรมัตถ์ ออกได้ทั้ง6 ทวาร

ปรมัตถ์นั้น ไม่มีบัญญัติ ไปเข้าใจ หรือไม่เข้าใจ อย่างที่คุ้นเคยมาค่ะ

นั่นก็คือ ไม่เข้าใจ แต่กลับพยายามที่แสดงความไม่เข้าใจนั้น ว่าเข้าใจ (แต่ ผิดๆๆๆๆๆ)

เอวังด้วยประการฉะนี้

บ๊ายบายค่ะ



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2018, 16:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่ไม่สนใจ เพราะในผังปรมัตถ์ จะเกิดตามผังนี้ได้ต้องเดินอริยมรรค8

เดินอริยมรรคแปด เพื่อไปละสังโยชน์ทั้งสิบ

เมื่อมรรคเดินตรง โพธิปัก37 เกิด..จะทำให้ธรรมทั้ง37รวมกัน เพือตัดสังโยชน์ได้ ในทีละตัว

ทุกตัวทั้ง10ตัว ของสังโยชน์ ต้องใช้ กำลังธรรมทั้ง37 นี่หมด

เมื่อตัดสังโยชน์ได้ ผลปรมัตถ์ตามผังนั้นเกิดขึ้นได้เอง..แม้เราจะรุ้ตัวหรือไม่รุ้ตัวก็ตาม
.
.
.
ในทางกลับกัน

เมื่อเราศึกษาผังของปรมัตถ์ ของอภิธรรม แม้เราจะเรียนรู้ละเอียดแค่ไหน

สัญญาในจิต ที่สอนเรามา ให้เราเข้าใจในอภิธรรมแค่ไหน และใจเราว่าเราปล่อยวางได้แล้ว

เพราะเราสุตตะมา อย่างถ่องแท้และละเอียดแล้ว

แต่ถ้าไม่มีการเดินอริยมรรค8และไม่มีการละสังโยชน์ทั้งสิบ หรือทีละตัวได้

การเรียนอภิธรรม ไม่มีผลอะไรเลย

หรือ เรียนในผังทั้งหมดของผังนี้ ก็เป็นได้แค่ สุตตมยปัญญา เท่านั้นเอง :b8:
.
.
.
การเดินทางธรรม เราต้องให้ความสำคัญกับสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อน คือ เรียนบัญญัติ เพื่อนำไปปฎิบัติ

เมื่อปฎิบัติถูกทางแล้ว แม้เราไม่ปรารถนาจะได้ผล ผลย่อมเกิดขึ้นได้เอง

เพราะเราสร้างกรรมทางมรรค ทางอริยมรรคให้เกิดขึ้น วิบา่ก คือผลของอริยมรรค มันย่อมเกิดกับเราแน่นอน




เมื่อได้ถาม ได้เข้าใจแล้วว่า
.
.
.
ผังที่ถามนี้ เป็นแค่เส้นทางเดินของจิต ที่เป็นไปตามอริยมรรคแปด

นั่นแปลว่า ความสำคัญที่สุดของเรื่องนี้คือ เรากลับไปปฎิบัติตามเส้นทางของอริยมรรคแปด

เพื่อละสังโยชน์สิบ คือเรื่องที่สำคัญที่สุด

แล้วผลตามผังนี้จะเกิดขึ้นมาได้เอง..แม้เราจะทราบหรือไม่ทราบ

เส้นทางการเดินจิตตามผังนี้หรือไม่ก็ตาม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2018, 18:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


สายน้ำเมย เขียน:
ที่ไม่สนใจ เพราะในผังปรมัตถ์ จะเกิดตามผังนี้ได้ต้องเดินอริยมรรค8

เดินอริยมรรคแปด เพื่อไปละสังโยชน์ทั้งสิบ

เมื่อมรรคเดินตรง โพธิปัก37 เกิด..จะทำให้ธรรมทั้ง37รวมกัน เพือตัดสังโยชน์ได้ ในทีละตัว

ทุกตัวทั้ง10ตัว ของสังโยชน์ ต้องใช้ กำลังธรรมทั้ง37 นี่หมด

เมื่อตัดสังโยชน์ได้ ผลปรมัตถ์ตามผังนั้นเกิดขึ้นได้เอง..แม้เราจะรุ้ตัวหรือไม่รุ้ตัวก็ตาม
.
.
.
ในทางกลับกัน

เมื่อเราศึกษาผังของปรมัตถ์ ของอภิธรรม แม้เราจะเรียนรู้ละเอียดแค่ไหน

สัญญาในจิต ที่สอนเรามา ให้เราเข้าใจในอภิธรรมแค่ไหน และใจเราว่าเราปล่อยวางได้แล้ว

เพราะเราสุตตะมา อย่างถ่องแท้และละเอียดแล้ว

แต่ถ้าไม่มีการเดินอริยมรรค8และไม่มีการละสังโยชน์ทั้งสิบ หรือทีละตัวได้

การเรียนอภิธรรม ไม่มีผลอะไรเลย

หรือ เรียนในผังทั้งหมดของผังนี้ ก็เป็นได้แค่ สุตตมยปัญญา เท่านั้นเอง :b8:
.
.
.
การเดินทางธรรม เราต้องให้ความสำคัญกับสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อน คือ เรียนบัญญัติ เพื่อนำไปปฎิบัติ

เมื่อปฎิบัติถูกทางแล้ว แม้เราไม่ปรารถนาจะได้ผล ผลย่อมเกิดขึ้นได้เอง

เพราะเราสร้างกรรมทางมรรค ทางอริยมรรคให้เกิดขึ้น วิบา่ก คือผลของอริยมรรค มันย่อมเกิดกับเราแน่นอน




เมื่อได้ถาม ได้เข้าใจแล้วว่า
.
.
.
ผังที่ถามนี้ เป็นแค่เส้นทางเดินของจิต ที่เป็นไปตามอริยมรรคแปด

นั่นแปลว่า ความสำคัญที่สุดของเรื่องนี้คือ เรากลับไปปฎิบัติตามเส้นทางของอริยมรรคแปด

เพื่อละสังโยชน์สิบ คือเรื่องที่สำคัญที่สุด

แล้วผลตามผังนี้จะเกิดขึ้นมาได้เอง..แม้เราจะทราบหรือไม่ทราบ

เส้นทางการเดินจิตตามผังนี้หรือไม่ก็ตาม :b8:





ที่กล่าวมา ดูว่าจะถูก แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
เพราะการทีไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้ศึกษามาอย่างถ่องแท้
นับเป็นตัวอย่าง คนที่ไม่รุ้เรื่องราวในพระอภิธรรมเรยค่ะ


พระอภิธรรม 42000 เป็นอธิปัญญาสิกขาทั้งสิ้น

พื้นฐานทั่วไป ในการปฎิบัติพื้นฐาน
ก็เป็นส่วนหนึ่ง ในองค์ธรรมของเจตสิก ตามองค์ธรรม ของโพธิปักขิยะธรรมเช่นกัน ค่ะ
เป็นสามัคคีธรรม อันเป็นที่รวมของกุศลเจตสิก

คือทำให้ เกิดองค์ธรรม ของเจตสิก อย่างเช่น สติปัฎฐาน... สัมมัปทาน... อิธิบาทสี่...และอื่นๆตามมา

การปฎิบัติพื้นฐาน ตามแบบทั่วไป ของพระอภิธรรม คือ การเจริญวิปัสสนากัมฐาน
อันเป็นทางสายเอก ดำเนินไปตามองค์ธรรมเจตสิกของอริยะมรรค

เพื่อให้ประจักษ์ ปรมัตถ์ ทีกำลังปรากฎอาการ ทางทวาร ของเจตสิก
เพื่อให้เจตสิกปัญญาเห็น อนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ และ อนัตตลักษณะ
ของเจตสิก ทั้งหมด ในสภาวะธรรม ที่ปรากฎเฉพาะหน้า เพื่อบรรลุองค์ธรรมของผลญานในที่สุด

อีกด้านนึงของการปฎิบัติ ในพระอภิธรรม
อันเป็นอธิสิกขายิ่ง ที่คนไม่ได้เรียนไม่ได้ศึกษา ไม่อาจทราบได้ว่า

ไม่ต้องกระทำตามขั้นตอนในสายเกิด ในองค์ธรรมของเจตสิก ทั้งหมด
ในองค์ธรรมของสามัคคีโพธิปักขิยะธรรม

แต่ ทำอยู่ ให้สิ่งที่พระพุทธองค์ ตรัสว่า เป็นปุพพะ คือ

หัวหน้า

คือธรรมทั้งปวง มีหัวหน้า คือจิต

ธรรมทั้งหลาย สำเร็จได้ด้วยจิต
นอกจากจิต จึงเกิดมีเจตสิกองค์ธรรม โพธิปักขิยะธรรมทั้งหมด เกิดมาภายหลัง

จิตไม่ได้อาศัย องค์ธรรมของโพธิปักขิยะธรรม อันเป็นเจตสิกสามัคคีธรรม เป็นที่เกิด

แต่กลับกัน เจตสิก ทั้งหมด ในองค์ธรรม ต้องอาศัยจิตเป็นที่เกิด

นี่เป็นอธิปัญยายิ่ง ของพระอภิธรรม อัน
เป็นสายดับ ของปฎิจจสมุบาท ตามพระอภิธรรมค่ะ

ไม่ใช่สายเกิดเจตสิกที่งอกงาม

นิพพาน เป็นปรมัตถ์ธรรมสูงสุด
ที่เรียกว่า ปัญญาวิมุติ

หลุดพ้นจาก จิต เจตสิก รูป และกาลเวลา

คนที่ไม่ได้เรียนพระปริยัติให้ถ่องแท้ ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม จึงไม่รู้ว่าโพธิปักขิยะธรรม เป็นสายเกิด ของปฎิจจสมุปาท เพื่อให้เกิด โสภณเจตสิก จนถึงมหากริยาจิต

และเพราะไม่ได้เรียนปริยัติ และไม่มีความเข้าใจ ในปริยัติอธิปัญญา อันละเอียด สายดับตามพระอภิธรรม

แต่คนที่มีปัญญากว้างขวางแล้ว

จะกระทำอยู่ที่จิต ไม่ได้ไปทำอยู่ที่เจตสิก เพื่องอกงามเจตสิกเหล่านั้น
และไม่ได้ทำ จนกว่าจะงอกงามถึงที่สุด ซึ่งอาจต้องใช้เวลาหลายพุทธันดร

และสังโยชน์สิบ เป้นเจตสิก โดยใช้ปัญญาเจตสิก มาล้างความเห็นผิดเดิมที่เกิดขึ้นมา เท่านั้นค่ะ

เมแนะนำนะคะ ว่าให้ไปเรียน ไปศึกษา พระอภิธรรมให้ถ่องแท้
เพราะเป็นปรมัตถ์ธรรม

จะไม่มีทางรู้เรยว่า สัมมาทิฎฐิ ที่คิดว่า มี คิดว่า เป็นนั้น
ถูกต้องตรงปริยัติหรือไม่
เม็นมิจฉาทิฎฐิ มิจฉาปฎิบัติได้โดยง่าย

แต่คิดเองเออเองว่า เป็นสัมมาทิฎฐิ สัมมาปฎิบัติ

เพราะอาการของปรมัตถ์ธรรม ที่ปรากฎเฉพาะหน้า เกิดขึ้นทุกๆเสี้ยวๆๆวินาที

ถ้าไม่สนใจ ไม่เรียนปรัยัติ ไม่รู้อันนี้ สติปัฎฐาน ก็เป็น มิจฉาไปได้โดยง่ายค่ะ

แนะนำนะคะ ให้ไปเรียนนะคะ
ให้มีความเข้าใจจริงๆ ไม่ได้แค่ลมปากพูดลอยๆค่ะ






แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 35 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 133 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร