วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 09:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2018, 19:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
การปฎิบัติ วิปัสสนา ตามหลักพื้นฐาน ของมหาสติปัฎฐานสูตร

[color=#FF0000]กายานุปัสสนา 14
เวทนานุปัสสนา 9
จิตตานุปัสสนา 16
ธัมมานุปัสสนา 5
รวมทั้งสิ้น เป็นสติปัฎฐาน 44 บรรพ

และเป็นการพิจารณาโดยปรมัตถ์ธรรม อันเป็นความจริงสูงสุด ลงในอริยสัจสี่ ลงในไตรลักษณ์

การพิจารณานั้น ใช้เวลาแค่ ชั่วขนะ แค่ลัดนิ้วมือ ก็จบ

ไม่ใช่ ไปน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรงแบบนั้น
สองวันก็แล้ว สามวันก็แล้ว วกวน วนไปวนมา หาจุดจบไม่เจอ



วันมาแล้ว พุทธธรรมฉบับน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรงนี้
ยังไม่รู้เรยว่า พิจารณายังไม่ถึงเรย

ว่าตายแล้ว ต้องไปเกิดอีกทำไม

เพราะพิจารณาไม่สุด

นี่แหละน๊า คนไม่ได้ปฎิบัติ ได้แต่ไปก๊อบเอาพระสูตรมาใช้

แบกหนังสือทั้งเล่มเกวียน แต่ไม่รู้สาระสำคัญ

ไปเรียนพื้นฐานซะนะคะ
ขอร้อง อย่าดื้อ นะคะ

ไม่งั้นเมตัดลุงออกจากกองมรดก อีกคน






อ้างคำพูด:
เป็นการพิจารณาโดยปรมัตถ์ธรรม อันเป็นความจริงสูงสุด ลงในอริยสัจสี่ ลงในไตรลักษณ์

การพิจารณานั้น ใช้เวลาแค่ ชั่วขนะ แค่ลัดนิ้วมือ ก็จบ



ง่ายจัง อิอิ ศิษย์แม่สุจินว่ากระพริบตา นู๋เมนี่ดีดนิ้วมือเปาะ จบเห่ :b32:

พระโพธิสัตว์ใช้เวลาตั้ง ๖ ปีนะ ทำน่ามันไม่ง่ายอย่างพูดหรอก :b35:


ถ้าภาคปฏิบัติทางจิตไปเล่นนั่งนับ 14,9,16,5 = 44 แบบนี้นะ ไม่ทันกินหรอก :b13:

ก็เหมือนนั่งนับ จิต 89 มีอะไรบ้างนับไป เจตสิก 52 มีอะไรบ้างนับไป รูป 28 มีอะไรบ้างนับไป นั่นแล.

ฟุ้งไปกันใหญ่


จบข่าว :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2018, 23:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
การปฎิบัติ วิปัสสนา ตามหลักพื้นฐาน ของมหาสติปัฎฐานสูตร

[color=#FF0000]กายานุปัสสนา 14
เวทนานุปัสสนา 9
จิตตานุปัสสนา 16
ธัมมานุปัสสนา 5
รวมทั้งสิ้น เป็นสติปัฎฐาน 44 บรรพ

และเป็นการพิจารณาโดยปรมัตถ์ธรรม อันเป็นความจริงสูงสุด ลงในอริยสัจสี่ ลงในไตรลักษณ์

การพิจารณานั้น ใช้เวลาแค่ ชั่วขนะ แค่ลัดนิ้วมือ ก็จบ

ไม่ใช่ ไปน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรงแบบนั้น
สองวันก็แล้ว สามวันก็แล้ว วกวน วนไปวนมา หาจุดจบไม่เจอ



วันมาแล้ว พุทธธรรมฉบับน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรงนี้
ยังไม่รู้เรยว่า พิจารณายังไม่ถึงเรย

ว่าตายแล้ว ต้องไปเกิดอีกทำไม

เพราะพิจารณาไม่สุด

นี่แหละน๊า คนไม่ได้ปฎิบัติ ได้แต่ไปก๊อบเอาพระสูตรมาใช้

แบกหนังสือทั้งเล่มเกวียน แต่ไม่รู้สาระสำคัญ

ไปเรียนพื้นฐานซะนะคะ
ขอร้อง อย่าดื้อ นะคะ

ไม่งั้นเมตัดลุงออกจากกองมรดก อีกคน






อ้างคำพูด:
เป็นการพิจารณาโดยปรมัตถ์ธรรม อันเป็นความจริงสูงสุด ลงในอริยสัจสี่ ลงในไตรลักษณ์

การพิจารณานั้น ใช้เวลาแค่ ชั่วขนะ แค่ลัดนิ้วมือ ก็จบ



ง่ายจัง อิอิ ศิษย์แม่สุจินว่ากระพริบตา นู๋เมนี่ดีดนิ้วมือเปาะ จบเห่ :b32:

พระโพธิสัตว์ใช้เวลาตั้ง ๖ ปีนะ ทำน่ามันไม่ง่ายอย่างพูดหรอก :b35:


ถ้าภาคปฏิบัติทางจิตไปเล่นนั่งนับ 14,9,16,5 = 44 แบบนี้นะ ไม่ทันกินหรอก :b13:

ก็เหมือนนั่งนับ จิต 89 มีอะไรบ้างนับไป เจตสิก 52 มีอะไรบ้างนับไป รูป 28 มีอะไรบ้างนับไป นั่นแล.

ฟุ้งไปกันใหญ่


จบข่าว :b13:


คุณลุงกรัชกาย ยิ่งพูด ยิ่งแสดงความไม่เอาไหนออกมาค่ะ

เพราะคุณลุงไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนพระไตรปิฎก ไม่ได้ปฎิบัติเรย

แถมยังดื้อรั้น แถต่อ ออกไป อีก

พระสมณะโคดม ท่านแสดงพุทธวิธี ให้พุทธศาสนิกชนได้เดินตามอย่างละเอียดแล้ว

แต่ พุทธธรรม ฉบับน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง

แสดงถึงความเป็น มือสมัครเล่นชัดๆ
อ่อนในการปฎิบัติจริงๆ

จึงสอนการพิจาณาได้แต่ความตายอันเป็นธรรมดาของสังขาร
ไม่รู้ว่า ตายแล้วทำไมต้องเกิดอีก ตายยังไงไม่เกิด

แถมพิจารณา แบบน้ำท่วมทุ่ง กี่วันมาแล้ว หละคะ
จะพิจารณาอีกกี่สิบปีคะ ว่า ตาย เป็นสัจจะ

ไม่มีใครเกิดมาแล้วไม่ตาย

แสดงถึงความเขลา ที่ต้องพิจารณาซ้ำซากๆๆๆ ว่า ตายเป็นธรรมดาของสังขาร อีกกี่ปีคะ ?


โดยไม่รู้ว่า ตายแล้ว ไม่เกิดอีกทำยังไง

พระโพธิสัตว์นะคะ ท่านแสวงหาคำตอบด้วยตนเอง จึงใช้เวลานนาน
แต่ คำสอนพระพุทธเจ้าทรงมีอยู่ ตอนนี้ ขนะนี้ ปัจจุบันนี้

คุณลุงยังเหลวไหล ไม่ทำตามคำสอนพระพุทธองค์

คุณลุงจะรอให้พระโพธิสัตว์ องค์ใหม่ ตรัสรู้ มาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว มาสอนเหมือนกัน
แล้วค่อยทำตามก็ได้ค่ะ

อย่างน้อยๆ ก้อ พุทธันดรหน้า หละค่ะ






โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2018, 08:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อภิธรรม ธรรมอันยิ่ง, ทั้งยิ่งเกิน (อภิอติเรก) คือมากกว่าธรรมอย่างปกติ และยิ่งพิเศษ (อภิ วิเสส) คือ เหนือกว่าธรรมอย่างปกติ, หลักและคำอธิบายธรรมที่เป็นเนื้อหาสาระแท้ๆ ล้วนๆ ซึ่งจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบและเป็นลำดับ จนจบความอย่างบริบูรณ์ โดยไม่กล่าวถึง ไม่อ้างอิง และไม่ขึ้นต่อบุคคล ชุมชน หรือเหตุการณ์ อันแสดงโดยเว้นบัญญัติโวหาร มุ่งตรงต่อสภาวธรรม ที่ต่อมานิยมจัดเรียกเป็นปรมัตถธรรม ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน, เมื่อพูดว่า "อภิธรรม" บางทีหมายถึงพระอภิธรรมปิฎก

บางทีหมายถึงคำสอนในพระอภิธรรมปิฎกนั้น ตามที่ได้นำมาอธิบายและเล่าเรียนกันสืบมา เฉพาะอย่างยิ่ง ตามแนวที่ประมวลแสดงไว้ในคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ, บางที เพื่อให้ชัดว่าหมายถึงอภิธรรมปิฎก ก็พูดว่า "อภิธรรมเจ็ดคัมภีร์"


อภิธรรมปิฎก ชื่อปิฎกที่สาม ในพระไตรปิฎก, คำสอนของพระพุทธเจ้า ส่วนที่แสดงพระอภิธรรม ซึ่งได้รวบรวมรักษาไว้เป็นหมวดที่สาม อันเป็นหมวดสุดท้ายแห่งพระไตรปิฎก ประกอบด้วยคัมภีร์ต่างๆ ๗ คัมภีร์ (สัตตปปกรณะ, สดับปกรณ์) คือ สังคณี (หรือ ธัมมสังคณี) วิภัง ธาตุกถา บุคคลบัญญัติ กถาวัตถุ ยมก และปัฏฐาน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2018, 20:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อภิธัมมัตถวิภาวินี ชื่อคัมภีร์ฎีกา อธิบายความในคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ พระสุมังคละผู้เป็นศิษย์ของพระอาจารย์สารีบุตร ซึ่งเป็นปราชญ์ในรัชกาลของพระเจ้าปรักกมพาหุที่ ๑ (พ.ศ. ๑๖๙๖- ๑๗๒๙) รจนาขึ้นในลังกาทวีป

อภิธัมมัตถสังคหะ คัมภีร์ประมวลความในพระอภิธรรมปิฎก สรุปเนื้อหาสาระลงในหลักใหญ่ที่นิยมเรียกกันว่า “ปรมัตถธรรม ๔” พระอนุรุทธาจารย์แห่งมูลโสมวิหารในลังกาทวีป รจนา แต่ไม่ปรากฏเวลาชัดเจน นักปราชญ์สันนิษฐานกันต่างๆ บางท่านว่าในยุคเดียวกันหรือใกล้เคียงกับพระพุทธโฆสาจารย์ แต่โดยทั่วไปยอมรับกันว่าแต่งขึ้นไม่ก่อน พ.ศ. ๑๒๕๐ และว่าน่าจะอยู่ในช่วงระหว่าง พ.ศ.๑๕๐๐- ๑๖๔๐

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2018, 18:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
การปฎิบัติ วิปัสสนา ตามหลักพื้นฐาน ของมหาสติปัฎฐานสูตร

[color=#FF0000]กายานุปัสสนา 14
เวทนานุปัสสนา 9
จิตตานุปัสสนา 16
ธัมมานุปัสสนา 5
รวมทั้งสิ้น เป็นสติปัฎฐาน 44 บรรพ

และเป็นการพิจารณาโดยปรมัตถ์ธรรม อันเป็นความจริงสูงสุด ลงในอริยสัจสี่ ลงในไตรลักษณ์

การพิจารณานั้น ใช้เวลาแค่ ชั่วขนะ แค่ลัดนิ้วมือ ก็จบ

ไม่ใช่ ไปน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรงแบบนั้น
สองวันก็แล้ว สามวันก็แล้ว วกวน วนไปวนมา หาจุดจบไม่เจอ



วันมาแล้ว พุทธธรรมฉบับน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรงนี้
ยังไม่รู้เรยว่า พิจารณายังไม่ถึงเรย

ว่าตายแล้ว ต้องไปเกิดอีกทำไม

เพราะพิจารณาไม่สุด

นี่แหละน๊า คนไม่ได้ปฎิบัติ ได้แต่ไปก๊อบเอาพระสูตรมาใช้

แบกหนังสือทั้งเล่มเกวียน แต่ไม่รู้สาระสำคัญ

ไปเรียนพื้นฐานซะนะคะ
ขอร้อง อย่าดื้อ นะคะ

ไม่งั้นเมตัดลุงออกจากกองมรดก อีกคน






อ้างคำพูด:
เป็นการพิจารณาโดยปรมัตถ์ธรรม อันเป็นความจริงสูงสุด ลงในอริยสัจสี่ ลงในไตรลักษณ์

การพิจารณานั้น ใช้เวลาแค่ ชั่วขนะ แค่ลัดนิ้วมือ ก็จบ



ง่ายจัง อิอิ ศิษย์แม่สุจินว่ากระพริบตา นู๋เมนี่ดีดนิ้วมือเปาะ จบเห่ :b32:

พระโพธิสัตว์ใช้เวลาตั้ง ๖ ปีนะ ทำน่ามันไม่ง่ายอย่างพูดหรอก :b35:


ถ้าภาคปฏิบัติทางจิตไปเล่นนั่งนับ 14,9,16,5 = 44 แบบนี้นะ ไม่ทันกินหรอก :b13:

ก็เหมือนนั่งนับ จิต 89 มีอะไรบ้างนับไป เจตสิก 52 มีอะไรบ้างนับไป รูป 28 มีอะไรบ้างนับไป นั่นแล.

ฟุ้งไปกันใหญ่


จบข่าว :b13:


คุณลุงกรัชกาย ยิ่งพูด ยิ่งแสดงความไม่เอาไหนออกมาค่ะ

เพราะคุณลุงไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนพระไตรปิฎก ไม่ได้ปฎิบัติเรย

แถมยังดื้อรั้น แถต่อ ออกไป อีก

พระสมณะโคดม ท่านแสดงพุทธวิธี ให้พุทธศาสนิกชนได้เดินตามอย่างละเอียดแล้ว

แต่ พุทธธรรม ฉบับน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง

แสดงถึงความเป็น มือสมัครเล่นชัดๆ
อ่อนในการปฎิบัติจริงๆ

จึงสอนการพิจาณาได้แต่ความตายอันเป็นธรรมดาของสังขาร
ไม่รู้ว่า ตายแล้วทำไมต้องเกิดอีก ตายยังไงไม่เกิด

แถมพิจารณา แบบน้ำท่วมทุ่ง กี่วันมาแล้ว หละคะ
จะพิจารณาอีกกี่สิบปีคะ ว่า ตาย เป็นสัจจะ

ไม่มีใครเกิดมาแล้วไม่ตาย

แสดงถึงความเขลา ที่ต้องพิจารณาซ้ำซากๆๆๆ ว่า ตายเป็นธรรมดาของสังขาร อีกกี่ปีคะ ?


โดยไม่รู้ว่า ตายแล้ว ไม่เกิดอีกทำยังไง

พระโพธิสัตว์นะคะ ท่านแสวงหาคำตอบด้วยตนเอง จึงใช้เวลานนาน
แต่ คำสอนพระพุทธเจ้าทรงมีอยู่ ตอนนี้ ขนะนี้ ปัจจุบันนี้

คุณลุงยังเหลวไหล ไม่ทำตามคำสอนพระพุทธองค์

คุณลุงจะรอให้พระโพธิสัตว์ องค์ใหม่ ตรัสรู้ มาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว มาสอนเหมือนกัน
แล้วค่อยทำตามก็ได้ค่ะ

อย่างน้อยๆ ก้อ พุทธันดรหน้า หละค่ะ




นู่เมโลกสวยจะให้ลุงทำยังไง :b13: บอกหน่อยได้ไหม คำสอนมีตั้ง 8400 พระธรรมขันธ์ ตามที่เขาบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกมีตั้ง 45 เล่ม ไม่รู้จะจ่อมข้อไหนเล่มไหนดี เหมือนกับข้าวมีหลายอย่าง อย่างนั้นก็ดี อย่างนี้ก็อร่อยเลือกไม่ถูกนิ :b32: กินอย่างละคำก็กินไปครบ จะให้กินให้ครบทุกอย่างท้องจะแตกตายเอาอีกนิ :b13:

เรื่องตายมันของแน่อยู่แว้ว เกิดมาแล้วตายแน่นวล เพราะอะไร ? เพราะความตายมันติดมากับความเกิดนิ จริงๆนะไม่เชื่ออย่าลบหลู่ แต่เกิดมาแล้วทำยังไงไม่ให้ตายนี่ซิหินจริงๆพับผ่าซิเอ้า

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2018, 18:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้าวพูดแล้วต้องรู้ความหมาย

ธรรมขันธ์ กองธรรม, หมวดธรรม, ประมวลธรรมเข้าเป็นหมวดใหญ่ มี ๕ คือ สีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ วิมุตติญาณทัสสนขันธ์; กำหนดหมวดธรรมในพระไตรปิฎกว่ามี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งเป็นวินัยปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ สุตตันตปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และอภิธรรมปิฎก ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์

ธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรม คือ ปัญญารู้เห็นความจริงว่า สิ่งใดก็ตามมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้น ทั้งปวงล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา, ธรรมจักษุโดยทั่วไป เช่น ที่เกิดแก่ท่านโกณฑัญญะ เมื่อสดับธรรมจักร ได้แก่ โสดาปัตติมรรค หรือ โสดาปัตติมัคคญาณ คือ ญาณที่ทำให้เป็นโสดาบัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2018, 18:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไปต่ออีกหน่อย ธรรมกายสองความหมาย

ธรรมกาย 1. "ผู้มีธรรมเป็นกาย" เป็นพระนามอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า (ตามความในอัคคัญสูตร แห่งทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค) หมายความว่า พระองค์ทรงคิดพุทธพจน์คำสอนด้วยใจแล้วนำออกเผยแพร่ด้วยวาจา เป็นเหตุให้พระองค์ก็คือพระธรรม เพราะเป็นแหล่งที่ประมวลหรือที่ประชุมอยู่แห่งพระธรรมอันปรากฎเปิดเผยออกมาแก่ชาวโลก, พรหมกาย หรือ พรหมภูต ก็เรียก

2."กองธรรม" หรือ "ชุมนุมแห่งธรรม" ธรรมกาย ย่อมเจริญงอกงามเติบขยายขึ้นได้โดยลำดับจนไพบูลย์ ในบุคคลผู้เมื่อได้สดับคำสอนของพระองค์แล้ว ฝึกอบรมตนด้วยไตรสิกขาเจริญมรรคให้บรรลุภูมิแห่งอริยชน ดังตัวอย่างดำรัสของพระมหาปชาบดีโคตมี เมื่อครั้งกราบทูลลาพระพุทธเจ้า เพื่อปรินิพพานตามความในคัมภีร์ปทานตอนหนึ่งว่า

"ข้าแต่พระสุคตเจ้า หม่อมฉันเป็นมารดาของพระองค์, ข้าแต่พระธีรเจ้า พระองค์ก็เป็นพระบิดาของหม่อมฉัน รูปกายของพระองค์นี้ หม่อมฉันได้ทำให้เจริญเติบโต ส่วนธรรมกายอันเป็นที่เอิบสุขของหม่อมฉัน ก็เป็นสิ่งอันพระองค์ได้ทำให้เจริญเติบโต" สรุปตามนัยอรรถกถา ธรรมกาย ในความหมายนี้ ก็คือ โลกุตรธรรม ๙ หรืออริยสัจจ์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2018, 18:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมฐิติ ความดำรงคงตัวแห่งธรรม, ความตั้งอยู่แน่นอนแห่งกฎธรรมดา

ธรรมนิยาม กำหนดแน่นอนแห่งธรรมดา, กฎธรรมชาติ, ความจริงที่มีอยู่หรือดำรงอยู่ตามธรรมดาของมัน ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาแสดงชี้แจงอธิบายให้คนทั้งหลายได้รู้ตาม มี ๓ ตามพระบาลี ดังนี้

๑. สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง

๒. สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา สังขารทั้งปวง คงทนอยู่มิได้

๓. สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งปวง มิใช่เป็นตน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2018, 18:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมฑูต "ผู้นำส่งสาส์นแห่งธรรม" หรือ "ผู้ถือสาส์นส่งข่าวธรรม" "ฑูตของธรรม" หรือ "ฑูตผู้นำธรรมไปสื่อสาร" ผู้สื่อสารแห่งธรรม,

พระภิกษุผู้ได้รับมอบหมาย หรือ แต่งตั้งให้เดินทางไปเผยแผ่ประกาศธรรมในต่างถิ่นต่างแดน, ในช่วงต้นพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าทรงประกาศธรรม ผู้มีศรัทธา และรู้เเจ้งธรรมเพิ่มขึ้นๆ อย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าพระอรหันตสาวกก็มีจำนวนถึง ๖๐ รูป ครั้งนั้น ประมาณ ๕ เดือนหลังตรัสรู้ พระพุทธเจ้าได้ส่งพระสาวก ๖๐ รูปแรก ออกไปประกาศพระศาสนา ด้วยพระดำรัสที่เรามักนำเฉพาะตอนที่ถือกันว่าสำคัญมา มาอ้างอิงอยู่เสมอ คือพุทธพจน์ที่ว่า

"จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย" แปลว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงจาริกไป เพื่อประโยชน์และความสุข ของชนจำนวนมาก เพื่อเกื้อการุณย์แก่โลก


(พระดำรัสเต็มว่า: ภิกษุทั้งหลาย เราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ แม้พวกเธอ ก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ เธอจงจาริกไป เพื่อประโยชน์และความสุขของชนจำนวนมาก เพื่อเกื้อการุณย์แก่โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ทวยเทพ และมวลมนุษย์

พวกเธออย่าได้ไปรวมทางเดียวกันสองรูป จงแสดงธรรม อันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจริยะ อันบริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ

สัตว์ทั้งหลาย จำพวกที่มีธุลี คือ กิเลสในจักษุน้อย มีอยู่ แต่เพราะไม่ได้ฟังธรรม ก็จะเสื่อมไปเสีย ผู้รู้ทั่วถึงธรรม จักมี, แม้เราก็จักไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อแสดงธรรม,(วินย.4/32/39)


พระอรรถกถาจารย์ นำพุทธพจน์ครั้งนี้ ไปประพันธ์เป็นคาถา ให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงส่งพระอรหันตสาวกทั้งหมดนั้นไปทำงานพระธรรมฑูต ดังความในคาถาเหล่านั้นว่า (พุทฺธ.อ.2/27)

"ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอ เมื่อจะบำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น จงแยกย้ายกันเที่ยวจาริกนำธรรมไปให้แก่มนุษย์ทั้งหลาย ตลอดทั่วแผ่นดินผืนนี้.

เธอทั้งหลาย อยู่ในที่สงัดวิเวก ตามเขาเขินเนินวนา ทำหน้าที่ประกาศสัทธรรมแก่โลก สืบจากเรา สม่ำเสมอ ต่อเนื่องไป.

ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอ เมื่อทำงานพระธรรมฑูต จงเป็นผู้มีวัตรปฏิบัติอันงาม จงกล่าวไขคำสั่งสอนของเรา แก่เหล่าประชาให้แจ่มแจ้ง เพื่อเห็นแก่สันติสุขของเขา.

เธอทั้งหลาย ผู้ไร้อาสวกิเลส หาใครเทียบเทียมมิได้ จงปิดประตูอบายเสียให้หมดสิ้น และจงเปิดประตู สู่ทางแห่งสวรรค์ และโมกษธรรม.

เธอทั้งหลาย ผู้เป็นแหล่งแห่งคุณความดีมีการุญธรรม เป็นต้น จงเพิ่มพูนปัญญาและศรัทธาแก่ชาวโลก ทั้งด้วยการเทศนาแก่เขาและการปฏิบัติตนเอง ให้พร้อมทุกประการ.
คฤหัสถ์ทั้งหลาย อุปการะพวกเธอยู่ เป็นนิตย์ด้วยอามิสทาน เธอทั้งหลาย ก็จงอุปการะตอบต่อพวกเขาด้วยธรรมทาน.

เธอทั้งหลาย ผู้ได้ทำกิจที่ควรทำของตนเองเสร็จแล้ว จงบำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่น โดยแสดงสัทธรรม ยกธงชัยของผู้แสวงธรรมขึ้นชูเถิด


เฉพาะคาถาที่มีคำว่า "ธรรมฑูต" เป็นคำบาลี (ธมฺมฑูเตยฺยํ = งานพระธรรมฑูต) ดังนี้

กโรนฺตา ธมฺมฑูเตยฺยํ วิขฺยาปยถ ภิกฺขโว

สนฺติอตฺถาย สตฺตานํ สุพฺพตา วจนํ มม.

คาถาที่พระอรรถกถาจารย์ประพันธ์ขึ้นเพื่อแสดงนัยแห่งพุทธพจน์นี้ นอกจากเป็นหลักฐานอันแสดงว่า “ธรรมทูต” เป็นคำที่ท่านใช้เรียกพระอรหันตสาวก ๖๐ องค์ ที่พระพุทธเจ้าส่งไปประกาศพระศาสนา โดยถือเป็นพระ “ธรรมทูต” ชุดแรก ในประวัติศาสตร์แห่งพระพุทธศาสนาแล้ว ก็เป็นคาถาซึ่งให้คติที่นำมาพ่วงประกอบเข้าได้กับพุทธพจน์ข้างต้น และพระคาถาโอวาทปาฏิโมกข์ เพื่อใช้เป็นหลักนำทางการทำงานของพระธรรมทูตทั้งหลายสืบต่อไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2018, 19:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมวาที “ผู้มีปกติกล่าวธรรม” ผู้พูดเป็นธรรม, ผู้พูดตามธรรม, ผู้พูดตรงตามธรรม หรือพูดถูกต้องตามหลัก ไม่พูดผิดธรรม ไม่พูดนอกหลักธรรม

ธรรมทาน การให้ธรรม, การสั่งสอนแนะนำเกี่ยวกับธรรม, การให้ความรู้ความรู้เข้าใจที่ถูกต้อง

ธรรมทายาท ทายาทแห่งธรรม, ผู้รับมรดกธรรม, ผู้รับเอาธรรมของพระพุทธเจ้ามาเป็นสมบัติด้วยการประพฤติปฏิบัติให้เข้าถึง, โดยตรง หมายถึงรับเอาโลกุตรธรรม ๙ ไว้ได้ด้วยการบรรลุเอง โดยอ้อม หมายถึง รับปฏิบัติกุศลธรรม จะเป็นทาน ศีล หรือภาวนาก็ตาม ตลอดจนการบูชา ที่เป็นไปเพื่อบรรลุซึ่งโลกุตรธรรมนั้น


ธรรมกามะ ผู้ใคร่ธรรม, ผู้ชอบตริตรองสอดส่องธรรม


ธรรมารมณ์ อารมณ์คือธรรม, สิ่งที่ถูกรับรู้ทางใจ, สิ่งที่รู้ด้วยใจ, สิ่งที่ใจรู้สึกนึกคิด


ธรรมไพบูลย์ ความไพบูลย์แห่งธรรม, ความพรั่งพร้อมเต็มเปี่ยมแห่งธรรมด้วยการฝึกฝนอบรมให้มีในตนจนบริบูรณ์ หรอด้วยการประพฤติปฏิบัติกันในสังคมจนแพร่หลายทั่วไปทั้งหมด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2018, 21:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:

ความคิดเป็นวิถีชีวิตของคน ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว

:b32: :b32: :b32:
ตถาคตบอกว่ามีจิตคิดนึก1ทางอายตนะยังมีอีก5ทางอายตนะเป็นธัมมะเรียกว่านามธรรม
:b12:
:b4: :b4:

cool
:b32:
จิตเกิดดับทีละ1ขณะไม่ซ้ำไม่กลับมาอีกเลย
เกิดจิตขณะใหม่ตลอดจำอะไรไว้มากมาย
แค่คิดถูกตามได้ตรง1คำดับคนทั้งตัว
ไม่มีเราเขาไม่มีคนสัตว์วัตถุเลย
มีแต่ธัมมะที่เกิดโดยอนัตตา
ไม่ได้มีใครบังคับให้เกิดดับ
แต่ทุกอย่างมีแล้วจริงๆ
กำลังเกิดดับตามเหตุ
ตามปัจจัยที่กายใจตน
ขณิกะมรณะตายทุกขณะจิต
ไม่เคยฟังเพื่อคิดถูกตัวตนตามได้
ทีละ1คำก็คือไม่ทัน1สัจจะแปลว่ามีกิเลส
หมายถึงความจริงกำลังปรากฏกับอวิชชาของปุถุชนผู้ไม่รู้ตรงสัจจะ
การฟังพระพุทธพจน์เป็นการละคลายความติดข้องต้องการอยากทำโดยไม่พึ่งคิดตามคำตถาคตทีละคำ
:b12:
:b32: :b32:
,


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2018, 21:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:

ความคิดเป็นวิถีชีวิตของคน ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว

:b32: :b32: :b32:
ตถาคตบอกว่ามีจิตคิดนึก1ทางอายตนะยังมีอีก5ทางอายตนะเป็นธัมมะเรียกว่านามธรรม
:b12:
:b4: :b4:

cool
:b32:
จิตเกิดดับทีละ1ขณะไม่ซ้ำไม่กลับมาอีกเลย
เกิดจิตขณะใหม่ตลอดจำอะไรไว้มากมาย
แค่คิดถูกตามได้ตรง1คำดับคนทั้งตัว
ไม่มีเราเขาไม่มีคนสัตว์วัตถุเลย
มีแต่ธัมมะที่เกิดโดยอนัตตา
ไม่ได้มีใครบังคับให้เกิดดับ
แต่ทุกอย่างมีแล้วจริงๆ
กำลังเกิดดับตามเหตุ
ตามปัจจัยที่กายใจตน
ขณิกะมรณะตายทุกขณะจิต
ไม่เคยฟังเพื่อคิดถูกตัวตนตามได้
ทีละ1คำก็คือไม่ทัน1สัจจะแปลว่ามีกิเลส
หมายถึงความจริงกำลังปรากฏกับอวิชชาของปุถุชนผู้ไม่รู้ตรงสัจจะ
การฟังพระพุทธพจน์เป็นการละคลายความติดข้องต้องการอยากทำโดยไม่พึ่งคิดตามคำตถาคตทีละคำ
:b12:
:b32: :b32:
,

:b12:
ทุกขณะที่ไม่รู้ตรงสัจจะที่กายใจตนกำลังมีก็คือมีอวิชชา
ปัญญาแรกแทรกเกิดตามหลังกิเลสได้เมื่อเริ่มฟังจะอยากฟังบ้างไหมคะ
https://youtu.be/eqlZvmvuVCk
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2018, 03:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
การปฎิบัติ วิปัสสนา ตามหลักพื้นฐาน ของมหาสติปัฎฐานสูตร

[color=#FF0000]กายานุปัสสนา 14
เวทนานุปัสสนา 9
จิตตานุปัสสนา 16
ธัมมานุปัสสนา 5
รวมทั้งสิ้น เป็นสติปัฎฐาน 44 บรรพ

และเป็นการพิจารณาโดยปรมัตถ์ธรรม อันเป็นความจริงสูงสุด ลงในอริยสัจสี่ ลงในไตรลักษณ์

การพิจารณานั้น ใช้เวลาแค่ ชั่วขนะ แค่ลัดนิ้วมือ ก็จบ

ไม่ใช่ ไปน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรงแบบนั้น
สองวันก็แล้ว สามวันก็แล้ว วกวน วนไปวนมา หาจุดจบไม่เจอ



วันมาแล้ว พุทธธรรมฉบับน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรงนี้
ยังไม่รู้เรยว่า พิจารณายังไม่ถึงเรย

ว่าตายแล้ว ต้องไปเกิดอีกทำไม

เพราะพิจารณาไม่สุด

นี่แหละน๊า คนไม่ได้ปฎิบัติ ได้แต่ไปก๊อบเอาพระสูตรมาใช้

แบกหนังสือทั้งเล่มเกวียน แต่ไม่รู้สาระสำคัญ

ไปเรียนพื้นฐานซะนะคะ
ขอร้อง อย่าดื้อ นะคะ

ไม่งั้นเมตัดลุงออกจากกองมรดก อีกคน






อ้างคำพูด:
เป็นการพิจารณาโดยปรมัตถ์ธรรม อันเป็นความจริงสูงสุด ลงในอริยสัจสี่ ลงในไตรลักษณ์

การพิจารณานั้น ใช้เวลาแค่ ชั่วขนะ แค่ลัดนิ้วมือ ก็จบ



ง่ายจัง อิอิ ศิษย์แม่สุจินว่ากระพริบตา นู๋เมนี่ดีดนิ้วมือเปาะ จบเห่ :b32:

พระโพธิสัตว์ใช้เวลาตั้ง ๖ ปีนะ ทำน่ามันไม่ง่ายอย่างพูดหรอก :b35:


ถ้าภาคปฏิบัติทางจิตไปเล่นนั่งนับ 14,9,16,5 = 44 แบบนี้นะ ไม่ทันกินหรอก :b13:

ก็เหมือนนั่งนับ จิต 89 มีอะไรบ้างนับไป เจตสิก 52 มีอะไรบ้างนับไป รูป 28 มีอะไรบ้างนับไป นั่นแล.

ฟุ้งไปกันใหญ่


จบข่าว :b13:


คุณลุงกรัชกาย ยิ่งพูด ยิ่งแสดงความไม่เอาไหนออกมาค่ะ

เพราะคุณลุงไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนพระไตรปิฎก ไม่ได้ปฎิบัติเรย

แถมยังดื้อรั้น แถต่อ ออกไป อีก

พระสมณะโคดม ท่านแสดงพุทธวิธี ให้พุทธศาสนิกชนได้เดินตามอย่างละเอียดแล้ว

แต่ พุทธธรรม ฉบับน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง

แสดงถึงความเป็น มือสมัครเล่นชัดๆ
อ่อนในการปฎิบัติจริงๆ

จึงสอนการพิจาณาได้แต่ความตายอันเป็นธรรมดาของสังขาร
ไม่รู้ว่า ตายแล้วทำไมต้องเกิดอีก ตายยังไงไม่เกิด

แถมพิจารณา แบบน้ำท่วมทุ่ง กี่วันมาแล้ว หละคะ
จะพิจารณาอีกกี่สิบปีคะ ว่า ตาย เป็นสัจจะ

ไม่มีใครเกิดมาแล้วไม่ตาย

แสดงถึงความเขลา ที่ต้องพิจารณาซ้ำซากๆๆๆ ว่า ตายเป็นธรรมดาของสังขาร อีกกี่ปีคะ ?


โดยไม่รู้ว่า ตายแล้ว ไม่เกิดอีกทำยังไง

พระโพธิสัตว์นะคะ ท่านแสวงหาคำตอบด้วยตนเอง จึงใช้เวลานนาน
แต่ คำสอนพระพุทธเจ้าทรงมีอยู่ ตอนนี้ ขนะนี้ ปัจจุบันนี้

คุณลุงยังเหลวไหล ไม่ทำตามคำสอนพระพุทธองค์

คุณลุงจะรอให้พระโพธิสัตว์ องค์ใหม่ ตรัสรู้ มาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว มาสอนเหมือนกัน
แล้วค่อยทำตามก็ได้ค่ะ

อย่างน้อยๆ ก้อ พุทธันดรหน้า หละค่ะ




นู่เมโลกสวยจะให้ลุงทำยังไง :b13: บอกหน่อยได้ไหม คำสอนมีตั้ง 8400 พระธรรมขันธ์ ตามที่เขาบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกมีตั้ง 45 เล่ม ไม่รู้จะจ่อมข้อไหนเล่มไหนดี เหมือนกับข้าวมีหลายอย่าง อย่างนั้นก็ดี อย่างนี้ก็อร่อยเลือกไม่ถูกนิ :b32: กินอย่างละคำก็กินไปครบ จะให้กินให้ครบทุกอย่างท้องจะแตกตายเอาอีกนิ :b13:

เรื่องตายมันของแน่อยู่แว้ว เกิดมาแล้วตายแน่นวล เพราะอะไร ? เพราะความตายมันติดมากับความเกิดนิ จริงๆนะไม่เชื่ออย่าลบหลู่ แต่เกิดมาแล้วทำยังไงไม่ให้ตายนี่ซิหินจริงๆพับผ่าซิเอ้า



นั่นแน้ๆๆ

คุณลุงกรัชกายอวดว่า มีกับข้าวเต็มตู้ แต่หากินก็ไม่ถูก เพราะไม่ดูฉลาก ไม่ได้เรียนปริยัติ
เรยอ่านฉลากไม่ออก

ลุงกรัชกาย ถึงอยากรู้ว่า เกิดมาไม่อยากให้ตาย ทำไง?

พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยสอน ไม่เคยแปะไว้ในฉลาก ว่าเกิดมาแล้วไม่ตายสักคำ

ทุกอย่างมี อย. มี เกิด แก่ เจ็บ ตาย นะคะ ๆๆ
มีฉลากแปะว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นะคะ ๆๆ

นี่แหละคนที่ไม่เอาไหนเรยในการศึกษา เรยอ่านฉลากกับข้าวไม่ออก

มีกับข้าว ที่พระพุทธองค์สอน และพระองค์ แปะฉลากไว้ว่า

ตายแล้ว ไม่ไปเกิดเวียนว่ายตายเกิดอีก สามารถทำได้ๆ นะคะ ๆ

เมแนะนำนะคะ ไปเรียนพุทธศาสนาเบื้องต้นเรยนะคะ

จะได้รู้ว่า ตายไปแล้ว ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก สามารถทำได้

แต่ เกิดมา ไม่ตาย ไม่มีหรอก ค่ะ ไม่มี๊ ไม่มีแบบนั้น

พุทธธรรมฉบับนั้น ไม่ใช่กับข้าวชั้นดี เรยไม่มีฉลากแปะว่า
การพิจารณาว่า ตายแล่ว ไม่มาเวียนว่าย เกิดตายๆๆๆๆๆๆๆ อีก ทำยังไง
ได้แต่ บอกว่า มีแค่เกิด แล้ว มีความตายธรรมดาๆ ตามสังขารโลกไงคะ

นี่หลายวันแล้วนะคะ ยังไม่มีบทไหนเรย ในฉบบับนั้น
ไปพิจารณาว่า ตายแล้ว ไม่มาเกิดมาเวียนว่ายอีกทำไง
คุณลุงกรัชกาย พิจารณาตามฉบับนั้นไป หลายวันแล้วนะคะ

ยังพิจารณาไปไม่ถึงที่สุด เรย

เมแค่ ดีดนิ้วโป๊ะ รู้ว่า เกิดแล้วต้องตาย ตายแล้วไม่ต้องมาเกิดมาเวียนว่ายอีก
มีจริง ตามพระพุทธองค์สอนค่ะ

คริคริ





โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2018, 05:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:

ความคิดเป็นวิถีชีวิตของคน ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว

:b32: :b32: :b32:
ตถาคตบอกว่ามีจิตคิดนึก1ทางอายตนะยังมีอีก5ทางอายตนะเป็นธัมมะเรียกว่านามธรรม
:b12:
:b4: :b4:

cool
:b32:
จิตเกิดดับทีละ1ขณะไม่ซ้ำไม่กลับมาอีกเลย

เกิดจิตขณะใหม่ตลอดจำอะไรไว้มากมาย

แค่คิดถูกตามได้ตรง1คำดับคนทั้งตัว
ไม่มีเราเขาไม่มีคนสัตว์วัตถุเลย
มีแต่ธัมมะที่เกิดโดยอนัตตา
ไม่ได้มีใครบังคับให้เกิดดับ
แต่ทุกอย่างมีแล้วจริงๆ
กำลังเกิดดับตามเหตุ
ตามปัจจัยที่กายใจตน
ขณิกะมรณะตายทุกขณะจิต
ไม่เคยฟังเพื่อคิดถูกตัวตนตามได้
ทีละ1คำก็คือไม่ทัน1สัจจะแปลว่ามีกิเลส
หมายถึงความจริงกำลังปรากฏกับอวิชชาของปุถุชนผู้ไม่รู้ตรงสัจจะ
การฟังพระพุทธพจน์เป็นการละคลายความติดข้องต้องการอยากทำโดยไม่พึ่งคิดตามคำตถาคตทีละคำ



อ้างคำพูด:
จิตเกิดดับทีละ1ขณะไม่ซ้ำ ไม่กลับมาอีกเลย

เกิดจิตขณะใหม่ตลอดจำอะไรไว้มากมาย


นั่นว่าเข้าไปนั่น คิกๆๆ ถามนะ ถ้ายังงั้น ความโกรธ (โทสะ) เคยเกิดแล้วดับไปแล้ว คนเราก็ไม่โกรธอีกนะซี่ โกรธครั้งเดียวจบข่าวเลย ถูกไหม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2018, 05:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:

ความคิดเป็นวิถีชีวิตของคน ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว

:b32: :b32: :b32:
ตถาคตบอกว่ามีจิตคิดนึก1ทางอายตนะยังมีอีก5ทางอายตนะเป็นธัมมะเรียกว่านามธรรม
:b12:
:b4: :b4:

cool
:b32:
จิตเกิดดับทีละ1ขณะไม่ซ้ำไม่กลับมาอีกเลย

เกิดจิตขณะใหม่ตลอดจำอะไรไว้มากมาย

แค่คิดถูกตามได้ตรง1คำดับคนทั้งตัว
ไม่มีเราเขาไม่มีคนสัตว์วัตถุเลย
มีแต่ธัมมะที่เกิดโดยอนัตตา
ไม่ได้มีใครบังคับให้เกิดดับ
แต่ทุกอย่างมีแล้วจริงๆ
กำลังเกิดดับตามเหตุ
ตามปัจจัยที่กายใจตน
ขณิกะมรณะตายทุกขณะจิต
ไม่เคยฟังเพื่อคิดถูกตัวตนตามได้
ทีละ1คำก็คือไม่ทัน1สัจจะแปลว่ามีกิเลส
หมายถึงความจริงกำลังปรากฏกับอวิชชาของปุถุชนผู้ไม่รู้ตรงสัจจะ
การฟังพระพุทธพจน์เป็นการละคลายความติดข้องต้องการอยากทำโดยไม่พึ่งคิดตามคำตถาคตทีละคำ



อ้างคำพูด:
จิตเกิดดับทีละ1ขณะไม่ซ้ำ ไม่กลับมาอีกเลย

เกิดจิตขณะใหม่ตลอดจำอะไรไว้มากมาย


นั่นว่าเข้าไปนั่น คิกๆๆ ถามนะ ถ้ายังงั้น ความโกรธ (โทสะ) เคยเกิดแล้วดับไปแล้ว คนเราก็ไม่โกรธอีกนะซี่ โกรธครั้งเดียวจบข่าวเลย ถูกไหม



คุณโรส ไหนลองตอบคำถามนี่ดูถี่ เพื่อให้ไอ่เรืองนอนตายตาหลับ :b13:

พูดไปเรื่อย พูดแล้วไม่รับผิดชอบคำพูดตัวเอง ให้ดื่มน้ำใบกระท่อมสะดีไหมเนี่ย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 146 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร