วันเวลาปัจจุบัน 28 เม.ย. 2024, 23:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 278 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 19  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2018, 14:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
อวิชชาแปลไทยแปลว่าโง่
คนไม่รู้ว่าตัวเองมีอวิชชา
เรียกว่าเดือดร้อนเพราะโง่
โง่ที่คิดไม่ตรงว่าตาตัวเอง
ไม่ได้เห็นแค่สีแต่เป็นจิตเห็น
1ขณะจิตเห็นสี1สี+แสงกระทบตาดับทันที
ที่เห็นแล้วปรากฏเป็นสิ่งต่างๆแล้วคืออวิชชา
แปลว่าหลงผิดจำสิ่งที่ปรากฏไม่รู้ว่าเห็นเป็นกิเลสอวิชชาแล้ว
จนกว่าจะเริ่มฟังเพื่อจำถูกตามคำสัจจะที่กายใจตนกำลังมีตรง1สัจจะ
:b32: :b32:
กะพริบตาคือจิตขณะใหม่ทั้ง6ทางมองยาไม่จับใส่หู
อันนี้ให้ผู้อ่านได้พิจารณาชัดๆตรงๆข้าม1ไม่ได้ทุกครั้ง
คำสอนไม่ว่าจะทำอะไรต้องทำตามลำดับข้าม1ไป3ผิดทันที
เพราะการรู้ตามไม่มีการข้ามขั้นตอนถ้าเริ่มด้วยฟังก็ไม่ไปทำอย่างอื่น
เกิดเพราะไม่รู้จึงต้องกำลังพึ่งคำตถาคตตอนกำลังฟังเพื่อระลึกตามได้อ่านแล้วพิจารณาสิคะ
ปัญญาตามคำสอนเกิดตามลำดับดังนี้1สุตมยปัญญา2จินตามยปัญญา3ภาวนามยปัญญาตามลำดับทำ1ก่อน
พึ่งคิดถูกตามคำตถาคตที่ตนเห็นผิดไม่ได้เห็นแค่สีเพียง1สีจะมาทะเลาะกับคำตถาคตทำไมคะเริ่มฟังได้แล้ว
onion onion onion

:b32:
จำทุกคำที่ตถาคตบัญญัติไว้ทำไม
ไม่ใช่ปัญญาของตนเองประมาทไหม
https://youtu.be/101cfbifuF4
:b12:
:b4: :b4:


อวิชชา แปลว่าสิ่งหุ้มห่อโลกไว้ ไม่ให้เห็น ไม่ให้รู้

ใน

อริยสัจ ไม่รู้อดีต ไม่รู้อนาคต ไม่รู้ทั้งอดีตและอนาคต และไม่รู้ปฏิจจสมุปปาทธรรม ค่ะ



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2018, 21:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
อวิชชาแปลไทยแปลว่าโง่
คนไม่รู้ว่าตัวเองมีอวิชชา
เรียกว่าเดือดร้อนเพราะโง่
โง่ที่คิดไม่ตรงว่าตาตัวเอง
ไม่ได้เห็นแค่สีแต่เป็นจิตเห็น
1ขณะจิตเห็นสี1สี+แสงกระทบตาดับทันที
ที่เห็นแล้วปรากฏเป็นสิ่งต่างๆแล้วคืออวิชชา
แปลว่าหลงผิดจำสิ่งที่ปรากฏไม่รู้ว่าเห็นเป็นกิเลสอวิชชาแล้ว
จนกว่าจะเริ่มฟังเพื่อจำถูกตามคำสัจจะที่กายใจตนกำลังมีตรง1สัจจะ
:b32: :b32:
กะพริบตาคือจิตขณะใหม่ทั้ง6ทางมองยาไม่จับใส่หู
อันนี้ให้ผู้อ่านได้พิจารณาชัดๆตรงๆข้าม1ไม่ได้ทุกครั้ง
คำสอนไม่ว่าจะทำอะไรต้องทำตามลำดับข้าม1ไป3ผิดทันที
เพราะการรู้ตามไม่มีการข้ามขั้นตอนถ้าเริ่มด้วยฟังก็ไม่ไปทำอย่างอื่น
เกิดเพราะไม่รู้จึงต้องกำลังพึ่งคำตถาคตตอนกำลังฟังเพื่อระลึกตามได้อ่านแล้วพิจารณาสิคะ
ปัญญาตามคำสอนเกิดตามลำดับดังนี้ 1 สุตมยปัญญา 2 จินตามยปัญญา 3 ภาวนามยปัญญาตามลำดับทำ1ก่อน
พึ่งคิดถูกตามคำตถาคตที่ตนเห็นผิดไม่ได้เห็นแค่สีเพียง1สีจะมาทะเลาะกับคำตถาคตทำไมคะเริ่มฟังได้แล้ว


คุณโรสสุตะมา 9 ปีแล้วน่าจะพอสมควรแก่เวลาแล้ว อ้าวเลือนไป จิตตา ขั้น 2 ได้แล้ว ขั้นจินตาคิดสัก 18 ปี (เพิ่มอีกเท่าตัว) เมื่อครบ 18 ปีแล้ว ก็เลือนไป ภาวนาสัก 120 ปี ก็จึงจบปัญญาสามตามลำดับแล.

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2018, 21:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
อวิชชาแปลไทยแปลว่าโง่
คนไม่รู้ว่าตัวเองมีอวิชชา
เรียกว่าเดือดร้อนเพราะโง่
โง่ที่คิดไม่ตรงว่าตาตัวเอง
ไม่ได้เห็นแค่สีแต่เป็นจิตเห็น
1ขณะจิตเห็นสี1สี+แสงกระทบตาดับทันที
ที่เห็นแล้วปรากฏเป็นสิ่งต่างๆแล้วคืออวิชชา
แปลว่าหลงผิดจำสิ่งที่ปรากฏไม่รู้ว่าเห็นเป็นกิเลสอวิชชาแล้ว
จนกว่าจะเริ่มฟังเพื่อจำถูกตามคำสัจจะที่กายใจตนกำลังมีตรง1สัจจะ
:b32: :b32:
กะพริบตาคือจิตขณะใหม่ทั้ง6ทางมองยาไม่จับใส่หู
อันนี้ให้ผู้อ่านได้พิจารณาชัดๆตรงๆข้าม1ไม่ได้ทุกครั้ง
คำสอนไม่ว่าจะทำอะไรต้องทำตามลำดับข้าม1ไป3ผิดทันที
เพราะการรู้ตามไม่มีการข้ามขั้นตอนถ้าเริ่มด้วยฟังก็ไม่ไปทำอย่างอื่น
เกิดเพราะไม่รู้จึงต้องกำลังพึ่งคำตถาคตตอนกำลังฟังเพื่อระลึกตามได้อ่านแล้วพิจารณาสิคะ
ปัญญาตามคำสอนเกิดตามลำดับดังนี้ 1 สุตมยปัญญา 2 จินตามยปัญญา 3 ภาวนามยปัญญาตามลำดับทำ1ก่อน
พึ่งคิดถูกตามคำตถาคตที่ตนเห็นผิดไม่ได้เห็นแค่สีเพียง1สีจะมาทะเลาะกับคำตถาคตทำไมคะเริ่มฟังได้แล้ว


คุณโรสสุตะมา 9 ปีแล้วน่าจะพอสมควรแก่เวลาแล้ว อ้าวเลือนไป จิตตา ขั้น 2 ได้แล้ว ขั้นจินตาคิดสัก 18 ปี (เพิ่มอีกเท่าตัว) เมื่อครบ 18 ปีแล้ว ก็เลือนไป ภาวนาสัก 120 ปี ก็จึงจบปัญญาสามตามลำดับแล.

cool
พระพุทธเจ้าเรียนนั่งสมาธิกับ2อาจารย์ดาบสบรรลุไหมล่ะประมาทปัญญาขั้นฟังปัญญาอื่นก็เกิดไม่ได้ไงคะ
2อาจารย์นั้นได้ไปเกิดพรหมโลกแต่ยังมีมิจฉาทิฏฐิเพราะไม่ได้ฟังคำสอนเสียชีวิตไปก่อนไม่อ่านหรือตอนนี้
แล้วที่ทุกวันนี้สอนกันนั่งหลับตาทำเหมือนครั้งพุทธกาลก่อนมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้มันบรรลุง่ายขนาดนั้นหรือ
งั้นคนอินเดียไม่เป็นอรหันต์หมดแล้วเหรอที่สอนกันว่าไปนั่งหลับตาทรมาณกายแล้วจะเห็นทุกข์ทรมาณ555
เป็นโรคไม่รู้ก็ต้องแก้ให้ตรงคือรู้เพื่อละไม่รู้ตรงที่ไม่รู้นั้นแหละถึงจะรู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรบ้างเมื่อไหร่จะเริ่มฟัง
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2018, 09:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
อวิชชาแปลไทยแปลว่าโง่
คนไม่รู้ว่าตัวเองมีอวิชชา
เรียกว่าเดือดร้อนเพราะโง่
โง่ที่คิดไม่ตรงว่าตาตัวเอง
ไม่ได้เห็นแค่สีแต่เป็นจิตเห็น
1ขณะจิตเห็นสี1สี+แสงกระทบตาดับทันที
ที่เห็นแล้วปรากฏเป็นสิ่งต่างๆแล้วคืออวิชชา
แปลว่าหลงผิดจำสิ่งที่ปรากฏไม่รู้ว่าเห็นเป็นกิเลสอวิชชาแล้ว
จนกว่าจะเริ่มฟังเพื่อจำถูกตามคำสัจจะที่กายใจตนกำลังมีตรง1สัจจะ
:b32: :b32:
กะพริบตาคือจิตขณะใหม่ทั้ง6ทางมองยาไม่จับใส่หู
อันนี้ให้ผู้อ่านได้พิจารณาชัดๆตรงๆข้าม1ไม่ได้ทุกครั้ง
คำสอนไม่ว่าจะทำอะไรต้องทำตามลำดับข้าม1ไป3ผิดทันที
เพราะการรู้ตามไม่มีการข้ามขั้นตอนถ้าเริ่มด้วยฟังก็ไม่ไปทำอย่างอื่น
เกิดเพราะไม่รู้จึงต้องกำลังพึ่งคำตถาคตตอนกำลังฟังเพื่อระลึกตามได้อ่านแล้วพิจารณาสิคะ
ปัญญาตามคำสอนเกิดตามลำดับดังนี้ 1 สุตมยปัญญา 2 จินตามยปัญญา 3 ภาวนามยปัญญาตามลำดับทำ1ก่อน
พึ่งคิดถูกตามคำตถาคตที่ตนเห็นผิดไม่ได้เห็นแค่สีเพียง1สีจะมาทะเลาะกับคำตถาคตทำไมคะเริ่มฟังได้แล้ว


คุณโรสสุตะมา 9 ปีแล้วน่าจะพอสมควรแก่เวลาแล้ว อ้าวเลือนไป จิตตา ขั้น 2 ได้แล้ว ขั้นจินตาคิดสัก 18 ปี (เพิ่มอีกเท่าตัว) เมื่อครบ 18 ปีแล้ว ก็เลือนไป ภาวนาสัก 120 ปี ก็จึงจบปัญญาสามตามลำดับแล.

cool

พระพุทธเจ้าเรียนนั่งสมาธิกับ 2 อาจารย์ดาบสบรรลุไหมล่ะ ประมาทปัญญาขั้นฟังปัญญาอื่นก็เกิดไม่ได้ไงคะ
2อาจารย์นั้นได้ไปเกิดพรหมโลกแต่ยังมีมิจฉาทิฏฐิเพราะไม่ได้ฟังคำสอนเสียชีวิตไปก่อนไม่อ่านหรือตอนนี้
แล้วที่ทุกวันนี้สอนกันนั่งหลับตาทำเหมือนครั้งพุทธกาลก่อนมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้มันบรรลุง่ายขนาดนั้นหรือ
งั้นคนอินเดียไม่เป็นอรหันต์หมดแล้วเหรอที่สอนกันว่าไปนั่งหลับตาทรมาณกายแล้วจะเห็นทุกข์ทรมาณ555
เป็นโรคไม่รู้ก็ต้องแก้ให้ตรงคือรู้เพื่อละไม่รู้ตรงที่ไม่รู้นั้นแหละถึงจะรู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรบ้างเมื่อไหร่จะเริ่มฟัง


นี่ไงถึงว่า ว่าคุณโรสเป็นทำมะเลียนแบบ

สุดท้ายพระพุทธเจ้าก็ใช้สมาธิที่ได้ก่อนหน้านั่งพินาชีวิตจิตใจที่ใต้ต้นอยู่ดี คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2018, 10:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
อวิชชาแปลไทยแปลว่าโง่
คนไม่รู้ว่าตัวเองมีอวิชชา
เรียกว่าเดือดร้อนเพราะโง่
โง่ที่คิดไม่ตรงว่าตาตัวเอง
ไม่ได้เห็นแค่สีแต่เป็นจิตเห็น
1ขณะจิตเห็นสี1สี+แสงกระทบตาดับทันที
ที่เห็นแล้วปรากฏเป็นสิ่งต่างๆแล้วคืออวิชชา
แปลว่าหลงผิดจำสิ่งที่ปรากฏไม่รู้ว่าเห็นเป็นกิเลสอวิชชาแล้ว
จนกว่าจะเริ่มฟังเพื่อจำถูกตามคำสัจจะที่กายใจตนกำลังมีตรง1สัจจะ
:b32: :b32:
กะพริบตาคือจิตขณะใหม่ทั้ง6ทางมองยาไม่จับใส่หู
อันนี้ให้ผู้อ่านได้พิจารณาชัดๆตรงๆข้าม1ไม่ได้ทุกครั้ง
คำสอนไม่ว่าจะทำอะไรต้องทำตามลำดับข้าม1ไป3ผิดทันที
เพราะการรู้ตามไม่มีการข้ามขั้นตอนถ้าเริ่มด้วยฟังก็ไม่ไปทำอย่างอื่น
เกิดเพราะไม่รู้จึงต้องกำลังพึ่งคำตถาคตตอนกำลังฟังเพื่อระลึกตามได้อ่านแล้วพิจารณาสิคะ
ปัญญาตามคำสอนเกิดตามลำดับดังนี้ 1 สุตมยปัญญา 2 จินตามยปัญญา 3 ภาวนามยปัญญาตามลำดับทำ1ก่อน
พึ่งคิดถูกตามคำตถาคตที่ตนเห็นผิดไม่ได้เห็นแค่สีเพียง1สีจะมาทะเลาะกับคำตถาคตทำไมคะเริ่มฟังได้แล้ว


คุณโรสสุตะมา 9 ปีแล้วน่าจะพอสมควรแก่เวลาแล้ว อ้าวเลือนไป จิตตา ขั้น 2 ได้แล้ว ขั้นจินตาคิดสัก 18 ปี (เพิ่มอีกเท่าตัว) เมื่อครบ 18 ปีแล้ว ก็เลือนไป ภาวนาสัก 120 ปี ก็จึงจบปัญญาสามตามลำดับแล.

cool
พระพุทธเจ้าเรียนนั่งสมาธิกับ 2 อาจารย์ดาบสบรรลุไหมล่ะ ประมาทปัญญาขั้นฟังปัญญาอื่นก็เกิดไม่ได้ไงคะ
2อาจารย์นั้นได้ไปเกิดพรหมโลกแต่ยังมีมิจฉาทิฏฐิเพราะไม่ได้ฟังคำสอนเสียชีวิตไปก่อนไม่อ่านหรือตอนนี้
แล้วที่ทุกวันนี้สอนกันนั่งหลับตาทำเหมือนครั้งพุทธกาลก่อนมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้มันบรรลุง่ายขนาดนั้นหรือ
งั้นคนอินเดียไม่เป็นอรหันต์หมดแล้วเหรอที่สอนกันว่าไปนั่งหลับตาทรมาณกายแล้วจะเห็นทุกข์ทรมาณ555
เป็นโรคไม่รู้ก็ต้องแก้ให้ตรงคือรู้เพื่อละไม่รู้ตรงที่ไม่รู้นั้นแหละถึงจะรู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรบ้างเมื่อไหร่จะเริ่มฟัง


อ้างคำพูด:
พระพุทธเจ้าเรียนนั่งสมาธิกับ 2 อาจารย์ดาบสบรรลุไหมล่ะ


อย่างที่เคยพูดว่า คุณโรสเข้าใจ สมาธิต้องหลับตา วิปัสสนาต้องลืมตา คิกๆๆ ใครนั่งสมาธิ ก็ว่าเขาทำสมถะหลับตา ใครนั่งลืมตาโพลง นั่นแหละ เขาทำวิปัสสนา

ดังนั้น ก็สรุป คคห.คุณโรส เรื่องสมาธิ กับ วิปัสสนา ตรงหลับตา กับ ลืมตา

จบข่าว คิกๆๆ เสียเวลาเปล่า บอกไม่เชื่อ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2018, 15:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาอีก

คือ ว่าเรานั่งสมาธิแล้วเริ่มเข้าสู่ความสงบ (ประมาณว่าโลกนี้ว่าง ๆค่ะ) แต่ไม่รู้ทำไมเกิดนึกกลัวขึ้นมา อยากออกจากสมาธิ มีคนแนะนำว่าต้องค่อย ๆ ถอยออกจากสมาธิ แต่เราทำไม่ได้ เพราะมันไม่ยอมออกค่ะ ไม่รู้ทำไง เลยลืมตาเสียเลย เท่านั้นเองใจก็เกิดสั่นขึ้นมาทันที รู้สึกวิงเวียนบอกไม่ถูก

วันนั้นทั้งวันใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กว่าจะปกติก็ช่วงเย็นแล้ว

เราเลยอยากถามว่า ทำอย่างไรไม่ให้กลัวเวลาเจอสถานการณ์แบบนี้ และจะออกจากสมาธิด้วยวิธีไหนดีคะ ผู้รู้ช่วยตอบทีค่ะ

ผู้จะเรียนรู้ชีวิต คือ ธรรมะระดับปรมัตถธรรม จะต้องเรียนรู้จากประสบการณ์จริงจากตนเอง คิกๆๆ ไม่ใช่ไปพูดนั่นพูดนี่ คิดไปนั่นมานี่้ แล้วจะรู้เข้าใจปรมัตถ์อย่างไรกันเล่า :b32:

ที่เราท่องปรมัตถธรรม มี ๔ จิต เจตสิก รูป นิพพาน โดยเฉพาะจิต เจตสิก รูป มันก็คือตัวเองที่เรียกกันว่าคน แต่ละคนๆ นี่เองแหละ จะไปหาที่ไหนกันเล่า :b13: จะหานิพพานที่ไหนกันเล่า

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2018, 20:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
Rosarin เขียน:
:b32:
...
ผู้รู้ที่จะรู้ความจริงและมากล่าวเป็นพระไตรปิฎก
ตอนยังไม่มีพระไตรปิฎกคือพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป
....


ใครพอจะช่วยแปลไทย เป็น ไทย ให้เอกอนเข้าใจได้บ้างมั๊ยคะ

ว่าประโยคข้างต้นหมายความว่าอย่างไร

เหมือนเป็นการสรุปอะไรบางอย่าง แบบมัดมือชก ชอบก๊ล ชอบกล



อ้างคำพูด:
ผู้รู้ที่จะรู้ความจริงและมากล่าวเป็นพระไตรปิฎก

ตอนยังไม่มีพระไตรปิฎกคือพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป


คุณโรสสับสนทางความคิด

เรื่องความเป็นมาของพระไตรปิฎก

ดูที่

viewtopic.php?f=1&t=55697


พระไตรปิฎก คือ คัมภีร์ซึ่งจารึกคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2018, 22:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
cool
พระพุทธเจ้าเรียนนั่งสมาธิกับ 2 อาจารย์ดาบสบรรลุไหมล่ะ ประมาทปัญญาขั้นฟังปัญญาอื่นก็เกิดไม่ได้ไงคะ
2อาจารย์นั้นได้ไปเกิดพรหมโลกแต่ยังมีมิจฉาทิฏฐิเพราะไม่ได้ฟังคำสอนเสียชีวิตไปก่อนไม่อ่านหรือตอนนี้
แล้วที่ทุกวันนี้สอนกันนั่งหลับตาทำเหมือนครั้งพุทธกาลก่อนมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้มันบรรลุง่ายขนาดนั้นหรือ
งั้นคนอินเดียไม่เป็นอรหันต์หมดแล้วเหรอที่สอนกันว่าไปนั่งหลับตาทรมาณกายแล้วจะเห็นทุกข์ทรมาณ555
เป็นโรคไม่รู้ก็ต้องแก้ให้ตรงคือรู้เพื่อละไม่รู้ตรงที่ไม่รู้นั้นแหละถึงจะรู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรบ้างเมื่อไหร่จะเริ่มฟัง


ก็ตอนนี้คุณรสเห็นมีใครกำลังฟังคำสอนของอาจารย์ดาบสบ้างคะ
มีใครเอาคำสอนของดาบสมาฟัง มาปฏิบัติบ้างคะ

เอกอนยังไม่เคยเห็นยูทูปของท่านดาบสทั้ง 2 เลย


พระสารีบุตร ได้รับการสอนมาจากพระพุทธองค์
และเมื่อท่านสนทนาธรรมในหมู่สงฆ์ท่านก็ยังสอนสมาธิ น๊าาาา
แสดงว่าในสมัยพระพุทธองค์ หมู่สงฆ์ก็ถูกสอนให้ทำสมาธิ น๊าาาา

Quote Tipitaka:
เอกาทสกนิบาต - ปัณณาสก์ - ๒. ทุติยวรรค - สมาธิสูตรที่ ๓

พระไตรปิฎก ฉบับธรรมทาน
สมาธิสูตรที่ ๓
[๒๒๗] ครั้งนั้นแล ภิกษุเป็นอันมากได้เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ ได้ปราศรัย

กับด้วยพระสารีบุตร ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

ครั้นแล้วได้ถามท่านพระสารีบุตรว่า ข้าแต่พระสารีบุตรผู้มีอายุ พึงมีได้หรือหนอแล การที่ภิกษุ

ได้สมาธิโดยประการที่ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ ... ไม่พึงมีความ

สำคัญในรูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ยิน อารมณ์ที่ทราบ ธรรมที่รู้แจ้ง ที่ถึงแล้ว แสวงหาแล้ว

ตรองตามแล้วด้วยใจ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา ฯ

ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย พึงมีได้ การที่ภิกษุได้สมาธิโดยประการ

ที่ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุ ว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ ฯลฯไม่พึงมีความสำคัญในรูป

ที่ได้เห็น เสียงที่ได้ยิน อารมณ์ที่ทราบ ธรรมที่รู้แจ้ง ที่ถึงแล้ว แสวงหาแล้ว ตรองตามแล้ว

ด้วยใจ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา ฯ

ภิ. ข้าแต่ท่านพระสารีบุตรผู้มีอายุ พึงมีได้อย่างไร การที่ภิกษุได้สมาธิโดยประการที่ตน

ไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ ฯลฯ ไม่พึงมีความสำคัญในรูปที่ได้เห็น

เสียงที่ได้ยิน อารมณ์ที่ทราบ ธรรมที่รู้แจ้ง ที่ถึงแล้ว แสวงหาแล้ว ตรองตามแล้วด้วยใจ

ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา ฯ

สา. ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญอย่างนี้ว่า

ธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั่นประณีต คือ ความสงบสังขารทั้งปวงความสละคืนอุปธิทั้งปวง

ความสิ้นตัณหา ความสิ้นกำหนัด ความดับ นิพพานดูกรอาวุโสทั้งหลาย พึงมีได้อย่างนี้แล

การที่ภิกษุได้สมาธิโดยประการที่ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ ...

ไม่พึงมีความสำคัญในรูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ยิน อารมณ์ที่ทราบ ธรรมที่รู้แจ้ง ที่ถึงแล้ว

แสวงหาแล้วตรองตามแล้วด้วยใจ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา ฯ

จบสูตรที่ ๑๐


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 07 ต.ค. 2018, 00:20, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2018, 22:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
cool
พระพุทธเจ้าเรียนนั่งสมาธิกับ 2 อาจารย์ดาบสบรรลุไหมล่ะ ประมาทปัญญาขั้นฟังปัญญาอื่นก็เกิดไม่ได้ไงคะ
2อาจารย์นั้นได้ไปเกิดพรหมโลกแต่ยังมีมิจฉาทิฏฐิเพราะไม่ได้ฟังคำสอนเสียชีวิตไปก่อนไม่อ่านหรือตอนนี้
แล้วที่ทุกวันนี้สอนกันนั่งหลับตาทำเหมือนครั้งพุทธกาลก่อนมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้มันบรรลุง่ายขนาดนั้นหรือ
งั้นคนอินเดียไม่เป็นอรหันต์หมดแล้วเหรอที่สอนกันว่าไปนั่งหลับตาทรมาณกายแล้วจะเห็นทุกข์ทรมาณ555
เป็นโรคไม่รู้ก็ต้องแก้ให้ตรงคือรู้เพื่อละไม่รู้ตรงที่ไม่รู้นั้นแหละถึงจะรู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรบ้างเมื่อไหร่จะเริ่มฟัง


และนี่ก็เป็นลำดับสมาธิที่น้อมไปสู้ นิพพาน น๊าาาา

Quote Tipitaka:
นวกนิบาต - ปัณณาสก์ - ๔. มหาวรรค - นิพพานสูตร

พระไตรปิฎก ฉบับธรรมทาน

นิพพานสูตร

[๒๓๘] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน

ใกล้พระนครราชคฤห์ ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรกล่าวกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย

นิพพานนี้เป็นสุข ดูกรอาวุโสทั้งหลาย นิพพานนี้เป็นสุข เมื่อท่านพระสารีบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว

ท่านพระอุทายีได้กล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า ดูกรอาวุโสสารีบุตร นิพพานนี้ไม่มีเวทนา จะเป็น

สุขได้อย่างไร ฯ

ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า ดูกรอาวุโส นิพพานนี้ไม่มีเวทนานั่นแหละเป็นสุข ดูกรอาวุโส

กามคุณ ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา

น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นที่รัก ยั่วยวน ชวนให้กำหนัด เสียงที่จะพึงรู้แจ้งด้วยหู ฯลฯ

กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจมูก ฯลฯ รสที่จะพึงรู้แจ้งด้วยลิ้น ฯลฯ โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งด้วยกาย

อันน่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ เป็นที่รัก ยั่วยวนชวนให้กำหนัด กามคุณ ๕ ประการนี้แล

ดูกรอาวุโสสุขโสมนัสย่อมเกิดขึ้น เพราะอาศัยกามคุณ ๕ ประการนี้ นี้เรียกว่ากามสุข ฯ

ดูกรอาวุโส ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌานอยู่ ถ้าเมื่อภิกษุ

นั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมข้อนี้ สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยกามย่อมฟุ้งซ่าน ข้อนั้นเป็นอาพาธ

ของเธอ เปรียบเหมือนความทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้มีความสุข เพียงเพื่อเบียดเบียน ฉันใด

สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยกามเหล่านั้น ย่อมฟุ้งซ่านแก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็นอาพาธของเธอ

ฉันนั้นเหมือนกันซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสเรียกอาพาธนั้นว่าเป็นความทุกข์ ดูกรอาวุโส นิพพาน

เป็นสุขอย่างไร ท่านจะพึงทราบได้โดยปริยายแม้นี้ ฯ

อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุติยฌาน ฯลฯ เพราะวิตกวิจารสงบไป ถ้าเมื่อภิกษุนั้นอยู่

ด้วยวิหารธรรมข้อนี้ สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยวิตกย่อมฟุ้งซ่าน ข้อนั้นเป็นอาพาธของเธอ

เปรียบเหมือนความทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้มีความสุข เพียงเพื่อเบียดเบียน ฉันใด สัญญา

มนสิการอันสหรคตด้วยวิตกเหล่านั้น ย่อมฟุ้งซ่านแก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็นอาพาธของเธอ ฉันนั้น

เหมือนกันซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสเรียกอาพาธนั้นว่าเป็นความทุกข์ ดูกรอาวุโส นิพพานเป็นสุข

อย่างไร ท่านพึงทราบได้โดยปริยายแม้นี้ ฯ

อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุตติยฌาน ฯลฯ ถ้าเมื่อภิกษุนั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมข้อนี้

สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยปีติย่อมฟุ้งซ่าน ข้อนั้นเป็นอาพาธของเธอ เปรียบเหมือนความ

ทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้มีความสุข เพียงเพื่อเบียดเบียนฉันใด สัญญามนสิการอันสหรคตด้วย

ปีติ ย่อมฟุ้งซ่านแก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็นอาพาธของเธอ ฉันนั้นเหมือนกัน ซึ่งพระผู้มีพระภาค

ตรัสเรียกอาพาธนั้นว่าเป็นความทุกข์ ดูกรอาวุโส นิพพานเป็นสุขอย่างไร ท่านพึงทราบได้โดย

ปริยายแม้นี้ ฯ

อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ ถ้าเมื่อภิกษุนั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมข้อนี้

สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยอุเบกขาย่อมฟุ้งซ่าน ข้อนั้นเป็นอาพาธของเธอ เปรียบเหมือน

ความทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้มีความสุข เพียงเพื่อเบียดเบียน ฉันใด สัญญามนสิการ

อันสหรคตด้วยอุเบกขา ย่อมฟุ้งซ่านแก่ภิกษุนั้นข้อนั้นเป็นอาพาธของเธอ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน

ซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสเรียกอาพาธนั้นว่าเป็นความทุกข์ ดูกรอาวุโส นิพพานเป็นสุขอย่างไร

ท่านพึงทราบได้โดยปริยายแม้นี้ ฯ

อีกประการหนึ่ง เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง ฯลฯ ภิกษุบรรลุอากาสานัญ

จายตนฌาน โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่า อากาศไม่มีที่สุด ถ้าเมื่อภิกษุนั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมข้อนี้

สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยรูปย่อมฟุ้งซ่าน ข้อนั้นเป็นอาพาธของเธอ เปรียบเหมือนความ

ทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้มีความสุขเพียงเพื่อเบียดเบียน ฉันใด สัญญามนสิการอันสหรคต

ด้วยรูปย่อมฟุ้งซ่านแก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็นอาพาธของเธอ ฉันนั้นเหมือนกัน ซึ่งพระผู้มีพระภาค

ตรัสเรียกอาพาธนั้นว่าเป็นความทุกข์ ดูกรอาวุโส นิพพานเป็นสุขอย่างไร ท่านพึงทราบได้โดย

ปริยายแม้นี้ ฯ

อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน ฯลฯ ถ้าเมื่อภิกษุนั้นอยู่ด้วยวิหาร

ธรรมข้อนี้ สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยอากาสานัญจายตนะย่อมฟุ้งซ่านข้อนั้นเป็นอาพาธ

ของเธอ เปรียบเหมือนความทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้มีความสุขเพียงเพื่อเบียดเบียน ฉันใด

สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยอากาสานัญจายตนะย่อมฟุ้งซ่านแก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็นอาพาธ

ของเธอ ฉันนั้นเหมือนกัน ซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสเรียกอาพาธนั้นว่าเป็นความทุกข์ ดูกรอาวุโส

นิพพานเป็นสุขอย่างไรท่านพึงทราบโดยปริยายแม้นี้ ฯ

อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุอากิญจัญญายตนฌาน ฯลฯ ถ้าเมื่อภิกษุนั้นอยู่ด้วยวิหารธรรม

ข้อนี้ สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยวิญญาณัญจายตนะย่อมฟุ้งซ่าน ข้อนั้นเป็นอาพาธของเธอ

เปรียบเหมือนความทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้มีความสุข เพียงเพื่อเบียดเบียน ฉันใด สัญญา

มนสิการอันสหรคตด้วยวิญญานัญจายตนะย่อมฟุ้งซ่านแก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็นอาพาธของเธอ

ฉันนั้นเหมือนกันซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสเรียกอาพาธนั้นว่าเป็นความทุกข์ ดูกรอาวุโส นิพพาน

เป็นสุขอย่างไร ท่านพึงทราบได้โดยปริยายแม้นี้ ฯ

อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ฯลฯ ถ้าเมื่อภิกษุนั้นอยู่ด้วย

วิหารธรรมข้อนี้ สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยอากิญจัญญายตนะย่อมฟุ้งซ่าน ข้อนั้นเป็นอาพาธ

ของเธอ เปรียบเหมือนความทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้มีความสุข เพียงเพื่อเบียดเบียน ฉันใด

สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยอากิญจัญญายตนะ ย่อมฟุ้งซ่านแก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็นอาพาธ

ของเธอ ฉันนั้นเหมือนกัน ซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสเรียกอาพาธนั้นว่าเป็นความทุกข์ ดูกรอาวุโส

นิพพานเป็นสุขอย่างไร ท่านพึงทราบได้โดยปริยายแม้นี้ ฯ

อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน

โดยประการทั้งปวง อาสวะทั้งหลายของเธอสิ้นรอบแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา ดูกรอาวุโส

นิพพานเป็นสุขอย่างไร ท่านพึงทราบได้โดยปริยายแม้นี้ ฯ


จบสูตรที่ ๓


คุณรสเคยลองทำตามพระสูตรรึยังคะ

พระสารีบุตรทำมาแล้วน๊าาาา จึงเอามาสอน

และพระสารีบุตรก็ได้รับการสอนจากพระพุทธองค์น๊าาาา จึงบรรลุอรหันต์

พระสารีบุตรไม่ได้เรียนสมาธิมาจาก ท่านดาบสทั้งสองน๊าาาาา

พระสูตรนี้ พระสารีบุตรลำดับสมาธิ โดยมีนิพพานเป็นที่สุด นะคะ

:b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 07 ต.ค. 2018, 00:23, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2018, 23:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
cool
พระพุทธเจ้าเรียนนั่งสมาธิกับ 2 อาจารย์ดาบสบรรลุไหมล่ะ ประมาทปัญญาขั้นฟังปัญญาอื่นก็เกิดไม่ได้ไงคะ
2อาจารย์นั้นได้ไปเกิดพรหมโลกแต่ยังมีมิจฉาทิฏฐิเพราะไม่ได้ฟังคำสอนเสียชีวิตไปก่อนไม่อ่านหรือตอนนี้
แล้วที่ทุกวันนี้สอนกันนั่งหลับตาทำเหมือนครั้งพุทธกาลก่อนมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้มันบรรลุง่ายขนาดนั้นหรือ
งั้นคนอินเดียไม่เป็นอรหันต์หมดแล้วเหรอที่สอนกันว่าไปนั่งหลับตาทรมาณกายแล้วจะเห็นทุกข์ทรมาณ555
เป็นโรคไม่รู้ก็ต้องแก้ให้ตรงคือรู้เพื่อละไม่รู้ตรงที่ไม่รู้นั้นแหละถึงจะรู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรบ้างเมื่อไหร่จะเริ่มฟัง


คนอินเดียที่นับถือฮินดูมาเกี่ยวอะไรกับ อรหันต์ของพุทธ คะ :b10: :b10: :b10:

:b1: ... เอกอนรู้แล้ว จากคำพูดข้างต้น
นั่นแสดงว่าในอดีตที่ผ่านมาการปฏิบัตินั้น ผู้ปฏิบัติเก็บประโยชน์อะไรจากสมาธิไม่ได้เลย

การเห็นสิ่งที่หยาบเกิดดับ รูป-รส-กลิ่น-เสียง มันแค่การรู้แบบน้ำขุ้น ๆ ตื้น ๆ นะคะ
เป็นเพียงระดับเบื้องต้นที่จะต้องฝึกจิตให้รู้จักการพิจารณาธรรมที่ปรากฏเกิดและปรากฎดับ
เพื่อที่จิตจะมีอุปนิสัยที่จับองค์ธรรมที่ปรากฏ และพิจารณาองค์ธรรมที่ปรากฏนั้น ๆ
เมื่อจิตคุ้นชินกับอุปนิสัยเช่นนี้ในองค์สมาธิ เขาก็จะทำหน้าที่นั้นเอง โดยที่เราไม่ต้องไปกำกับ
เพราะถ้าทำมากแล้ว นั่นจะเป็นนิสัยของจิต
ที่เขาจะสลัดอารมณ์เก่า เข้าไปรับอารมณ์ใหม่ จับอารมณ์ใหม่ที่เข้ามา พิจารณา และ สละอารมณ์
เมื่อเข้าสมาธิ และนิ่ง เขาจะไม่ไขว้เขวจากกระบวนการที่เขาทำมาจนเคยชินเลย
ถ้าหากว่าใครทำสมาธิแล้วติดอยู่ที่สมาธิระดับใด
ก็เมื่อออกมาก็ต้องพิจารณาปรับแต่งในเรื่อง ศีล - มรรค - อิทธิบาท 4 - อินทรีย์พละ
เพราะทุกอย่างเป็นสภาพแวดล้อมของจิต
เครื่องมือที่จิตใช้ในองค์สมาธิ ไม่ใช่ความรู้ที่เรามีอยู่ในหัว
เพราะถ้าความรู้ในหัวเยอะ แล้วจิตไปควานหาความรู้มาจับ ไม่จับอารมณ์สมาธิ
ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น บางครั้งความรู้ที่ถูกจิตจับจะเกิดเป็นสังขารจิตแล้วจะแตกหน่อหยั่งรากขึ้นลำต้นเติบโต

ถ้าเป็นเช่นนั้น ผู้ปฏิบัติจะเห็นสภาวะธรรมที่เจริญงอกงามออกดอกออกผลออกลูกออกหลาน

แต่ถ้าฝึกให้จิตตั้งอยู่ในอารมณ์ที่เป็นองค์ธรรมเด่นขององค์สมาธิได้
จิตเขาจะรับรู้ถึงการเกิดขึ้นขององค์ธรรม และการดับขององค์ธรรม

เอกอนเคยเข้มงวดกับตัวเอง เช่นไม่พูดโกหก ไม่ใช่เพราะรักษาศีลนะ
เอกอนฝึกจิตไม่ให้ทำหน้าที่แบบ คด ๆ ไม่ให้เขาคุ้นชินกับนิสัยที่รอบจัด พลิกแพลง
จิตมันทำงานตามความเคยชิน ถ้าจิตคุ้นชินกับพฤติกรรมที่คด รอบจัด พลิกแพลง ปลิ้นไปปลิ้นมา
เมื่อเข้าสู่สมาธิ เขาก็คดไปโน่นไปนี่อยู่นั่นล่ะ
จิตจะสลัดคืนความซับซ้อนลงสู่สามัญได้ยังไง

ศีลแต่ละข้อ โดยหยาบ ๆ แล้ว คือ ตกนรก
แต่โดยจริง ๆ แล้ว ศีล มีผลต่อความปกติของจิต :b1:

ถ้าจิตไม่ปกติแล้ว มันก็พาผู้ครอบครองจิตนั้น ๆ เดินทางไกลไปได้ทุกที่นั่นล่ะ

แต่ถ้า จิตปกติ ผู้ครอบครองก็จะเห็นและรู้เอง


ซึ่งเพราะผู้ปฏิบัติอาจจะปฏิบัติสมาธิแล้วไม่เห็นผลตามที่คิดที่คาดหวัง
ก็เลยพาลว่าไม่ใช่ทาง เลยเปลี่ยนเส้นทางที่ตนเองสะดวก

เพราะถ้าเห็นเกิด-ดับในองค์สมาธิได้จะไม่ออกมาอาศัยการท่องจำ หรือการฟังจนขึ้นใจ
เพราะการเห็นเกิด-ดับในองค์สมาธิได้ นั่นคือทางตรงไปสู่นิพพานโดยลำดับเลย
เขาจะไม่ออกมาเดินอ้อม แน่นอน
เพราะการเห็นเกิด-ดับในสมาธิ มันเป็นการเห็นเกิด-ดับ ตั้งแต่ระดับหยาบ
และจะค่อย ๆ ลาดไปสู่การเห็นที่ละเอียดขึ้นเรื่อย ๆ ขึ้นอยู่กับนิวรณ์ กิเลส

ซึ่งถ้าผู้ปฏิบัติมีสมาธิที่ละเอียดได้ ไม่ต้องให้ใครมาสอนให้ท่องจำชวนะจิตอะไร ๆ เพื่อให้ขึ้นใจ
เพราะว่า ถ้าเห็นเกิด-ดับ ในสมาธิ นั่นคือเขาก็เห็นการที่จิตเข้าไปรับอารมณ์
การที่อารมณ์ขึ้นสู่วิถี การที่จิตทรงอารมณ์นั้น และการที่จิตสลัดอารมณ์
ผู้ที่ปฏิบัติได้เขารู้จักและเข้าใจลักษณะต่าง ๆ ที่ ปรากฏเกิด และ ปรากฏดับ แล้วค่ะ

การฟังซ้ำมาก ๆ และการคิดตามสิ่งที่ฟังมาก ๆ ผู้ปฏิบัติก็จะรู้จักการเกิด ๆ ดับ ๆ อยู่เพียงน้ำตื้น ๆ
อยู่ในระดับ สังขารปัญญา ... สังขารก็คือสังขาร มีแต่สังขารปัญญาที่เกิดและมากขึ้น
แต่ไม่เห็นการดับลงของสังขารจริง ๆ สักที

การเห็นเกิดดับในสมาธิ ถ้าใครทำได้ นั่นคือเขาเริ่มจะเรียนรู้การเกิดดับในน้ำที่ค่อย ๆ ลึกขึ้น
ลาดไปใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
น้ำที่ลึกไม่น่ากลัว สำหรับคนที่เรียนรู้ที่จะฝึกจิตให้ค่อย ๆ มีความลาดไป

พระสูตรที่พระสารีบุตรกล่าว ไม่มีอะไรที่เป็นการแสดงการทรมาณกายอะไรเลยนะคะ
และพระสารีบุตรก็เป็นพระอรหันต์ในพุทธศาสนา

ซึ่งการเห็นทุกข์ คือ การเห็น เกิด-ดับ นั่นเป็น ทุกข์
การทำสมาธิเพื่อเห็นทุกข์ คือ ทุกข์ตัวนี้ คือการเห็น เกิด-ดับ นะคะ

ไม่ใช่ ทุกข์ แบบความรู้สึกเหมือน ปวดขา ปวดเข่า เจ็บก้น
ถ้าคุณรสหมายความว่าทุกข์มันเป็นทุกข์ทรมาณแบบนั้น
ดูคนในคลิปที่คุณรสชอบเอามาลง ก็เห็นเขานั่งฟังกันคิ้วขมวดเลยล่ะค่ะ

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2018, 13:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b12:
กำลังดู+ฟังคิดตามได้เข้าใจถูกตามได้
พอหยุดฟังคิดต่อตามที่ตนดูมันผิดไง
ฟังไม่เข้าใจตรงความจริงที่ตนกำลังมี
คือมิจฉาทิฏฐิของตนเองพอนึกออกป่าว
อ่านคือจิตคิดนึกหลังเห็นดับมีอวิชชาแล้ว
จิตแต่ละขณะเกิดไม่ตรงกันคิดไม่ใช่เห็น
ฟังคือรู้ถูกตรงตามเสียงเข้าใจถูกตามได้
คือการสะสมเหตุปัจจัยให้รู้แทรกเข้าแทนไม่รู้ไงคะ
:b32: :b32:
อ่านทบทวนไตร่ตรองแต่ในคำที่กำลังอ่าน
คิดนอกคำที่อ่านใส่ความคิดเห็นเพิ่มคือ
มิจฉาทิฏฐิของตนเองที่คิดฟุ้งเกินคำที่อ่าน
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2018, 13:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
:b12:
กำลังดู+ฟังคิดตามได้เข้าใจถูกตามได้
พอหยุดฟังคิดต่อตามที่ตนดูมันผิดไง
ฟังไม่เข้าใจตรงความจริงที่ตนกำลังมี
คือมิจฉาทิฏฐิของตนเองพอนึกออกป่าว
อ่านคือจิตคิดนึกหลังเห็นดับมีอวิชชาแล้ว
จิตแต่ละขณะเกิดไม่ตรงกันคิดไม่ใช่เห็น
ฟังคือรู้ถูกตรงตามเสียงเข้าใจถูกตามได้
คือการสะสมเหตุปัจจัยให้รู้แทรกเข้าแทนไม่รู้ไงคะ
:b32: :b32:
อ่านทบทวนไตร่ตรองแต่ในคำที่กำลังอ่าน
คิดนอกคำที่อ่านใส่ความคิดเห็นเพิ่มคือ
มิจฉาทิฏฐิของตนเองที่คิดฟุ้งเกินคำที่อ่าน
onion onion onion

:b8:
พระพุทธเจ้าตรัสรู้แปลว่ารู้ความจริงทั้งหมดอย่างละเอียด
ทรงตรัสแสดงความจริงให้ผู้ที่กำลังฟังเท่านั้นคิดถูกตามได้
เทียบปัญญาพระองค์คือมหาสมุทรทั้งกว้างทั้งลึกคือทศพลญาณ
ปัญญาเจตสิกสะสมได้ทีละ1ขณะจิตตอนกำลังฟังเข้าใจถูกตามได้
ที่ไม่ฟังมัวแต่อ่านแล้วคิดจำเองมันจิ้มไม่ถูกความจริงที่ตนเองมีไงคะ
ปัญญาตนเองเท่าจะงอยปากยุงจิ้มลงมหาสมุทรขึ้นมาแล้วจิ้มลงไปใหม่
รู้ความจริงตรงคำตรงขณะที่จุ่มลงในมหาสมุทรนั่นหล่ะปัญญาตรงจริงที่มีกว่าจะรู้
ปัญญารู้ตรงจริงเกิดเองไม่ได้ตรงขณะไม่เกิน1คำไม่ใช่ไปยึดบัญญัติเอาไว้มากมาย
โดยไม่อาศัยการฟังผู้รู้ที่กล่าวตรงคำตถาคตให้เข้าใจถูกตัวตนตามได้น๊าคุณประมาทการฟัง
คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้เรียนเพื่อเอาเพิ่มแต่เป็นการรู้ละไม่รู้ที่ตนกำลังมีเดี๋ยวนี้
https://youtu.be/XZrBA7jWj2o
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2018, 15:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
:b12:
กำลังดู+ฟังคิดตามได้เข้าใจถูกตามได้
พอหยุดฟังคิดต่อตามที่ตนดูมันผิดไง
ฟังไม่เข้าใจตรงความจริงที่ตนกำลังมี
คือมิจฉาทิฏฐิของตนเองพอนึกออกป่าว


อันนี้ ไม่ต้องนึกเลยค่ะ
บทความ คำพูด คลิป เป็นการสื่อสารที่มีโครงสร้างทางภาษาและการจัดเรียงประโยคได้ไม่สมประกอบ
เอกอนแปลไทยเป็นไทยไม่รู้เรื่องมาตั้งแต่ต้นแล้วค่ะ
ก็สักแต่ว่าอ่านไปนั่นล่ะค่ะ ไม่ได้คิดอะไร
พระพุทธองค์สอนธรรม ยังเลือกภาษาในการสอน เพื่อสื่อสารให้กับชาวบ้านรู้เรื่อง
เมื่อพูดธรรมแล้วไม่รู้เรื่อง นั่นคือขาด นิรุตติ

อ้างคำพูด:
นิรุตติ น. ภาษา, คำพูด.

นิรุตติปฏิสัมภิทา น. ปัญญาอันแตกฉานในนิรุตติ คือ ความเข้าใจในภาษา รู้จักใช้ถ้อยคำพูดอธิบายให้คนเข้าใจ ตลอดจนรู้ภาษาต่าง ๆ อาจชักนำคนให้เชื่อถือหรือนิยมตามคำพูด, กล่าวสั้น ๆ ว่า เข้าใจพูด, เป็นธรรมข้อ ๑ ในปฏิสัมภิทา ๔ คือ ๑. อรรถปฏิสัมภิทา ๒. ธรรมปฏิสัมภิทา ๓. นิรุตติ-ปฏิสัมภิทา ๔. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา.

ธรรมปฏิสัมภิทา น. ปัญญาอันแตกฉานในธรรม คือ ความเข้าใจสาวหาเหตุในหนหลัง, ความเข้าใจถือเอาใจความแห่งอธิบายนั้น ๆ ตั้งเป็นกระทู้หรือหัวข้อขึ้นได้, เป็นธรรมข้อ ๑ ในปฏิสัมภิทา ๔ คือ ๑. อรรถปฏิสัมภิทา ๒. ธรรมปฏิสัมภิทา ๓. นิรุตติปฏิสัมภิทา ๔. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา.

ปฏิภาณปฏิสัมภิทา (ปะติพานะ-) น. ปัญญาอันแตกฉานในปฏิภาณ คือ ความเข้าใจทำให้สามารถแก้ไขเหตุการณ์ได้ในเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน หรือกล่าวโต้ตอบได้ทันท่วงที, เป็นธรรมข้อ ๑ ในปฏิสัมภิทา ๔ คือ ๑. อรรถปฏิสัมภิทา ๒. ธรรม-ปฏิสัมภิทา ๓. นิรุตติปฏิสัมภิทา ๔. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา.

ปฏิสัมภิทา น. ความแตกฉาน, ปัญญาอันแตกฉาน, มี ๔ อย่าง คือ อรรถปฏิสัมภิทา ธรรมปฏิสัมภิทา นิรุตติปฏิสัมภิทา ปฏิภาณปฏิสัมภิทา.

อรรถปฏิสัมภิทา (อัดถะ-) น. ปัญญาอันแตกฉานในอรรถ คือ ความเข้าใจที่สามารถคาดหมายผลข้างหน้าอันจะเกิดสืบเนื่องไปจากเหตุ, ความเข้าใจอธิบายอรรถแห่งภาษิตย่อให้พิสดาร, เป็นธรรมข้อ ๑ ในปฏิสัมภิทา ๔ คือ ๑. อรรถปฏิสัมภิทา ๒. ธรรมปฏิสัมภิทา ๓. นิรุตติปฏิสัมภิทา ๔. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา.


ฟังเสียงแมวร้อง ยังพอรู้ได้ว่าเขาต้องการอะไรจากเรา อ้อน หรือหิว
ยังพอรู้ว่าต้องเกาคอให้ หรือ ไปเทอาหารให้

แต่พอมาอ่านความเห็นของคุณรส เหมือนเสียงนกขุนทอง "มีขวดมีกระดาษมาขายมั๊ยค๊าาาา"
ซึ่ง ใครจะเอาขวดเอากระดาษมาขายให้นกขุนทอง

Rosarin เขียน:
อ่านคือจิตคิดนึกหลังเห็นดับมีอวิชชาแล้ว
จิตแต่ละขณะเกิดไม่ตรงกันคิดไม่ใช่เห็น
ฟังคือรู้ถูกตรงตามเสียงเข้าใจถูกตามได้
คือการสะสมเหตุปัจจัยให้รู้แทรกเข้าแทนไม่รู้ไงคะ
:b32: :b32:
อ่านทบทวนไตร่ตรองแต่ในคำที่กำลังอ่าน
คิดนอกคำที่อ่านใส่ความคิดเห็นเพิ่มคือ
มิจฉาทิฏฐิของตนเองที่คิดฟุ้งเกินคำที่อ่าน

onion onion onion


คุณรสขับรถฝ่าไฟแดงเป็นประจำมั๊ยคะ

คาดว่าอาจารย์ในคลิปก็คงไม่ขับรถฝ่าไฟแดงเป็นประจำหรอกเน๊อะ ... :b6:
แม้อาจารย์ไม่ขับเอง มีคนขับรถให้ อาจารย์ท่านนั้นก็คงไม่ ok
ถ้าหากว่าคนขับรถจะขับไปเรื่อยโดยไม่คิดทบทวนในเรื่องสัญณาณไฟ :b6:

เพราะ แสงไฟสีแดง โดยตัวมันมีความหมายก็เท่าที่เห็น
การคิดอะไรมากกว่านั้นคุณรสว่าเป็นมิจฉาทิฐิ คิดฟุ้งซ่านเกิน สิ่งที่เห็น (แสงไฟสีแดง)

:b1:

:b32: :b32: :b32:

เอาเป็นว่า ให้คุณรสเอาคลิปที่แสดงความเป็นไปที่ไม่มี มิจฉาทิฐิ ปน
ในแบบของคุณรสมาให้ดูให้ได้ก่อน

ไม่ต้องรีบนะคะ ค่อยทบทวนไปเวลาที่เห็น ไฟแดง นะคะ

:b12:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 07 ต.ค. 2018, 15:54, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2018, 15:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
:b8:
พระพุทธเจ้าตรัสรู้แปลว่ารู้ความจริงทั้งหมดอย่างละเอียด
ทรงตรัสแสดงความจริงให้ผู้ที่กำลังฟังเท่านั้นคิดถูกตามได้
เทียบปัญญาพระองค์คือมหาสมุทรทั้งกว้างทั้งลึกคือทศพลญาณ
ปัญญาเจตสิกสะสมได้ทีละ1ขณะจิตตอนกำลังฟังเข้าใจถูกตามได้
ที่ไม่ฟังมัวแต่อ่านแล้วคิดจำเองมันจิ้มไม่ถูกความจริงที่ตนเองมีไงคะ
ปัญญาตนเองเท่าจะงอยปากยุงจิ้มลงมหาสมุทรขึ้นมาแล้วจิ้มลงไปใหม่
รู้ความจริงตรงคำตรงขณะที่จุ่มลงในมหาสมุทรนั่นหล่ะปัญญาตรงจริงที่มีกว่าจะรู้
ปัญญารู้ตรงจริงเกิดเองไม่ได้ตรงขณะไม่เกิน1คำไม่ใช่ไปยึดบัญญัติเอาไว้มากมาย
โดยไม่อาศัยการฟังผู้รู้ที่กล่าวตรงคำตถาคตให้เข้าใจถูกตัวตนตามได้น๊าคุณประมาทการฟัง
คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้เรียนเพื่อเอาเพิ่มแต่เป็นการรู้ละไม่รู้ที่ตนกำลังมีเดี๋ยวนี้
https://youtu.be/XZrBA7jWj2o
:b12:
:b4: :b4:


ขึ้นต้นมา ok สรรเสริญพระพุทธองค์
แต่พอมาบรรทัดที่ 4 พลิกสถานการณ์ไปเลย

สะสมไว้ในกระปุกออมสินเหร๋อคะ

พาลนึกไปถึงคลองแสนแสบ :b32: :b32: :b32:
จิต เหมือนกับน้ำ น้ำ คือ H2O มีแค่นั้น
ส่วนความดำ ตะกอนขี้ซำ ขยะ สาหร่าย ปลาปิรันย่า คือสิ่งแขวนลอยอยู่ในน้ำ :b32:

เมื่อขันธ์ 5 :b32: ลงไปในคลองแสนแสบ
มุดลงไป ลืมตา ก็เห็นแต่ความดำมืด
ว่ายไป ขยะลอยมาเข้าหน้า สาหร่ายพันแขนพันขา
มีตัวอะไรมากัด ร้องโอ้ย ก็ยังมองไม่เห็นว่าเป็นปลาปิรันย่า
จะจับปิรันย่าหักคอ ก็มีสาหร่ายมาขวางทาง :b32:
รู้ทีละขณะ เดี๋ยวขยะลอยมา เดี๋ยวปิรันย่ากัด เดี๋ยวสาหร่ายพันขา เดี๋ยวน้ำเข้าหู เดี๋ยวน้ำเข้าปาก
เดี๋ยวกลิ่น-น้ำเข้าจมูก เดี๋ยวขี้ซำดูด
เมื่ออายตนะภายนอกรับแต่สิ่งใด อายตนะภายในก็รับในสิ่งเดียวกัน
เห็น H2O มั๊ยคะ

ตักน้ำคลองแสนแสบมา เอาสิ่งแขวนลอยทุกอย่างออก
พอจะเห็น H2O รึยังคะ

เมื่อ H2O เพรียว ๆ จับขันธ์ 5 หย่อนลงไป ต่างกับแสนแสบนะคะ
เมื่อขันธ์ 5 ทำงานภายใต้สภาวะที่มีความบริสุทธิ์ เขาก็ทำงานได้สะดวกสถาพร
พอจะเห็นการเจริญขึ้นของปัญญาเจตสิก มั๊ยคะ ...

:b32: :b32: :b32:

ประสบการณ์ชีวิตของพระพุทธองค์ กับประสบการณ์ชีวิตของพวกเรา(สาวกชาวพุทธรุ่น 2561)
ไม่เหมือนกันนะคะ
ความเป็นอยู่ บ้านเรือน อาหารการกิน วิชาที่ได้เรียน สิ่งที่ได้รับการอบรม เพื่อนเล่นสมัยเด็ก
สิ่งที่ปรากฏและผ่านเข้ามาทาง หู ตา จมูก ลิ้น กาย ของพระพุทธองค์ แตกต่างไปจากเรา
พระพุทธองค์ไม่เคยเห็น รถโตโยต้า แน่นอน เป๊ปซี่ โคล่า ซาสี่ พระองค์ก็ไม่เคยเห็นในสมัยนั้นแน่นอน

แต่สิ่งที่พระพุทธองค์มีเหมือนเรา คือ รูป-นาม
พระองค์ทรงเป็นผู้ชี้ทาง นะคะ
พระองค์สอนเพื่อให้เรานำคำสอนไปฝึกเพื่อให้เราเข้าใจในสิ่งที่เรามีเหมือนพระองค์นั่นล่ะค่ะ

คำทุกคำพระองค์ก็บัญญัติจาก รูป-นาม นั่นล่ะค่ะ
พระองค์สอนทั้งหมด ก็ไม่ให้ประมาทในรูป-นามที่มีเราอยู่ครอบครองอยู่นี่ล่ะค่ะ
วิชาจะปรากฏ ก็ปรากฏที่รูป-นาม ที่มีเราอยู่ครอบครองนี่ล่ะค่ะ
พิจารณาธรรม ก็พิจารณาที่รูป-นาม นี่ล่ะคะ
อายตนะ ก็ปรากฏอยู่ที่รูป-นาม นี่ล่ะคะ
ดังนั้น ผู้ปฏิบัติทุกคนเป็นผู้รู้ได้ค่ะ
รู้เท่าทันขันธ์ อายตนะ รู้ให้ตรงตามสัจจะที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้
...

:b6: :b6: :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2018, 18:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
:b32:
จำทุกคำที่ตถาคตบัญญัติไว้ทำไม
ไม่ใช่ปัญญาของตนเองประมาทไหม

https://youtu.be/101cfbifuF4
:b12:
:b4: :b4:


คุณรสถามใครคะ ... s002

เอกอนไม่รู้นะ แต่พอจะค้นไปเจอ

ต้นตอการเกิดการริเริ่มการทรงจำคำสอน s002 s002 s002

เอกอนก็ไม่ได้ท่องจำคำสอนหรอกค่ะ แต่เอกอนก็ได้อาศัยประโยชน์คำสอนที่ได้รับการทรงจำนี่ล่ะค่ะ

อ้างคำพูด:
สังคายนาครั้งแรกที่สมบูรณ์เกิดขึ้นหลังจากพุทธปรินิพพานได้ 3 เดือน โดยพระอรหันต์สาวก 500 รูป อันมี พระมหากัสสปะ เป็นประธาน ณ เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ มีพระเจ้าอชาตศัตรูทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ ดังรายละเอียดต่อไปนี้

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ณ สาลวโนทยาน ของเหล่ามัลลกษัตริย์ แห่งเมืองกุสินารานั้น พระมหากัสสปะอยู่ต่างเมือง ทราบข่าวพระประชวรของพระพุทธองค์ จึงเดินทางพร้อมภิกษุบริวารประมาณ 500 รูป เพื่อเฝ้าพระพุทธองค์ ก่อนเข้าไปยังเมืองกุสินารา ได้พักเหนื่อยอยู่ใต้ร่มไม้แห่งหนึ่ง ขณะนั้นอาชีวกนักบวชนอกพุทธศาสนาคนหนึ่ง ถือดอกมณฑารพเดินออกนอกเมืองมา พระมหากัสสปะจึงเอ่ยถามถึงพระพุทธเจ้า อาชีวกคนนั้นกล่าวว่า ศาสดาของพวกท่านปรินิพพานได้ตั้ง 7 วันแล้ว พวกท่านยังไม่ทราบอีกหรือ

ได้ยินดังนั้นภิกษุที่เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ก็นั่งนิ่งปลงธรรมสังเวช พิจารณาความไม่เที่ยงแท้ของสังขาร ฝ่ายภิกษุที่ยังเป็นเสขบุคคล และปุถุชนอยู่จำนวนมาก ก็พากันร่ำไห้อาลัยอาวรณ์ในพระพุทธองค์ มีขรัวตารูปหนึ่งนามสุภัททะ ได้เห็นภิกษุทั้งหลายร่ำไห้อยู่ จึงปลอบโยนว่า นิ่งเสียเถอะ อย่าร้องไห้เลย พระศาสดาปรินิพพานไปก็ดีแล้ว สมัยยังทรงพระชนม์อยู่ทรงจู้จี้สารพัด ห้ามโน่นห้ามนี่ จะทำอะไรก็ดูจะผิดไปหมด ไม่มีอิสระเสรีภาพเลย บัดนี้เราเป็นอิสระแล้ว ปรารถนาจะทำหรือไม่ทำอะไรก็ได้

พระมหากัสสปะได้ยินดังนั้นก็สลดใจ

“โอหนอ พระบรมศาสดาสิ้นไปยังไม่ข้าม 7 วันเลย สาวกของพระองค์พูดได้ถึงขนาดนี้ ต่อไปนานเข้าจะขนาดไหน”

ท่านรำพึงว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะทรงพระชนม์อยู่ทรงมีพระมหากรุณาแก่ท่านเป็นกรณีพิเศษ ไปประทานบาตรและจีวรแก่ท่าน และทรงรับเอาบาตรจีวรของท่านไปทรงใช้เอง นับว่าทรงไว้วางพระทัยต่อท่านเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์ถูกดูหมิ่น จ้วงจาบเช่นนี้ จะนิ่งดูดายหาควรไม่ ท่านจึงตัดสินใจทำสังคายนาโดยคัดเลือกพระอรหันต์สาวกผู้ทรงอภิญญา ได้จำนวน 499 รูป เว้นไว้ 1 รูป เพื่อพระอานนท์

ขณะนั้นพระอานนท์ยังไม่บรรลุพระอรหัตผล จะเลือกท่านด้วยก็ไม่ได้ เพราะคุณสมบัติยังไม่ครบ ครั้นจะไม่เลือกก็ไม่ได้ เพราะการทำสังคายนาครั้งนี้ขาดพระอานนท์ไม่ได้ เนื่องจากพระอานนท์เป็นผู้ใกล้ชิดพระพุทธองค์มากที่สุด ได้ทรงจำพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์มากกว่าใคร พระมหากัสสปะจึงให้โอกาสพระอานนท์ เพื่อเร่งทำความเพียรเพื่อทำที่สุดทุกข์ให้ได้ทันกำหนดสังคายนา อันจะมีขึ้นใน 3 เดือนข้างหน้า

พระอานนท์ จึงเร่งบำเพ็ญเพียรทางจิตอย่างหนัก แต่ยิ่งเพียรมากเท่าไร ก็ดูเสมือนว่าจุดหมายปลายทางห่างไกลออกไปทุกที จึงรำพึงว่า พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ไว้ก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานว่า เราจะทำที่สุดทุกข์ได้ไม่นานหลังจากพระองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน คำพยากรณ์ของพระพุทธองค์คงไม่มีทางเป็นอื่นแน่ อย่ากระนั้นเลย เราจะต้องเพียรให้มากขึ้นกว่าเดิม

วันหนึ่ง หลังจากเพียรภาวนาอย่างหนักรู้สึกเหนื่อย จึงกำหนดว่าจะพักผ่อนสักครู่แล้วจะเริ่มใหม่ จึงนั่งลงเอนกายนอนพัก เท้าไม่ทันพ้นพื้น ศีรษะไม่ทันถึงหมอน ท่านก็ “สว่างโพลงภายใน” บรรลุพระอรหัตผล เป็นพระอรหันต์ขีณาสพทรงอภิญญาในบัดดล

ขณะนั้นพระสงฆ์ 499 รูป กำลังนั่งประชุมกันตามลำดับพรรษา เว้นอาสนะว่างไว้หนึ่งที่สำหรับพระอานนท์ พระอานนท์ต้องการประกาศว่าท่านได้บรรลุพระอรหัตผลแล้ว จึงเข้าฌานบันดาลฤทธิ์ดำดินไปโผล่ขึ้นนั่งบนอาสนะ ท่ามกลางสังฆสันนิบาต ทันเวลาพอดี

เมื่อพระสงฆ์ประชุมพร้อมกันแล้ว ‘พระมหากัสสปะ’ ประมุขสงฆ์ได้ประกาศให้ พระอุบาลี ผู้เชี่ยวชาญพระวินัย ทำหน้าที่วิสัชนาพระวินัย พระอานนท์ ผู้เป็นพหูสูตทำหน้าที่วิสัชนาพระธรรม โดยตัวท่านเองทำหน้าที่เป็นผู้ซักถามประเด็นต่างๆ มีพระสงฆ์ทั้งปวงช่วยกันสอบทาน


ลักษณะของการสังคายนา
คงเป็นทำนองนี้คือ

1. พระสงฆ์ทั้ง 500 รูป คงต่างก็เสนอพระธรรมเทศนาที่ตนได้ยินมาจากพระพุทธเจ้า มากบ้างน้อยบ้าง ข้อมูลส่วนใหญ่ก็ได้มาจากพระอุบาลี และพระอานนท์

2. พระธรรมเทศนานั้นๆ พระพุทธองค์คงทรงแสดงโดย “ภาษา” ถิ่นต่างๆ พระสงฆ์ในที่ประชุมคงตกลงกันว่าจะต้องใช้ภาษาใดภาษาหนึ่ง “ร้อยกรอง” เป็นภาษา “มาคธี”

3. เมื่อร้อยกรองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระสงฆ์ทั้งปวงก็ “สวดสังวัธยายร่วมกัน” คือท่องพร้อมๆ กัน เพื่อให้จำได้คล่องปาก เพราะฉะนั้นจึงเรียกกิจกรรมครั้งนี้ว่า “สังคายนา” (แปลว่าสวดร่วมกัน, สวดพร้อมกัน) ด้วยประการฉะนี้

สังคายนาครั้งนี้กระทำ ณ ถ้ำสัตตบรรณคูหา ข้างเขาเวภารบรรพต นอกเมืองราชคฤห์เมืองหลวงแห่งแคว้นมคธ มีพระเจ้าอชาตศัตรูผู้ครองนครขณะนั้นทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ กระทำกันอยู่เป็นเวลา 7 เดือนจึงสำเร็จ

การทำสังคายนาครั้งนี้เรียกว่า “สังคายนาพระธรรมวินัย” เนื่องจากยังไม่มีพระไตรปิฎกและได้ถ่ายทอดสืบต่อกันมาโดยระบบ “มุขปาฐะ” (คือการท่องจำ)


ธรรมนี้ยังคงความเป็นธรรมอยู่ได้มาจวบจน 2500 นั่นด้วยการทรงจำ การบันทึก
และการสืบทอดกันมาอย่างไม่ขาดสาย

จนกระทั่งธรรมตกมาถึง เอกอนตาดำ ๆ และยังชาวโลกตาดำ ๆ อีกกี่คน กี่ประเทศทั่วโลก

:b32: :b32: :b32:

Rosarin เขียน:
:b32:
จำทุกคำที่ตถาคตบัญญัติไว้ทำไม
ไม่ใช่ปัญญาของตนเองประมาทไหม

https://youtu.be/101cfbifuF4
:b12:
:b4: :b4:


คำถามนี้ ผู้ถามลืมอะไรไปรึเปล่าคะ
ลืม "พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ" ไปรึเปล่า


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 278 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 19  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 205 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร