วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 18:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2018, 07:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


onion
ตถาคตคือบุพการีสูงสุดในพระพุทธศาสนา
และทรงเป็นพระรัตนตรัยสูงสุดที่ไม่มีใครเทียบได้
ผู้ที่เข้าเฝ้าเพื่อฟังคำสอนเท่านั้นจึงรู้ว่าทรงตรัสรู้จริงๆ
บุคคลที่กล่าวตามแม้คำว่าธัมมะ/คิดไม่ลึกซึ้งหาได้ไม่
เพราะทุกอย่างคือสิ่งที่มีจริงไม่เรียกชื้อก็มีจริงๆเดี๋ยวนี้
ถ้าไม่มีจิตครองร่างกายนี้มาคิดนึกอะไรๆก็มีไม่ได้
พอมีจิตก็ยึดเห็นว่าเป็นเราเห็นตัวเองในกระจก
จริงๆน่ะมีไหมแค่อดีตสีหลากสีตัดกันที่ดับนานแล้ว
หลงยึดถือสิ่งที่เห็นเป็นคนสัตว์วัตถุจริงๆคือความเห็นผิด
มองดูสิคะตาตัวเองเห็นอะไรที่เห็นคือนิมิตสันฐานอดีตสี
จิตเห็นดับไปนานแล้วพออ่านบัญญัติคำคิดว่ารู้จำไว้หมดได้ยังไง
ไม่รู้ว่าสิกขาคือการฟังคำวาจาสัจจะของตถาคตตรงที่กระทบทีละคำ
เดี๋ยวนี้เลยว่ากำลังปรากฏตรงตามที่ตรัสรู้ตามเป็นจริงที่ตนมีตรงคำไหน
ทุกคำในพระไตรปิฎกมีตรงหมดมีแล้วแต่ตนไม่รู้ตรงสัจจะ1ที่กายใจตรงคำที่กำลังปรากฏ
คือจำผิดเป็นตัวตนคิดนึกไปตามสิ่งที่เห็นตามสัญญาไม่ใช่สติปัญญา
เพราะสติปัญญาคือตัวจริงของธัมมะที่รู้อารมณ์เดี๋ยวนี้ตรงสัจจะ
ไม่ใช่บัญญัติคำยาวๆที่ต้องตีความอีกยาวยืดนั่นน่ะอ่านปัญญาตถาคต
แต่ปัญญาตนเองยังไม่ได้รู้ทั่วถึงความจริงแน่นอนเพราะจิตเกิดดับทีละ1ขณะ
ไม่ว่าปัญญาหรืออวิชชาก็เกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะจิตที่กำลังมีคือ
เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นแล้วปรากฏเป็นคนสัตว์วัตถุทันทีคือเห็นผิดจริงๆ
ฟังพระพุทธพจน์เพื่อตามรู้ตรงสัจจะที่กำลังปรากฏ
:b12:
พระพุทธเจ้ายกคำสอนขึ้นแทนพระองค์
ไม่ได้ยกตัวบุคคลขึ้นให้เป็นอาจารย์แทน
คำว่าสิกขาตามคำสอนต้องตรงกับพุทธกาล
มีผู้กล่าวตามคำตถาคตให้ผู้ที่สนใจฟังเข้าใจ
โดยพระพุทธเจ้าย้ำกับชาวกาลามะว่าจะฟังใคร
ตถาคตจึงตรัสหลักกาลามสูตร10ว่าไม่ให้เชื่อ10
แต่ให้เพียรอดทนเพื่อฟังความจริงที่มีคนกล่าวคำสัจจะ
:b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 15 ก.ย. 2018, 08:06, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2018, 07:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
onion
ตถาคตคือบุพการีสูงสุดในพระพุทธศาสนา
และทรงเป็นพระรัตนตรัยสูงสุดที่ไม่มีใครเทียบได้
ผู้ที่เข้าเฝ้าเพื่อฟังคำสอนเท่านั้นจึงรู้ว่าทรงตรัสรู้จริงๆ
บุคคลที่กล่าวตามแม้คำว่าธัมมะ/คิดไม่ลึกซึ้งหาได้ไม่
เพราะทุกอย่างคือสิ่งที่มีจริงไม่เรียกชื้อก็มีจริงๆเดี๋ยวนี้
ถ้าไม่มีจิตครองร่างกายนี้มาคิดนึกอะไรๆก็มีไม่ได้
พอมีจิตก็ยึดเห็นว่าเป็นเราเห็นตัวเองในกระจก
จริงๆน่ะมีไหมแค่อดีตสีหลากสีตัดกันที่ดับนานแล้ว
หลงยึดถือสิ่งที่เห็นเป็นคนสัตว์วัตถุจริงๆคือความเห็นผิด
มองดูสิคะตาตัวเองเห็นอะไรที่เห็นคือนิมิตสันฐานอดีตสี
จิตเห็นดับไปนานแล้วพออ่านบัญญัติคำว่าจำไว้หมดได้ยังไง
ไม่รู้ว่าสิกขาคือการฟังคำวาจาสัจจะของตถาคตตรงที่กระทบ
เดี๋ยวนี้เลยว่ากำลังปรากฏตรงตามที่ตรัสรู้ตามเป็นจริง
แต่ตนไม่รู้ตรงสัจจะที่กายใจตรงคำที่กำลังปรากฏคือจำผิด
เป็นตัวตนคิดนึกไปคามสิ่งที่เห็นตามสัญญาไม่ใช่สติปัญญา
เพราะสติปัญญาคือตัวจริงของธัมมะที่รู้อารมณ์เดี๋ยวนี้ตรงสัจจะ
ไม่ใช่บัญญัติคำยาวๆที่ต้องตีความอีกยาวยืดนั่นน่ะอ่านปัญญาตถาคต
แต่ปัญญาตนเองยังไม่ได้รู้ทั่วถึงความจริงแน่นอนเพราะจิตเกิดดับที1ขณะ
ไม่ว่าปัญญาหรืออวิชชาก็เกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะจิตที่กำลังมีคือ
เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นแล้วปรากฏเป็นคนสัตว์วัตถุทันทีคือเห็นผิดจริงๆ
ฟังพระพุทธพจน์เพื่อตามรู้ตรงสัจจะที่กำลังปรากฏ
:b12:
พระพุทธเจ้ายกคำสอนขึ้นแทนพระองค์
ไม่ได้ยกตัวบุคคลขึ้นให้เป็นอาจารย์แทน
คำว่าสิกขาตามคำสอนต้องตรงกับพุทธกาล
มีผู้กล่าวตามคำตถาคตให้ผู้ที่สนใจฟังเข้าใจ
โดยพระพุทธเจ้าย้ำกับชาวกาลามะว่าจะฟังใคร
ตถาคตจึงตรัสหลักกาลามสูตร10ว่าไม่ให้เชื่อ10
แต่ให้เพียรอดทนเพื่อฟังความจริงที่มีคนกล่าวคำสัจจะ


ฟังจากใครอ่ะ

อ้อ จากคนกล่าวสัจจะ หมายถึงคลิปที่ยกมาทุกครั้งใช่ไหม แล้วรู้ได้ยังไงว่าเขากล่าวคำสัจจะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2018, 08:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
onion
ตถาคตคือบุพการีสูงสุดในพระพุทธศาสนา
และทรงเป็นพระรัตนตรัยสูงสุดที่ไม่มีใครเทียบได้
ผู้ที่เข้าเฝ้าเพื่อฟังคำสอนเท่านั้นจึงรู้ว่าทรงตรัสรู้จริงๆ
บุคคลที่กล่าวตามแม้คำว่าธัมมะ/คิดไม่ลึกซึ้งหาได้ไม่
เพราะทุกอย่างคือสิ่งที่มีจริงไม่เรียกชื้อก็มีจริงๆเดี๋ยวนี้
ถ้าไม่มีจิตครองร่างกายนี้มาคิดนึกอะไรๆก็มีไม่ได้
พอมีจิตก็ยึดเห็นว่าเป็นเราเห็นตัวเองในกระจก
จริงๆน่ะมีไหมแค่อดีตสีหลากสีตัดกันที่ดับนานแล้ว
หลงยึดถือสิ่งที่เห็นเป็นคนสัตว์วัตถุจริงๆคือความเห็นผิด
มองดูสิคะตาตัวเองเห็นอะไรที่เห็นคือนิมิตสันฐานอดีตสี
จิตเห็นดับไปนานแล้วพออ่านบัญญัติคำว่าจำไว้หมดได้ยังไง
ไม่รู้ว่าสิกขาคือการฟังคำวาจาสัจจะของตถาคตตรงที่กระทบ
เดี๋ยวนี้เลยว่ากำลังปรากฏตรงตามที่ตรัสรู้ตามเป็นจริง
แต่ตนไม่รู้ตรงสัจจะที่กายใจตรงคำที่กำลังปรากฏคือจำผิด
เป็นตัวตนคิดนึกไปคามสิ่งที่เห็นตามสัญญาไม่ใช่สติปัญญา
เพราะสติปัญญาคือตัวจริงของธัมมะที่รู้อารมณ์เดี๋ยวนี้ตรงสัจจะ
ไม่ใช่บัญญัติคำยาวๆที่ต้องตีความอีกยาวยืดนั่นน่ะอ่านปัญญาตถาคต
แต่ปัญญาตนเองยังไม่ได้รู้ทั่วถึงความจริงแน่นอนเพราะจิตเกิดดับที1ขณะ
ไม่ว่าปัญญาหรืออวิชชาก็เกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะจิตที่กำลังมีคือ
เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นแล้วปรากฏเป็นคนสัตว์วัตถุทันทีคือเห็นผิดจริงๆ
ฟังพระพุทธพจน์เพื่อตามรู้ตรงสัจจะที่กำลังปรากฏ
:b12:
พระพุทธเจ้ายกคำสอนขึ้นแทนพระองค์
ไม่ได้ยกตัวบุคคลขึ้นให้เป็นอาจารย์แทน
คำว่าสิกขาตามคำสอนต้องตรงกับพุทธกาล
มีผู้กล่าวตามคำตถาคตให้ผู้ที่สนใจฟังเข้าใจ
โดยพระพุทธเจ้าย้ำกับชาวกาลามะว่าจะฟังใคร
ตถาคตจึงตรัสหลักกาลามสูตร10ว่าไม่ให้เชื่อ10
แต่ให้เพียรอดทนเพื่อฟังความจริงที่มีคนกล่าวคำสัจจะ


ฟังจากใครอ่ะ

อ้อ จากคนกล่าวสัจจะ หมายถึงคลิปที่ยกมาทุกครั้งใช่ไหม แล้วรู้ได้ยังไงว่าเขากล่าวคำสัจจะ

มีแก้ไขอ่านใหม่ค่ะ...ฟังจากใครก็ได้ที่กล่าวความจริงตรงสัจจะให้เข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ทันที
:b32:
Rosarin เขียน:
onion
ตถาคตคือบุพการีสูงสุดในพระพุทธศาสนา
และทรงเป็นพระรัตนตรัยสูงสุดที่ไม่มีใครเทียบได้
ผู้ที่เข้าเฝ้าเพื่อฟังคำสอนเท่านั้นจึงรู้ว่าทรงตรัสรู้จริงๆ
บุคคลที่กล่าวตามแม้คำว่าธัมมะ/คิดไม่ลึกซึ้งหาได้ไม่
เพราะทุกอย่างคือสิ่งที่มีจริงไม่เรียกชื้อก็มีจริงๆเดี๋ยวนี้
ถ้าไม่มีจิตครองร่างกายนี้มาคิดนึกอะไรๆก็มีไม่ได้
พอมีจิตก็ยึดเห็นว่าเป็นเราเห็นตัวเองในกระจก
จริงๆน่ะมีไหมแค่อดีตสีหลากสีตัดกันที่ดับนานแล้ว
หลงยึดถือสิ่งที่เห็นเป็นคนสัตว์วัตถุจริงๆคือความเห็นผิด
มองดูสิคะตาตัวเองเห็นอะไรที่เห็นคือนิมิตสันฐานอดีตสี
จิตเห็นดับไปนานแล้วพออ่านบัญญัติคำคิดว่ารู้จำไว้หมดได้ยังไง
ไม่รู้ว่าสิกขาคือการฟังคำวาจาสัจจะของตถาคตตรงที่กระทบทีละคำ
เดี๋ยวนี้เลยว่ากำลังปรากฏตรงตามที่ตรัสรู้ตามเป็นจริงที่ตนมีตรงคำไหน
ทุกคำในพระไตรปิฎกมีตรงหมดมีแล้วแต่ตนไม่รู้ตรงสัจจะ1ที่กายใจตรงคำที่กำลังปรากฏ
คือจำผิดเป็นตัวตนคิดนึกไปตามสิ่งที่เห็นตามสัญญาไม่ใช่สติปัญญา
เพราะสติปัญญาคือตัวจริงของธัมมะที่รู้อารมณ์เดี๋ยวนี้ตรงสัจจะ
ไม่ใช่บัญญัติคำยาวๆที่ต้องตีความอีกยาวยืดนั่นน่ะอ่านปัญญาตถาคต
แต่ปัญญาตนเองยังไม่ได้รู้ทั่วถึงความจริงแน่นอนเพราะจิตเกิดดับทีละ1ขณะ
ไม่ว่าปัญญาหรืออวิชชาก็เกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะจิตที่กำลังมีคือ
เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นแล้วปรากฏเป็นคนสัตว์วัตถุทันทีคือเห็นผิดจริงๆ
ฟังพระพุทธพจน์เพื่อตามรู้ตรงสัจจะที่กำลังปรากฏ
:b12:
พระพุทธเจ้ายกคำสอนขึ้นแทนพระองค์
ไม่ได้ยกตัวบุคคลขึ้นให้เป็นอาจารย์แทน
คำว่าสิกขาตามคำสอนต้องตรงกับพุทธกาล
มีผู้กล่าวตามคำตถาคตให้ผู้ที่สนใจฟังเข้าใจ
โดยพระพุทธเจ้าย้ำกับชาวกาลามะว่าจะฟังใคร
ตถาคตจึงตรัสหลักกาลามสูตร10ว่าไม่ให้เชื่อ10
แต่ให้เพียรอดทนเพื่อฟังความจริงที่มีคนกล่าวคำสัจจะ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2018, 08:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
onion
ตถาคตคือบุพการีสูงสุดในพระพุทธศาสนา
และทรงเป็นพระรัตนตรัยสูงสุดที่ไม่มีใครเทียบได้
ผู้ที่เข้าเฝ้าเพื่อฟังคำสอนเท่านั้นจึงรู้ว่าทรงตรัสรู้จริงๆ
บุคคลที่กล่าวตามแม้คำว่าธัมมะ/คิดไม่ลึกซึ้งหาได้ไม่
เพราะทุกอย่างคือสิ่งที่มีจริงไม่เรียกชื้อก็มีจริงๆเดี๋ยวนี้
ถ้าไม่มีจิตครองร่างกายนี้มาคิดนึกอะไรๆก็มีไม่ได้
พอมีจิตก็ยึดเห็นว่าเป็นเราเห็นตัวเองในกระจก
จริงๆน่ะมีไหมแค่อดีตสีหลากสีตัดกันที่ดับนานแล้ว
หลงยึดถือสิ่งที่เห็นเป็นคนสัตว์วัตถุจริงๆคือความเห็นผิด
มองดูสิคะตาตัวเองเห็นอะไรที่เห็นคือนิมิตสันฐานอดีตสี
จิตเห็นดับไปนานแล้วพออ่านบัญญัติคำว่าจำไว้หมดได้ยังไง
ไม่รู้ว่าสิกขาคือการฟังคำวาจาสัจจะของตถาคตตรงที่กระทบ
เดี๋ยวนี้เลยว่ากำลังปรากฏตรงตามที่ตรัสรู้ตามเป็นจริง
แต่ตนไม่รู้ตรงสัจจะที่กายใจตรงคำที่กำลังปรากฏคือจำผิด
เป็นตัวตนคิดนึกไปคามสิ่งที่เห็นตามสัญญาไม่ใช่สติปัญญา
เพราะสติปัญญาคือตัวจริงของธัมมะที่รู้อารมณ์เดี๋ยวนี้ตรงสัจจะ
ไม่ใช่บัญญัติคำยาวๆที่ต้องตีความอีกยาวยืดนั่นน่ะอ่านปัญญาตถาคต
แต่ปัญญาตนเองยังไม่ได้รู้ทั่วถึงความจริงแน่นอนเพราะจิตเกิดดับที1ขณะ
ไม่ว่าปัญญาหรืออวิชชาก็เกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะจิตที่กำลังมีคือ
เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นแล้วปรากฏเป็นคนสัตว์วัตถุทันทีคือเห็นผิดจริงๆ
ฟังพระพุทธพจน์เพื่อตามรู้ตรงสัจจะที่กำลังปรากฏ
:b12:
พระพุทธเจ้ายกคำสอนขึ้นแทนพระองค์
ไม่ได้ยกตัวบุคคลขึ้นให้เป็นอาจารย์แทน
คำว่าสิกขาตามคำสอนต้องตรงกับพุทธกาล
มีผู้กล่าวตามคำตถาคตให้ผู้ที่สนใจฟังเข้าใจ
โดยพระพุทธเจ้าย้ำกับชาวกาลามะว่าจะฟังใคร
ตถาคตจึงตรัสหลักกาลามสูตร10ว่าไม่ให้เชื่อ10
แต่ให้เพียรอดทนเพื่อฟังความจริงที่มีคนกล่าวคำสัจจะ


ฟังจากใครอ่ะ

อ้อ จากคนกล่าวสัจจะ หมายถึงคลิปที่ยกมาทุกครั้งใช่ไหม แล้วรู้ได้ยังไงว่าเขากล่าวคำสัจจะ

มีแก้ไขอ่านใหม่ค่ะ...ฟังจากใครก็ได้ที่กล่าวความจริงให้เข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ทันที
:b32:
Rosarin เขียน:
onion
ตถาคตคือบุพการีสูงสุดในพระพุทธศาสนา
และทรงเป็นพระรัตนตรัยสูงสุดที่ไม่มีใครเทียบได้
ผู้ที่เข้าเฝ้าเพื่อฟังคำสอนเท่านั้นจึงรู้ว่าทรงตรัสรู้จริงๆ
บุคคลที่กล่าวตามแม้คำว่าธัมมะ/คิดไม่ลึกซึ้งหาได้ไม่
เพราะทุกอย่างคือสิ่งที่มีจริงไม่เรียกชื้อก็มีจริงๆเดี๋ยวนี้
ถ้าไม่มีจิตครองร่างกายนี้มาคิดนึกอะไรๆก็มีไม่ได้
พอมีจิตก็ยึดเห็นว่าเป็นเราเห็นตัวเองในกระจก
จริงๆน่ะมีไหมแค่อดีตสีหลากสีตัดกันที่ดับนานแล้ว
หลงยึดถือสิ่งที่เห็นเป็นคนสัตว์วัตถุจริงๆคือความเห็นผิด
มองดูสิคะตาตัวเองเห็นอะไรที่เห็นคือนิมิตสันฐานอดีตสี
จิตเห็นดับไปนานแล้วพออ่านบัญญัติคำคิดว่ารู้จำไว้หมดได้ยังไง
ไม่รู้ว่าสิกขาคือการฟังคำวาจาสัจจะของตถาคตตรงที่กระทบทีละคำ
เดี๋ยวนี้เลยว่ากำลังปรากฏตรงตามที่ตรัสรู้ตามเป็นจริงที่ตนมีตรงคำไหน
ทุกคำในพระไตรปิฎกมีตรงหมดมีแล้วแต่ตนไม่รู้ตรงสัจจะ1ที่กายใจตรงคำที่กำลังปรากฏ
คือจำผิดเป็นตัวตนคิดนึกไปตามสิ่งที่เห็นตามสัญญาไม่ใช่สติปัญญา
เพราะสติปัญญาคือตัวจริงของธัมมะที่รู้อารมณ์เดี๋ยวนี้ตรงสัจจะ
ไม่ใช่บัญญัติคำยาวๆที่ต้องตีความอีกยาวยืดนั่นน่ะอ่านปัญญาตถาคต
แต่ปัญญาตนเองยังไม่ได้รู้ทั่วถึงความจริงแน่นอนเพราะจิตเกิดดับทีละ1ขณะ
ไม่ว่าปัญญาหรืออวิชชาก็เกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะจิตที่กำลังมีคือ
เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นแล้วปรากฏเป็นคนสัตว์วัตถุทันทีคือเห็นผิดจริงๆ
ฟังพระพุทธพจน์เพื่อตามรู้ตรงสัจจะที่กำลังปรากฏ
:b12:
พระพุทธเจ้ายกคำสอนขึ้นแทนพระองค์
ไม่ได้ยกตัวบุคคลขึ้นให้เป็นอาจารย์แทน
คำว่าสิกขาตามคำสอนต้องตรงกับพุทธกาล
มีผู้กล่าวตามคำตถาคตให้ผู้ที่สนใจฟังเข้าใจ
โดยพระพุทธเจ้าย้ำกับชาวกาลามะว่าจะฟังใคร
ตถาคตจึงตรัสหลักกาลามสูตร10ว่าไม่ให้เชื่อ10
แต่ให้เพียรอดทนเพื่อฟังความจริงที่มีคนกล่าวคำสัจจะ
:b8: :b8: :b8:



แล้วรู้ได้ยังไง ว่าเขากล่าวความจริง แล้วอะไรคือความจริงที่คุณโรสว่า

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2018, 08:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
onion
ตถาคตคือบุพการีสูงสุดในพระพุทธศาสนา
และทรงเป็นพระรัตนตรัยสูงสุดที่ไม่มีใครเทียบได้
ผู้ที่เข้าเฝ้าเพื่อฟังคำสอนเท่านั้นจึงรู้ว่าทรงตรัสรู้จริงๆ
บุคคลที่กล่าวตามแม้คำว่าธัมมะ/คิดไม่ลึกซึ้งหาได้ไม่
เพราะทุกอย่างคือสิ่งที่มีจริงไม่เรียกชื้อก็มีจริงๆเดี๋ยวนี้
ถ้าไม่มีจิตครองร่างกายนี้มาคิดนึกอะไรๆก็มีไม่ได้
พอมีจิตก็ยึดเห็นว่าเป็นเราเห็นตัวเองในกระจก
จริงๆน่ะมีไหมแค่อดีตสีหลากสีตัดกันที่ดับนานแล้ว
หลงยึดถือสิ่งที่เห็นเป็นคนสัตว์วัตถุจริงๆคือความเห็นผิด
มองดูสิคะตาตัวเองเห็นอะไรที่เห็นคือนิมิตสันฐานอดีตสี
จิตเห็นดับไปนานแล้วพออ่านบัญญัติคำว่าจำไว้หมดได้ยังไง
ไม่รู้ว่าสิกขาคือการฟังคำวาจาสัจจะของตถาคตตรงที่กระทบ
เดี๋ยวนี้เลยว่ากำลังปรากฏตรงตามที่ตรัสรู้ตามเป็นจริง
แต่ตนไม่รู้ตรงสัจจะที่กายใจตรงคำที่กำลังปรากฏคือจำผิด
เป็นตัวตนคิดนึกไปคามสิ่งที่เห็นตามสัญญาไม่ใช่สติปัญญา
เพราะสติปัญญาคือตัวจริงของธัมมะที่รู้อารมณ์เดี๋ยวนี้ตรงสัจจะ
ไม่ใช่บัญญัติคำยาวๆที่ต้องตีความอีกยาวยืดนั่นน่ะอ่านปัญญาตถาคต
แต่ปัญญาตนเองยังไม่ได้รู้ทั่วถึงความจริงแน่นอนเพราะจิตเกิดดับที1ขณะ
ไม่ว่าปัญญาหรืออวิชชาก็เกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะจิตที่กำลังมีคือ
เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นแล้วปรากฏเป็นคนสัตว์วัตถุทันทีคือเห็นผิดจริงๆ
ฟังพระพุทธพจน์เพื่อตามรู้ตรงสัจจะที่กำลังปรากฏ
:b12:
พระพุทธเจ้ายกคำสอนขึ้นแทนพระองค์
ไม่ได้ยกตัวบุคคลขึ้นให้เป็นอาจารย์แทน
คำว่าสิกขาตามคำสอนต้องตรงกับพุทธกาล
มีผู้กล่าวตามคำตถาคตให้ผู้ที่สนใจฟังเข้าใจ
โดยพระพุทธเจ้าย้ำกับชาวกาลามะว่าจะฟังใคร
ตถาคตจึงตรัสหลักกาลามสูตร10ว่าไม่ให้เชื่อ10
แต่ให้เพียรอดทนเพื่อฟังความจริงที่มีคนกล่าวคำสัจจะ


ฟังจากใครอ่ะ

อ้อ จากคนกล่าวสัจจะ หมายถึงคลิปที่ยกมาทุกครั้งใช่ไหม แล้วรู้ได้ยังไงว่าเขากล่าวคำสัจจะ

มีแก้ไขอ่านใหม่ค่ะ...ฟังจากใครก็ได้ที่กล่าวความจริงให้เข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ทันที
:b32:
Rosarin เขียน:
onion
ตถาคตคือบุพการีสูงสุดในพระพุทธศาสนา
และทรงเป็นพระรัตนตรัยสูงสุดที่ไม่มีใครเทียบได้
ผู้ที่เข้าเฝ้าเพื่อฟังคำสอนเท่านั้นจึงรู้ว่าทรงตรัสรู้จริงๆ
บุคคลที่กล่าวตามแม้คำว่าธัมมะ/คิดไม่ลึกซึ้งหาได้ไม่
เพราะทุกอย่างคือสิ่งที่มีจริงไม่เรียกชื้อก็มีจริงๆเดี๋ยวนี้
ถ้าไม่มีจิตครองร่างกายนี้มาคิดนึกอะไรๆก็มีไม่ได้
พอมีจิตก็ยึดเห็นว่าเป็นเราเห็นตัวเองในกระจก
จริงๆน่ะมีไหมแค่อดีตสีหลากสีตัดกันที่ดับนานแล้ว
หลงยึดถือสิ่งที่เห็นเป็นคนสัตว์วัตถุจริงๆคือความเห็นผิด
มองดูสิคะตาตัวเองเห็นอะไรที่เห็นคือนิมิตสันฐานอดีตสี
จิตเห็นดับไปนานแล้วพออ่านบัญญัติคำคิดว่ารู้จำไว้หมดได้ยังไง
ไม่รู้ว่าสิกขาคือการฟังคำวาจาสัจจะของตถาคตตรงที่กระทบทีละคำ
เดี๋ยวนี้เลยว่ากำลังปรากฏตรงตามที่ตรัสรู้ตามเป็นจริงที่ตนมีตรงคำไหน
ทุกคำในพระไตรปิฎกมีตรงหมดมีแล้วแต่ตนไม่รู้ตรงสัจจะ1ที่กายใจตรงคำที่กำลังปรากฏ
คือจำผิดเป็นตัวตนคิดนึกไปตามสิ่งที่เห็นตามสัญญาไม่ใช่สติปัญญา
เพราะสติปัญญาคือตัวจริงของธัมมะที่รู้อารมณ์เดี๋ยวนี้ตรงสัจจะ
ไม่ใช่บัญญัติคำยาวๆที่ต้องตีความอีกยาวยืดนั่นน่ะอ่านปัญญาตถาคต
แต่ปัญญาตนเองยังไม่ได้รู้ทั่วถึงความจริงแน่นอนเพราะจิตเกิดดับทีละ1ขณะ
ไม่ว่าปัญญาหรืออวิชชาก็เกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะจิตที่กำลังมีคือ
เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นแล้วปรากฏเป็นคนสัตว์วัตถุทันทีคือเห็นผิดจริงๆ
ฟังพระพุทธพจน์เพื่อตามรู้ตรงสัจจะที่กำลังปรากฏ
:b12:
พระพุทธเจ้ายกคำสอนขึ้นแทนพระองค์
ไม่ได้ยกตัวบุคคลขึ้นให้เป็นอาจารย์แทน
คำว่าสิกขาตามคำสอนต้องตรงกับพุทธกาล
มีผู้กล่าวตามคำตถาคตให้ผู้ที่สนใจฟังเข้าใจ
โดยพระพุทธเจ้าย้ำกับชาวกาลามะว่าจะฟังใคร
ตถาคตจึงตรัสหลักกาลามสูตร10ว่าไม่ให้เชื่อ10
แต่ให้เพียรอดทนเพื่อฟังความจริงที่มีคนกล่าวคำสัจจะ
:b8: :b8: :b8:



แล้วรู้ได้ยังไง ว่าเขากล่าวความจริง แล้วอะไรคือความจริงที่คุณโรสว่า

tongue
ทุกครั้งที่อ่านหรือฟังคิดตามตรงไหมจริงใจไหมไม่มีใครเลย
มีแต่เสียงตรงสัจจะให้คิดถูกที่กายใจตนเองเดี๋ยวนี้ทันทีไม่มีเรามีแต่ธัมมะจิเจรุนิ
สุขคือเจ/เห็นคือจิต/เสียงคือรุ/นิยังไม่ปรากฏตรงไหมจริงใจไหมรู้ทีละขณะอย่างนี้
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2018, 08:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
onion
ตถาคตคือบุพการีสูงสุดในพระพุทธศาสนา
และทรงเป็นพระรัตนตรัยสูงสุดที่ไม่มีใครเทียบได้
ผู้ที่เข้าเฝ้าเพื่อฟังคำสอนเท่านั้นจึงรู้ว่าทรงตรัสรู้จริงๆ
บุคคลที่กล่าวตามแม้คำว่าธัมมะ/คิดไม่ลึกซึ้งหาได้ไม่
เพราะทุกอย่างคือสิ่งที่มีจริงไม่เรียกชื้อก็มีจริงๆเดี๋ยวนี้
ถ้าไม่มีจิตครองร่างกายนี้มาคิดนึกอะไรๆก็มีไม่ได้
พอมีจิตก็ยึดเห็นว่าเป็นเราเห็นตัวเองในกระจก
จริงๆน่ะมีไหมแค่อดีตสีหลากสีตัดกันที่ดับนานแล้ว
หลงยึดถือสิ่งที่เห็นเป็นคนสัตว์วัตถุจริงๆคือความเห็นผิด
มองดูสิคะตาตัวเองเห็นอะไรที่เห็นคือนิมิตสันฐานอดีตสี
จิตเห็นดับไปนานแล้วพออ่านบัญญัติคำว่าจำไว้หมดได้ยังไง
ไม่รู้ว่าสิกขาคือการฟังคำวาจาสัจจะของตถาคตตรงที่กระทบ
เดี๋ยวนี้เลยว่ากำลังปรากฏตรงตามที่ตรัสรู้ตามเป็นจริง
แต่ตนไม่รู้ตรงสัจจะที่กายใจตรงคำที่กำลังปรากฏคือจำผิด
เป็นตัวตนคิดนึกไปคามสิ่งที่เห็นตามสัญญาไม่ใช่สติปัญญา
เพราะสติปัญญาคือตัวจริงของธัมมะที่รู้อารมณ์เดี๋ยวนี้ตรงสัจจะ
ไม่ใช่บัญญัติคำยาวๆที่ต้องตีความอีกยาวยืดนั่นน่ะอ่านปัญญาตถาคต
แต่ปัญญาตนเองยังไม่ได้รู้ทั่วถึงความจริงแน่นอนเพราะจิตเกิดดับที1ขณะ
ไม่ว่าปัญญาหรืออวิชชาก็เกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะจิตที่กำลังมีคือ
เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นแล้วปรากฏเป็นคนสัตว์วัตถุทันทีคือเห็นผิดจริงๆ
ฟังพระพุทธพจน์เพื่อตามรู้ตรงสัจจะที่กำลังปรากฏ
:b12:
พระพุทธเจ้ายกคำสอนขึ้นแทนพระองค์
ไม่ได้ยกตัวบุคคลขึ้นให้เป็นอาจารย์แทน
คำว่าสิกขาตามคำสอนต้องตรงกับพุทธกาล
มีผู้กล่าวตามคำตถาคตให้ผู้ที่สนใจฟังเข้าใจ
โดยพระพุทธเจ้าย้ำกับชาวกาลามะว่าจะฟังใคร
ตถาคตจึงตรัสหลักกาลามสูตร10ว่าไม่ให้เชื่อ10
แต่ให้เพียรอดทนเพื่อฟังความจริงที่มีคนกล่าวคำสัจจะ


ฟังจากใครอ่ะ

อ้อ จากคนกล่าวสัจจะ หมายถึงคลิปที่ยกมาทุกครั้งใช่ไหม แล้วรู้ได้ยังไงว่าเขากล่าวคำสัจจะ

มีแก้ไขอ่านใหม่ค่ะ...ฟังจากใครก็ได้ที่กล่าวความจริงให้เข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ทันที
:b32:
Rosarin เขียน:
onion
ตถาคตคือบุพการีสูงสุดในพระพุทธศาสนา
และทรงเป็นพระรัตนตรัยสูงสุดที่ไม่มีใครเทียบได้
ผู้ที่เข้าเฝ้าเพื่อฟังคำสอนเท่านั้นจึงรู้ว่าทรงตรัสรู้จริงๆ
บุคคลที่กล่าวตามแม้คำว่าธัมมะ/คิดไม่ลึกซึ้งหาได้ไม่
เพราะทุกอย่างคือสิ่งที่มีจริงไม่เรียกชื้อก็มีจริงๆเดี๋ยวนี้
ถ้าไม่มีจิตครองร่างกายนี้มาคิดนึกอะไรๆก็มีไม่ได้
พอมีจิตก็ยึดเห็นว่าเป็นเราเห็นตัวเองในกระจก
จริงๆน่ะมีไหมแค่อดีตสีหลากสีตัดกันที่ดับนานแล้ว
หลงยึดถือสิ่งที่เห็นเป็นคนสัตว์วัตถุจริงๆคือความเห็นผิด
มองดูสิคะตาตัวเองเห็นอะไรที่เห็นคือนิมิตสันฐานอดีตสี
จิตเห็นดับไปนานแล้วพออ่านบัญญัติคำคิดว่ารู้จำไว้หมดได้ยังไง
ไม่รู้ว่าสิกขาคือการฟังคำวาจาสัจจะของตถาคตตรงที่กระทบทีละคำ
เดี๋ยวนี้เลยว่ากำลังปรากฏตรงตามที่ตรัสรู้ตามเป็นจริงที่ตนมีตรงคำไหน
ทุกคำในพระไตรปิฎกมีตรงหมดมีแล้วแต่ตนไม่รู้ตรงสัจจะ1ที่กายใจตรงคำที่กำลังปรากฏ
คือจำผิดเป็นตัวตนคิดนึกไปตามสิ่งที่เห็นตามสัญญาไม่ใช่สติปัญญา
เพราะสติปัญญาคือตัวจริงของธัมมะที่รู้อารมณ์เดี๋ยวนี้ตรงสัจจะ
ไม่ใช่บัญญัติคำยาวๆที่ต้องตีความอีกยาวยืดนั่นน่ะอ่านปัญญาตถาคต
แต่ปัญญาตนเองยังไม่ได้รู้ทั่วถึงความจริงแน่นอนเพราะจิตเกิดดับทีละ1ขณะ
ไม่ว่าปัญญาหรืออวิชชาก็เกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะจิตที่กำลังมีคือ
เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นแล้วปรากฏเป็นคนสัตว์วัตถุทันทีคือเห็นผิดจริงๆ
ฟังพระพุทธพจน์เพื่อตามรู้ตรงสัจจะที่กำลังปรากฏ
:b12:
พระพุทธเจ้ายกคำสอนขึ้นแทนพระองค์
ไม่ได้ยกตัวบุคคลขึ้นให้เป็นอาจารย์แทน
คำว่าสิกขาตามคำสอนต้องตรงกับพุทธกาล
มีผู้กล่าวตามคำตถาคตให้ผู้ที่สนใจฟังเข้าใจ
โดยพระพุทธเจ้าย้ำกับชาวกาลามะว่าจะฟังใคร
ตถาคตจึงตรัสหลักกาลามสูตร10ว่าไม่ให้เชื่อ10
แต่ให้เพียรอดทนเพื่อฟังความจริงที่มีคนกล่าวคำสัจจะ
:b8: :b8: :b8:



แล้วรู้ได้ยังไง ว่าเขากล่าวความจริง แล้วอะไรคือความจริงที่คุณโรสว่า

tongue
ทุกครั้งที่อ่านหรือฟังคิดตามตรงไหมจริงใจไหมไม่มีใครเลย
มีแต่เสียงตรงสัจจะให้คิดถูกที่กายใจตนเองเดี๋ยวนี้ทันทีไม่มีเรามีแต่ธัมมะจิเจรุนิ
สุขคือเจ/เห็นคือจิต/เสียงคือรุ/นิยังไม่ปรากฏตรงไหมจริงใจไหมรู้ทีละขณะอย่างนี้




นิ (นิพพาน) ของคุณโรส เป็นอย่างนั้นหรือ

จิ เจ รุ คุณโรสว่าใช่คนไหมขอรับ ตอบสั้นๆ

1. คน
2. ไม่ใช่คน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2018, 14:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกครั้งที่พระพุทธเจ้าสอนธรรมะ

พระพุทธเจ้าจะบอกว่ากำลังพูดหัวข้ออะไร

เช่น มรรคมีองค์8

หรือ สติปักฐาน4

หรือ พรหมวิหาร4 หรืออื่นๆ

ถ้าคุณโรสจะบอกคนอ่านสักหน่อยว่า กำลังพูดหัวข้อธรรมว่าอะไร คนจะได้เข้าใจ

และพิจารณาตามว่าลงกันสมกันหรือไม่

ถ้าไม่ลงกันสมกัน ก็ยอมรับไม่ได้

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2018, 14:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้ากำลังจะพูดเรื่องอริยสัจ4

ก็อธิบายมาว่า เหตุ ผล เหตุ ผล เป็นอะไรบ้าง

คนจะได้อนุโมทนาว่า พูดได้แจ่มแจ้ง แทงตลอด

ถ้าไม่บอกหัวข้อ ธรรมะ84000พระขันธ์ คุณจะไม่บอกหัวข้อสักหน่อยเหรอว่ากำลังพูดเรื่องอะไร

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2018, 15:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ทุกครั้งที่พระพุทธเจ้าสอนธรรมะ

พระพุทธเจ้าจะบอกว่ากำลังพูดหัวข้ออะไร

เช่น มรรคมีองค์8

หรือ สติปักฐาน4

หรือ พรหมวิหาร4 หรืออื่นๆ

ถ้าคุณโรสจะบอกคนอ่านสักหน่อยว่า กำลังพูดหัวข้อธรรมว่าอะไร คนจะได้เข้าใจ

และพิจารณาตามว่าลงกันสมกันหรือไม่

ถ้าไม่ลงกันสมกัน ก็ยอมรับไม่ได้

ทุกคำที่พระองค์ตรัสกับทุกคนที่กำลังฟังไม่ว่าคำไหนในพระไตรปิฎก
ส่องถึงความจริงที่ทุกคนกำลังมีตรงปัจจุบันขณะคืออารมณ์ที่จิตรู้
ตรงชัดที่สุดที่คุณกำลังลืมตาเดี๋ยวนี้เลยไม่ว่าจะอ่านหรือฟังนะคะ
จำแต่บัญญัติแล้วก็คิดตีความอยู่นั่นแหละคิดออกนอกสัจจะแล้ว
สัจจะอยู่ที่ไหนคะเดี๋ยวนี้เลยที่กายใจคุณตรง1คำวาจาสัจจะไหน
รู้1ที่กำลังตรงเดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏคือสติปัญญาก็ดับทุกอย่างแล้ว
ถ้าไม่ตรงแม้1คำตามการฟังแปลว่าไม่ตรงคิดเลยสัก1ก็อวิชชาไงคะ
ธัมมะมันปรากฏนับไม่ถ้วนเลยเดี๋ยวนี้ค่ะกิเลสแปลว่าไม่รู้ปกปิดเป็นนิมิตที่เห็นไงคะ
จะไปมีสติระลึกได้ตรงตอนไหนคะถ้าไม่ได้กำลังฟังแล้วคิดถูกตรงตามได้ล่ะค๊ะะะะะ
:b12:
:b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 15 ก.ย. 2018, 16:42, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2018, 16:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ถ้ากำลังจะพูดเรื่องอริยสัจ4

ก็อธิบายมาว่า เหตุ ผล เหตุ ผล เป็นอะไรบ้าง

คนจะได้อนุโมทนาว่า พูดได้แจ่มแจ้ง แทงตลอด

ถ้าไม่บอกหัวข้อ ธรรมะ84000พระขันธ์ คุณจะไม่บอกหัวข้อสักหน่อยเหรอว่ากำลังพูดเรื่องอะไร

อริยสัจจะของจิตเห็นเดี๋ยวนี้เลยเทียบความจริงที่คุณกำลังดูกับสิ่งที่คุณกำลังเห็นมีแค่สี1สีไหมคะ
ที่คุณกำลังเห็นคือรูปสีหลากสีที่ตัดกันจนกลายเป็นนิมิตรูปร่างต่างๆให้จำผิดเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
แต่ความจริงของเห็นคือมีสี1สีตกกะทบตาแล้วดับทันทีเพราะจิตเห็นเกิดแล้วดับไม่เหลือซาก
จึงเกิดจิตได้ยินจิตรับสัมผัสจิตคิดนึกคุณดูตัวเองเทียบคำสอนสิคะเดี๋ยวนี้แยกไม่ออกเลย
ว่าอันไหนคือคิดอันไหนคือเห็นอันไหนคือเสียงอันไหนจริงจริงๆที่ปรากฏกับสติปัญญา
เป็นเราพากเพียรพยายามไปทำโดยไม่รู้เลยว่าธัมมะกำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยมีแล้ว
ขาดแค่ฟังเพียรฟังเพื่อรู้ตามทีละลักษณะที่กำลังปรากฏให้แยกถูกแม่นยำจนกว่าจะรู้ชัดตรงจริงๆมีแล้ว
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2018, 16:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
student เขียน:
ถ้ากำลังจะพูดเรื่องอริยสัจ4

ก็อธิบายมาว่า เหตุ ผล เหตุ ผล เป็นอะไรบ้าง

คนจะได้อนุโมทนาว่า พูดได้แจ่มแจ้ง แทงตลอด

ถ้าไม่บอกหัวข้อ ธรรมะ84000พระขันธ์ คุณจะไม่บอกหัวข้อสักหน่อยเหรอว่ากำลังพูดเรื่องอะไร

อริยสัจจะของจิตเห็นเดี๋ยวนี้เลยเทียบความจริงที่คุณกำลังดูกับสิ่งที่คุณกำลังเห็นมีแค่สี 1 สีไหมคะ
ที่คุณกำลังเห็นคือรูปสีหลากสีที่ตัดกันจนกลายเป็นนิมิตรูปร่างต่างๆให้จำผิดเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
แต่ความจริงของเห็นคือมีสี1สีตกกะทบตาแล้วดับทันทีเพราะจิตเห็นเกิดแล้วดับไม่เหลือซาก
จึงเกิดจิตได้ยินจิตรับสัมผัสจิตคิดนึกคุณดูตัวเองเทียบคำสอนสิคะเดี๋ยวนี้แยกไม่ออกเลย
ว่าอันไหนคือคิดอันไหนคือเห็นอันไหนคือเสียงอันไหนจริงจริงๆที่ปรากฏกับสติปัญญา
เป็นเราพากเพียรพยายามไปทำโดยไม่รู้เลยว่าธัมมะกำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยมีแล้ว
ขาดแค่ฟังเพียรฟังเพื้อรู้ตามทีละลักษณะที่กำลังปรากฏให้แยกถูกแม่นยำจนกว่าจะรู้ชัดตรงจริงๆมีแล้ว


คุณโรสเห็นสีกี่สีขอรับเนี่ย :b10:

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2018, 16:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
student เขียน:
ถ้ากำลังจะพูดเรื่องอริยสัจ4

ก็อธิบายมาว่า เหตุ ผล เหตุ ผล เป็นอะไรบ้าง

คนจะได้อนุโมทนาว่า พูดได้แจ่มแจ้ง แทงตลอด

ถ้าไม่บอกหัวข้อ ธรรมะ84000พระขันธ์ คุณจะไม่บอกหัวข้อสักหน่อยเหรอว่ากำลังพูดเรื่องอะไร

อริยสัจจะของจิตเห็นเดี๋ยวนี้เลยเทียบความจริงที่คุณกำลังดูกับสิ่งที่คุณกำลังเห็นมีแค่สี 1 สีไหมคะ
ที่คุณกำลังเห็นคือรูปสีหลากสีที่ตัดกันจนกลายเป็นนิมิตรูปร่างต่างๆให้จำผิดเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
แต่ความจริงของเห็นคือมีสี1สีตกกะทบตาแล้วดับทันทีเพราะจิตเห็นเกิดแล้วดับไม่เหลือซาก
จึงเกิดจิตได้ยินจิตรับสัมผัสจิตคิดนึกคุณดูตัวเองเทียบคำสอนสิคะเดี๋ยวนี้แยกไม่ออกเลย
ว่าอันไหนคือคิดอันไหนคือเห็นอันไหนคือเสียงอันไหนจริงจริงๆที่ปรากฏกับสติปัญญา
เป็นเราพากเพียรพยายามไปทำโดยไม่รู้เลยว่าธัมมะกำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยมีแล้ว
ขาดแค่ฟังเพียรฟังเพื้อรู้ตามทีละลักษณะที่กำลังปรากฏให้แยกถูกแม่นยำจนกว่าจะรู้ชัดตรงจริงๆมีแล้ว


คุณโรสเห็นสีกี่สีขอรับเนี่ย :b10:

รูปภาพ

กำลังคิดน่ะไม่เห็นค่ะ
กำลังได้ยินน่ะไม่เห็น
กำลังร้อนน่ะไม่หวาน
กำลังสุขน่ะไม่มีเสียง
จะเอาคำตอบไหนคะ
กำลังดูกะกำลังคิดเป็นจิตคนละขณะค่ะเดี๋ยวนี้เลยแยกออกไหมคะ
:b12:
:b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 15 ก.ย. 2018, 16:50, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2018, 16:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
student เขียน:
ถ้ากำลังจะพูดเรื่องอริยสัจ4

ก็อธิบายมาว่า เหตุ ผล เหตุ ผล เป็นอะไรบ้าง

คนจะได้อนุโมทนาว่า พูดได้แจ่มแจ้ง แทงตลอด

ถ้าไม่บอกหัวข้อ ธรรมะ84000พระขันธ์ คุณจะไม่บอกหัวข้อสักหน่อยเหรอว่ากำลังพูดเรื่องอะไร

อริยสัจจะของจิตเห็นเดี๋ยวนี้เลยเทียบความจริงที่คุณกำลังดูกับสิ่งที่คุณกำลังเห็นมีแค่สี 1 สีไหมคะ
ที่คุณกำลังเห็นคือรูปสีหลากสีที่ตัดกันจนกลายเป็นนิมิตรูปร่างต่างๆให้จำผิดเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
แต่ความจริงของเห็นคือมีสี1สีตกกะทบตาแล้วดับทันทีเพราะจิตเห็นเกิดแล้วดับไม่เหลือซาก
จึงเกิดจิตได้ยินจิตรับสัมผัสจิตคิดนึกคุณดูตัวเองเทียบคำสอนสิคะเดี๋ยวนี้แยกไม่ออกเลย
ว่าอันไหนคือคิดอันไหนคือเห็นอันไหนคือเสียงอันไหนจริงจริงๆที่ปรากฏกับสติปัญญา
เป็นเราพากเพียรพยายามไปทำโดยไม่รู้เลยว่าธัมมะกำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยมีแล้ว
ขาดแค่ฟังเพียรฟังเพื้อรู้ตามทีละลักษณะที่กำลังปรากฏให้แยกถูกแม่นยำจนกว่าจะรู้ชัดตรงจริงๆมีแล้ว


คุณโรสเห็นสีกี่สีขอรับเนี่ย :b10:

รูปภาพ

กำลังคิดน่ะไม่เห็นค่ะ
กำลังได้ยินน่ะไม่เห็น
กำลังร้อนน่ะไม่หวาน
กำลังสุขน่ะไม่มีเสียง
จะเอาคำตอบไหนคะ
กำลังดูกะกำลังคิดเป็นจิตคนละขณะค่ะเดี๋ยวนี้เลยแยกออกไหมคะ
:b12:
:b32: :b32:



ตามอัธยาศัย เอาขณะไหนก็ได้ ว่าไป :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2018, 16:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
student เขียน:
ถ้ากำลังจะพูดเรื่องอริยสัจ4

ก็อธิบายมาว่า เหตุ ผล เหตุ ผล เป็นอะไรบ้าง

คนจะได้อนุโมทนาว่า พูดได้แจ่มแจ้ง แทงตลอด

ถ้าไม่บอกหัวข้อ ธรรมะ84000พระขันธ์ คุณจะไม่บอกหัวข้อสักหน่อยเหรอว่ากำลังพูดเรื่องอะไร

อริยสัจจะของจิตเห็นเดี๋ยวนี้เลยเทียบความจริงที่คุณกำลังดูกับสิ่งที่คุณกำลังเห็นมีแค่สี 1 สีไหมคะ
ที่คุณกำลังเห็นคือรูปสีหลากสีที่ตัดกันจนกลายเป็นนิมิตรูปร่างต่างๆให้จำผิดเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
แต่ความจริงของเห็นคือมีสี1สีตกกะทบตาแล้วดับทันทีเพราะจิตเห็นเกิดแล้วดับไม่เหลือซาก
จึงเกิดจิตได้ยินจิตรับสัมผัสจิตคิดนึกคุณดูตัวเองเทียบคำสอนสิคะเดี๋ยวนี้แยกไม่ออกเลย
ว่าอันไหนคือคิดอันไหนคือเห็นอันไหนคือเสียงอันไหนจริงจริงๆที่ปรากฏกับสติปัญญา
เป็นเราพากเพียรพยายามไปทำโดยไม่รู้เลยว่าธัมมะกำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยมีแล้ว
ขาดแค่ฟังเพียรฟังเพื้อรู้ตามทีละลักษณะที่กำลังปรากฏให้แยกถูกแม่นยำจนกว่าจะรู้ชัดตรงจริงๆมีแล้ว


คุณโรสเห็นสีกี่สีขอรับเนี่ย :b10:

รูปภาพ

กำลังคิดน่ะไม่เห็นค่ะ
กำลังได้ยินน่ะไม่เห็น
กำลังร้อนน่ะไม่หวาน
กำลังสุขน่ะไม่มีเสียง
จะเอาคำตอบไหนคะ
กำลังดูกะกำลังคิดเป็นจิตคนละขณะค่ะเดี๋ยวนี้เลยแยกออกไหมคะ
:b12:
:b32: :b32:



ตามอัธยาศัย เอาขณะไหนก็ได้ ว่าไป :b14:

:b12:
ความรู้สึกที่ตรงจริงที่กายก็มีสมมุติที่ดูก็รู้ค่ะรู้ตัวทั่วพร้อมครบ6ทางไงคะ
ดูคือจิตเห็น/คิดคือจิตคิดนึกถูกไหมคะแต่ตนรู้ตรงที่เกิดและที่ดับไม่ได้น๊า
ต้องตามรู้สิ่งที่เกิดแล้วที่ตั้งอยู่ก่อนดับหายไปหมดนะคะ
:b4: :b4:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 15 ก.ย. 2018, 16:56, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2018, 16:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
student เขียน:
ถ้ากำลังจะพูดเรื่องอริยสัจ4

ก็อธิบายมาว่า เหตุ ผล เหตุ ผล เป็นอะไรบ้าง

คนจะได้อนุโมทนาว่า พูดได้แจ่มแจ้ง แทงตลอด

ถ้าไม่บอกหัวข้อ ธรรมะ84000พระขันธ์ คุณจะไม่บอกหัวข้อสักหน่อยเหรอว่ากำลังพูดเรื่องอะไร

อริยสัจจะของจิตเห็นเดี๋ยวนี้เลยเทียบความจริงที่คุณกำลังดูกับสิ่งที่คุณกำลังเห็นมีแค่สี 1 สีไหมคะ
ที่คุณกำลังเห็นคือรูปสีหลากสีที่ตัดกันจนกลายเป็นนิมิตรูปร่างต่างๆให้จำผิดเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
แต่ความจริงของเห็นคือมีสี1สีตกกะทบตาแล้วดับทันทีเพราะจิตเห็นเกิดแล้วดับไม่เหลือซาก
จึงเกิดจิตได้ยินจิตรับสัมผัสจิตคิดนึกคุณดูตัวเองเทียบคำสอนสิคะเดี๋ยวนี้แยกไม่ออกเลย
ว่าอันไหนคือคิดอันไหนคือเห็นอันไหนคือเสียงอันไหนจริงจริงๆที่ปรากฏกับสติปัญญา
เป็นเราพากเพียรพยายามไปทำโดยไม่รู้เลยว่าธัมมะกำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยมีแล้ว
ขาดแค่ฟังเพียรฟังเพื้อรู้ตามทีละลักษณะที่กำลังปรากฏให้แยกถูกแม่นยำจนกว่าจะรู้ชัดตรงจริงๆมีแล้ว


คุณโรสเห็นสีกี่สีขอรับเนี่ย :b10:

รูปภาพ

กำลังคิดน่ะไม่เห็นค่ะ
กำลังได้ยินน่ะไม่เห็น
กำลังร้อนน่ะไม่หวาน
กำลังสุขน่ะไม่มีเสียง
จะเอาคำตอบไหนคะ
กำลังดูกะกำลังคิดเป็นจิตคนละขณะค่ะเดี๋ยวนี้เลยแยกออกไหมคะ
:b12:
:b32: :b32:



ตามอัธยาศัย เอาขณะไหนก็ได้ ว่าไป :b14:

:b12:
ความรู้สึกที่ตรงจริงที่กายก็มีสมมุติที่ดูก็รู้ค่ะรู้ตัวทั่วพร้อมครบ6ทางไงคะ
ดูคือจิตเห็น/คิดคือจิตคิดนึกถูกไหมคะแต่ตนรู้ตรงที่เกิดและที่ดับไม่ได้น๊า
ต้องตามรู้สิ่งที่เกิดแล้วตั้งอยู่ก่อนดับหายไปหมดนะคะ



อะไรของเขานะ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 142 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร