ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
เรื่องเห็นสี ของคุณ Rosarin ศิษย์บ้านธัมมะ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=56415 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 20 ส.ค. 2018, 12:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | เรื่องเห็นสี ของคุณ Rosarin ศิษย์บ้านธัมมะ |
อ้างคำพูด: กรัชกาย สรุปได้อีกครั้งว่า สำนักบ้านธัมมะ เป็นธรรมะเลียนแบบอย่างว่าไว้ เป็นความคิดแบบนิครนถ์ สมมติไปแนะนำให้สาวกทำกรรมฐาน บอกได้เลยว่า เพี้ยนทั้งสำนัก เรียนอภิธรรมต้นแบบจากสำนัก อ.แนบ อ้อมน้อย อ้างคำพูด: Rosarin เพราะไม่มีปัญญาไหนทั้งจักรวาลเลยนะนอกจากทศพลญาณที่รู้ว่าเห็นเพียงสีจึงต้องฟังดับมิจฉาทิฏฐิค่ะ อ้างคำพูด: กรัชกาย ชัดเจนเข้าใจผิดจริงๆ ทั้งคุณโรสทั้้งเจ้าสำนัก แบบเขาหมายถึง รูป ตัวอย่าง ตา เห็น รูป (สี) หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ฯลฯ แต่คุณโรสเลอะไปโน่น เขาจัดตามอายตนะภายใน กับ อายตนะภายนอก อ้างคำพูด: Rosarin เขียนภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจเลยดีกว่าไหม อายตนะคือที่ประชุมรวมกันครบ6ทางคือ กายใจตนเองกำลังมีอายตนะก็ไม่รู้คือมีจิต ถ้าไม่มีจิตแปลว่าตายอะไรอะไรจะมีได้ไหม จิตเห็นสี/ตาไม่เห็นค่ะ/ตาแค่กระทบรูปสีเป็นจิตเห็นสี ฟังพระพุทธพจน์ก่อนไม่มีจิตนะคะ จิตเห็นค่ะ ลูกกะตาไม่ได้เห็นค่ะ คนตาบอดก็มีลูกกะตาค่ะแต่ไม่เห็น เพราะรูปพิเศษตรงกลางตาเป็นรูปที่เกิดจากกรรมจึงทำให้ตาไม่บอด viewtopic.php?f=1&t=56260&p=425218#p425218 ประโยคทอง อ้างคำพูด: ตาแค่กระทบรูปสีเป็นจิตเห็นสี นี่เป็นความเข้าใจผิดของเป็นมิจฉาทิฏฐิบุคคลชัดแจ๋วเลย |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 20 ส.ค. 2018, 12:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องเห็นสี ของคุณ Rosarin ศิษย์บ้านธัมมะ |
ลงหลักให้จบก่อนอย่าเพิ่งแทรกนะขอรับ ตัวสภาวะ อายตนะ * แปลว่า ที่ต่อ หรือแดน หมายถึงที่ต่อกันให้เกิดความรู้ แดนเชื่อมต่อ ให้เกิดความรู้ หรือแหล่งที่มาของความรู้ แปลอย่างง่ายๆว่า ทางรับรู้ มี ๖ อย่าง ดังที่เรียกในภาษาไทย ว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ว่า ที่ต่อ หรือเชื่อมต่อ ให้เกิดความรู้นั้น ต่อ หรือ เชื่อมต่อกับ อะไร ตอบว่า เชื่อมต่อกับโลก คือ สภาพแวดล้อมภายนอก แต่โลกนั้นปรากฏลักษณะอาการแก่มนุษย์เป็นส่วนๆ ด้านๆไป เท่าที่มนุษย์จะมีแดน หรือเครื่องมือสำหรับรับรู้ คือ เท่า จำนวนอายตนะ ๖ ที่กล่าวมาแล้วเท่านั้น ดังนั้น อายตนะ ทั้ง ๖ จึงมีคู่ของมันอยู่ในโลกเป็นสิ่งที่ถูกรับรู้สำหรับแต่ละ อย่างๆ โดยเฉพาะ สิ่งที่ถูกรับรู้หรือ ลักษณะอาการ ต่างๆ ของ โลกเหล่านี้ เรียกชื่อว่าอายตนะเหมือนกัน เพราะเป็นสิ่งที่ เชื่อมต่อให้เกิดความรู้ หรือเป็นแหล่งความรู้ เช่นเดียวกัน แต่เป็น ฝ่ายภายนอก เพื่อแยกประเภทจากกันไม่ให้สับสน ท่านเรียกอายตนะพวกแรก ว่า อายตนะภายใน (แดนต่อความรู้ฝ่ายภายใน) และเรียกอายตนะพวกหลังนี้ว่า อายตนะภายนอก (แดนต่อความรู้ฝ่ายภายนอก) อายตนะภายนอก ๖ อันได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งต้องกาย และสิ่งที่ใจนึก โดยทั่วไปนิยมเรียกว่า อารมณ์ แปล ว่า สิ่งอันเป็นที่สำหรับจิตมาหน่วงอยู่ หรือ สิ่งสำหรับยึดหน่วงของ จิต แปลง่ายๆว่า สิ่งที่ถูกรับรู้ หรือสิ่งที่ถูกรู้ นั่นเอง เมื่ออายตนะ (ภายใน) ซึ่งเป็นแดนรับรู้ กระทบกับอารมณ์ * (อายตนะภายนอก) ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ก็จะเกิดความรู้จำเพาะด้าน ของอายตนะแต่ละอย่างๆ ขึ้น เช่น ตากระทบรูป เกิดความรู้ เรียกว่า เห็น หู กระทบเสียง เกิดความรู้ เรียกว่าได้ยิน เป็นต้น ความรู้จำเพาะแต่ละด้านนี้เรียกว่า วิญญาณ แปลว่า ความรู้แจ้ง คือรู้อารมณ์ ดังนั้น จึงมีวิญญาณ ๖ อย่าง เท่ากับอายตนะ และอารมณ์ ๖ คู่ คือ วิญญาณ ทางตา ได้แก่ เห็น วิญญาณทาง หู ได้แก่ ได้ยิน วิญญาณทางจมูก ได้แก่ ได้กลิ่น วิญญาณทาง ลิ้น ได้แก่ รู้รส วิญญาณทางกาย ได้แก่ รู้สิ่งต้องกาย วิญญาณทางใจ ได้แก่ รู้อารมณ์ทางใจ หรือรู้เรื่องในใจ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 20 ส.ค. 2018, 12:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องเห็นสี ของคุณ Rosarin ศิษย์บ้านธัมมะ |
ที่อ้างอิง คคห.บน * ตามลำดับ * คำอธิบายของพระอรรถกถาจารย์ อายตนะ มีความหมายหลายนัย เช่น แปลว่า เป็นที่สืบต่อแห่งจิตและเจตสิก คือ เป็นที่ที่จิตและเจตสิกทำหน้าที่กันง่วน เป็นที่แผ่ขยายจิตและเจตสิกให้ กว้างขวางออกไป เป็นตัวการนำสังสารทุกข์อันยืดเยื้อให้ดำเนินสืบต่อไป อีก เป็นบ่อเกิด แหล่ง ที่ชุมนุม เป็นต้น (วิสุทธิ.3/61 ฯลฯ) อนึ่ง พึง สังเกตว่า ประสาทรับความรู้สึกภายในร่างกายเกี่ยวด้วยท่าทางการเคลื่อน ไหว ทรงตัว เป็นต้น จำพวกที่เรียกว่า somesthesia (kinesthetic, vestibular and visceral senses) ท่านไม่ได้จัดเพิ่มไว้ในพวก อายตนะด้วย แม้ท่านจะไม่ได้ชี้แจงเรื่องนี้ไว้ ก็มองเห็นเหตุผลได้ ว่า ความรับรู้ประเภทนี้ บางส่วนรวมอยู่แล้วในอายตนะที่ ๕ ที่ท่าน ใช้คำกว้างๆว่า "กาย" แต่เหตุผลข้อสำคัญอยู่ที่ว่า ประสาทจำพวกนี้ ทำหน้าที่จำกัดเพียงในด้านสรีรวิทยา มุ่งเพื่อรักษาสภาพ ปกติแห่งการทำงานของร่างกายเท่านั้น มีลักษณะจำเพาะตัว และจำกัดอยู่ ภายใน เป็นเครื่องสนับสนุนที่จำเป็น แต่มีค่าคงตัว ไม่มีคุณค่าที่จะ ก่อผลงอกเงยทั้งด้านความรู้ และด้านเสพเสวยโลก ทั้งด้านญาณวิทยา และด้านจริยธรรม จึงไม่เข้ากับความหมายของอายตนะ * คำว่า ทวาร นิยมใช้กับอารมณ์ อายตนะภายใน คู่ กับ อายตนะภายนอก แต่ในที่นี้ เพื่อประโยชน์ในการศึกษาต่อ ไป จะเรียกอายตนะภายในว่า อายตนะ เรียกอายตนะภายนอกว่า อารมณ์ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 20 ส.ค. 2018, 12:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องเห็นสี ของคุณ Rosarin ศิษย์บ้านธัมมะ |
สรุปได้ว่า อายตนะ ๖ อารมณ์ ๖ และวิญญาณ ๖มีชื่อในภาษาธรรม และมีความเกี่ยวเนื่องกัน ดังนี้ ๑. จักขุ - ตา เป็นแดนรับรู้ รูป (สี) - รูป เกิดความรู้คือ จักขุวิญญาณ - เห็น (สี) ๒. โสตะ - หู ,, ---------,, สัททะ - เสียง ,,---------------,,โสตวิญญาณ - ได้ยิน ๓. ฆานะ - จมูก ,,---------,, คันธะ - กลิ่น ,,--------------,, ฆานวิญญาณ - ได้กลิ่น ๔. ชิวหา - ลิ้น ,,----------,, รส - - - รส ,,---------------,, ชิวหาวิญญาณ - รู้รส ๕. กาย - กาย ,,--------,, โผฏฐัพพะ - สิ่งต้องกาย ,,--------,,กายวิญญาณ-รู้สิ่งต้องกาย ๖. มโน - ใจ ,,---------,, ธรรมารมณ์ - เรื่องในใจ ,,---------,,มโนวิญญาณ-รู้เรื่องในใจ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวิญญาณจะต้องอาศัย อายตนะ และอารมณ์ กระทบกันจึงจะเกิดขึ้นได้ ก็จริง แต่การที่อารมณ์เข้ามาปรากฏแก่อายตนะ ก็มิใช่จะทำให้วิญญาณเกิดขึ้นได้เสมอไป จำต้องมีความใส่ใจ ความกำหนดใจ หรือความใฝ่ใจประกอบอยู่ด้วยวิญญาณนั้นๆจึงเกิดขึ้น |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 20 ส.ค. 2018, 13:03 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องเห็นสี ของคุณ Rosarin ศิษย์บ้านธัมมะ |
สังเกตข้อ ๑ ตามพระสูตร ท่านก็ว่า ตา เห็น รูป (รูป = สี) สิ่งที่มองเห็นด้วยจักขุ (ตา) ทุกอย่างเรียกว่า รูป ทั้งหมด แต่อภิธรรมว่า สี (สี=รูป) แค่นี้ นี่ว่าตามปรมัตถนัย ที่คุณโรสพูดเป็นแผ่นเสียงตกร่องว่าธัมมะไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร อะไรอีกก็ว่าไป แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่าคุณโรสกับเจ้าสำนักบ้านธัมมะ ว่าไปตามปรมัตถนัยแล้วก็นำเอาปรมัตถนัยของเขาไปคิดต่อมันจึงเป็นอัตตนัย คิกๆๆ คือคิดเพ้อเจ้อฟุ้งไปตามภาพมโนคติของตน |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 20 ส.ค. 2018, 13:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องเห็นสี ของคุณ Rosarin ศิษย์บ้านธัมมะ |
ฉายภาพให้พอเห็นเค้า "อาศัยตา และรูป เกิดจักขุวิญญาณ ความประจวบแห่งธรรมทั้ง ๓ นั้น เป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี บุคคลเสวยอารมณ์ใด ย่อมหมายรู้อารมณ์นั้น (= สัญญา) หมายรู้อารมณ์ใด ย่อมตริตรึกอารมณ์นั้น (= วิตักกะ) ตริตรึกอารมณ์ใด ย่อมผันพิสดารซึ่งอารมณ์นั้น (= ปปัญจ) บุคคลผันพิสดารซึ่งอารมณ์ใด เพราะการผันพิสดารนั้นเป็นเหตุ ปปัญจสัญญาแง่ต่างๆ (= สัญญาที่ซับซ้อนหลากหลาย) ย่อมผุดพลุ่งสุมรุมเขา ในเรื่องรูปทั้งหลาย ที่พึงรู้ได้ด้วยตา ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน" (ม.มู.12/248/226) |
เจ้าของ: | student [ 20 ส.ค. 2018, 13:49 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องเห็นสี ของคุณ Rosarin ศิษย์บ้านธัมมะ |
ไม่เข้าใจครับว่า สำนักที่สอนพุทธศาสนา เมื่อไม่ใช่วัด แล้วใครรับรอง ถ้าไม่มีคณะสงฆ์รับรอง ถือว่าขโมยธรรมไหมครับ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 20 ส.ค. 2018, 15:10 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องเห็นสี ของคุณ Rosarin ศิษย์บ้านธัมมะ |
กรัชกาย เขียน: อ้างคำพูด: กรัชกาย สรุปได้อีกครั้งว่า สำนักบ้านธัมมะ เป็นธรรมะเลียนแบบอย่างว่าไว้ เป็นความคิดแบบนิครนถ์ สมมติไปแนะนำให้สาวกทำกรรมฐาน บอกได้เลยว่า เพี้ยนทั้งสำนัก เรียนอภิธรรมต้นแบบจากสำนัก อ.แนบ อ้อมน้อย อ้างคำพูด: Rosarin เพราะไม่มีปัญญาไหนทั้งจักรวาลเลยนะนอกจากทศพลญาณที่รู้ว่าเห็นเพียงสีจึงต้องฟังดับมิจฉาทิฏฐิค่ะ อ้างคำพูด: กรัชกาย ชัดเจนเข้าใจผิดจริงๆ ทั้งคุณโรสทั้้งเจ้าสำนัก แบบเขาหมายถึง รูป ตัวอย่าง ตา เห็น รูป (สี) หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ฯลฯ แต่คุณโรสเลอะไปโน่น เขาจัดตามอายตนะภายใน กับ อายตนะภายนอก อ้างคำพูด: Rosarin เขียนภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจเลยดีกว่าไหม อายตนะคือที่ประชุมรวมกันครบ6ทางคือ กายใจตนเองกำลังมีอายตนะก็ไม่รู้คือมีจิต ถ้าไม่มีจิตแปลว่าตายอะไรอะไรจะมีได้ไหม จิตเห็นสี/ตาไม่เห็นค่ะ/ตาแค่กระทบรูปสีเป็นจิตเห็นสี ฟังพระพุทธพจน์ก่อนไม่มีจิตนะคะ จิตเห็นค่ะ ลูกกะตาไม่ได้เห็นค่ะ คนตาบอดก็มีลูกกะตาค่ะแต่ไม่เห็น เพราะรูปพิเศษตรงกลางตาเป็นรูปที่เกิดจากกรรมจึงทำให้ตาไม่บอด viewtopic.php?f=1&t=56260&p=425218#p425218 ประโยคทอง อ้างคำพูด: ตาแค่กระทบรูปสีเป็นจิตเห็นสี นี่เป็นความเข้าใจผิดของเป็นมิจฉาทิฏฐิบุคคลชัดแจ๋วเลย ในแต่ละสมัยที่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แค่1คนทั้งจักรวาลนั้นน่ะ มีอัครสาวกซ้ายขวาเท่านั้นที่มีปัญญาและฤทธิ์รองจากพระพุทธเจ้า ตัวเองน่ะเป็นสาวกที่มีปัญญามากคนนั้นหรือเป็นสาวกที่มีฤทธิ์คนนั้นหรือคะ ยิ่งนับปีพ.ศยิ่งรู้ว่าปัญญาห่างไกลมากและถ้ายังดื้อไม่สะสมการฟังจะมีปัญญาได้หรือ คนที่จะรู้ความจริงทั้งหมดคือคนที่จะมาตรัสรู้เป็นพระศรีอริยเมตตรัยพระพุทธเจ้าลืมไปไหมคะ ว่าเป็นสาวกต้องฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าเพราะจำแต่อรรถบัญญัตินั้นแค่สะสมสัญญาเจตสิกนะคะ ปัญญาเกิดจากฟังการฟังต้องมีเสียงดังนั้นการฟังจึงจำเป็นต้องมีสัทบัญญัติคือมีเสียงให้ได้ยินจึงเข้าใจค่ะ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 20 ส.ค. 2018, 15:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องเห็นสี ของคุณ Rosarin ศิษย์บ้านธัมมะ |
student เขียน: ไม่เข้าใจครับว่า สำนักที่สอนพุทธศาสนา เมื่อไม่ใช่วัด แล้วใครรับรอง ถ้าไม่มีคณะสงฆ์รับรอง ถือว่าขโมยธรรมไหมครับ ภิกษุบริษัททำผิดวินัยเหมือนกันหมดเลยคือรับเงิน การรับเงินของภิกษุคือขาดจากการเป็นภิกษุแล้ว แค่ยังครองจีวรเท่านั้นทำนิสัยเดิมก่อนบวชแต่ มาแสดงตัวเปิดเผยใส่จีวรนั้นแปลว่าโกหก เพราะไม่ทำตามสิกขาบทขโมยปัจจัยสี่ ของผู้ที่ทำตามสิกขาบทได้เป็นโจรค่ะ มีอาการอย่างขโมยทุกครั้งที่ไม่สละ ไม่ปลงอาบัติแถมรับเป็นปกติทุกวัน ปิดกั้นมรรคผลนิพพานตายไปนะ ต้องตกนรกนะคะทราบข้อนี้ไหมคะ เป็นหัวหน้าแบบโจรปล้นก้อนข้าวชาวบ้านผิดไหมคะ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 20 ส.ค. 2018, 15:24 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องเห็นสี ของคุณ Rosarin ศิษย์บ้านธัมมะ |
Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: อ้างคำพูด: กรัชกาย สรุปได้อีกครั้งว่า สำนักบ้านธัมมะ เป็นธรรมะเลียนแบบอย่างว่าไว้ เป็นความคิดแบบนิครนถ์ สมมติไปแนะนำให้สาวกทำกรรมฐาน บอกได้เลยว่า เพี้ยนทั้งสำนัก เรียนอภิธรรมต้นแบบจากสำนัก อ.แนบ อ้อมน้อย อ้างคำพูด: Rosarin เพราะไม่มีปัญญาไหนทั้งจักรวาลเลยนะนอกจากทศพลญาณที่รู้ว่าเห็นเพียงสีจึงต้องฟังดับมิจฉาทิฏฐิค่ะ อ้างคำพูด: กรัชกาย ชัดเจนเข้าใจผิดจริงๆ ทั้งคุณโรสทั้้งเจ้าสำนัก แบบเขาหมายถึง รูป ตัวอย่าง ตา เห็น รูป (สี) หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ฯลฯ แต่คุณโรสเลอะไปโน่น เขาจัดตามอายตนะภายใน กับ อายตนะภายนอก อ้างคำพูด: Rosarin เขียนภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจเลยดีกว่าไหม อายตนะคือที่ประชุมรวมกันครบ6ทางคือ กายใจตนเองกำลังมีอายตนะก็ไม่รู้คือมีจิต ถ้าไม่มีจิตแปลว่าตายอะไรอะไรจะมีได้ไหม จิตเห็นสี/ตาไม่เห็นค่ะ/ตาแค่กระทบรูปสีเป็นจิตเห็นสี ฟังพระพุทธพจน์ก่อนไม่มีจิตนะคะ จิตเห็นค่ะ ลูกกะตาไม่ได้เห็นค่ะ คนตาบอดก็มีลูกกะตาค่ะแต่ไม่เห็น เพราะรูปพิเศษตรงกลางตาเป็นรูปที่เกิดจากกรรมจึงทำให้ตาไม่บอด viewtopic.php?f=1&t=56260&p=425218#p425218 ประโยคทอง อ้างคำพูด: ตาแค่กระทบรูปสีเป็นจิตเห็นสี นี่เป็นความเข้าใจผิดของเป็นมิจฉาทิฏฐิบุคคลชัดแจ๋วเลย ในแต่ละสมัยที่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แค่1คนทั้งจักรวาลนั้นน่ะ มีอัครสาวกซ้ายขวาเท่านั้นที่มีปัญญาและฤทธิ์รองจากพระพุทธเจ้า ตัวเองน่ะเป็นสาวกที่มีปัญญามากคนนั้นหรือเป็นสาวกที่มีฤทธิ์คนนั้นหรือคะ ยิ่งนับปีพ.ศยิ่งรู้ว่าปัญญาห่างไกลมากและถ้ายังดื้อไม่สะสมการฟังจะมีปัญญาได้หรือ คนที่จะรู้ความจริงทั้งหมดคือคนที่จะมาตรัสรู้เป็นพระศรีอริยเมตตรัยพระพุทธเจ้าลืมไปไหมคะ ว่าเป็นสาวกต้องฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าเพราะจำแต่อรรถบัญญัตินั้นแค่สะสมสัญญาเจตสิกนะคะ ปัญญาเกิดจากฟังการฟังต้องมีเสียงดังนั้นการฟังจึงจำเป็นต้องมีสัทบัญญัติคือมีเสียงให้ได้ยินจึงเข้าใจค่ะ ไปโน่นอีก คิกๆๆ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 20 ส.ค. 2018, 15:24 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องเห็นสี ของคุณ Rosarin ศิษย์บ้านธัมมะ |
ถ้าเป็นผู้ตรงตามคำสอนต้องมีสัจจะ บวชคือสละทรัพย์สมบัติหมด เงินเป็นทรัพย์ค่ะ แต่ไม่ใช่อริยทรัพย์ คริคริคริบวชสะสมทั้งวัตถุข้าวของเงินทองเต็มวัดเต็มวาใครคิดจะแก้ไขให้ถูกต้องบ้างคะะะะะะะะ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 20 ส.ค. 2018, 15:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องเห็นสี ของคุณ Rosarin ศิษย์บ้านธัมมะ |
Rosarin เขียน: Kiss ถ้าเป็นผู้ตรงตามคำสอนต้องมีสัจจะ บวชคือสละทรัพย์สมบัติหมด เงินเป็นทรัพย์ค่ะ แต่ไม่ใช่อริยทรัพย์ คริคริคริบวชสะสมทั้งวัตถุข้าวของเงินทองเต็มวัดเต็มวาใครคิดจะแก้ไขให้ถูกต้องบ้างคะะะะะะะะ ไปโน่นอีก คิกๆๆ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 20 ส.ค. 2018, 15:27 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องเห็นสี ของคุณ Rosarin ศิษย์บ้านธัมมะ |
Rosarin เขียน: student เขียน: ไม่เข้าใจครับว่า สำนักที่สอนพุทธศาสนา เมื่อไม่ใช่วัด แล้วใครรับรอง ถ้าไม่มีคณะสงฆ์รับรอง ถือว่าขโมยธรรมไหมครับ ภิกษุบริษัททำผิดวินัยเหมือนกันหมดเลยคือรับเงิน การรับเงินของภิกษุคือขาดจากการเป็นภิกษุแล้ว แค่ยังครองจีวรเท่านั้นทำนิสัยเดิมก่อนบวชแต่ มาแสดงตัวเปิดเผยใส่จีวรนั้นแปลว่าโกหก เพราะไม่ทำตามสิกขาบทขโมยปัจจัยสี่ ของผู้ที่ทำตามสิกขาบทได้เป็นโจรค่ะ มีอาการอย่างขโมยทุกครั้งที่ไม่สละ ไม่ปลงอาบัติแถมรับเป็นปกติทุกวัน ปิดกั้นมรรคผลนิพพานตายไปนะ ต้องตกนรกนะคะทราบข้อนี้ไหมคะ เป็นหัวหน้าแบบโจรปล้นก้อนข้าวชาวบ้านผิดไหมคะ ศิษย์บ้านธัมมะบัญญัติเองเลยเอา |
เจ้าของ: | Rosarin [ 20 ส.ค. 2018, 20:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องเห็นสี ของคุณ Rosarin ศิษย์บ้านธัมมะ |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: student เขียน: ไม่เข้าใจครับว่า สำนักที่สอนพุทธศาสนา เมื่อไม่ใช่วัด แล้วใครรับรอง ถ้าไม่มีคณะสงฆ์รับรอง ถือว่าขโมยธรรมไหมครับ ภิกษุบริษัททำผิดวินัยเหมือนกันหมดเลยคือรับเงิน การรับเงินของภิกษุคือขาดจากการเป็นภิกษุแล้ว แค่ยังครองจีวรเท่านั้นทำนิสัยเดิมก่อนบวชแต่ มาแสดงตัวเปิดเผยใส่จีวรนั้นแปลว่าโกหก เพราะไม่ทำตามสิกขาบทขโมยปัจจัยสี่ ของผู้ที่ทำตามสิกขาบทได้เป็นโจรค่ะ มีอาการอย่างขโมยทุกครั้งที่ไม่สละ ไม่ปลงอาบัติแถมรับเป็นปกติทุกวัน ปิดกั้นมรรคผลนิพพานตายไปนะ ต้องตกนรกนะคะทราบข้อนี้ไหมคะ เป็นหัวหน้าแบบโจรปล้นก้อนข้าวชาวบ้านผิดไหมคะ ศิษย์บ้านธัมมะบัญญัติเองเลยเอา ไปหาอ่านให้เจอนะคะโรสฟังมาไม่จำหรอกว่าสิกขาบทไหน รู้แต่ว่าคำตถาคตระบุว่าภิกษุตามธรรมวินัยที่รับเงินคือผู้ทุศีล เป็นมิจฉาชีพขโมยปัจจัยสี่ของผู้ที่ทำตามสิกขาบทและยังมีคำ ที่บอกถึงความเลวของผู้รับเงินทรงตรัสเรียกภิกษุในธรรมวินัยที่รับเงินว่า มหาโจรเศรษฐีหัวโล้นอลัชชีไม่มีหิริโอตัปปะปล้นคำสอนทำตนเพื่อลาภสักการะและวัตถุ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 21 ส.ค. 2018, 08:59 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องเห็นสี ของคุณ Rosarin ศิษย์บ้านธัมมะ |
Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: student เขียน: ไม่เข้าใจครับว่า สำนักที่สอนพุทธศาสนา เมื่อไม่ใช่วัด แล้วใครรับรอง ถ้าไม่มีคณะสงฆ์รับรอง ถือว่าขโมยธรรมไหมครับ ภิกษุบริษัททำผิดวินัยเหมือนกันหมดเลยคือรับเงิน การรับเงินของภิกษุคือขาดจากการเป็นภิกษุแล้ว แค่ยังครองจีวรเท่านั้นทำนิสัยเดิมก่อนบวชแต่ มาแสดงตัวเปิดเผยใส่จีวรนั้นแปลว่าโกหก เพราะไม่ทำตามสิกขาบทขโมยปัจจัยสี่ ของผู้ที่ทำตามสิกขาบทได้เป็นโจรค่ะ มีอาการอย่างขโมยทุกครั้งที่ไม่สละ ไม่ปลงอาบัติแถมรับเป็นปกติทุกวัน ปิดกั้นมรรคผลนิพพานตายไปนะ ต้องตกนรกนะคะทราบข้อนี้ไหมคะ เป็นหัวหน้าแบบโจรปล้นก้อนข้าวชาวบ้านผิดไหมคะ ศิษย์บ้านธัมมะบัญญัติเองเลยเอา ไปหาอ่านให้เจอนะคะโรสฟังมาไม่จำหรอกว่าสิกขาบทไหน รู้แต่ว่าคำตถาคตระบุว่าภิกษุตามธรรมวินัยที่รับเงินคือผู้ทุศีล เป็นมิจฉาชีพขโมยปัจจัยสี่ของผู้ที่ทำตามสิกขาบทและยังมีคำ ที่บอกถึงความเลวของผู้รับเงินทรงตรัสเรียกภิกษุในธรรมวินัยที่รับเงินว่า มหาโจรเศรษฐีหัวโล้นอลัชชีไม่มีหิริโอตัปปะปล้นคำสอนทำตนเพื่อลาภสักการะและวัตถุ ไปดูให้แน่ ถ้าไม่แน่มันมั่ว คิกๆๆ เล่นเอาถึงว่า จับเงิน รับเงิน ขาดจากความเป็นพระนี่เลอะแล้ว ที่เห็นมีข้อหนึ่งที่ว่า ภิกษุถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้เกิน ๕ มาสก ขาดจากความเป็นภิกษุ ก็ทำนองๆอทินนาทาน ขโมยของของเขานั่นแล ถ้าอะไรที่เรารู้ไม่ชัด รู้ไม่ถึงแล้วพูด เลอะขอรับ ก็ทำนองพูดเรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา เรื่องอุเบกขา เรื่องปีติ เรื่องปัสสัทธิ เป็นต้นเหล่านี้แหละ ถ้าไม่เคยสัมผัสพูด เด็กมันหัวเราะเอา นี่พูดจริงๆนะขอรับ ไม่ได้พูดเล่น ไปค้นคว้า ไปศึกษา ไปทดลองทำให้มั่นใจ จริงๆนะ รักนะถึงบอก |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |