ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ใครนั่งขัดสมาธิหลับตาบ้านธัมมะว่านั่นคือการทำฌาน http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=56314 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 04 ส.ค. 2018, 21:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | ใครนั่งขัดสมาธิหลับตาบ้านธัมมะว่านั่นคือการทำฌาน |
คุณโรสศิษย์ก้นสำนักบ้านธัมมะว่าใครนั่งขัดสมาธิหลับตาว่าเขาคนนั้นทำฌาน ![]() ![]() อ้างคำพูด:
|
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 04 ส.ค. 2018, 21:17 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครนั่งขัดสมาธิหลับตาบ้านธัมมะว่านั่นคือการทำฌาน |
แบบนี้ เรียกนั่งขัดสมาธิไหม หรือเรียก นั่งคู้บัลลังก์ https://www.dmc.tv/images/00-iimage/570730-6.jpg |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 04 ส.ค. 2018, 21:21 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครนั่งขัดสมาธิหลับตาบ้านธัมมะว่านั่นคือการทำฌาน |
นตฺถิ ฌานํ อปญฺญสฺส ปญฺญา นตฺถิ อฌายโต ยมฺหิ ฌานญฺจ ปญฺญา จ ส เว นิพฺพานสนฺติเก ฯ ฌานย่อมไม่มี แก่ผู้ไร้ปัญญา ปัญญาย่อม ไม่มี แก่ผู้ไร้ฌาน. ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นแล อยู่ใกล้นิพพาน (ขุ.ธ.25/35/65) |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 04 ส.ค. 2018, 21:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครนั่งขัดสมาธิหลับตาบ้านธัมมะว่านั่นคือการทำฌาน |
เอาอีก ฌานสมาบัติทั้งหลาย นอกจากจะเป็นพื้นฐานที่ดี ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุนิพพานแล้ว บางครั้งท่านยังเรียกเป็นนิพพานโดยปริยาย คือ โดยอ้อม หรือโดยความหมายบางแง่บางด้านอีกด้วย เช่น มีพุทธพจน์ตรัสเรียก ฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ และสัญญาเวทยิตนิโรธ แต่ละอย่างๆ ว่าเป็นตทังคนิพพาน บ้าง ทิฏฐธรรมนิพพาน บ้าง สันทิฏฐิกนิพพานบ้าง เช่น ข้อความในบาลีว่า "ภิกษุผู้สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม ฯลฯ เข้าถึงปฐมฌาน แม้เท่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสเรียกว่า เป็นทิฏฐธรรมนิพพาน โดยปริยาย ฯลฯ "ภิกษุก้าวล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนะโดยประการทั้งปวง เข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่, เพราะเห็นด้วยปัญญา อาสวะทั้งหลายของเธอก็หมดสิ้นไป, แม้เพียงเท่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสเรียกว่า เป็นทิฏฐธรรมนิพพาน โดยนิปริยาย " * (องฺ.นวก.23/237,251,255/425,475,476) |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 04 ส.ค. 2018, 21:55 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครนั่งขัดสมาธิหลับตาบ้านธัมมะว่านั่นคือการทำฌาน |
เป็นไงล่ะคุณโรสศิษย์เจ้าสำนักบ้านธัมมะ เอาถึงไปไม่เป็นเลยสิท่า ![]() ![]() |
เจ้าของ: | Rosarin [ 05 ส.ค. 2018, 00:03 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครนั่งขัดสมาธิหลับตาบ้านธัมมะว่านั่นคือการทำฌาน |
[*]Kiss เทียบอันนี้ดูนะคะลืมตาตื่นรู้ความจริง ตามปกติเป็นปกติโดยใช้กาลามสูตร10 โดยวางใจเป็นกลางๆไม่เข้าข้างใครแม้แต่ตนเอง ถ้ามีพระพุทธเจ้าพยากรณ์ล่วงหน้าว่า ใครจะเป็นพระพุทธเจ้าต่อไปเมื่อไหร่ได้ พระสมณโคตมพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ใน พระไตรปิฎกว่ายุคพันปีที่3ไม่มีพระอรหันต์ แล้วมีผู้ออกมาประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วมีการรับเงินทองเป็นปกติถามว่าวินัยรับเงิน คือการปิดกั้นมรรคผลนิพพานแล้วอะไรจริง พระพุทธเจ้าแกล้งพยากรณ์ผิดอย่างนั้นหรือ ไตร่ตรองหลายๆรอบหน่อยนะตายแล้วนั้น ไม่มีใครกลับมาอธิบายความจริงให้รู้น๊า มีแต่ต้องเพียรฟังและมีศรัทธาเลื่อมใสคำสอน ไม่ใช่เลื่อมใสตัวบุคคลเพราะศาสนาคือคำสอน พระธรรมและพระวินัยแทนศาสดาไม่ใช่ตัวบุคคล คำสอนตรงมากว่าต้องฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 05 ส.ค. 2018, 05:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครนั่งขัดสมาธิหลับตาบ้านธัมมะว่านั่นคือการทำฌาน |
Rosarin เขียน: [*]Kiss เทียบอันนี้ดูนะคะลืมตาตื่นรู้ความจริง ตามปกติเป็นปกติโดยใช้กาลามสูตร10 โดยวางใจเป็นกลางๆไม่เข้าข้างใครแม้แต่ตนเอง ถ้ามีพระพุทธเจ้าพยากรณ์ล่วงหน้าว่า ใครจะเป็นพระพุทธเจ้าต่อไปเมื่อไหร่ได้ พระสมณโคตมพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ใน พระไตรปิฎกว่ายุคพันปีที่3ไม่มีพระอรหันต์ แล้วมีผู้ออกมาประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วมีการรับเงินทองเป็นปกติถามว่าวินัยรับเงิน คือการปิดกั้นมรรคผลนิพพานแล้วอะไรจริง พระพุทธเจ้าแกล้งพยากรณ์ผิดอย่างนั้นหรือ ไตร่ตรองหลายๆรอบหน่อยนะตายแล้วนั้น ไม่มีใครกลับมาอธิบายความจริงให้รู้น๊า มีแต่ต้องเพียรฟังและมีศรัทธาเลื่อมใสคำสอน ไม่ใช่เลื่อมใสตัวบุคคลเพราะศาสนาคือคำสอน พระธรรมและพระวินัยแทนศาสดาไม่ใช่ตัวบุคคล คำสอนตรงมากว่าต้องฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ปากก็บอกว่า...ต้องฟังคำพระพุทธเจ้า...ต้องฟังคำพระพุทธเจ้า.. แล้ว...ที่ว่า..."ยุคพันปีที่3ไม่มีพระอรหันต์"....เป็นคำของใครครับ?..เป็นคำของพระพุทธเจ้า..หรือของอาจารย์ยุคหลังๆ.. ![]() ![]() ![]() คุณโรสไปอ่านเจอในพระไตรปิฏกตรงไหน...ช่วยเอามาให้ดูหน่อยซิครับ ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 05 ส.ค. 2018, 05:57 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครนั่งขัดสมาธิหลับตาบ้านธัมมะว่านั่นคือการทำฌาน |
Rosarin เขียน: [*]Kiss เทียบอันนี้ดูนะคะลืมตาตื่นรู้ความจริง ตามปกติเป็นปกติโดยใช้กาลามสูตร10 โดยวางใจเป็นกลางๆไม่เข้าข้างใครแม้แต่ตนเอง ถ้ามีพระพุทธเจ้าพยากรณ์ล่วงหน้าว่า ใครจะเป็นพระพุทธเจ้าต่อไปเมื่อไหร่ได้ พระสมณโคตมพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ใน พระไตรปิฎกว่ายุคพันปีที่3ไม่มีพระอรหันต์ แล้วมีผู้ออกมาประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วมีการรับเงินทองเป็นปกติถามว่าวินัยรับเงิน คือการปิดกั้นมรรคผลนิพพานแล้วอะไรจริง พระพุทธเจ้าแกล้งพยากรณ์ผิดอย่างนั้นหรือ ไตร่ตรองหลายๆรอบหน่อยนะตายแล้วนั้น ไม่มีใครกลับมาอธิบายความจริงให้รู้น๊า มีแต่ต้องเพียรฟังและมีศรัทธาเลื่อมใสคำสอน ไม่ใช่เลื่อมใสตัวบุคคลเพราะศาสนาคือคำสอน พระธรรมและพระวินัยแทนศาสดาไม่ใช่ตัวบุคคล คำสอนตรงมากว่าต้องฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ![]() ![]() ![]() อ้างคำพูด: วินัยรับเงินคือการปิดกั้นมรรคผลนิพพานแล้วอะไรจริง คุณโรสศิษย์ก้นสำนักบ้านธัมมะ เห็นผิดอย่างแร้งแรง คุณโรสเอ๋ย เงินปิดมรรคผลนิพพานไม่ได้หรอก กิเลสในจิตในใจตนต่างหากปิดกั้นมรรคผลนิพพาน คิกๆๆ เขาสมมติเรียกกันว่า เงิน ก็เพื่อใช้แลกเปลี่ยนสิ่งของกันได้ (ครั้งโบราณใครมีอะไรไม่มีอะไรก็นำไปแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ตนไม่มี) ใช้ชำระหนี้ตามกฎหมายได้ ตราบเท่าที่รัฐบาลประเทศนั้นๆยังรับรองการใช้อยู่ ถ้าเมื่อใดรัฐประกาศว่าเลิกใช้ เมื่อนั้นเงินที่ว่าก็เป็นเพียงเศษกระดาษไร้ค่าไป แม่นบ่คับ คุณโรสต้องปรับทัศนคติใหม่หมดเลย อย่าเอาเงินไปปิดกั้นมรรคผลนิพพาน |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 05 ส.ค. 2018, 08:57 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครนั่งขัดสมาธิหลับตาบ้านธัมมะว่านั่นคือการทำฌาน |
ลืมตาก็ไม่รู้ กะพริบตาก็ไม่รู้ ต้องหลับตาจึงรู้จึงเห็น อ้างคำพูด: นั่งสมาธิแล้วเกิดหัวมันหมุนโครงเครงไปเอง เป็นมาได้ประมาณ 3 วันแล้ว เมื่อก่อนนั่งสมาธิก็ไม่เห็นจะมีอาการอะไร แต่เมื่อสามวันก่อนขณะที่นั่งสมาธิ และกำหนดลมหายใจอยู่ เกิดอาการ หัวตึงแน่นๆ แล้วคอก็เอียงไปซ้ายบ้าง ขวาบ้าง แล้วก็มีแบบหัวหมุนไปเองด้วย คือ ขยับไปเอง ไม่ใช่ขยับในจิตนะ คือ ร่างกายที่ไม่ได้สั่งให้มันขยับเนี่ย มันหมุนไปเอง บ้างก็เอนมาหน้า บ้างก็เอนไปหลังเหมือนคนสับปะหงก แต่ไม่ได้หลับนะครับ มีสติ รู้ตัวตลอด ตอนแรกผมนึกว่าโดนของ โดนผีเข้า หรือ เป็นอาการเจ็บป่วยทางร่างกาย แต่ถ้าเป็นอาการโดนของ ผีเข้า หรือเจ็บป่วย ก็ไม่น่าจะมีสติรู้ตัวตลอดเวลาใช่เปล่าครับ ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยโดน ตอนนี้เป็นหนักมาก ขนาดที่ว่าไม่ต้องเข้าสมาธิหรอก แค่ตั้งสมาธิอ่านหนังสือ หัวก็หมุนแล้ว เอียงไปซ้ายที ขวาที บางทีหัวก็หมุนไปเอง แล้วตอนนี้อาการที่ตามมาคือ เวลาออกจากสมาธิมาแล้ว เหมือนคนเฉื่อยๆชาๆ เหมือนอยู่ในภวังค์ตลอดเวลาเลยครับ รบกวนผู้รู้ด้วยครับว่าอาการแบบนี้มันคืออะไร ต้องไปต่อยังไง เพราะนี่มันคือนามรูป มันคือชีวิตที่ทั้งลึกทั้งซึ้งทั้งซับซ้อน ที่แม้ตัวของตัวเองก็ยังไม่เข้าใจ จะกล่าวไปใยถึงนั่งกะพริบตาฟังแม่บริหารฯพูดเล่า |
เจ้าของ: | Rosarin [ 05 ส.ค. 2018, 18:06 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครนั่งขัดสมาธิหลับตาบ้านธัมมะว่านั่นคือการทำฌาน |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: [*]Kiss เทียบอันนี้ดูนะคะลืมตาตื่นรู้ความจริง ตามปกติเป็นปกติโดยใช้กาลามสูตร10 โดยวางใจเป็นกลางๆไม่เข้าข้างใครแม้แต่ตนเอง ถ้ามีพระพุทธเจ้าพยากรณ์ล่วงหน้าว่า ใครจะเป็นพระพุทธเจ้าต่อไปเมื่อไหร่ได้ พระสมณโคตมพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ใน พระไตรปิฎกว่ายุคพันปีที่3ไม่มีพระอรหันต์ แล้วมีผู้ออกมาประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วมีการรับเงินทองเป็นปกติถามว่าวินัยรับเงิน คือการปิดกั้นมรรคผลนิพพานแล้วอะไรจริง พระพุทธเจ้าแกล้งพยากรณ์ผิดอย่างนั้นหรือ ไตร่ตรองหลายๆรอบหน่อยนะตายแล้วนั้น ไม่มีใครกลับมาอธิบายความจริงให้รู้น๊า มีแต่ต้องเพียรฟังและมีศรัทธาเลื่อมใสคำสอน ไม่ใช่เลื่อมใสตัวบุคคลเพราะศาสนาคือคำสอน พระธรรมและพระวินัยแทนศาสดาไม่ใช่ตัวบุคคล คำสอนตรงมากว่าต้องฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ![]() ![]() ![]() อ้างคำพูด: วินัยรับเงินคือการปิดกั้นมรรคผลนิพพานแล้วอะไรจริง คุณโรสศิษย์ก้นสำนักบ้านธัมมะ เห็นผิดอย่างแร้งแรง คุณโรสเอ๋ย เงินปิดมรรคผลนิพพานไม่ได้หรอก กิเลสในจิตในใจตนต่างหากปิดกั้นมรรคผลนิพพาน คิกๆๆ เขาสมมติเรียกกันว่า เงิน ก็เพื่อใช้แลกเปลี่ยนสิ่งของกันได้ (ครั้งโบราณใครมีอะไรไม่มีอะไรก็นำไปแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ตนไม่มี) ใช้ชำระหนี้ตามกฎหมายได้ ตราบเท่าที่รัฐบาลประเทศนั้นๆยังรับรองการใช้อยู่ ถ้าเมื่อใดรัฐประกาศว่าเลิกใช้ เมื่อนั้นเงินที่ว่าก็เป็นเพียงเศษกระดาษไร้ค่าไป แม่นบ่คับ คุณโรสต้องปรับทัศนคติใหม่หมดเลย อย่าเอาเงินไปปิดกั้นมรรคผลนิพพาน ![]() สมมุติเงินแม้แต่รูปิยะสิ่งแทนเงินก็รับไม่ได้ คุณกรัชกายว่าเช็คคือสมมุติแทนเงินไหมคะ งั้นก็สมมุติว่าตาไม่บอดและไม่ได้เห็นแค่สีเลย ดังนั้นเมื่อเห็นเงินใจโลภอยากได้จึงรับไว้ก่อน แต่ตามคำสอนบรรพชาแล้วรับไม่ได้ไม่ใช่สมมุติ เพราะมีผู้ให้มีวัตถุที่ให้และมีผู้รับสำเร็จเป็นอกุศลแล้ว ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 06 ส.ค. 2018, 17:17 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครนั่งขัดสมาธิหลับตาบ้านธัมมะว่านั่นคือการทำฌาน |
Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: [*]Kiss เทียบอันนี้ดูนะคะลืมตาตื่นรู้ความจริง ตามปกติเป็นปกติโดยใช้กาลามสูตร10 โดยวางใจเป็นกลางๆไม่เข้าข้างใครแม้แต่ตนเอง ถ้ามีพระพุทธเจ้าพยากรณ์ล่วงหน้าว่า ใครจะเป็นพระพุทธเจ้าต่อไปเมื่อไหร่ได้ พระสมณโคตมพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ใน พระไตรปิฎกว่ายุคพันปีที่3ไม่มีพระอรหันต์ แล้วมีผู้ออกมาประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วมีการรับเงินทองเป็นปกติถามว่าวินัยรับเงิน คือการปิดกั้นมรรคผลนิพพานแล้วอะไรจริง พระพุทธเจ้าแกล้งพยากรณ์ผิดอย่างนั้นหรือ ไตร่ตรองหลายๆรอบหน่อยนะตายแล้วนั้น ไม่มีใครกลับมาอธิบายความจริงให้รู้น๊า มีแต่ต้องเพียรฟังและมีศรัทธาเลื่อมใสคำสอน ไม่ใช่เลื่อมใสตัวบุคคลเพราะศาสนาคือคำสอน พระธรรมและพระวินัยแทนศาสดาไม่ใช่ตัวบุคคล คำสอนตรงมากว่าต้องฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ![]() ![]() ![]() อ้างคำพูด: วินัยรับเงินคือการปิดกั้นมรรคผลนิพพานแล้วอะไรจริง คุณโรสศิษย์ก้นสำนักบ้านธัมมะ เห็นผิดอย่างแร้งแรง คุณโรสเอ๋ย เงินปิดมรรคผลนิพพานไม่ได้หรอก กิเลสในจิตในใจตนต่างหากปิดกั้นมรรคผลนิพพาน คิกๆๆ เขาสมมติเรียกกันว่า เงิน ก็เพื่อใช้แลกเปลี่ยนสิ่งของกันได้ (ครั้งโบราณใครมีอะไรไม่มีอะไรก็นำไปแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ตนไม่มี) ใช้ชำระหนี้ตามกฎหมายได้ ตราบเท่าที่รัฐบาลประเทศนั้นๆยังรับรองการใช้อยู่ ถ้าเมื่อใดรัฐประกาศว่าเลิกใช้ เมื่อนั้นเงินที่ว่าก็เป็นเพียงเศษกระดาษไร้ค่าไป แม่นบ่คับ คุณโรสต้องปรับทัศนคติใหม่หมดเลย อย่าเอาเงินไปปิดกั้นมรรคผลนิพพาน ![]() สมมุติเงินแม้แต่รูปิยะสิ่งแทนเงินก็รับไม่ได้ คุณกรัชกายว่าเช็คคือสมมุติแทนเงินไหมคะ งั้นก็สมมุติว่าตาไม่บอดและไม่ได้เห็นแค่สีเลย ดังนั้นเมื่อเห็นเงินใจโลภอยากได้จึงรับไว้ก่อน แต่ตามคำสอนบรรพชาแล้วรับไม่ได้ไม่ใช่สมมุติ เพราะมีผู้ให้มีวัตถุที่ให้และมีผู้รับสำเร็จเป็นอกุศลแล้ว คุณโรสเอ๋ย ทำความเข้าใจสมมติให้ชัด เงินมิได้ปิดกั้นมรรคผลนิพพาน กิเลสในใจของแต่ละคนๆนั่นแหละปิดกั้นมรรคผลนิพพาน ต่อให้ไม่มีทรัพย์สินเงินทองเลยสักเก๊เดียว อาศัยใต้สะพานลอยเป็นที่อยู่ ถ้ายังมีกิเลสก็ไม่ประสบมรรคผลนิพพาน มีอะไรก็สละหมดเหลือแต่กางเกงในตัวเดียว แต่ยังมีกิเลสก็ไม่สบมรรคผลนิพพาน ในที่สุดไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรเลย กางเกงในก็ไม่นุ่ง แก้ผ้ายืน เดิน นั่ง นอน ก็ไม่ประสบมรรคผลนิพพาน มีทรัยพ์สมบัติ แต่ปฏิบัติถูกต้องก็ประสบมรรคผลนิพพานได้ ครั้งพุทธกาลมีบุคคลตัวอย่างเยอะแยะ เช่น นางวิสาขามหาอุบาสิกา เป็นต้น ทรัพย์สมบัติเงินทองเป็น ปัจจัย เป็นเครื่องอาศัยเพื่อให้ทำอะไรๆได้สะดวกขึ้น สะดวกกว่าผู้ซึ่งไม่มีอะไรๆเลย คิกๆๆ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 07 ส.ค. 2018, 00:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครนั่งขัดสมาธิหลับตาบ้านธัมมะว่านั่นคือการทำฌาน |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: [*]Kiss เทียบอันนี้ดูนะคะลืมตาตื่นรู้ความจริง ตามปกติเป็นปกติโดยใช้กาลามสูตร10 โดยวางใจเป็นกลางๆไม่เข้าข้างใครแม้แต่ตนเอง ถ้ามีพระพุทธเจ้าพยากรณ์ล่วงหน้าว่า ใครจะเป็นพระพุทธเจ้าต่อไปเมื่อไหร่ได้ พระสมณโคตมพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ใน พระไตรปิฎกว่ายุคพันปีที่3ไม่มีพระอรหันต์ แล้วมีผู้ออกมาประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วมีการรับเงินทองเป็นปกติถามว่าวินัยรับเงิน คือการปิดกั้นมรรคผลนิพพานแล้วอะไรจริง พระพุทธเจ้าแกล้งพยากรณ์ผิดอย่างนั้นหรือ ไตร่ตรองหลายๆรอบหน่อยนะตายแล้วนั้น ไม่มีใครกลับมาอธิบายความจริงให้รู้น๊า มีแต่ต้องเพียรฟังและมีศรัทธาเลื่อมใสคำสอน ไม่ใช่เลื่อมใสตัวบุคคลเพราะศาสนาคือคำสอน พระธรรมและพระวินัยแทนศาสดาไม่ใช่ตัวบุคคล คำสอนตรงมากว่าต้องฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ![]() ![]() ![]() อ้างคำพูด: วินัยรับเงินคือการปิดกั้นมรรคผลนิพพานแล้วอะไรจริง คุณโรสศิษย์ก้นสำนักบ้านธัมมะ เห็นผิดอย่างแร้งแรง คุณโรสเอ๋ย เงินปิดมรรคผลนิพพานไม่ได้หรอก กิเลสในจิตในใจตนต่างหากปิดกั้นมรรคผลนิพพาน คิกๆๆ เขาสมมติเรียกกันว่า เงิน ก็เพื่อใช้แลกเปลี่ยนสิ่งของกันได้ (ครั้งโบราณใครมีอะไรไม่มีอะไรก็นำไปแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ตนไม่มี) ใช้ชำระหนี้ตามกฎหมายได้ ตราบเท่าที่รัฐบาลประเทศนั้นๆยังรับรองการใช้อยู่ ถ้าเมื่อใดรัฐประกาศว่าเลิกใช้ เมื่อนั้นเงินที่ว่าก็เป็นเพียงเศษกระดาษไร้ค่าไป แม่นบ่คับ คุณโรสต้องปรับทัศนคติใหม่หมดเลย อย่าเอาเงินไปปิดกั้นมรรคผลนิพพาน ![]() สมมุติเงินแม้แต่รูปิยะสิ่งแทนเงินก็รับไม่ได้ คุณกรัชกายว่าเช็คคือสมมุติแทนเงินไหมคะ งั้นก็สมมุติว่าตาไม่บอดและไม่ได้เห็นแค่สีเลย ดังนั้นเมื่อเห็นเงินใจโลภอยากได้จึงรับไว้ก่อน แต่ตามคำสอนบรรพชาแล้วรับไม่ได้ไม่ใช่สมมุติ เพราะมีผู้ให้มีวัตถุที่ให้และมีผู้รับสำเร็จเป็นอกุศลแล้ว คุณโรสเอ๋ย ทำความเข้าใจสมมติให้ชัด เงินมิได้ปิดกั้นมรรคผลนิพพาน กิเลสในใจของแต่ละคนๆนั่นแหละปิดกั้นมรรคผลนิพพาน ต่อให้ไม่มีทรัพย์สินเงินทองเลยสักเก๊เดียว อาศัยใต้สะพานลอยเป็นที่อยู่ ถ้ายังมีกิเลสก็ไม่ประสบมรรคผลนิพพาน มีอะไรก็สละหมดเหลือแต่กางเกงในตัวเดียว แต่ยังมีกิเลสก็ไม่สบมรรคผลนิพพาน ในที่สุดไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรเลย กางเกงในก็ไม่นุ่ง แก้ผ้ายืน เดิน นั่ง นอน ก็ไม่ประสบมรรคผลนิพพาน มีทรัยพ์สมบัติ แต่ปฏิบัติถูกต้องก็ประสบมรรคผลนิพพานได้ ครั้งพุทธกาลมีบุคคลตัวอย่างเยอะแยะ เช่น นางวิสาขามหาอุบาสิกา เป็นต้น ทรัพย์สมบัติเงินทองเป็น ปัจจัย เป็นเครื่องอาศัยเพื่อให้ทำอะไรๆได้สะดวกขึ้น สะดวกกว่าผู้ซึ่งไม่มีอะไรๆเลย คิกๆๆ ![]() บรรลุธรรมชั้นเดียวกันบวชกับไม่บวชต่างกันไหม ถ้าปากบอกว่าสละแต่รับเงินเห็นๆอยู่นั่นน่ะผิดไหม เขาเรียกสตอเบอรี่สดๆไม่มีเซ็นเซอร์รู้หรือเปล่าค๊าา มีนรกภูมิเป็นที่ไปเพราะรับเงินทุศีลบรรลุธรรมไม่ได้ ชาวบ้านเขากราบผ้ากาสาวพัตรแต่ถ้าคุณธรรมไม่มี ต่างอะไรกับผ้าห่อมูตรคูตรมันส่งผลให้ขาดจากพระ เพราะไม่ประเสริฐอะไรแค่เปลี่ยนสีผ้าที่ห่มกายนั้น ใจลงนรกรอแล้วไม่รู้หรือสมัยนี้ผ้าเต็มตลาดเลย แค่อยากบวชไม่รู้เลยว่าบวชคืออะไรอ่านให้ชัดๆ บรรพชาคือประกาศตนให้ชาวบ้านรู้ด้วยสีผ้าที่ครองว่า ขอสละสมบัติบ้านเรือนไม่ทำมาหากินเพราะต้องการมรรคผล ขออนุญาตมาอยู่จำวัดหากินด้วยปลีแข้งตามพระพุทธเจ้า แล้วยังมารับเงินทองทำเพื่อลาภยศวัตถุเป็นโจรปล้นปัจจัยสี่ ที่ชาวบ้านเขาเอามาถวายผู้ทำตามสิกขาบทอริยสัจจธัมมะ ไม่ใช่ทำมั่วๆโลภเหมือนเดิมได้ไงค๊าาาาดูสิคะตาไม่บอด ดูไม่ได้เลยยังมีนิสัยชอบใช้เงินทองอยู่ก็อย่าไปห่มจีวรต้องเลือกถูกแต่แรกอย่ามั่วนิ่ม ตอนรับเงินนั้นน่ะมันชัดเจนแล้วว่ายังชอบใช้เงินไม่เหมาะกับเพศนักบวชแล้ว มันขาดจากความเป็นพระแล้วตั้งแต่รับเงินไม่ละอายแก่ใจเลยหรือคะ สำนึกไหมไม่ได้พิการไม่กลัวชาติหน้าเกิดเป็นง่อยหรือคะ ถ้าบริสุทธิ์ใจเรื่องเงินว่าตนไม่โลภก็สละออกมาเป็น ของส่วนกลางให้รัฐบาลดูแลสิคะจะเก็บสะสม รอให้ตายก่อนมันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วค่ะ ถ้าดีจริงก็ต้องเปิดเผยจริงใจอย่างุบงิบ หมกเม็ดนั้นมันปิดไม่อยู่แล้วชาวบ้าน เขาวิจารณ์กันทั่วโลกแล้วดูสิคะว่า มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา เขาเผยแพร่กี่ภาษาและผู้ที่ฟังคำสอนดั้งเดิมจนเกิดปัญญา มองเห็นแล้วประกาศคำสอนของพระศาสดาให้เปิดเผย คนเขาตาสว่างกันแล้วจะปิดกันให้แซดอีกต่อไปหรือคะ ทนได้ทนไปจะประกาศคำตถาคตทุกวันจนกว่าจะสึกไปให้หมด ภิกษุณีไม่มีได้ก็ไม่ต้องมีภิกษุใครจะกราบลงเห็นผ้าเหลืองเดินหนีค่ะ แต่เห็นขอทานรีบแบ่งของให้เลยประมาทการฟังคำสอนมากกันนัก ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 09 ส.ค. 2018, 11:19 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครนั่งขัดสมาธิหลับตาบ้านธัมมะว่านั่นคือการทำฌาน |
Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: [*]Kiss เทียบอันนี้ดูนะคะลืมตาตื่นรู้ความจริง ตามปกติเป็นปกติโดยใช้กาลามสูตร10 โดยวางใจเป็นกลางๆไม่เข้าข้างใครแม้แต่ตนเอง ถ้ามีพระพุทธเจ้าพยากรณ์ล่วงหน้าว่า ใครจะเป็นพระพุทธเจ้าต่อไปเมื่อไหร่ได้ พระสมณโคตมพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ใน พระไตรปิฎกว่ายุคพันปีที่3ไม่มีพระอรหันต์ แล้วมีผู้ออกมาประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วมีการรับเงินทองเป็นปกติถามว่าวินัยรับเงิน คือการปิดกั้นมรรคผลนิพพานแล้วอะไรจริง พระพุทธเจ้าแกล้งพยากรณ์ผิดอย่างนั้นหรือ ไตร่ตรองหลายๆรอบหน่อยนะตายแล้วนั้น ไม่มีใครกลับมาอธิบายความจริงให้รู้น๊า มีแต่ต้องเพียรฟังและมีศรัทธาเลื่อมใสคำสอน ไม่ใช่เลื่อมใสตัวบุคคลเพราะศาสนาคือคำสอน พระธรรมและพระวินัยแทนศาสดาไม่ใช่ตัวบุคคล คำสอนตรงมากว่าต้องฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ![]() ![]() ![]() อ้างคำพูด: วินัยรับเงินคือการปิดกั้นมรรคผลนิพพานแล้วอะไรจริง คุณโรสศิษย์ก้นสำนักบ้านธัมมะ เห็นผิดอย่างแร้งแรง คุณโรสเอ๋ย เงินปิดมรรคผลนิพพานไม่ได้หรอก กิเลสในจิตในใจตนต่างหากปิดกั้นมรรคผลนิพพาน คิกๆๆ เขาสมมติเรียกกันว่า เงิน ก็เพื่อใช้แลกเปลี่ยนสิ่งของกันได้ (ครั้งโบราณใครมีอะไรไม่มีอะไรก็นำไปแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ตนไม่มี) ใช้ชำระหนี้ตามกฎหมายได้ ตราบเท่าที่รัฐบาลประเทศนั้นๆยังรับรองการใช้อยู่ ถ้าเมื่อใดรัฐประกาศว่าเลิกใช้ เมื่อนั้นเงินที่ว่าก็เป็นเพียงเศษกระดาษไร้ค่าไป แม่นบ่คับ คุณโรสต้องปรับทัศนคติใหม่หมดเลย อย่าเอาเงินไปปิดกั้นมรรคผลนิพพาน ![]() สมมุติเงินแม้แต่รูปิยะสิ่งแทนเงินก็รับไม่ได้ คุณกรัชกายว่าเช็คคือสมมุติแทนเงินไหมคะ งั้นก็สมมุติว่าตาไม่บอดและไม่ได้เห็นแค่สีเลย ดังนั้นเมื่อเห็นเงินใจโลภอยากได้จึงรับไว้ก่อน แต่ตามคำสอนบรรพชาแล้วรับไม่ได้ไม่ใช่สมมุติ เพราะมีผู้ให้มีวัตถุที่ให้และมีผู้รับสำเร็จเป็นอกุศลแล้ว คุณโรสเอ๋ย ทำความเข้าใจสมมติให้ชัด เงินมิได้ปิดกั้นมรรคผลนิพพาน กิเลสในใจของแต่ละคนๆนั่นแหละปิดกั้นมรรคผลนิพพาน ต่อให้ไม่มีทรัพย์สินเงินทองเลยสักเก๊เดียว อาศัยใต้สะพานลอยเป็นที่อยู่ ถ้ายังมีกิเลสก็ไม่ประสบมรรคผลนิพพาน มีอะไรก็สละหมดเหลือแต่กางเกงในตัวเดียว แต่ยังมีกิเลสก็ไม่สบมรรคผลนิพพาน ในที่สุดไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรเลย กางเกงในก็ไม่นุ่ง แก้ผ้ายืน เดิน นั่ง นอน ก็ไม่ประสบมรรคผลนิพพาน มีทรัยพ์สมบัติ แต่ปฏิบัติถูกต้องก็ประสบมรรคผลนิพพานได้ ครั้งพุทธกาลมีบุคคลตัวอย่างเยอะแยะ เช่น นางวิสาขามหาอุบาสิกา เป็นต้น ทรัพย์สมบัติเงินทองเป็น ปัจจัย เป็นเครื่องอาศัยเพื่อให้ทำอะไรๆได้สะดวกขึ้น สะดวกกว่าผู้ซึ่งไม่มีอะไรๆเลย คิกๆๆ ![]() บรรลุธรรมชั้นเดียวกันบวชกับไม่บวชต่างกันไหม ถ้าปากบอกว่าสละแต่รับเงินเห็นๆอยู่นั่นน่ะผิดไหม เขาเรียกสตอเบอรี่สดๆไม่มีเซ็นเซอร์รู้หรือเปล่าค๊าา มีนรกภูมิเป็นที่ไปเพราะรับเงินทุศีลบรรลุธรรมไม่ได้ ชาวบ้านเขากราบผ้ากาสาวพัตรแต่ถ้าคุณธรรมไม่มี ต่างอะไรกับผ้าห่อมูตรคูตรมันส่งผลให้ขาดจากพระ เพราะไม่ประเสริฐอะไรแค่เปลี่ยนสีผ้าที่ห่มกายนั้น ใจลงนรกรอแล้วไม่รู้หรือสมัยนี้ผ้าเต็มตลาดเลย แค่อยากบวชไม่รู้เลยว่าบวชคืออะไรอ่านให้ชัดๆ บรรพชาคือประกาศตนให้ชาวบ้านรู้ด้วยสีผ้าที่ครองว่า ขอสละสมบัติบ้านเรือนไม่ทำมาหากินเพราะต้องการมรรคผล ขออนุญาตมาอยู่จำวัดหากินด้วยปลีแข้งตามพระพุทธเจ้า แล้วยังมารับเงินทองทำเพื่อลาภยศวัตถุเป็นโจรปล้นปัจจัยสี่ ที่ชาวบ้านเขาเอามาถวายผู้ทำตามสิกขาบทอริยสัจจธัมมะ ไม่ใช่ทำมั่วๆโลภเหมือนเดิมได้ไงค๊าาาาดูสิคะตาไม่บอด ดูไม่ได้เลยยังมีนิสัยชอบใช้เงินทองอยู่ก็อย่าไปห่มจีวรต้องเลือกถูกแต่แรกอย่ามั่วนิ่ม ตอนรับเงินนั้นน่ะมันชัดเจนแล้วว่ายังชอบใช้เงินไม่เหมาะกับเพศนักบวชแล้ว มันขาดจากความเป็นพระแล้วตั้งแต่รับเงินไม่ละอายแก่ใจเลยหรือคะ สำนึกไหมไม่ได้พิการไม่กลัวชาติหน้าเกิดเป็นง่อยหรือคะ ถ้าบริสุทธิ์ใจเรื่องเงินว่าตนไม่โลภก็สละออกมาเป็น ของส่วนกลางให้รัฐบาลดูแลสิคะจะเก็บสะสม รอให้ตายก่อนมันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วค่ะ ถ้าดีจริงก็ต้องเปิดเผยจริงใจอย่างุบงิบ หมกเม็ดนั้นมันปิดไม่อยู่แล้วชาวบ้าน เขาวิจารณ์กันทั่วโลกแล้วดูสิคะว่า มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา เขาเผยแพร่กี่ภาษาและผู้ที่ฟังคำสอนดั้งเดิมจนเกิดปัญญา มองเห็นแล้วประกาศคำสอนของพระศาสดาให้เปิดเผย คนเขาตาสว่างกันแล้วจะปิดกันให้แซดอีกต่อไปหรือคะ ทนได้ทนไปจะประกาศคำตถาคตทุกวันจนกว่าจะสึกไปให้หมด ภิกษุณีไม่มีได้ก็ไม่ต้องมีภิกษุใครจะกราบลงเห็นผ้าเหลืองเดินหนีค่ะ แต่เห็นขอทานรีบแบ่งของให้เลยประมาทการฟังคำสอนมากกันนัก ประเด็นนี้นำไปตั้งกระทู้ใหม่ viewtopic.php?f=1&t=56323 |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 23 ส.ค. 2018, 11:36 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครนั่งขัดสมาธิหลับตาบ้านธัมมะว่านั่นคือการทำฌาน |
อ้างคำพูด: Rosarin ปัญญาเกิดตามลำดับเจริญขึ้นจากการฟัง แม้แต่ฌานก็เจริญขึ้นตามลำดับ ฌานนี่ต้องหลับตาทำใช่ไหมคะ แต่วิปัสสนาคือปัญญารู้แยกแยะทุกอย่างตอนตื่นรู้แจ้งค่ะ viewtopic.php?f=1&t=56293&p=425450#p425450 นี่ก็ว่าฌานต้องหลับตา วิปัสสนารู้แยกแยะ...ตอนตื่น แต่ย้อนกลับขึ้นไป ก็จะเห็นว่า ฌานดอดขึ้นมาเจริญตอนลืมตาฟัง ![]() ถ้าให้เปรียบคุณโรสก็เหมือนมวยไม่มีครูไม่มีหลักไม่ศึกษาหลัก ฟังแต่คลิปแม่สุจินแล้วนำมาปะติดปะต่อกันแล้วพูดสะเปะสะปะมั่วไปหมด |
เจ้าของ: | Rosarin [ 23 ส.ค. 2018, 21:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครนั่งขัดสมาธิหลับตาบ้านธัมมะว่านั่นคือการทำฌาน |
กรัชกาย เขียน: อ้างคำพูด: Rosarin ปัญญาเกิดตามลำดับเจริญขึ้นจากการฟัง แม้แต่ฌานก็เจริญขึ้นตามลำดับ ฌานนี่ต้องหลับตาทำใช่ไหมคะ แต่วิปัสสนาคือปัญญารู้แยกแยะทุกอย่างตอนตื่นรู้แจ้งค่ะ viewtopic.php?f=1&t=56293&p=425450#p425450 นี่ก็ว่าฌานต้องหลับตา วิปัสสนารู้แยกแยะ...ตอนตื่น แต่ย้อนกลับขึ้นไป ก็จะเห็นว่า ฌานดอดขึ้นมาเจริญตอนลืมตาฟัง ![]() ถ้าให้เปรียบคุณโรสก็เหมือนมวยไม่มีครูไม่มีหลักไม่ศึกษาหลัก ฟังแต่คลิปแม่สุจินแล้วนำมาปะติดปะต่อกันแล้วพูดสะเปะสะปะมั่วไปหมด ![]() ทุกอย่างมีเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเป็นธรรมดา เดี๋ยวนี้เลยเป็นธรรมดาที่มีความไม่รู้เพราะ ไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเพื่อให้คิดถูกไง พึ่งคำวาจาสัจจะของตถาคตตรงขณะทำไง บอกมาสิ...อ้อหลังกะพริบตาน่ะเลยขณะปัจจุบันแล้วก็ไม่รู้ ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |