วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 06:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 116 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2018, 20:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คำพระสอน..

อ้างคำพูด:

เรื่องของเวลาในแต่ละมิติแตกต่างกันมาก โลกมนุษย์สั้นที่สุด เวลาของสวรรค์ ๖ ชั้นก็แตกต่างกัน ของพรหมก็นานมาก แต่บนพระนิพพานไม่มีเวลา มีรายละเอียดอยู่มาก เวลาทางธรรม มีแต่ขณะจิตเดียว มีแต่เดี๋ยวนี้ มีแต่ปัจจุบันธรรม มีรายละเอียดอยู่มาก ทั้งหมดในเรื่องของเวลาทรงตรัสสอนไว้แล้วทั้งสิ้น จึงไม่มีการทบทวนกันอีก เมื่อเข้าใจเรื่องเวลาแล้ว ก็ควรจะเข้าใจเรื่องอุปาทานขันธ์ ๕ ด้วย อารมณ์หลงยึดมั่นถือมั่นว่า ร่างกายหรือขันธ์ ๕ นี้เป็นเราเป็นของเรา ย่อมมีอยู่กับจิตของบุคคลทั่ว ๆ ไปที่ยังไม่ใช่พระอริยเจ้าเบื้องสูงอยู่เป็นธรรมดา

เมื่อร่างกายตายไป แต่จิตยังไม่หมดอุปาทานขันธ์ ๕ ก็ต้องไปเสวยกรรมตามที่จิตทำไว้ ขอเน้นเฉพาะพวกที่จิตไปเสวยกรรมดีที่เป็นกุศล เช่น เป็นเทวดา นางฟ้า ซึ่งไม่มีขันธ์ ๕ หรือกายหยาบ จิตซึ่งไม่ตายเป็นอมตะ จึงมีความสุขมากในขณะนั้น เพราะไม่มีขันธ์ ๕ หรือกายหยาบ เมื่อขันธ์ ๕ ไม่มี ทุกขเวทนาของร่างกายก็ไม่มี จิตรับแต่ความสุขหรือสุขเวทนาแต่อย่างเดียว และในขณะนั้นหากมีผู้มาแนะนำการปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น จิตจะยอมรับและตัดกิเลสได้รวดเร็วกว่าขณะที่ยังมีขันธ์ ๕ อยู่ในโลกมนุษย์มากมายนักหากจิตดวงนั้นมีพื้นฐานของการปฏิบัติธรรมที่ดีมาก่อน ตอนที่ร่างกายหรือขันธ์ ๕ ยังมีชีวิตอยู่ จิตไม่มีเวลา จิตจึงสามารถบรรลุมรรคผลได้ในขณะจิตเดียวทั้งสิ้น ด้วยธัมโมอัปมาโณ

เวลาสมมุติทางโลก ก็ยังไม่ตรงกันแต่ละจุดของโลก แม้นาฬิกา ๒ เรือนในบ้านเดียวกันก็ยังเดินกันไม่ตรงกัน นักปฏิบัติธรรม จึงจำเป็นต้องรู้เวลาทางธรรมว่าเป็นอย่างไร การปฏิบัติธรรมจะให้ได้ผล จิตต้องอยู่ในธรรมปัจจุบัน อย่ายุ่งกับอดีต อย่าสร้างอนาคตธรรม การบรรลุธรรมเขาบรรลุกันในขณะจิตเดียว และธรรมในพุทธศาสนาจริงเดี๋ยวนี้ จริงในขณะจิตนี้ จริงในปัจจุบันเท่านั้น หากไม่รู้เรื่องเวลาทางธรรมว่าคือขณะจิตเดียว ก็ยากที่จะพ้นทุกข์ได้

สรุปว่าทุกครั้งที่ปฏิบัติต้องอยู่ในปัจจุบันธรรม และทำจิตให้ดีที่สุดเท่าที่จะพึงทำได้ ในขณะจิตนี้ เดี๋ยวนี้ ในปัจจุบันนี้เท่านั้น แล้วอย่างอื่นก็จะดีหมด



:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2018, 20:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
เอาร่างกายเป็นครูสอนจิต เวลาที่ร่างกายทรุดโทรม ให้สำรวมจิตเอาไว้เสมอ อย่าประมาทในชีวิต ความตายอาจจักมาเยือนร่างกายได้ทุก ๆ ขณะจิต

- ใคร ๆ ย่อมไม่รู้เรื่องร่างกายของตัวเราเองเท่ากับเรา แต่เราย่อมไม่รู้ถึงกฎของกรรมที่จักเข้ามาตัดรอนชีวิตเมื่อไหร่ ดังนั้น จงพยายามรวบรวมกำลังใจให้เข้มแข็งเข้าไว้เสมอ ด้วยความไม่ประมาท

- ดูศีล สมาธิ ปัญญา อย่ามองอย่างอื่น งานการทำไปตามหน้าที่ อย่าไปห่วงใคร อย่าไปห่วงการงาน ให้ทำไปตามปกติ แต่พยายามชำระจิตให้พร้อมที่จักทิ้งการงานได้อย่างไม่มีเยื่อใย

- จิตใจที่ฝึกทิ้งร่างกายก็เช่นกัน พยายามปล่อยวางร่างกายให้เป็นไปตามธรรมชาติ

- จงดูแลร่างกายเพียงแต่หน้าที่เท่านั้น วางจิตให้พร้อม ปล่อยวางร่างกายตลอดเวลาด้วย

- การเยียวยารักษาร่างกายจำเป็นต้องมี แต่ก็ดูให้สมควรแก่อัตภาพ ทำเท่าที่จักทำได้

- ไม่ควรห่วงร่างกายให้มากจนเกินไป คิดแต่จักบำรุงร่างกายจนลืมรักษาจิตใจ จุดนี้สำคัญมาก ควรจักรักษาให้ดี

- ทำใจให้สบาย ชำระจิตอย่าให้กังวลกับร่างกายให้มากจนเกินไป พิจารณาให้เห็นปกติธรรมของร่างกายให้มาก จิตจักได้ไม่เป็นทุกข์ไปกับร่างกาย

- ระลึกเอาไว้เสมอว่า ตายแน่ แต่จงตั้งใจไปพระนิพพาน พยายามต่อสู้กับจิตที่ฝืนความเป็นจริงให้มาก ๆ

- ยิ่งป่วย ยิ่งวัดกำลังใจในผลของการปฏิบัติได้ดี ให้อยู่กับพุทโธให้มาก ๆ แล้วทุกขเวทนาจักคลายลง

- เอาร่างกายเป็นครูสอนจิตซิ อย่าท้อใจ ให้เห็นธรรมดาของร่างกายที่จักต้องเป็นเช่นนี้ มีมีใครสามารถห้ามร่างกายไม่ให้เป็นไปตามกฎของธรรมดาได้



:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2018, 20:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คำพระสอน..

อ้างคำพูด:
อย่าสนใจจริยาของผู้อื่น กรรมใครย่อมเป็นกรรมมัน ให้มองลึกซึ้งถึงกฎของกรรม เคารพในกฎของกรรม ทำจิตให้สบาย ๆ ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างในโลกตลอดเวลา กิจการงานทำตามหน้าที่ อย่าไปพึงเป็นทุกข์ด้วย ทำด้วยอารมณ์ปลด ทำอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ก็ปลดอยู่ตลอดเวลา จิตก็จักเป็นสุข พยายามทำให้ได้ตามนี้ แต่ก็ไม่ง่ายนักหรอก ต้องพยายามฝึกฝนสติหรือสมาธิจิตให้ตั้งมั่นยิ่ง ๆ ขึ้นไป แล้วพยายามอย่าให้มีอารมณ์หนักใจ หากหงุดหงิดก็ต้องหาสาเหตุ หาเหตุพบแล้วก็จงพิจารณาเหตุนั้นด้วยปัญญา จักเป็นว่าหรือสรุปได้ว่า หลงยึดขันธ์ ๕ ทั้งสิ้น นี้เป็นความโง่ของจิต ถามตอบจิตเข้าไปจึงจักแก้จิตที่หงุดหงิดลงได้ แล้วประการสำคัญ จงอย่าสนใจจริยาของผู้อื่น



:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2018, 21:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คำพระสอน..

อ้างคำพูด:
เรื่องกรรมเก่าหรือกรรมใหม่ แพทย์สั่งยาให้ แต่ผู้จ่ายยาจ่ายยาให้ไม่ตรงกับแพทย์สั่ง ทรงตรัสว่า เป็นกรรมเก่าอกุศลกรรมให้ผลเป็นโทษของกรรมปาณาติบาต เป็นโทษของการวางยาผิดในสมัยอดีตชาติ ชาตินี้หมอให้ยาถูก แต่ห้องจ่ายยาก็ให้ยาผิด ตามกฎของกรรมที่บังคับมาให้เป็นไปอย่างนั้น คำว่ากรรมใหม่เป็นการกระทำของตนเองในชาติปัจจุบัน อย่างเช่นตั้งต้นละเมิดศีล ๕ หรือกรรมบถ ๑๐ ใหม่เป็นต้น หรืออย่างติดในรสอาหาร กินโดยไม่พิจารณาคุณและโทษของอาหาร ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ขึ้นมา เป็นต้น กฎของกรรมบังคับขันธ์ ๕ ได้ แต่ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว กฎของกรรมบังคับจิตใจของพระอริยเจ้าผู้รู้อยู่ กำหนดอยู่ว่าขันธ์ ๕ นี้ไม่ใช่เรา กฎของกรรมบังคับจิตใจไม่ได้เลย พึงพิจารณาและทำจิตเช่นนี้ ถ้าเข้าใจเรื่องนี้เรื่องเดียว ก็จักเข้าใจเรื่องต่าง ๆ อันเกิดขึ้นตามวาระกรรมได้หมด จิตจักอยู่อย่างเป็นสุข ด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักเสวยสุข เสวยทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ก็หาใช่เรื่องของจิตไม่ จิตสักเพียงแต่ว่ารู้ สักเพียงแต่ว่าอาศัย ไม่ได้ติดอยู่ด้วยเลย



:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2018, 20:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
การปฏิบัติจักต้องดูอารมณ์จิต และแก้ไขอารมณ์จิตอยู่เสมอ ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งในโลกเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป เป็นปกติธรรม ทุกอย่างหาความทรงตัวไม่ได้ ให้ดูอารมณ์จิตที่โง่ ฝืนกฎของความเป็นจริง จิตมักจักคิดว่าเที่ยงอยู่เสมอ จักละกิเลสต้องหมั่นพิจารณาอารมณ์ของจิตเอาไว้เสมอ ๆ แล้วหมั่นแก้ไขอารมณ์ของจิตเอาไว้ด้วย จึงจักมีผลในการปฏิบัติ อาทิเช่น การทรุดโทรมย่อมเป็นไปตามปกติธรรมของร่างกาย ซึ่งไม่มีใครหนีกฎธรรมดานี้ไปได้ สักแต่ว่าต่างกรรมต่างวาระเท่านั้นเอง อย่าฝืนความจริงของร่างกาย แล้วให้ยอมรับด้วยจิตเป็นสุข สุขที่ว่ารู้แล้วร่างกายมันจักต้องเป็นอย่างนี้ต่อไปข้างหน้า ตั้งใจเอาไว้เลยในทุก ๆ ขณะจิตว่า ร่างกายอย่างนี้จักไม่มีกับเราอีก พร้อมกับพยายามชำระจิต อย่าให้ไปเกาะอยู่กับเวทนาของร่างกาย การเยียวยารักษาจำเป็นต้องมี แล้วก็มีไปตามอัตภาพที่จักทำได้ แล้วจงอย่าไปทุกข์กับการรักษาเยียวยา ทำจิตให้โปร่งเข้าไว้ รักษาได้แค่ไหนก็แค่นั้น อย่าฝืนร่างกายให้มากจนเกินไป จักเป็นภัยให้เป็นโทษกับจิตในเบื้องหน้า ต้องรู้จักประมาณกำลังของร่างกายเอาไว้ด้วย จักไม่ต้องเดือดร้อนในภายหลัง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2018, 21:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
การปฏิบัติจักต้องดูอารมณ์จิต และแก้ไขอารมณ์จิตอยู่เสมอ ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งในโลกเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป เป็นปกติธรรม ทุกอย่างหาความทรงตัวไม่ได้ ให้ดูอารมณ์จิตที่โง่ ฝืนกฎของความเป็นจริง จิตมักจักคิดว่าเที่ยงอยู่เสมอ จักละกิเลสต้องหมั่นพิจารณาอารมณ์ของจิตเอาไว้เสมอ ๆ แล้วหมั่นแก้ไขอารมณ์ของจิตเอาไว้ด้วย จึงจักมีผลในการปฏิบัติ อาทิเช่น การทรุดโทรมย่อมเป็นไปตามปกติธรรมของร่างกาย ซึ่งไม่มีใครหนีกฎธรรมดานี้ไปได้ สักแต่ว่าต่างกรรมต่างวาระเท่านั้นเอง อย่าฝืนความจริงของร่างกาย แล้วให้ยอมรับด้วยจิตเป็นสุข สุขที่ว่ารู้แล้วร่างกายมันจักต้องเป็นอย่างนี้ต่อไปข้างหน้า ตั้งใจเอาไว้เลยในทุก ๆ ขณะจิตว่า ร่างกายอย่างนี้จักไม่มีกับเราอีก พร้อมกับพยายามชำระจิต อย่าให้ไปเกาะอยู่กับเวทนาของร่างกาย การเยียวยารักษาจำเป็นต้องมี แล้วก็มีไปตามอัตภาพที่จักทำได้ แล้วจงอย่าไปทุกข์กับการรักษาเยียวยา ทำจิตให้โปร่งเข้าไว้ รักษาได้แค่ไหนก็แค่นั้น อย่าฝืนร่างกายให้มากจนเกินไป จักเป็นภัยให้เป็นโทษกับจิตในเบื้องหน้า ต้องรู้จักประมาณกำลังของร่างกายเอาไว้ด้วย จักไม่ต้องเดือดร้อนในภายหลัง

:b12:
ไม่เริ่มฟังพระพุทธพจน์จะเกิดปัญญาของตนเองหรือคะ
ตถาคตตรัสทุกคำ45พรรษาชาตินี้ฟังเข้าใจไปกี่คำแล้วคะ
คิดไหมคะกว่าจะได้เกิดมาเป็นคนที่ตาดีหูดีแต่ไม่รู้ความจริงที่มี
จะรอไปรู้ตอนไหนคะคำตถาคตพึ่งได้ตอนกำลังคิดตรงทีละ1คำเท่านั้น
เกิน1คำแปลว่าจำแต่เงาสภาพธรรมที่อ่านนั้นแหละเงาสภาพธรรมทั้งหมด
ความจริงตามคำสอนรู้ถูกตัวตนตามได้ตรงสภาพธรรมจริงๆพึ่งคำตถาคตหรือยังคะ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2018, 21:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฟังคำพระสอน
คือฟังคำสัปปุรุษ
เป็นมงคลประการหนึ่ง ก็ดีแล้ว
ไม่ใช่ฟังคำจากป้า สุจินต์ แล้วมั่วๆ ไปเรื่อยเปื่อยเป็นมิจฉาทิฏฐิขึ้นมา

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2018, 21:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
การปฏิบัติจักต้องดูอารมณ์จิต และแก้ไขอารมณ์จิตอยู่เสมอ ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งในโลกเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป เป็นปกติธรรม ทุกอย่างหาความทรงตัวไม่ได้ ให้ดูอารมณ์จิตที่โง่ ฝืนกฎของความเป็นจริง จิตมักจักคิดว่าเที่ยงอยู่เสมอ จักละกิเลสต้องหมั่นพิจารณาอารมณ์ของจิตเอาไว้เสมอ ๆ แล้วหมั่นแก้ไขอารมณ์ของจิตเอาไว้ด้วย จึงจักมีผลในการปฏิบัติ อาทิเช่น การทรุดโทรมย่อมเป็นไปตามปกติธรรมของร่างกาย ซึ่งไม่มีใครหนีกฎธรรมดานี้ไปได้ สักแต่ว่าต่างกรรมต่างวาระเท่านั้นเอง อย่าฝืนความจริงของร่างกาย แล้วให้ยอมรับด้วยจิตเป็นสุข สุขที่ว่ารู้แล้วร่างกายมันจักต้องเป็นอย่างนี้ต่อไปข้างหน้า ตั้งใจเอาไว้เลยในทุก ๆ ขณะจิตว่า ร่างกายอย่างนี้จักไม่มีกับเราอีก พร้อมกับพยายามชำระจิต อย่าให้ไปเกาะอยู่กับเวทนาของร่างกาย การเยียวยารักษาจำเป็นต้องมี แล้วก็มีไปตามอัตภาพที่จักทำได้ แล้วจงอย่าไปทุกข์กับการรักษาเยียวยา ทำจิตให้โปร่งเข้าไว้ รักษาได้แค่ไหนก็แค่นั้น อย่าฝืนร่างกายให้มากจนเกินไป จักเป็นภัยให้เป็นโทษกับจิตในเบื้องหน้า ต้องรู้จักประมาณกำลังของร่างกายเอาไว้ด้วย จักไม่ต้องเดือดร้อนในภายหลัง

:b12:
ไม่เริ่มฟังพระพุทธพจน์จะเกิดปัญญาของตนเองหรือคะ
ตถาคตตรัสทุกคำ45พรรษาชาตินี้ฟังเข้าใจไปกี่คำแล้วคะ
คิดไหมคะกว่าจะได้เกิดมาเป็นคนที่ตาดีหูดีแต่ไม่รู้ความจริงที่มี
จะรอไปรู้ตอนไหนคะคำตถาคตพึ่งได้ตอนกำลังคิดตรงทีละ1คำเท่านั้น
เกิน1คำแปลว่าจำแต่เงาสภาพธรรมที่อ่านนั้นแหละเงาสภาพธรรมทั้งหมด
ความจริงตามคำสอนรู้ถูกตัวตนตามได้ตรงสภาพธรรมจริงๆพึ่งคำตถาคตหรือยังคะ

:b32: :b32:


:b9: :b9: :b9:
กระผมกำลังคิดว่า...แม้พระองค์ประทับยืนตรงหน้า..มั่นใจว่าคุณโรสก็ไม่รู้อยู่ดี..
กระผมเอง...ก็ไม่รู้เหมือนกัน :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2018, 21:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
การปฏิบัติจักต้องดูอารมณ์จิต และแก้ไขอารมณ์จิตอยู่เสมอ ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งในโลกเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป เป็นปกติธรรม ทุกอย่างหาความทรงตัวไม่ได้ ให้ดูอารมณ์จิตที่โง่ ฝืนกฎของความเป็นจริง จิตมักจักคิดว่าเที่ยงอยู่เสมอ จักละกิเลสต้องหมั่นพิจารณาอารมณ์ของจิตเอาไว้เสมอ ๆ แล้วหมั่นแก้ไขอารมณ์ของจิตเอาไว้ด้วย จึงจักมีผลในการปฏิบัติ อาทิเช่น การทรุดโทรมย่อมเป็นไปตามปกติธรรมของร่างกาย ซึ่งไม่มีใครหนีกฎธรรมดานี้ไปได้ สักแต่ว่าต่างกรรมต่างวาระเท่านั้นเอง อย่าฝืนความจริงของร่างกาย แล้วให้ยอมรับด้วยจิตเป็นสุข สุขที่ว่ารู้แล้วร่างกายมันจักต้องเป็นอย่างนี้ต่อไปข้างหน้า ตั้งใจเอาไว้เลยในทุก ๆ ขณะจิตว่า ร่างกายอย่างนี้จักไม่มีกับเราอีก พร้อมกับพยายามชำระจิต อย่าให้ไปเกาะอยู่กับเวทนาของร่างกาย การเยียวยารักษาจำเป็นต้องมี แล้วก็มีไปตามอัตภาพที่จักทำได้ แล้วจงอย่าไปทุกข์กับการรักษาเยียวยา ทำจิตให้โปร่งเข้าไว้ รักษาได้แค่ไหนก็แค่นั้น อย่าฝืนร่างกายให้มากจนเกินไป จักเป็นภัยให้เป็นโทษกับจิตในเบื้องหน้า ต้องรู้จักประมาณกำลังของร่างกายเอาไว้ด้วย จักไม่ต้องเดือดร้อนในภายหลัง

:b12:
ไม่เริ่มฟังพระพุทธพจน์จะเกิดปัญญาของตนเองหรือคะ
ตถาคตตรัสทุกคำ45พรรษาชาตินี้ฟังเข้าใจไปกี่คำแล้วคะ
คิดไหมคะกว่าจะได้เกิดมาเป็นคนที่ตาดีหูดีแต่ไม่รู้ความจริงที่มี
จะรอไปรู้ตอนไหนคะคำตถาคตพึ่งได้ตอนกำลังคิดตรงทีละ1คำเท่านั้น
เกิน1คำแปลว่าจำแต่เงาสภาพธรรมที่อ่านนั้นแหละเงาสภาพธรรมทั้งหมด
ความจริงตามคำสอนรู้ถูกตัวตนตามได้ตรงสภาพธรรมจริงๆพึ่งคำตถาคตหรือยังคะ

:b32: :b32:


:b9: :b9: :b9:
กระผมกำลังคิดว่า...แม้พระองค์ประทับยืนตรงหน้า..มั่นใจว่าคุณโรสก็ไม่รู้อยู่ดี..
กระผมเอง...ก็ไม่รู้เหมือนกัน :b32: :b32:

tongue
อ.สุจินต์แค่สื่อสารส่งสารพระราชาคือคำตถาคตให้รู้ตรงตามได้แค่ตั้งใจฟังเท่านั้น
สังขารขันธ์จะปรุงแต่งความเข้าใจตามทีละน้อยและพึ่งคิดตรง1คำวิสยรูปที่กายมีด้วย
จะรู้จักตถาคตได้เท่าที่ตนตรงพึ่งคิดตามคำตถาคตตรงคำตรงขณะที่ตนตรงจริงเท่านั้น
ถ้าไม่เคยระลึกตรงคำปรมัตถสัจจะที่กายใจตนเองได้เลยแปลว่าไม่รู้เลยว่าตถาคตตรงจริง
:b12:
:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2018, 22:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


อ.สอนย้ำ ณ สภาวะเดิมมาเป็นเวลานาน

ไม่รู้ว่าท่านรู้ตัวหรือไม่

...

ถ้าไม่ใช่เพราะรู้จนสุดทางธรรม
ก็...เพราะ...

:b30:

ยังคงแวะ

:b55: :b55: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2018, 03:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
การปฏิบัติจักต้องดูอารมณ์จิต และแก้ไขอารมณ์จิตอยู่เสมอ ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งในโลกเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป เป็นปกติธรรม ทุกอย่างหาความทรงตัวไม่ได้ ให้ดูอารมณ์จิตที่โง่ ฝืนกฎของความเป็นจริง จิตมักจักคิดว่าเที่ยงอยู่เสมอ จักละกิเลสต้องหมั่นพิจารณาอารมณ์ของจิตเอาไว้เสมอ ๆ แล้วหมั่นแก้ไขอารมณ์ของจิตเอาไว้ด้วย จึงจักมีผลในการปฏิบัติ อาทิเช่น การทรุดโทรมย่อมเป็นไปตามปกติธรรมของร่างกาย ซึ่งไม่มีใครหนีกฎธรรมดานี้ไปได้ สักแต่ว่าต่างกรรมต่างวาระเท่านั้นเอง อย่าฝืนความจริงของร่างกาย แล้วให้ยอมรับด้วยจิตเป็นสุข สุขที่ว่ารู้แล้วร่างกายมันจักต้องเป็นอย่างนี้ต่อไปข้างหน้า ตั้งใจเอาไว้เลยในทุก ๆ ขณะจิตว่า ร่างกายอย่างนี้จักไม่มีกับเราอีก พร้อมกับพยายามชำระจิต อย่าให้ไปเกาะอยู่กับเวทนาของร่างกาย การเยียวยารักษาจำเป็นต้องมี แล้วก็มีไปตามอัตภาพที่จักทำได้ แล้วจงอย่าไปทุกข์กับการรักษาเยียวยา ทำจิตให้โปร่งเข้าไว้ รักษาได้แค่ไหนก็แค่นั้น อย่าฝืนร่างกายให้มากจนเกินไป จักเป็นภัยให้เป็นโทษกับจิตในเบื้องหน้า ต้องรู้จักประมาณกำลังของร่างกายเอาไว้ด้วย จักไม่ต้องเดือดร้อนในภายหลัง

:b12:
ไม่เริ่มฟังพระพุทธพจน์จะเกิดปัญญาของตนเองหรือคะ
ตถาคตตรัสทุกคำ45พรรษาชาตินี้ฟังเข้าใจไปกี่คำแล้วคะ
คิดไหมคะกว่าจะได้เกิดมาเป็นคนที่ตาดีหูดีแต่ไม่รู้ความจริงที่มี
จะรอไปรู้ตอนไหนคะคำตถาคตพึ่งได้ตอนกำลังคิดตรงทีละ1คำเท่านั้น
เกิน1คำแปลว่าจำแต่เงาสภาพธรรมที่อ่านนั้นแหละเงาสภาพธรรมทั้งหมด
ความจริงตามคำสอนรู้ถูกตัวตนตามได้ตรงสภาพธรรมจริงๆพึ่งคำตถาคตหรือยังคะ

:b32: :b32:


:b9: :b9: :b9:
กระผมกำลังคิดว่า...แม้พระองค์ประทับยืนตรงหน้า..มั่นใจว่าคุณโรสก็ไม่รู้อยู่ดี..
กระผมเอง...ก็ไม่รู้เหมือนกัน :b32: :b32:

tongue
อ.สุจินต์แค่สื่อสารส่งสารพระราชาคือคำตถาคตให้รู้ตรงตามได้แค่ตั้งใจฟังเท่านั้น
สังขารขันธ์จะปรุงแต่งความเข้าใจตามทีละน้อยและพึ่งคิดตรง1คำวิสยรูปที่กายมีด้วย
จะรู้จักตถาคตได้เท่าที่ตนตรงพึ่งคิดตามคำตถาคตตรงคำตรงขณะที่ตนตรงจริงเท่านั้น
ถ้าไม่เคยระลึกตรงคำปรมัตถสัจจะที่กายใจตนเองได้เลยแปลว่าไม่รู้เลยว่าตถาคตตรงจริง
:b12:
:b16: :b16:

:b1:
ยังไม่เป็นผู้ตรงต่อธัมมะเพราะยังไม่พึ่งพระรัตนตรัยสูงสุดคือคำสอนเท่านั้น
แต่ต้องมีตนเป็นที่พึ่งคือใช้ตาดูหูฟังเงี่ยหูตนฟังให้เข้าใจชัดๆว่าเขาสนทนา
คำต่างๆในพระไตรปิฎกโดยแปลความหมายให้เข้าใจถูกตามได้ทีละคำ
จะได้ไม่ถูกโจรในคราบผ้าเหลืองมาหลอกลวงไงคะเข้าใจแล้วเห็นหมดล่อนจ้อนเลย
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2018, 04:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
อ.สอนย้ำ ณ สภาวะเดิมมาเป็นเวลานาน

ไม่รู้ว่าท่านรู้ตัวหรือไม่

...

ถ้าไม่ใช่เพราะรู้จนสุดทางธรรม
ก็...เพราะ...

:b30:

ยังคงแวะ

:b55: :b55: :b55:

สาวกที่เข้าใจคำสอนจึงกล้าประกาศส่วน
ผู้ไม่รู้ไม่เข้าใจนั้นไม่รู้ว่าตถาคตบอกอะไร
ไม่เคยฟังเพื่อไตร่ตรองว่าอะไรถูกอะไรผิด
ปัญญารู้ชัดตรงตั้งมั่นไม่หวั่นไหวไม่วอกแวก
เพราะสมาธิลืมตานี้มั่นคงมากและใช้สมาธิมาก
เข้าใจทุกอย่างได้ตามปกติเป็นปกติเพราะตาไม่บอด
เป็นสภาพที่รู้แจ้งในสิ่งที่ปรากฏต่อสายตามองให้รอบคอบ
คำตถาคตฟังแล้วทำให้รู้จักกิเลสตนเองจึงมองเห็นกิเลสผู้อื่น
เพราะกิเลสมันคือสิ่งเดียวกันคือโลภะโทสะโมหะความเข้าใจถูกนำไปในกิจทั้งปวง
ถ้ายังไม่รู้ความจริงตราบใดตราบนั้นขาดการฟังพระพุทธพจน์ไม่ได้ฟังจนกว่าถึงนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2018, 06:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
อ.สอนย้ำ ณ สภาวะเดิมมาเป็นเวลานาน

ไม่รู้ว่าท่านรู้ตัวหรือไม่

...

ถ้าไม่ใช่เพราะรู้จนสุดทางธรรม
ก็...เพราะ...

:b30:

ยังคงแวะ

:b55: :b55: :b55:


เรื่องทำนองนี้..พึงเห็นโทษของสังขาร...ภัยของการเกิด...
เปรียบว่า...ผู้ฝึกปล่อยให้หนูวิ่งไปลงรูเป้าหมาย...ฝึกลงรูจนหนูชำนาญ...แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าปล่อยจริง..หนูจะคิดอย่างเดิมทำอย่างเดิม...ไม่วิ่งไปที่อื่น...


ผู้ฝึก..เสมือนผู้รู้
หนู...เสมือนตน กอปอ อวิชชา..
หนูวิ่งบนทาง..เสมือนการเกิดมามีสังขาร
รูเป้าหมาย...ก็คือเป้าหมาย
ลงรู้ได้..แทบจะเรียกว่า...The Mission Impossible

ทุกอย่างดำเนินไป..เป็นเส้นทางเฉพาะตน..อันมีตนและอวิชชาในตนเป็นผู้สร้าง
เป็นอย่างนี้มาช้านานทุกคน

หากยัง....ไม่เดียวนี้...
ก็เป็นบารมี...ในกาลต่อไป...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2018, 06:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คำพระสอน..
อ้างคำพูด:
หากกฎธรรมดาของร่างกายให้พบแล้วยอมรับ อะไรจักเกิดขึ้นกับร่างกาย ให้พิจารณาลงว่า กฎของกรรมบังคับให้เป็นอย่างนั้น แต่พึงพิจารณาให้เห็นทุกข์ เป็นการเข้าสู่อริยสัจ กฎของกรรมนั้นเที่ยงและให้ผลไม่ผิดตัวด้วย เมื่อรู้แล้วก็จงอย่าไปฝืน ให้ทำทุกอย่างไปตามหน้าที่

พิจารณาให้เห็นถึงความเบื่อหน่ายและวางเฉยในขันธ์ ๕ ทุกอย่างให้พิจารณาลงในขันธ์ ๕ เพราะอาการเหนื่อยก็คือเวทนา และถ้าไม่มีรูปคือร่างกายเสียอย่างเดียว จักเอาเวทนามาจากไหน และถ้าไม่มีร่างกายเสียอย่างเดียว การทำงานอย่างนี้ก็ไม่มี ให้เห็นตามความเป็นจริงของขันธ์ ๕ แล้วดูสภาวะของการแก่ของร่างกาย การเจ็บป่วยของร่างกาย พิจารณาให้เห็นเป็นปกติธรรมของร่างกาย แล้วที่สุดร่างกายนี้ก็เดินเข้าสู่ความตายเป็นธรรมดา ให้จิตยอมรับร่างกายตามความเป็นจริง แต่จุดนี้จิตจักต้องไม่มีความท้อแท้ และไม่มีคำว่าฝืนทน มีแต่ขันติอดทน วิริยะพากเพียร สัจจะตั้งใจไว้จริง ว่าจักทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพาน อารมณ์หนักใจจักไม่มีเลย ดังนั้น การพิจารณาบารมี ๑๐ จึงจำเป็นต้องทำอยู่เสมอ


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2018, 10:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
คำพระสอน..
อ้างคำพูด:
หากกฎธรรมดาของร่างกายให้พบแล้วยอมรับ อะไรจักเกิดขึ้นกับร่างกาย ให้พิจารณาลงว่า กฎของกรรมบังคับให้เป็นอย่างนั้น แต่พึงพิจารณาให้เห็นทุกข์ เป็นการเข้าสู่อริยสัจ กฎของกรรมนั้นเที่ยงและให้ผลไม่ผิดตัวด้วย เมื่อรู้แล้วก็จงอย่าไปฝืน ให้ทำทุกอย่างไปตามหน้าที่

พิจารณาให้เห็นถึงความเบื่อหน่ายและวางเฉยในขันธ์ ๕ ทุกอย่างให้พิจารณาลงในขันธ์ ๕ เพราะอาการเหนื่อยก็คือเวทนา และถ้าไม่มีรูปคือร่างกายเสียอย่างเดียว จักเอาเวทนามาจากไหน และถ้าไม่มีร่างกายเสียอย่างเดียว การทำงานอย่างนี้ก็ไม่มี ให้เห็นตามความเป็นจริงของขันธ์ ๕ แล้วดูสภาวะของการแก่ของร่างกาย การเจ็บป่วยของร่างกาย พิจารณาให้เห็นเป็นปกติธรรมของร่างกาย แล้วที่สุดร่างกายนี้ก็เดินเข้าสู่ความตายเป็นธรรมดา ให้จิตยอมรับร่างกายตามความเป็นจริง แต่จุดนี้จิตจักต้องไม่มีความท้อแท้ และไม่มีคำว่าฝืนทน มีแต่ขันติอดทน วิริยะพากเพียร สัจจะตั้งใจไว้จริง ว่าจักทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพาน อารมณ์หนักใจจักไม่มีเลย ดังนั้น การพิจารณาบารมี ๑๐ จึงจำเป็นต้องทำอยู่เสมอ


:b8: :b8: :b8:

Kiss
:b12:
รู้ทุกข์คือรู้เดี๋ยวนี้ตรงสัจจะที่ตนกำลังมีคนทั้งตัวก็ไม่มีแล้วขณิกะมรณะทุกข์ไหมคะ
สบายดีไม่เดือดร้อนอะไรเพราะไม่รู้ว่าตนไม่รู้ไงคะอริยสัจจ์ของอัฐปุริสะปุคลาสังฆรัตนะ
ที่เฉยเพราะไม่รู้ไงคะถ้ารู้ทุกข์ไม่ทุกข์เพราะตรงขณะรู้ทุกข์ละสมุทัยถึงมรรคผลนิพพานตามลำดับปัญญา
:b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 03 ส.ค. 2018, 21:22, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 116 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 168 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร