ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
คำพระสอน.. http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=56302 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 8 |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 01 ส.ค. 2018, 20:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | คำพระสอน.. |
คำพระสอน.. อ้างคำพูด: เรื่องของเวลาในแต่ละมิติแตกต่างกันมาก โลกมนุษย์สั้นที่สุด เวลาของสวรรค์ ๖ ชั้นก็แตกต่างกัน ของพรหมก็นานมาก แต่บนพระนิพพานไม่มีเวลา มีรายละเอียดอยู่มาก เวลาทางธรรม มีแต่ขณะจิตเดียว มีแต่เดี๋ยวนี้ มีแต่ปัจจุบันธรรม มีรายละเอียดอยู่มาก ทั้งหมดในเรื่องของเวลาทรงตรัสสอนไว้แล้วทั้งสิ้น จึงไม่มีการทบทวนกันอีก เมื่อเข้าใจเรื่องเวลาแล้ว ก็ควรจะเข้าใจเรื่องอุปาทานขันธ์ ๕ ด้วย อารมณ์หลงยึดมั่นถือมั่นว่า ร่างกายหรือขันธ์ ๕ นี้เป็นเราเป็นของเรา ย่อมมีอยู่กับจิตของบุคคลทั่ว ๆ ไปที่ยังไม่ใช่พระอริยเจ้าเบื้องสูงอยู่เป็นธรรมดา เมื่อร่างกายตายไป แต่จิตยังไม่หมดอุปาทานขันธ์ ๕ ก็ต้องไปเสวยกรรมตามที่จิตทำไว้ ขอเน้นเฉพาะพวกที่จิตไปเสวยกรรมดีที่เป็นกุศล เช่น เป็นเทวดา นางฟ้า ซึ่งไม่มีขันธ์ ๕ หรือกายหยาบ จิตซึ่งไม่ตายเป็นอมตะ จึงมีความสุขมากในขณะนั้น เพราะไม่มีขันธ์ ๕ หรือกายหยาบ เมื่อขันธ์ ๕ ไม่มี ทุกขเวทนาของร่างกายก็ไม่มี จิตรับแต่ความสุขหรือสุขเวทนาแต่อย่างเดียว และในขณะนั้นหากมีผู้มาแนะนำการปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น จิตจะยอมรับและตัดกิเลสได้รวดเร็วกว่าขณะที่ยังมีขันธ์ ๕ อยู่ในโลกมนุษย์มากมายนักหากจิตดวงนั้นมีพื้นฐานของการปฏิบัติธรรมที่ดีมาก่อน ตอนที่ร่างกายหรือขันธ์ ๕ ยังมีชีวิตอยู่ จิตไม่มีเวลา จิตจึงสามารถบรรลุมรรคผลได้ในขณะจิตเดียวทั้งสิ้น ด้วยธัมโมอัปมาโณ เวลาสมมุติทางโลก ก็ยังไม่ตรงกันแต่ละจุดของโลก แม้นาฬิกา ๒ เรือนในบ้านเดียวกันก็ยังเดินกันไม่ตรงกัน นักปฏิบัติธรรม จึงจำเป็นต้องรู้เวลาทางธรรมว่าเป็นอย่างไร การปฏิบัติธรรมจะให้ได้ผล จิตต้องอยู่ในธรรมปัจจุบัน อย่ายุ่งกับอดีต อย่าสร้างอนาคตธรรม การบรรลุธรรมเขาบรรลุกันในขณะจิตเดียว และธรรมในพุทธศาสนาจริงเดี๋ยวนี้ จริงในขณะจิตนี้ จริงในปัจจุบันเท่านั้น หากไม่รู้เรื่องเวลาทางธรรมว่าคือขณะจิตเดียว ก็ยากที่จะพ้นทุกข์ได้ สรุปว่าทุกครั้งที่ปฏิบัติต้องอยู่ในปัจจุบันธรรม และทำจิตให้ดีที่สุดเท่าที่จะพึงทำได้ ในขณะจิตนี้ เดี๋ยวนี้ ในปัจจุบันนี้เท่านั้น แล้วอย่างอื่นก็จะดีหมด ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 01 ส.ค. 2018, 20:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คำพระสอน.. |
คำพระสอน... อ้างคำพูด: เอาร่างกายเป็นครูสอนจิต เวลาที่ร่างกายทรุดโทรม ให้สำรวมจิตเอาไว้เสมอ อย่าประมาทในชีวิต ความตายอาจจักมาเยือนร่างกายได้ทุก ๆ ขณะจิต - ใคร ๆ ย่อมไม่รู้เรื่องร่างกายของตัวเราเองเท่ากับเรา แต่เราย่อมไม่รู้ถึงกฎของกรรมที่จักเข้ามาตัดรอนชีวิตเมื่อไหร่ ดังนั้น จงพยายามรวบรวมกำลังใจให้เข้มแข็งเข้าไว้เสมอ ด้วยความไม่ประมาท - ดูศีล สมาธิ ปัญญา อย่ามองอย่างอื่น งานการทำไปตามหน้าที่ อย่าไปห่วงใคร อย่าไปห่วงการงาน ให้ทำไปตามปกติ แต่พยายามชำระจิตให้พร้อมที่จักทิ้งการงานได้อย่างไม่มีเยื่อใย - จิตใจที่ฝึกทิ้งร่างกายก็เช่นกัน พยายามปล่อยวางร่างกายให้เป็นไปตามธรรมชาติ - จงดูแลร่างกายเพียงแต่หน้าที่เท่านั้น วางจิตให้พร้อม ปล่อยวางร่างกายตลอดเวลาด้วย - การเยียวยารักษาร่างกายจำเป็นต้องมี แต่ก็ดูให้สมควรแก่อัตภาพ ทำเท่าที่จักทำได้ - ไม่ควรห่วงร่างกายให้มากจนเกินไป คิดแต่จักบำรุงร่างกายจนลืมรักษาจิตใจ จุดนี้สำคัญมาก ควรจักรักษาให้ดี - ทำใจให้สบาย ชำระจิตอย่าให้กังวลกับร่างกายให้มากจนเกินไป พิจารณาให้เห็นปกติธรรมของร่างกายให้มาก จิตจักได้ไม่เป็นทุกข์ไปกับร่างกาย - ระลึกเอาไว้เสมอว่า ตายแน่ แต่จงตั้งใจไปพระนิพพาน พยายามต่อสู้กับจิตที่ฝืนความเป็นจริงให้มาก ๆ - ยิ่งป่วย ยิ่งวัดกำลังใจในผลของการปฏิบัติได้ดี ให้อยู่กับพุทโธให้มาก ๆ แล้วทุกขเวทนาจักคลายลง - เอาร่างกายเป็นครูสอนจิตซิ อย่าท้อใจ ให้เห็นธรรมดาของร่างกายที่จักต้องเป็นเช่นนี้ มีมีใครสามารถห้ามร่างกายไม่ให้เป็นไปตามกฎของธรรมดาได้ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 01 ส.ค. 2018, 20:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คำพระสอน.. |
คำพระสอน.. อ้างคำพูด: อย่าสนใจจริยาของผู้อื่น กรรมใครย่อมเป็นกรรมมัน ให้มองลึกซึ้งถึงกฎของกรรม เคารพในกฎของกรรม ทำจิตให้สบาย ๆ ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างในโลกตลอดเวลา กิจการงานทำตามหน้าที่ อย่าไปพึงเป็นทุกข์ด้วย ทำด้วยอารมณ์ปลด ทำอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ก็ปลดอยู่ตลอดเวลา จิตก็จักเป็นสุข พยายามทำให้ได้ตามนี้ แต่ก็ไม่ง่ายนักหรอก ต้องพยายามฝึกฝนสติหรือสมาธิจิตให้ตั้งมั่นยิ่ง ๆ ขึ้นไป แล้วพยายามอย่าให้มีอารมณ์หนักใจ หากหงุดหงิดก็ต้องหาสาเหตุ หาเหตุพบแล้วก็จงพิจารณาเหตุนั้นด้วยปัญญา จักเป็นว่าหรือสรุปได้ว่า หลงยึดขันธ์ ๕ ทั้งสิ้น นี้เป็นความโง่ของจิต ถามตอบจิตเข้าไปจึงจักแก้จิตที่หงุดหงิดลงได้ แล้วประการสำคัญ จงอย่าสนใจจริยาของผู้อื่น ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 01 ส.ค. 2018, 21:14 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คำพระสอน.. |
คำพระสอน.. อ้างคำพูด: เรื่องกรรมเก่าหรือกรรมใหม่ แพทย์สั่งยาให้ แต่ผู้จ่ายยาจ่ายยาให้ไม่ตรงกับแพทย์สั่ง ทรงตรัสว่า เป็นกรรมเก่าอกุศลกรรมให้ผลเป็นโทษของกรรมปาณาติบาต เป็นโทษของการวางยาผิดในสมัยอดีตชาติ ชาตินี้หมอให้ยาถูก แต่ห้องจ่ายยาก็ให้ยาผิด ตามกฎของกรรมที่บังคับมาให้เป็นไปอย่างนั้น คำว่ากรรมใหม่เป็นการกระทำของตนเองในชาติปัจจุบัน อย่างเช่นตั้งต้นละเมิดศีล ๕ หรือกรรมบถ ๑๐ ใหม่เป็นต้น หรืออย่างติดในรสอาหาร กินโดยไม่พิจารณาคุณและโทษของอาหาร ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ขึ้นมา เป็นต้น กฎของกรรมบังคับขันธ์ ๕ ได้ แต่ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว กฎของกรรมบังคับจิตใจของพระอริยเจ้าผู้รู้อยู่ กำหนดอยู่ว่าขันธ์ ๕ นี้ไม่ใช่เรา กฎของกรรมบังคับจิตใจไม่ได้เลย พึงพิจารณาและทำจิตเช่นนี้ ถ้าเข้าใจเรื่องนี้เรื่องเดียว ก็จักเข้าใจเรื่องต่าง ๆ อันเกิดขึ้นตามวาระกรรมได้หมด จิตจักอยู่อย่างเป็นสุข ด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักเสวยสุข เสวยทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ก็หาใช่เรื่องของจิตไม่ จิตสักเพียงแต่ว่ารู้ สักเพียงแต่ว่าอาศัย ไม่ได้ติดอยู่ด้วยเลย ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 02 ส.ค. 2018, 20:48 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คำพระสอน.. |
คำพระสอน... อ้างคำพูด: การปฏิบัติจักต้องดูอารมณ์จิต และแก้ไขอารมณ์จิตอยู่เสมอ ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งในโลกเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป เป็นปกติธรรม ทุกอย่างหาความทรงตัวไม่ได้ ให้ดูอารมณ์จิตที่โง่ ฝืนกฎของความเป็นจริง จิตมักจักคิดว่าเที่ยงอยู่เสมอ จักละกิเลสต้องหมั่นพิจารณาอารมณ์ของจิตเอาไว้เสมอ ๆ แล้วหมั่นแก้ไขอารมณ์ของจิตเอาไว้ด้วย จึงจักมีผลในการปฏิบัติ อาทิเช่น การทรุดโทรมย่อมเป็นไปตามปกติธรรมของร่างกาย ซึ่งไม่มีใครหนีกฎธรรมดานี้ไปได้ สักแต่ว่าต่างกรรมต่างวาระเท่านั้นเอง อย่าฝืนความจริงของร่างกาย แล้วให้ยอมรับด้วยจิตเป็นสุข สุขที่ว่ารู้แล้วร่างกายมันจักต้องเป็นอย่างนี้ต่อไปข้างหน้า ตั้งใจเอาไว้เลยในทุก ๆ ขณะจิตว่า ร่างกายอย่างนี้จักไม่มีกับเราอีก พร้อมกับพยายามชำระจิต อย่าให้ไปเกาะอยู่กับเวทนาของร่างกาย การเยียวยารักษาจำเป็นต้องมี แล้วก็มีไปตามอัตภาพที่จักทำได้ แล้วจงอย่าไปทุกข์กับการรักษาเยียวยา ทำจิตให้โปร่งเข้าไว้ รักษาได้แค่ไหนก็แค่นั้น อย่าฝืนร่างกายให้มากจนเกินไป จักเป็นภัยให้เป็นโทษกับจิตในเบื้องหน้า ต้องรู้จักประมาณกำลังของร่างกายเอาไว้ด้วย จักไม่ต้องเดือดร้อนในภายหลัง
|
เจ้าของ: | Rosarin [ 02 ส.ค. 2018, 21:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คำพระสอน.. |
กบนอกกะลา เขียน: คำพระสอน... อ้างคำพูด: การปฏิบัติจักต้องดูอารมณ์จิต และแก้ไขอารมณ์จิตอยู่เสมอ ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งในโลกเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป เป็นปกติธรรม ทุกอย่างหาความทรงตัวไม่ได้ ให้ดูอารมณ์จิตที่โง่ ฝืนกฎของความเป็นจริง จิตมักจักคิดว่าเที่ยงอยู่เสมอ จักละกิเลสต้องหมั่นพิจารณาอารมณ์ของจิตเอาไว้เสมอ ๆ แล้วหมั่นแก้ไขอารมณ์ของจิตเอาไว้ด้วย จึงจักมีผลในการปฏิบัติ อาทิเช่น การทรุดโทรมย่อมเป็นไปตามปกติธรรมของร่างกาย ซึ่งไม่มีใครหนีกฎธรรมดานี้ไปได้ สักแต่ว่าต่างกรรมต่างวาระเท่านั้นเอง อย่าฝืนความจริงของร่างกาย แล้วให้ยอมรับด้วยจิตเป็นสุข สุขที่ว่ารู้แล้วร่างกายมันจักต้องเป็นอย่างนี้ต่อไปข้างหน้า ตั้งใจเอาไว้เลยในทุก ๆ ขณะจิตว่า ร่างกายอย่างนี้จักไม่มีกับเราอีก พร้อมกับพยายามชำระจิต อย่าให้ไปเกาะอยู่กับเวทนาของร่างกาย การเยียวยารักษาจำเป็นต้องมี แล้วก็มีไปตามอัตภาพที่จักทำได้ แล้วจงอย่าไปทุกข์กับการรักษาเยียวยา ทำจิตให้โปร่งเข้าไว้ รักษาได้แค่ไหนก็แค่นั้น อย่าฝืนร่างกายให้มากจนเกินไป จักเป็นภัยให้เป็นโทษกับจิตในเบื้องหน้า ต้องรู้จักประมาณกำลังของร่างกายเอาไว้ด้วย จักไม่ต้องเดือดร้อนในภายหลัง ![]() ไม่เริ่มฟังพระพุทธพจน์จะเกิดปัญญาของตนเองหรือคะ ตถาคตตรัสทุกคำ45พรรษาชาตินี้ฟังเข้าใจไปกี่คำแล้วคะ คิดไหมคะกว่าจะได้เกิดมาเป็นคนที่ตาดีหูดีแต่ไม่รู้ความจริงที่มี จะรอไปรู้ตอนไหนคะคำตถาคตพึ่งได้ตอนกำลังคิดตรงทีละ1คำเท่านั้น เกิน1คำแปลว่าจำแต่เงาสภาพธรรมที่อ่านนั้นแหละเงาสภาพธรรมทั้งหมด ความจริงตามคำสอนรู้ถูกตัวตนตามได้ตรงสภาพธรรมจริงๆพึ่งคำตถาคตหรือยังคะ ![]() ![]() |
เจ้าของ: | เช่นนั้น [ 02 ส.ค. 2018, 21:14 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คำพระสอน.. |
ฟังคำพระสอน คือฟังคำสัปปุรุษ เป็นมงคลประการหนึ่ง ก็ดีแล้ว ไม่ใช่ฟังคำจากป้า สุจินต์ แล้วมั่วๆ ไปเรื่อยเปื่อยเป็นมิจฉาทิฏฐิขึ้นมา |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 02 ส.ค. 2018, 21:44 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คำพระสอน.. |
Rosarin เขียน: กบนอกกะลา เขียน: คำพระสอน... อ้างคำพูด: การปฏิบัติจักต้องดูอารมณ์จิต และแก้ไขอารมณ์จิตอยู่เสมอ ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งในโลกเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป เป็นปกติธรรม ทุกอย่างหาความทรงตัวไม่ได้ ให้ดูอารมณ์จิตที่โง่ ฝืนกฎของความเป็นจริง จิตมักจักคิดว่าเที่ยงอยู่เสมอ จักละกิเลสต้องหมั่นพิจารณาอารมณ์ของจิตเอาไว้เสมอ ๆ แล้วหมั่นแก้ไขอารมณ์ของจิตเอาไว้ด้วย จึงจักมีผลในการปฏิบัติ อาทิเช่น การทรุดโทรมย่อมเป็นไปตามปกติธรรมของร่างกาย ซึ่งไม่มีใครหนีกฎธรรมดานี้ไปได้ สักแต่ว่าต่างกรรมต่างวาระเท่านั้นเอง อย่าฝืนความจริงของร่างกาย แล้วให้ยอมรับด้วยจิตเป็นสุข สุขที่ว่ารู้แล้วร่างกายมันจักต้องเป็นอย่างนี้ต่อไปข้างหน้า ตั้งใจเอาไว้เลยในทุก ๆ ขณะจิตว่า ร่างกายอย่างนี้จักไม่มีกับเราอีก พร้อมกับพยายามชำระจิต อย่าให้ไปเกาะอยู่กับเวทนาของร่างกาย การเยียวยารักษาจำเป็นต้องมี แล้วก็มีไปตามอัตภาพที่จักทำได้ แล้วจงอย่าไปทุกข์กับการรักษาเยียวยา ทำจิตให้โปร่งเข้าไว้ รักษาได้แค่ไหนก็แค่นั้น อย่าฝืนร่างกายให้มากจนเกินไป จักเป็นภัยให้เป็นโทษกับจิตในเบื้องหน้า ต้องรู้จักประมาณกำลังของร่างกายเอาไว้ด้วย จักไม่ต้องเดือดร้อนในภายหลัง ![]() ไม่เริ่มฟังพระพุทธพจน์จะเกิดปัญญาของตนเองหรือคะ ตถาคตตรัสทุกคำ45พรรษาชาตินี้ฟังเข้าใจไปกี่คำแล้วคะ คิดไหมคะกว่าจะได้เกิดมาเป็นคนที่ตาดีหูดีแต่ไม่รู้ความจริงที่มี จะรอไปรู้ตอนไหนคะคำตถาคตพึ่งได้ตอนกำลังคิดตรงทีละ1คำเท่านั้น เกิน1คำแปลว่าจำแต่เงาสภาพธรรมที่อ่านนั้นแหละเงาสภาพธรรมทั้งหมด ความจริงตามคำสอนรู้ถูกตัวตนตามได้ตรงสภาพธรรมจริงๆพึ่งคำตถาคตหรือยังคะ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() กระผมกำลังคิดว่า...แม้พระองค์ประทับยืนตรงหน้า..มั่นใจว่าคุณโรสก็ไม่รู้อยู่ดี.. กระผมเอง...ก็ไม่รู้เหมือนกัน ![]() ![]() |
เจ้าของ: | Rosarin [ 02 ส.ค. 2018, 21:51 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คำพระสอน.. |
กบนอกกะลา เขียน: Rosarin เขียน: กบนอกกะลา เขียน: คำพระสอน... อ้างคำพูด: การปฏิบัติจักต้องดูอารมณ์จิต และแก้ไขอารมณ์จิตอยู่เสมอ ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งในโลกเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป เป็นปกติธรรม ทุกอย่างหาความทรงตัวไม่ได้ ให้ดูอารมณ์จิตที่โง่ ฝืนกฎของความเป็นจริง จิตมักจักคิดว่าเที่ยงอยู่เสมอ จักละกิเลสต้องหมั่นพิจารณาอารมณ์ของจิตเอาไว้เสมอ ๆ แล้วหมั่นแก้ไขอารมณ์ของจิตเอาไว้ด้วย จึงจักมีผลในการปฏิบัติ อาทิเช่น การทรุดโทรมย่อมเป็นไปตามปกติธรรมของร่างกาย ซึ่งไม่มีใครหนีกฎธรรมดานี้ไปได้ สักแต่ว่าต่างกรรมต่างวาระเท่านั้นเอง อย่าฝืนความจริงของร่างกาย แล้วให้ยอมรับด้วยจิตเป็นสุข สุขที่ว่ารู้แล้วร่างกายมันจักต้องเป็นอย่างนี้ต่อไปข้างหน้า ตั้งใจเอาไว้เลยในทุก ๆ ขณะจิตว่า ร่างกายอย่างนี้จักไม่มีกับเราอีก พร้อมกับพยายามชำระจิต อย่าให้ไปเกาะอยู่กับเวทนาของร่างกาย การเยียวยารักษาจำเป็นต้องมี แล้วก็มีไปตามอัตภาพที่จักทำได้ แล้วจงอย่าไปทุกข์กับการรักษาเยียวยา ทำจิตให้โปร่งเข้าไว้ รักษาได้แค่ไหนก็แค่นั้น อย่าฝืนร่างกายให้มากจนเกินไป จักเป็นภัยให้เป็นโทษกับจิตในเบื้องหน้า ต้องรู้จักประมาณกำลังของร่างกายเอาไว้ด้วย จักไม่ต้องเดือดร้อนในภายหลัง ![]() ไม่เริ่มฟังพระพุทธพจน์จะเกิดปัญญาของตนเองหรือคะ ตถาคตตรัสทุกคำ45พรรษาชาตินี้ฟังเข้าใจไปกี่คำแล้วคะ คิดไหมคะกว่าจะได้เกิดมาเป็นคนที่ตาดีหูดีแต่ไม่รู้ความจริงที่มี จะรอไปรู้ตอนไหนคะคำตถาคตพึ่งได้ตอนกำลังคิดตรงทีละ1คำเท่านั้น เกิน1คำแปลว่าจำแต่เงาสภาพธรรมที่อ่านนั้นแหละเงาสภาพธรรมทั้งหมด ความจริงตามคำสอนรู้ถูกตัวตนตามได้ตรงสภาพธรรมจริงๆพึ่งคำตถาคตหรือยังคะ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() กระผมกำลังคิดว่า...แม้พระองค์ประทับยืนตรงหน้า..มั่นใจว่าคุณโรสก็ไม่รู้อยู่ดี.. กระผมเอง...ก็ไม่รู้เหมือนกัน ![]() ![]() ![]() อ.สุจินต์แค่สื่อสารส่งสารพระราชาคือคำตถาคตให้รู้ตรงตามได้แค่ตั้งใจฟังเท่านั้น สังขารขันธ์จะปรุงแต่งความเข้าใจตามทีละน้อยและพึ่งคิดตรง1คำวิสยรูปที่กายมีด้วย จะรู้จักตถาคตได้เท่าที่ตนตรงพึ่งคิดตามคำตถาคตตรงคำตรงขณะที่ตนตรงจริงเท่านั้น ถ้าไม่เคยระลึกตรงคำปรมัตถสัจจะที่กายใจตนเองได้เลยแปลว่าไม่รู้เลยว่าตถาคตตรงจริง ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 02 ส.ค. 2018, 22:27 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คำพระสอน.. |
อ.สอนย้ำ ณ สภาวะเดิมมาเป็นเวลานาน ไม่รู้ว่าท่านรู้ตัวหรือไม่ ... ถ้าไม่ใช่เพราะรู้จนสุดทางธรรม ก็...เพราะ... ![]() ยังคงแวะ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | Rosarin [ 03 ส.ค. 2018, 03:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คำพระสอน.. |
Rosarin เขียน: กบนอกกะลา เขียน: Rosarin เขียน: กบนอกกะลา เขียน: คำพระสอน... อ้างคำพูด: การปฏิบัติจักต้องดูอารมณ์จิต และแก้ไขอารมณ์จิตอยู่เสมอ ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งในโลกเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป เป็นปกติธรรม ทุกอย่างหาความทรงตัวไม่ได้ ให้ดูอารมณ์จิตที่โง่ ฝืนกฎของความเป็นจริง จิตมักจักคิดว่าเที่ยงอยู่เสมอ จักละกิเลสต้องหมั่นพิจารณาอารมณ์ของจิตเอาไว้เสมอ ๆ แล้วหมั่นแก้ไขอารมณ์ของจิตเอาไว้ด้วย จึงจักมีผลในการปฏิบัติ อาทิเช่น การทรุดโทรมย่อมเป็นไปตามปกติธรรมของร่างกาย ซึ่งไม่มีใครหนีกฎธรรมดานี้ไปได้ สักแต่ว่าต่างกรรมต่างวาระเท่านั้นเอง อย่าฝืนความจริงของร่างกาย แล้วให้ยอมรับด้วยจิตเป็นสุข สุขที่ว่ารู้แล้วร่างกายมันจักต้องเป็นอย่างนี้ต่อไปข้างหน้า ตั้งใจเอาไว้เลยในทุก ๆ ขณะจิตว่า ร่างกายอย่างนี้จักไม่มีกับเราอีก พร้อมกับพยายามชำระจิต อย่าให้ไปเกาะอยู่กับเวทนาของร่างกาย การเยียวยารักษาจำเป็นต้องมี แล้วก็มีไปตามอัตภาพที่จักทำได้ แล้วจงอย่าไปทุกข์กับการรักษาเยียวยา ทำจิตให้โปร่งเข้าไว้ รักษาได้แค่ไหนก็แค่นั้น อย่าฝืนร่างกายให้มากจนเกินไป จักเป็นภัยให้เป็นโทษกับจิตในเบื้องหน้า ต้องรู้จักประมาณกำลังของร่างกายเอาไว้ด้วย จักไม่ต้องเดือดร้อนในภายหลัง ![]() ไม่เริ่มฟังพระพุทธพจน์จะเกิดปัญญาของตนเองหรือคะ ตถาคตตรัสทุกคำ45พรรษาชาตินี้ฟังเข้าใจไปกี่คำแล้วคะ คิดไหมคะกว่าจะได้เกิดมาเป็นคนที่ตาดีหูดีแต่ไม่รู้ความจริงที่มี จะรอไปรู้ตอนไหนคะคำตถาคตพึ่งได้ตอนกำลังคิดตรงทีละ1คำเท่านั้น เกิน1คำแปลว่าจำแต่เงาสภาพธรรมที่อ่านนั้นแหละเงาสภาพธรรมทั้งหมด ความจริงตามคำสอนรู้ถูกตัวตนตามได้ตรงสภาพธรรมจริงๆพึ่งคำตถาคตหรือยังคะ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() กระผมกำลังคิดว่า...แม้พระองค์ประทับยืนตรงหน้า..มั่นใจว่าคุณโรสก็ไม่รู้อยู่ดี.. กระผมเอง...ก็ไม่รู้เหมือนกัน ![]() ![]() ![]() อ.สุจินต์แค่สื่อสารส่งสารพระราชาคือคำตถาคตให้รู้ตรงตามได้แค่ตั้งใจฟังเท่านั้น สังขารขันธ์จะปรุงแต่งความเข้าใจตามทีละน้อยและพึ่งคิดตรง1คำวิสยรูปที่กายมีด้วย จะรู้จักตถาคตได้เท่าที่ตนตรงพึ่งคิดตามคำตถาคตตรงคำตรงขณะที่ตนตรงจริงเท่านั้น ถ้าไม่เคยระลึกตรงคำปรมัตถสัจจะที่กายใจตนเองได้เลยแปลว่าไม่รู้เลยว่าตถาคตตรงจริง ![]() ![]() ![]() ![]() ยังไม่เป็นผู้ตรงต่อธัมมะเพราะยังไม่พึ่งพระรัตนตรัยสูงสุดคือคำสอนเท่านั้น แต่ต้องมีตนเป็นที่พึ่งคือใช้ตาดูหูฟังเงี่ยหูตนฟังให้เข้าใจชัดๆว่าเขาสนทนา คำต่างๆในพระไตรปิฎกโดยแปลความหมายให้เข้าใจถูกตามได้ทีละคำ จะได้ไม่ถูกโจรในคราบผ้าเหลืองมาหลอกลวงไงคะเข้าใจแล้วเห็นหมดล่อนจ้อนเลย ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | Rosarin [ 03 ส.ค. 2018, 04:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คำพระสอน.. |
eragon_joe เขียน: อ.สอนย้ำ ณ สภาวะเดิมมาเป็นเวลานาน ไม่รู้ว่าท่านรู้ตัวหรือไม่ ... ถ้าไม่ใช่เพราะรู้จนสุดทางธรรม ก็...เพราะ... ![]() ยังคงแวะ ![]() ![]() ![]() สาวกที่เข้าใจคำสอนจึงกล้าประกาศส่วน ผู้ไม่รู้ไม่เข้าใจนั้นไม่รู้ว่าตถาคตบอกอะไร ไม่เคยฟังเพื่อไตร่ตรองว่าอะไรถูกอะไรผิด ปัญญารู้ชัดตรงตั้งมั่นไม่หวั่นไหวไม่วอกแวก เพราะสมาธิลืมตานี้มั่นคงมากและใช้สมาธิมาก เข้าใจทุกอย่างได้ตามปกติเป็นปกติเพราะตาไม่บอด เป็นสภาพที่รู้แจ้งในสิ่งที่ปรากฏต่อสายตามองให้รอบคอบ คำตถาคตฟังแล้วทำให้รู้จักกิเลสตนเองจึงมองเห็นกิเลสผู้อื่น เพราะกิเลสมันคือสิ่งเดียวกันคือโลภะโทสะโมหะความเข้าใจถูกนำไปในกิจทั้งปวง ถ้ายังไม่รู้ความจริงตราบใดตราบนั้นขาดการฟังพระพุทธพจน์ไม่ได้ฟังจนกว่าถึงนิพพาน |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 03 ส.ค. 2018, 06:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คำพระสอน.. |
eragon_joe เขียน: อ.สอนย้ำ ณ สภาวะเดิมมาเป็นเวลานาน ไม่รู้ว่าท่านรู้ตัวหรือไม่ ... ถ้าไม่ใช่เพราะรู้จนสุดทางธรรม ก็...เพราะ... ![]() ยังคงแวะ ![]() ![]() ![]() เรื่องทำนองนี้..พึงเห็นโทษของสังขาร...ภัยของการเกิด... เปรียบว่า...ผู้ฝึกปล่อยให้หนูวิ่งไปลงรูเป้าหมาย...ฝึกลงรูจนหนูชำนาญ...แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าปล่อยจริง..หนูจะคิดอย่างเดิมทำอย่างเดิม...ไม่วิ่งไปที่อื่น... ผู้ฝึก..เสมือนผู้รู้ หนู...เสมือนตน กอปอ อวิชชา.. หนูวิ่งบนทาง..เสมือนการเกิดมามีสังขาร รูเป้าหมาย...ก็คือเป้าหมาย ลงรู้ได้..แทบจะเรียกว่า...The Mission Impossible ทุกอย่างดำเนินไป..เป็นเส้นทางเฉพาะตน..อันมีตนและอวิชชาในตนเป็นผู้สร้าง เป็นอย่างนี้มาช้านานทุกคน หากยัง....ไม่เดียวนี้... ก็เป็นบารมี...ในกาลต่อไป... |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 03 ส.ค. 2018, 06:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คำพระสอน.. |
คำพระสอน.. อ้างคำพูด: หากกฎธรรมดาของร่างกายให้พบแล้วยอมรับ อะไรจักเกิดขึ้นกับร่างกาย ให้พิจารณาลงว่า กฎของกรรมบังคับให้เป็นอย่างนั้น แต่พึงพิจารณาให้เห็นทุกข์ เป็นการเข้าสู่อริยสัจ กฎของกรรมนั้นเที่ยงและให้ผลไม่ผิดตัวด้วย เมื่อรู้แล้วก็จงอย่าไปฝืน ให้ทำทุกอย่างไปตามหน้าที่ พิจารณาให้เห็นถึงความเบื่อหน่ายและวางเฉยในขันธ์ ๕ ทุกอย่างให้พิจารณาลงในขันธ์ ๕ เพราะอาการเหนื่อยก็คือเวทนา และถ้าไม่มีรูปคือร่างกายเสียอย่างเดียว จักเอาเวทนามาจากไหน และถ้าไม่มีร่างกายเสียอย่างเดียว การทำงานอย่างนี้ก็ไม่มี ให้เห็นตามความเป็นจริงของขันธ์ ๕ แล้วดูสภาวะของการแก่ของร่างกาย การเจ็บป่วยของร่างกาย พิจารณาให้เห็นเป็นปกติธรรมของร่างกาย แล้วที่สุดร่างกายนี้ก็เดินเข้าสู่ความตายเป็นธรรมดา ให้จิตยอมรับร่างกายตามความเป็นจริง แต่จุดนี้จิตจักต้องไม่มีความท้อแท้ และไม่มีคำว่าฝืนทน มีแต่ขันติอดทน วิริยะพากเพียร สัจจะตั้งใจไว้จริง ว่าจักทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพาน อารมณ์หนักใจจักไม่มีเลย ดังนั้น การพิจารณาบารมี ๑๐ จึงจำเป็นต้องทำอยู่เสมอ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | Rosarin [ 03 ส.ค. 2018, 10:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คำพระสอน.. |
กบนอกกะลา เขียน: คำพระสอน.. อ้างคำพูด: หากกฎธรรมดาของร่างกายให้พบแล้วยอมรับ อะไรจักเกิดขึ้นกับร่างกาย ให้พิจารณาลงว่า กฎของกรรมบังคับให้เป็นอย่างนั้น แต่พึงพิจารณาให้เห็นทุกข์ เป็นการเข้าสู่อริยสัจ กฎของกรรมนั้นเที่ยงและให้ผลไม่ผิดตัวด้วย เมื่อรู้แล้วก็จงอย่าไปฝืน ให้ทำทุกอย่างไปตามหน้าที่ พิจารณาให้เห็นถึงความเบื่อหน่ายและวางเฉยในขันธ์ ๕ ทุกอย่างให้พิจารณาลงในขันธ์ ๕ เพราะอาการเหนื่อยก็คือเวทนา และถ้าไม่มีรูปคือร่างกายเสียอย่างเดียว จักเอาเวทนามาจากไหน และถ้าไม่มีร่างกายเสียอย่างเดียว การทำงานอย่างนี้ก็ไม่มี ให้เห็นตามความเป็นจริงของขันธ์ ๕ แล้วดูสภาวะของการแก่ของร่างกาย การเจ็บป่วยของร่างกาย พิจารณาให้เห็นเป็นปกติธรรมของร่างกาย แล้วที่สุดร่างกายนี้ก็เดินเข้าสู่ความตายเป็นธรรมดา ให้จิตยอมรับร่างกายตามความเป็นจริง แต่จุดนี้จิตจักต้องไม่มีความท้อแท้ และไม่มีคำว่าฝืนทน มีแต่ขันติอดทน วิริยะพากเพียร สัจจะตั้งใจไว้จริง ว่าจักทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพาน อารมณ์หนักใจจักไม่มีเลย ดังนั้น การพิจารณาบารมี ๑๐ จึงจำเป็นต้องทำอยู่เสมอ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() รู้ทุกข์คือรู้เดี๋ยวนี้ตรงสัจจะที่ตนกำลังมีคนทั้งตัวก็ไม่มีแล้วขณิกะมรณะทุกข์ไหมคะ สบายดีไม่เดือดร้อนอะไรเพราะไม่รู้ว่าตนไม่รู้ไงคะอริยสัจจ์ของอัฐปุริสะปุคลาสังฆรัตนะ ที่เฉยเพราะไม่รู้ไงคะถ้ารู้ทุกข์ไม่ทุกข์เพราะตรงขณะรู้ทุกข์ละสมุทัยถึงมรรคผลนิพพานตามลำดับปัญญา ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 8 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |