วันเวลาปัจจุบัน 29 เม.ย. 2024, 10:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 66 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 08:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้วันอาสาฬบูชา ถามคุณโรสเป็นต้นซึ่งเป็นศิษย์สำนักบ้านธัมมะ ว่าไปเวียนเทียนที่วัดไหนๆกันบ้างไหมครับเนี่ย :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 08:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อาสาฬหะ เดือน ๘ ทางจันทรคติ

อาสาฬหบูชา “การบูชาในเดือน ๘” หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือน ๘ เพื่อรำลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเป็นการพิเศษ เนื่องในวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา คือ ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ทำให้เกิดมีปฐมสาวก คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ และเกิดสังฆรัตนะคำรบพระรัตนตรัย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 08:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโรสมองเห็นหลังคาวัดไหม ลิบๆอยู่ปลายทุ่งนาโน่นน่า :b1:

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 09:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันเข้าพรรษา

คำว่า พรรษา แปลว่า ฤดูฝน ปีหนึ่งก็ผ่านฤดูฝนครั้งหนึ่ง คนที่อยู่มาเท่านั้นฝนเท่านี้ฝน ก็คืออยู่มาเท่านั้นปี ดังนั้น ในที่ทั่วๆไป จึงแปลพรรษากันว่า "ปี"

คำว่า เข้าพรรษา ก็คือ เข้าฤดูฝน คือถึงเวลาที่จะต้องหยุดการเดินทางในฤดูฝน พักอยู่ในที่ใดที่หนึ่งเป็นประจำ โดยไม่ไปแรมคืนที่อื่น เพราะเหตุนี้ จึงมีคำเกิดขึ้นอีกคำหนึ่ง คือคำว่า จำพรรษา

คำว่า จำพรรษา ก็คือ อยู่วัดประจำในฤดูฝน หมายความว่า พระสงฆ์จะต้องอยู่ในวัดที่ตนอธิษฐานพรรษา ตลอดสามเดือนในฤดูฝน จะไปแรมคืนที่อื่นไม่ได้ นอกจากมีเหตุจำเป็น

คำว่า วันเข้าพรรษา ก็คือ วันที่พระสงฆ์ทำพิธีอธิษฐานพรรษา ซึ่งเป็นวันแรกของการจำพรรษานั่นเอง

"อธิษฐาน" แปลว่า ตั้งใจกำหนดแน่นอนลงไป "อธิษฐานพรรษา" ก็คือ ตั้งใจกำหนดแน่นอนลงไปว่าจะอยู่ประจำ ณ ที่นั้นตลอด ๓ เดือน ในฤดูฝน

กาลที่นิยมว่าเป็นฤดูฝน ที่เรียกในบาลีว่า วสฺสาน นั้น มีกำหนด ๔ เดือน คือ ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ จนถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ แต่การจำพรรษาของพระสงฆ์มีกำหนดแค่ ๓ เดือน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 09:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การจำพรรษานั้น มี ๒ ระยะ

ระยะแรก เรียกว่า ปุริมพรรษา แปลว่า พรรษาแรก หรือพรรษาต้น เริ่มแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒

ระยะหลัง เรียก ปัจฉิมพรรษา แปลว่า พรรษาหลัง เริ่มตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ จนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒

วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ เป็นวันเข้าปุริมพรรษา

วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ เป็นวันเข้าปัจฉิมพรรษา

ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือเพิ่มเดือน ๘ เข้ามาอีกเดือนหนึ่ง เป็นสอง ๘ ในปีนั้น ให้ถือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ หลัง เป็นวันเข้าปุริมพรรษา

การที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตวันเข้าพรรมไว้ ๒ วัน คือ วันเข้าปุริมพรรษา และวันเข้าปัจฉิมพรรษานั้น ก็เพื่อให้พระสงฆ์ที่จำพรรษาในวันเข้าปุริมพรรษาไม่ทันด้วยเหตุจำเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง สามารถเลื่อนไปเริ่มจำพรรษาในวันเข้าปัจฉิมพรรษา

การจำพรรษา และวันเข้าพรรษา ถึงจะมีเป็น สองอย่างก็จริง แต่ที่ถือเป็นสำคัญ และปฏิบัติกันโดยทั่วไปนั้น ก็คือ วันเข้าปุริมพรรษา ซึ่งเป็นวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ และไปครบสามเดือน ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันออกพรรษา ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนท้ายฤดูฝน สำหรับเตรียมตัว เพื่อเดินทางไปในที่ต่างๆ ต่อไป

ฉะนั้น ในทางปฏิบัติ เมื่อพูดถึงวันเข้าพรรษา ก็หมายถึงวันเข้าปุริมพรรษานั่นเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 09:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มูลเหตุที่พระสงฆ์ต้องจำพรรษา กล่าวความตามบาลีวัสสูปนายิกขันธกะ คัมภีร์มหาวรรค พระวินัยปิฎก ว่าในมัชฌิมประเทศสมัยโบราณ คืออินเดียตอนเหนือ เมื่อถึงฤดูฝน พื้นที่ย่อมเป็นโคลนเลนทั่วไป ไม่สะดวกแก่การเดินทาง

คราวหนึ่ง มีพระพวกที่เรียกว่าฉัพพัคคีย์ คือเป็นกลุ่มมี ๖ รูปด้วยกัน ไม่รู้จักกาล เที่ยวไปมาทุกฤดูกาล ไม่หยุดพักเลย แม้ในฤดูฝนก็ยังเดินทาง เที่ยวเหยียบย้ำข้าวกล้าหญ้าระบัดและสัตว์เล็กๆ ตาย
คนทั้งหลายพากันติเตียนว่า ในฤดูฝน แม้พวกเดียรถีย์และปริพาชกเขาก็ยังหยุด ที่สุดจนนกก็ยังรู้จักทำรังบนยอดไม้เพื่อหลบฝน แต่สมณศากยบุตรทำไมจึงยังเที่ยวอยู่ทั้งสามฤดู เหยียบย้ำข้าวกล้า และต้นไม้ที่เป็นของเป็นอยู่ และทำสัตว์ให้ตายเป็นอันมาก

ความทราบถึงพระพุทธเจ้า พระองค์จึงทรงอนุญาตให้พระสงฆ์อยู่ประจำที่ในฤดูฝน ในที่แห่งเดียว เป็นเวลา ๓ เดือน เรียกว่า จำพรรษา ด้วยเหตุนี้ พระสงฆ์จึงต้องจำพรรษา และมีวันเข้าพรรษาสืบมาจนถึงบัดนี้

สถานที่ที่พระสงฆ์จำพรรษานั้น พระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้จำพรรษาในที่กลางแจ้ง ในโพรงไม้ และในตุ่มหรือในหลุมขุด ซึ่งไม่ใช่เสนาสนะ คือไม่ใช่ที่อยู่อาศัย ทรงอนุญาตให้จำพรรษาในกุฎีที่มุงที่บังมีหลังคาและฝารอบขอบชิด อยู่ให้ครบ ๓ เดือน
ถ้าอยู่ไม่ครบ ๓ เดือน หลีกไปเสีย พรรษาขาด และต้องอาบัติคือมีโทษ แต่เป็นโทษขนาดเบา เรียกว่าอาบัติทุกกฎ

ถ้ามีภัยอันตรายเกิดขึ้น จะอยู่ในที่นั้นไม่ได้ เช่น น้ำท่วมหรือชาวบ้านถิ่นนั้นอพยพไปอยู่ที่อื่น เป็นต้น อนุญาตให้ไปในระหว่างพรรษาได้ ไม่เป็นอาบัติ แต่พรรษาขาด

ถ้ามีกิจจำเป็นที่จะต้องไปแรมคืนที่อื่น เช่น กิจนิมนต์ กิจเกี่ยวกับพระศาสนา ตลอดจนพระอุปัชฌาย์อาจารย์อาพาธ หรือโยมมารดาบิดาเจ็บป่วย อนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะ คือกิจที่ไปทำแล้วกลับมาให้ทันภายใน ๗ วัน พรรษาไม่ขาด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 09:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อถึงวันเข้าพรรษา พุทธศาสนิกชนย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ไม่น้อย เพราะถือเป็นโอกาสที่จะได้บำเพ็ญกุศลเป็นพิเศษจากที่ได้บำเพ็ญเป็นประจำตามหน้าที่ของพุทธศาสนิกชน

เริ่มต้นแต่เมื่อใกล้จะถึงวันเข้าพรรษา ต่างก็ช่วยกันซ่อมแซมตกแต่งเสนาสนะเพื่อให้พระสงฆ์ได้อยู่เป็นสุข นำลูกหลานญาติมิตรไปประชุมกันตามวัด ถวายผ้าอาบน้ำฝน และจตุปัจจัยแก่ภิกษุสามเณร

พอถึงวันเข้าพรรษา บางพวกก็อธิษฐานว่า จะรักษาอุโบสถศีล ตลอด ๓ เดือน บางพวกปวารณาตนต่อภิกษุสามเณรเฉพาะองค์ หรือทั้งวัด ถวายสิ่งที่ขาดเหลือตลอด ๓ เดือน
บางพวกถืออธิษฐานใจ เว้นสิ่งที่ควรเว้น บำเพ็ญสิ่งที่ควรบำเพ็ญ เช่น พวกดื่มเหล้า
บางคนก็เว้นดื่มเหล้าตลอดพรรษา โดยตั้งใจเว้นเองก็มี เข้าไปปฏิญาณต่อหน้าพระก็มี
บางคนที่ทำบาปหยาบช้าทารุณกรรมต่างๆ ก็ปฏิญาณตนไม่ทำในสิ่งนั้น

บางคนก็จัดดอกไม้ธูปเทียนและของใช้ประจำอื่นๆ เช่น สบู่ แปรง ยาสีฟัน สีย้อมผ้า ตลอดจนยารักษาโรค ไปถวายแก่พระที่ตนเคารพนับถือ หรือที่เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ของตน

นี้เป็นกุศลพิธี คือเป็นพิธีบำเพ็ญบุญในพระพุทธศาสนา เป็นหน้าที่ที่ศาสนิกชนจะพึงปฏิบัติในวันเข้าพรรษา

ผ้าอาบน้ำฝนนั้น มีกำหนดตามที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ คือ ยาว ๖ คืบ กว้าง ๒ คืบครึ่ง โดยคืบพระสุคตคำนวณตามอัตราที่นิยมถือกันมาเทียบกับมาตราที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ตัดเศษแล้วได้ ยาว ๒ เมตร กว้าง ๘๓ เซนติเมตร (ถ้าถืออย่างง่าย คิดเท่ากับกับมาตราที่ใช้ในปัจจุบันเลยทีเดียว จะได้เพียงยาว ๑ เมตรครึ่ง กว้าง ๖๒.๕ เซนติเมตร)

ทำยาวหรือกว้างกว่ากำหนด ใช้ไม่ได้ ภิกษุผู้ทำ หรือให้ทำ หรือใช้นุ่ง มีความผิด

เวลาที่จะถวายผ้าอาบน้ำฝนนั้น มีพุทธบัญญัติไว้ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๗ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ซึ่งเป็นเวลาก่อนเข้าพรรษา ๑ เดือน ระยะนี้เป็นเวลาที่พระภิกษุจะแสวงหาผ้าอาบน้ำฝน ผู้ประสงค์จะบำเพ็ญกุศลให้ต้องตามพุทธานุญาต จึงหาผ้าอาบน้ำฝนถวายในระยะนี้

แต่ที่ปฏิบัติกันทั่วๆไป ถวายในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ก่อนวันเข้าพรรษา ๑ วัน เพราะวันนั้นเป็นวันธรรมสวนะ และเป็นวันอาสาฬหบูชาด้วย พุทธศาสนิกชนไปประชุมกันที่วัดเป็นปรกติอยู่แล้ว จึงถือโอกาสถวายผ้าอาบน้ำฝนในวันนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 09:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 09:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อาหาร ปัจจัยอันนำมาซึ่งผล, เครื่องค้ำจุนชีวิต, เครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต มี ๔
คือ
๑. กวฬิงการาหาร อาหารคือคำข้าว

๒.ผัสสาหาร อาหารคือผัสสะ

๓.มโนสัญเจตนาหาร อาหารคือมโนสัญเจตนา

๔. วิญญาณาหาร อาหารคือวิญญาณ

ปัจจัย 1. เหตุที่ให้ผลเป็นไป, เหตุเครื่องหนุนให้เกิด (หยุดคิดทำความเข้าใจก่อน แล้วไปต่อ) 2. ของสำหรับอาศัยใช้, เครื่องอาศัยของชีวิต, สิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต มี ๔ คือ เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย ยาบำบัดโรค

ปัจจยาการ (ปัจจย+อาการ) อาการที่เป็นปัจจัยแก่กัน, หมายถึง ปฏิจจสมุปบาท

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 11:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ



ถ้าน้ำท่วมวัดจนมิดหลังคา คุณโรสว่าในพรรษาพระเณรจะอยู่ในวัดได้ไม่ได้ :b32: หลักอภิธรรมที่แม่บริหารฯ แนะวิธีที่คลิปไหนบ้างไหม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 11:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
วันนี้วันอาสาฬบูชา ถามคุณโรสเป็นต้นซึ่งเป็นศิษย์สำนักบ้านธัมมะ ว่าไปเวียนเทียนที่วัดไหนๆกันบ้างไหมครับเนี่ย :b12:

Kiss
:b12:
เข้าวัดจิตวัดใจตนเองว่าพึ่งคำจริงของตถาคตที่ทำให้เข้าใจถูกคิดถูกตามได้ค่ะ
ที่ไหนไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ค่ะมีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็ฟังเพราะศรัทธาเลื่อมใส
ในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเข้าใจความจริงแต่ละขณะที่กำลังเป็นไปถูกต้อง
ดีกว่าไปถวายดอกไม้ธูปเทียนเดินเวียนโบสถ์3รอบกราบ3ครั้งแต่ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร
คือทำไปตามประเพณีโดยไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเลยมีแต่ความเห็นผิดต้องรู้จักเลือกทำสิ่งที่ถูก
งานยุ่งมากเลยค่ะไม่มีเวลาไปเดินเวียนเทียนหรอกค่ะแค่เดินวนเวียนดแลคนเจ็บไข้ก็จะไม่ไหวแล้วเพลีย
:b32: :b32:
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 11:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
วันนี้วันอาสาฬบูชา ถามคุณโรสเป็นต้นซึ่งเป็นศิษย์สำนักบ้านธัมมะ ว่าไปเวียนเทียนที่วัดไหนๆกันบ้างไหมครับเนี่ย :b12:

Kiss
:b12:
เข้าวัดจิตวัดใจตนเองว่าพึ่งคำจริงของตถาคตที่ทำให้เข้าใจถูกคิดถูกตามได้ค่ะ
ที่ไหนไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ค่ะมีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็ฟังเพราะศรัทธาเลื่อมใส
ในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเข้าใจความจริงแต่ละขณะที่กำลังเป็นไปถูกต้อง
ดีกว่าไปถวายดอกไม้ธูปเทียนเดินเวียนโบสถ์3รอบกราบ3ครั้งแต่ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร
คือทำไปตามประเพณีโดยไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเลยมีแต่ความเห็นผิดต้องรู้จักเลือกทำสิ่งที่ถูก
งานยุ่งมากเลยค่ะไม่มีเวลาไปเดินเวียนเทียนหรอกค่ะแค่เดินวนเวียนดแลคนเจ็บไข้ก็จะไม่ไหวแล้วเพลีย


บอกไม่เชื่อว่าที่ฟังนั่นน่า เป็นคำพูดกล่อมประสาทของแม่บริหารฯ แต่แม่บริหาร ฯ เอาคำพูดเขาเองไปใส่ปากตถาคต :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 11:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
วันนี้วันอาสาฬบูชา ถามคุณโรสเป็นต้นซึ่งเป็นศิษย์สำนักบ้านธัมมะ ว่าไปเวียนเทียนที่วัดไหนๆกันบ้างไหมครับเนี่ย :b12:

Kiss
:b12:
เข้าวัดจิตวัดใจตนเองว่าพึ่งคำจริงของตถาคตที่ทำให้เข้าใจถูกคิดถูกตามได้ค่ะ
ที่ไหนไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ค่ะมีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็ฟังเพราะศรัทธาเลื่อมใส
ในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเข้าใจความจริงแต่ละขณะที่กำลังเป็นไปถูกต้อง
ดีกว่าไปถวายดอกไม้ธูปเทียนเดินเวียนโบสถ์3รอบกราบ3ครั้งแต่ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร
คือทำไปตามประเพณีโดยไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเลยมีแต่ความเห็นผิดต้องรู้จักเลือกทำสิ่งที่ถูก
งานยุ่งมากเลยค่ะไม่มีเวลาไปเดินเวียนเทียนหรอกค่ะแค่เดินวนเวียนดแลคนเจ็บไข้ก็จะไม่ไหวแล้วเพลีย


ปรมัตถสัจจะ จริงโดยปรมัตถ์ คือ ความจริงโดยความหมายสูงสุด เช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ตรงข้ามกับ สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ เช่น สัตว์ บุคคล ฉัน เธอ ม้า รถ นาย ก. นางสาว Rosarin เป็นต้น

อ้าวคุณโรสไปเอา "คน" มาแต่ไหน คิกๆๆ คนไม่มี มีแต่รูปนาม :b32:

ถ้ายังแยกสัจจะสองอย่างนั่นไม่เป็นไม่ได้ ไม่มีวันจะเข้าใจพุทธธรรมในทุกแง่มุม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 12:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
วันนี้วันอาสาฬบูชา ถามคุณโรสเป็นต้นซึ่งเป็นศิษย์สำนักบ้านธัมมะ ว่าไปเวียนเทียนที่วัดไหนๆกันบ้างไหมครับเนี่ย :b12:

Kiss
:b12:
เข้าวัดจิตวัดใจตนเองว่าพึ่งคำจริงของตถาคตที่ทำให้เข้าใจถูกคิดถูกตามได้ค่ะ
ที่ไหนไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ค่ะมีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็ฟังเพราะศรัทธาเลื่อมใส
ในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเข้าใจความจริงแต่ละขณะที่กำลังเป็นไปถูกต้อง
ดีกว่าไปถวายดอกไม้ธูปเทียนเดินเวียนโบสถ์3รอบกราบ3ครั้งแต่ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร
คือทำไปตามประเพณีโดยไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเลยมีแต่ความเห็นผิดต้องรู้จักเลือกทำสิ่งที่ถูก
งานยุ่งมากเลยค่ะไม่มีเวลาไปเดินเวียนเทียนหรอกค่ะแค่เดินวนเวียนดแลคนเจ็บไข้ก็จะไม่ไหวแล้วเพลีย


ปรมัตถสัจจะ จริงโดยปรมัตถ์ คือ ความจริงโดยความหมายสูงสุด เช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ตรงข้ามกับ สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ เช่น สัตว์ บุคคล ฉัน เธอ ม้า รถ นาย ก. นางสาว Rosarin เป็นต้น

อ้าวคุณโรสไปเอา "คน" มาแต่ไหน คิกๆๆ คนไม่มี มีแต่รูปนาม :b32:

ถ้ายังแยกสัจจะสองอย่างนั่นไม่เป็นไม่ได้ ไม่มีวันจะเข้าใจพุทธธรรมในทุกแง่มุม

Kiss
ตั้งแต่เกิดมาจนโตมาขนาดนี้จำตัวตนยังไม่พอหรือคะ
แล้วทราบไหมล่ะคะว่าการฟังคำจริงของตถาคตทำให้
เกิดปัญญาเข้าใจว่ายังไม่ปัญญาไงคะเพราะถ้าใครคิด
ว่ตนเองมีปัญญานั่นแหละแปลว่ายังไม่มีปัญญาเลยค่ะ
เพราะผู้ที่เริ่มมีปัญญาจึงรู้ว่าตถาคตสอนให้รู้จักตนเอง
ตามเป็นจริงทุกขณะว่าทำถูกหรือผิดโดยไม่มีตัวตนค่ะ
รู้แล้วหมดอยากเพราะละไม่รู้ได้ด้วยปัญญาจนกว่านิพพานค่ะ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 12:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
วันนี้วันอาสาฬบูชา ถามคุณโรสเป็นต้นซึ่งเป็นศิษย์สำนักบ้านธัมมะ ว่าไปเวียนเทียนที่วัดไหนๆกันบ้างไหมครับเนี่ย :b12:

Kiss
:b12:
เข้าวัดจิตวัดใจตนเองว่าพึ่งคำจริงของตถาคตที่ทำให้เข้าใจถูกคิดถูกตามได้ค่ะ
ที่ไหนไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ค่ะมีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็ฟังเพราะศรัทธาเลื่อมใส
ในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเข้าใจความจริงแต่ละขณะที่กำลังเป็นไปถูกต้อง
ดีกว่าไปถวายดอกไม้ธูปเทียนเดินเวียนโบสถ์3รอบกราบ3ครั้งแต่ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร
คือทำไปตามประเพณีโดยไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเลยมีแต่ความเห็นผิดต้องรู้จักเลือกทำสิ่งที่ถูก
งานยุ่งมากเลยค่ะไม่มีเวลาไปเดินเวียนเทียนหรอกค่ะแค่เดินวนเวียนดแลคนเจ็บไข้ก็จะไม่ไหวแล้วเพลีย


ปรมัตถสัจจะ จริงโดยปรมัตถ์ คือ ความจริงโดยความหมายสูงสุด เช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ตรงข้ามกับ สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ เช่น สัตว์ บุคคล ฉัน เธอ ม้า รถ นาย ก. นางสาว Rosarin เป็นต้น

อ้าวคุณโรสไปเอา "คน" มาแต่ไหน คิกๆๆ คนไม่มี มีแต่รูปนาม :b32:

ถ้ายังแยกสัจจะสองอย่างนั่นไม่เป็นไม่ได้ ไม่มีวันจะเข้าใจพุทธธรรมในทุกแง่มุม

Kiss
ตั้งแต่เกิดมาจนโตมาขนาดนี้จำตัวตนยังไม่พอหรือคะ
แล้วทราบไหมล่ะคะว่าการฟังคำจริงของตถาคตทำให้
เกิดปัญญาเข้าใจว่ายังไม่ปัญญาไงคะเพราะถ้าใครคิด
ว่ตนเองมีปัญญานั่นแหละแปลว่ายังไม่มีปัญญาเลยค่ะ
เพราะผู้ที่เริ่มมีปัญญาจึงรู้ว่าตถาคตสอนให้รู้จักตนเอง
ตามเป็นจริงทุกขณะว่าทำถูกหรือผิดโดยไม่มีตัวตนค่ะ
รู้แล้วหมดอยากเพราะละไม่รู้ได้ด้วยปัญญาจนกว่านิพพานค่ะ
:b32: :b32:


คุณโรสไปเอาคนมาแต่ไหน อ้าว :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 66 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 103 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร