วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 09:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2018, 22:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
Rosarin เขียน:
eragon_joe เขียน:
Rosarin เขียน:
:b12:
งั้นขอถามกลับนะคะ
มีคนเงินวัดกุฏิศาลาโบสถ์วิหารลานเจดีย์
ในความหมายของคำว่าพระพุทธศาสนาไหมคะดูความหมายนะคะ
พระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
พระ=ผู้ประเสริฐ
พุทธะ=ผู้รู้ตื่นเบิกบาน
ศาสนา=คำสอน
เจ้าของคำสอนเรียกศาสดา
ศาสดายกคำสอนแทนตนเอง
ดังนั้นศาสดา=คำสอน=ศาสนา
คิดไตร่ตรองให้รอบรู้ทุกคำตรงความหมาย
:b8: :b8: :b8:


คำตอบ เราไม่ควรไปปูเสื่อนอนเล่นอยู่ใต้ต้นมะพร้าว เพราะถ้าลมกรรโชกพัดมาแรง
ลูกมะพร้าวจะร่วงหล่นใส่หัวได้

:b6: :b6: :b6:

:b13:

:b12:
น่านแหละร่างกายสตรีไม่ทรหดเหมือนผู้ชายไง
ตถาคตไม่ประสงค์ให้สตรีออกบวชคือสละเรือนไง
ยังดื้อไปโกนหัวเป็นชีไปเบียดเบียนให้ภิกษุหาเลี้ยง
บาปมากน๊าคนเข้าวัดแต่ไม่ฟังธรรมมีความเห็นผิดมาก
มากกว่าพวกที่ฟังธรรมแล้วไปเที่ยวเล่นได้ตามอัธยาศัยน๊า
:b32: :b32: :b32:


:b10: พุทธศาสนาไม่เคยมีภิกษุณีเหร๋อคะ :b10: :b10: :b10:

เคยมีเพราะมีผู้บรรลุถึงอรหันต์ค่ะ
ทรงกำหนดให้ภิกษุณีบวชได้เว้นปี
และต้องมีสงฆ์ครบ2ฝ่ายเมื่อขาดสงฆ์ฝ่ายหญิง
อุปัชฌายะไม่มีภิกษุณี/หญิงจึงบวชไม่ได้ยังไงล่ะ
ตถาคตทรงกำหนดเกณฑ์บวชให้หญิงหมดไปไงคะ
ยังมีคนหลงผิดคิดว่าตนบวชไม่ใช่บรรพชานะคะอยู่จำวัดไม่ได้และแม่ชีไม่มีในคำสอนค่ะ
:b32:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2018, 00:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:

ยังมีคนหลงผิดคิดว่าตนบวชไม่ใช่บรรพชานะคะอยู่จำวัดไม่ได้และแม่ชีไม่มีในคำสอนค่ะ
:b32:
:b4: :b4:


วัดสมัยก่อนหน้าตาเป็นไงคะ :b32: :b32: :b32:

มีโบสถ์ มีศาลา มีกุฏิ ที่สร้างด้วยอิฐหินปูนทราย มั๊ยคะ
มีประตูหน้าต่าง รั้วรอบขอบชิด มั๊ยคะ
มีการกั้นสัดส่วน แบ่งแยกสัดส่วนได้ชัดเจน มั๊ยคะ
วัดสมัยก่อนตั้งอยู่ในเมือง หรือในตั้งอยู่ในป่า คะ

วัฒนธรรมในสมัยก่อน ความเป็นอยู่ในสมัยก่อนเหมือนสมัยนี้ มั๊ยคะ
วัฒนธรรมอินเดียในยุคนั้น เหมือนกับวัฒนธรรมของไทยในยุคนี้ มั๊ยคะ

คุณรสเป็นหญิงไทยในยุคปัจจุบัน คุณคิดว่าคุณมีทัศนะคติเหมือนหญิงอินเดียในยุคนั้น มั๊ยคะ
คุณมี วรรณะ มั๊ยคะ
คุณกินข้าว คุณใช้ช้อน(ส้อม) หรือใช้มือจก ค๊ะ

แน่ ๆ ยุคนั้นไม่มี Net แน่นอน :b32: :b32: :b32:

ที่นี่คือ ลานธรรม เต็มไปด้วยเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับธรรม
สมัยก่อน ไม่มีวัด มีก็แค่แหล่งที่ ๆ ภิกษุที่บวชในพุทธศาสนาอยู่ชุมนุมกันในบริเวณนั้น
ซึ่งท่านเหล่านั้น จะอยู่กันอย่างไร ใครจะรู้
ท่านอาจจะอาศัยเพียง ใบไม้วางรองนอน ก็ได้
สถาพอาจจะเป็นป่า หรือสวน สถาพที่พักอาจจะเป็นเพียงเพิงง่าย ๆ พออยู่ได้
ท่านคงไม่สร้างบ้านสร้างอาคารอยู่กันหรอก
ซึ่งก็จะมีชาวบ้านเข้าไปเพื่อถวายอาหาร ฟังธรรม เมื่ออิ่มธรรมก็กลับ

สมัยนั้นยังไม่มีเต้นท์ ยังไม่มีถุงนอน อุปกรณ์สนาม ... :b32:

และวัฒนธรรมอินเดีย เป็นวัฒนธรรมที่มี "วรรณะ"

คุณรสเอาตัวเองที่โตมาในวัฒนธรรมไทยยุคปัจจุบัน ไปเปรียบกับหญิงอินเดียในอดีตได้ไง
ไม่มีอะไรเหมือนกันสักอย่าง มีเหมือนกันอย่างเดียว คือเป็นผู้หญิง

ยุคสมัยเปลี่ยนไป สภาพแวดล้อมทางสังคม ทางวัฒนธรรมเปลี่ยนไป

พระพุทธองค์ไม่เคยบอกว่าพุทธศาสนาในอินเดียจะเสื่อมลง จนกลับไปเป็นฮินดู
และพุทธศาสนาในไทยจะปรากฏเจริญขึ้น และกระจายออกไปยังต่างประเทศทั่วโลก

คราวนี้ หญิงอินเดียโบราณ กับหญิงไทย และหญิงรัสเซียยุคปัจจุบัน วัฒนธรรมยิ่งต่างกันไปอีก

ซึ่งศาสนาพุทธ คำสอนของพระพุทธเจ้าเผยแพร่กระจายออกไปทั่วโลกขนาดนั้น
ไม่ใช่เพราะคุณรสหรอก

เพราะ ทีมหมูป่า .... :b10: :b10: :b10:

:b32: :b32: :b32:

คือต้องยอมรับความจริงนะ จับนักพูดธรรมทั้งประเทศมาขึ้นเวทีพร้อมกันแบบรวมดาว
ยังสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการไม่ได้เท่ากับทีมหมูป่าติดถ้ำเลย

:b1: :b1: :b1:

พุทธศาสนากลับกลายมาเป็นกระแสที่น่าสนใจเพียงชั่วข้ามคืนอย่างไม่คาดคิด
เพียงเพราะ คำพูดบางคำเพียงสั้น ๆ ของผู้ที่ติดอยู่ในถ้ำ

:b1:

มีแม่ชีอยู่ในวัดมาหลายสิบปีแล้ว
แต่คำสอนของพระพุทธองค์ก็ยังคงแพร่กระจายออกไปกว้างขวางขึ้น

เพราะ Internet เพราะเทคโนโลยี

ชาวพุทธทั่วโลก ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้ว่ามีแม่ชีจำวัด เพราะแม่ชีไม่ได้จำ Internet :b32:

วัดในยุคพระพุทธองค์ ไม่ได้เป็นอย่างวัดในยุคนี้

แต่ก่อนจะศึกษาธรรม ก็ต้องเข้าไปศึกษากับพระ ซึ่งพระก็อยู่วัด

แต่เดี๋ยวนี้ นี่ไง แหล่งชุมนุมของผู้ที่สนใจธรรมะ

ที่ชุมนุมของผู้สนใจศึกษาธรรม มีพื้นที่ ๆ มีความกว้างขวางขึ้น

แต่ก่อน เด็กคงไม่เดินเข้าป่าไปหาพระพุทธเจ้าเพียงลำพังเพื่อศึกษาธรรม
และยิ่งเป็นผู้หญิง ยิ่งไม่เดินเข้าป่าไปเพียงลำพังเพื่อไปศึกษาธรรม แน่นอน
ค้างแรมในป่า ยิ่งไม่ เพราะภัยทั้งสัตว์ป่า และโจรป่า

แต่เดี๋ยวนี้ เด็กเปิด Internet ก็เข้าถึงแหล่งที่มีคำสอนของพระพุทธองค์ได้
ผู้หญิงก็สามารถเข้าถึงคำสอนได้อย่างสะดวกปลอดภัยกว่ายุคก่อน

ยุคนี้มีอะไรที่แสดงออกมาแตกต่างจากอดีตอย่างมากมาย

ก็ถ้าไม่หลงยุค ตกยุค ไปซะก่อน เน๊อะ

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2018, 03:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
นำลัทธิของนิครนถ์ข้อเดียวให้สังเกตกับตัวอย่างที่จะเทียบให้ดู
ลัทธินิครนถ์มีว่า ความสุขความทุกข์อะไรทั้งหลายแหล่ที่คนเราประสบอยู่ในปัจจุบันนี้ มันเป็นผลของกรรมแต่อดีตชาติตามมาให้ผล ประมาณว่า ชาติก่อนตนเคยทำอะไรไว้ดีหรือชั่วก็ตาม มันจะตามมาส่งผลให้ในชาตินี้ จะแก้ไขอะไรไม่ได้ ทำนองถูกล๊อกสะเป๊กไว้แล้ว




มีลัทธิมิจฉาทิฏฐิ เกี่ยวกับสุขทุกข์ และความเป็นไปในชีวิตของมนุษย์อยู่ ๓ ลัทธิ คือ

๑.ปุพเพกตเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นเพราะกรรมเก่า (past-action) เรียกสั้นๆว่า ปุพเพกตวาท

ฯลฯ


คุณลุงกรัชกายขา

คุณลุงไปเอา คำสอนนิครณ์ จาก ที่นิครนถ์เค้าสอน มาบ้างสิคะ

นี่ไปอ้างแต่คำสอนทางพุทธ ที่สังคยานา โดยมาสิโดเนีย กะอิสลามเปอร์เซีย ที่ครองอินเดีย รึเปล่าก็ไม่รู้คะ

ถ้ามีความยุติธรรมในใจ ก็ต้องฟังความทั้งสองข้างนะคะ

ไม่ใช่ไปเอาแค่ประโยคสองประโยค มา



เมื่อมีเสียงเรียกร้อง ก็ขอนำมาให้ทั้งสามเคส ดังนี้

(พุทธธรรมหน้า ๒๘๖ ว่า “เชื่ออย่างไรผิดหลักกรรม” พุทธบ้านเราน่าจะสับสนทางความคิด เพราะมีคำว่า “กรรม” ด้วย เลยเปลี่ยนให้ใหม่ เป็น “ความเชื่อที่ผิดหลักกรรมแบบพุทธศาสนา” คือว่า บ้านเรากรรมนี่เรื่องใหญ่ยาวทั้งศัพท์ทั้งความหมาย)

เข้าเรื่อง


มีลัทธิมิจฉาทิฏฐิ เกี่ยวกับสุขทุกข์ และความเป็นไปในชีวิตของมนุษย์อยู่ ๓ ลัทธิ ซึ่งต้องระวังไม่ให้เข้าใจสับสนกับหลักกรรม คือ

๑. ปุพเพกตเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นเพราะกรรมเก่า (past-action) เรียกสั้นๆว่า ปุพเพกตวาท

๒. อิสสรนิมมานเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นเพราะการบันดาลของเทพผู้เป็นใหญ่ (theistic determinism) เรียกสั้นๆว่า อิศวรกรณวาท หรืออิศวรนิรมิตวาท

๓. อเหตุอปัจจยวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นไปสุดแต่โชคชะตาลอยๆ ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย (indeterminism หรือ accidentalism) หรือเรียกสั้นๆว่า อเหตุวาท


นั่นแน้

คุณลุงกรัชกาย

ไปเอาความเห็นสำนวนพุทธธรรม ฝ่ายโจทก์ มาฝ่าย เดียว

สัตว์โลกทั้งปวง เรยย่อมไม่ได้เป็นไปตามกรรม

โนๆๆ “กมฺมุนา วตฺตตีโลโก....สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”
กรรมมุนา วัตตี โลโก

แบบว่า
โดนหินทิ่มเท้าทะลุ ก็เพราะซวย
โดนอดข้าว ทรมาน ก็เพราะซวย
ปวดหัว ก็เพราะซวย

หรอคะ ?

แย่แล้วๆๆ

เรื่องกรรมเป็นอจินไตย ทำไมๆ บัณฑิต ไม่รู้อจินไตย

ว่าสัตว์โลกทั้งปวงย่อมเป็นไปตามกรรมหละคะ



อ้างคำพูด:
“กมฺมุนา วตฺตตีโลโก....สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”
กรรมมุนา วัตตี โลโก


นั่นจบข่าวไปตอนหนึ่งแล้วนะ นึกว่าจะจบ แต่เมโลกสวยก็หาเหามาใส่ให้อีกจนได้ คิดก่อนว่าจะเอายังไงดี ตั้งกระทู้ใหม่ดี หรือ ลงตรงนี้ดี ใช้จิตก่อน คิกๆๆ


นั่นแน้ สัตว์โลกทั้งปวง เว้นลัทธิอื่นๆ ไม่เป็นตามกรรม หรอคะ

แย่แล้วๆๆ ที่ลัทธิอื่น โดนกล่าวหา เพราะซวย มั๊งคะ


กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม

เมไส่เหาให้คุณลุงน่ะแหละค่ะ

ต้องสอบสำนวน จากทั้งโจกท์ ทั้งจำเลยด้วย

จึงจะยุติธรรมนะคะ

สำนวนตำรวจกล่าวหาอย่างเดียว เอาจากฝ่ายโจกท์อย่างเดียว

อัยการให้สอบ ทั้งโจกท์ ทั้งจำเลย
แต่จะไม่สอบพยานทั้งสองฝ่าย จะดื้อดึง เอาแต่สำนวนโจกท์ฝ่ายเดียว
ผุ้พิพากษา ก็ยกฟ้องแหละค่ะ
คริคริ



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2018, 05:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
eragon_joe เขียน:
Rosarin เขียน:
eragon_joe เขียน:
Rosarin เขียน:
:b12:
งั้นขอถามกลับนะคะ
มีคนเงินวัดกุฏิศาลาโบสถ์วิหารลานเจดีย์
ในความหมายของคำว่าพระพุทธศาสนาไหมคะดูความหมายนะคะ
พระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
พระ=ผู้ประเสริฐ
พุทธะ=ผู้รู้ตื่นเบิกบาน
ศาสนา=คำสอน
เจ้าของคำสอนเรียกศาสดา
ศาสดายกคำสอนแทนตนเอง
ดังนั้นศาสดา=คำสอน=ศาสนา
คิดไตร่ตรองให้รอบรู้ทุกคำตรงความหมาย
:b8: :b8: :b8:


คำตอบ เราไม่ควรไปปูเสื่อนอนเล่นอยู่ใต้ต้นมะพร้าว เพราะถ้าลมกรรโชกพัดมาแรง
ลูกมะพร้าวจะร่วงหล่นใส่หัวได้

:b6: :b6: :b6:

:b13:

:b12:
น่านแหละร่างกายสตรีไม่ทรหดเหมือนผู้ชายไง
ตถาคตไม่ประสงค์ให้สตรีออกบวชคือสละเรือนไง
ยังดื้อไปโกนหัวเป็นชีไปเบียดเบียนให้ภิกษุหาเลี้ยง
บาปมากน๊าคนเข้าวัดแต่ไม่ฟังธรรมมีความเห็นผิดมาก
มากกว่าพวกที่ฟังธรรมแล้วไปเที่ยวเล่นได้ตามอัธยาศัยน๊า
:b32: :b32: :b32:


:b10: พุทธศาสนาไม่เคยมีภิกษุณีเหร๋อคะ :b10: :b10: :b10:

เคยมีเพราะมีผู้บรรลุถึงอรหันต์ค่ะ
ทรงกำหนดให้ภิกษุณีบวชได้เว้นปี
และต้องมีสงฆ์ครบ2ฝ่ายเมื่อขาดสงฆ์ฝ่ายหญิง
อุปัชฌายะไม่มีภิกษุณี/หญิงจึงบวชไม่ได้ยังไงล่ะ
ตถาคตทรงกำหนดเกณฑ์บวชให้หญิงหมดไปไงคะ
ยังมีคนหลงผิดคิดว่าตนบวชไม่ใช่บรรพชานะคะอยู่จำวัดไม่ได้และแม่ชีไม่มีในคำสอนค่ะ


แม่ชี ไม่มีในคำสอนก็มีได้ ซึ่งก็คือผู้สมาทานศีล ๘ ประจำ ก็เหมือนที่อุบาสกอุบาสิกาสมาทานกันเฉพาะวันพระนั่นเอง ไม่เห็นมีอะไรต้องคิดมาก คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 142 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร