วันเวลาปัจจุบัน 28 เม.ย. 2024, 15:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2018, 05:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สัจจะ 1. ความจริง มี ๒ คือ

๑. สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ เช่น คน พ่อค้า ปลา แมว โต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ

2. ปรมัตถสัจจะ จริงโดยปรมัตถ์ เช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ 2. ความจริง คือ จริงใจ ได้แก่ ซื่อสัตย์ จริงวาจา ได้แก่ พูดจริง และจริงการ ได้แก่ ทำจริง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2018, 05:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องความจริง ๒ อย่างนี้ อยู่ในหัวใหญ่นี่แล้ว

viewtopic.php?f=1&t=56171&start=15

แต่เห็นว่าควรแยกเป็นข้อย่อยเฉพาะเรื่องนี้อีกที ด้วยเห็นความคิด คคห. คุณโรสที่นี่แล้วสุดโต่งแบบกู่ไม่กลับ :b32: นี่

อ้างคำพูด:
Rosarin
บอกแล้วบอกอีกไม่รู้จักจำ คำสอนของพระพุทธเจ้า คือทุกคำในพระไตรปิฎก ส่องถึงเดี๋ยวนี้ที่มีแล้วตรง

ตามที่ทุกดวงจิตกำลังเป็นไป ใครกำลังทำฌานก็ได้มีฌาน

ใครกำลังทำปัญญาก็ได้ปัญญา

ใครได้นิพพานแล้วก็คือนิพพานจริง ตรงจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เลย คือ จิ เจ รุ นิ

ไม่เข้าใจหรือคะมีแล้ว จิต เจตสิก รูป นิพพาน ต้องรู้ 1 ที่ ตน มี

ครบวิสยรูป 7 ตรงธาตุ 4 ขันธ์ 5 รู้ผ่านครบอายตนะทั้ง 6 เดี๋ยวนี้

จิต คือ วิญญาณขันธ์ เป็นประธานรู้ทุกอย่างที่มี จิต มี 89-121 ประเภท

เจตสิก คือ เจตนา เกิดพร้อมจิต เป็นคู่หู ปรุงกุศล หรือ อกุศล 52 ประเภท

ประกอบด้วยประเภทของ 3 ขันธ์ เวทนาขันธ์ 1 สัญญาขันธ์ 1 สังขารขันธ์ 50

รูปคือรูปขันธ์ คือ มหาภูตรูป 4+อุปาทายรูป 24 รวม 28 รูป 27 รูป มืด มีสว่างแค่ 1 รูป

อ่านสิครบทั้งหมดแล้ว แยะแยะละเอียดที่กายใจตน มีให้ตรง 1 สัจจะ คือ จริงของตน

viewtopic.php?f=1&t=56203&p=422644#p422644



น้ำจิ้ม นี่คือผู้ที่เรียนฟังด้านเดียวแล้วเชื่อดิ่งแบบหัวทิ่มดิน ไม่รู้ตาม้าตาเรือ :b13: ปฏิเสธสมมติสัจจะ เข้าทำนองคนขวางโลก ฆ่าตนเองทางความคิด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2018, 05:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เข้าเรื่อง

สัจจะ 2 ระดับ


ท่านผู้อ่านผู้ฟัง ฟังคำสอนในพระพุทธศาสนาบางคน เกิดความสับสน เมื่อได้อ่านได้ฟังข้อความบางอย่าง
เช่น
บางแห่งว่า ไม่ควรคบคนพาล ควรคบบัณฑิต คนพาลมีลักษณะอย่างนี้ๆ บัณฑิตมีลักษณะอย่างนี้ๆ ควรยินดีแต่ของของตน ไม่ควรอยากได้ของของผู้อื่น ตนเป็นที่พึงแห่งตน คนควรช่วยเหลือกัน ดังนี้ เป็นต้น
แต่บางแห่งว่า
พึงพิจารณาเห็นตามความเป็นจริงว่า กายก็แค่กาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา พึงรู้เท่าทันตามเป็นจริงว่า ไม่ใช่ตัวตนของเรา สิ่งทั้งหลาย เป็นอนัตตา ดังนี้ เป็นต้น
แล้วมองไปว่า คำสอนในทางพระพุทธศาสนา ขัดแย้งกันเอง หรือไม่ก็งง แล้วไม่เข้าใจ
หรือ
บางคนเข้าใจบ้าง แต่ไม่ชัดเจนพอ ทำให้เกิดการปฏิบัติสับสน ผิดพลาด ดำเนินชีวิตไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง
ในเวลาที่ควรพูดควรปฏิบัติตามความรู้ในชีวิตประจำวันของชาวบ้าน กลับพูด หรือปฏิบัติด้วยความยึดถือในความรู้ตามสภาวะ เป็นต้น ทำให้เกิดความวุ่นวายและเสียหาย ทั้งแก่ตนและผู้อื่น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2018, 05:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คัมภีร์อภิธรรม หวังจะช่วยป้องกันความสับสนผิดพลาดเช่นนี้ จึงสอนให้รู้จักแยกสัจจะหรือความจริง เป็น ๒ ระดับ กล่าวคือ


๑. สมมติสัจจะ ความจริงโดยสมมติ (เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า โวหารสัจจะ ความจริงโดยโวหาร หรือโดยสำนวนพูด) คือ จริงตามมติร่วมกัน ตามที่ได้ตกลงกันไว้ หรือหมายรู้ร่วมกัน เป็นเครื่องมือสื่อสาร พอให้สำเร็จประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เช่น คน สัตว์ คนดี คนชั่ว โต๊ะ เก้าอี้ หนังสือ เป็นต้น (conventional truth) ตัวอย่างที่พอเทียบให้เห็นเค้า เช่น ภาษาสามัญพูดว่า น้ำ ว่า เกลือ เป็นต้น


๒. ปรมัตถสัจจะ ความจริงโดยปรมัตถ์ คือ จริงตามความหมายสูงสุด ตามความหมายแท้อย่างยิ่ง หรือ ตามความหมายแท้ขั้นสุดท้ายที่ตรงตามสภาวะ และเท่าที่พอจะกล่าวถึงได้ หรือพอจะยังพูดให้เข้าใจกันได้ เพื่อสำหรับให้เกิดความรู้ ความเข้าใจเท่าทันความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลาย คือ รู้จักสิ่งเหล่านั้นตามที่มันเป็น และเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด คือ การหยั่งรู้สัจธรรม ที่จะทำให้ความยึดติดถือมั่นหลงผิดทั้งหลายสลายหมดไป ทำให้วางใจวางท่าทีต่อสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้อง หลุดพ้นจากกิเลสและความทุกข์ มีจิตใจเป็นอิสระ ปลอดโปร่ง ผ่องใส เบิกบาน มีความสุขที่แท้จริง

สิ่งที่เป็นจริงโดยปรมัตถ์ เช่น นามธรรม รูปธรรม เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ผัสสะ เจตนา เอกัคคตา ชีวิตินทรีย์ ฯลฯ (ultimate truth) ตัวอย่างที่พอเทียบให้เห็นเค้า เช่น ในทางวิทยาศาสตร์ถือว่า คำว่า น้ำ เกลือ เป็นต้น ยังไม่ตรงสภาวะแท้ อาจมีแง่ความหมายที่คลุมเครือ หรือเขวได้ น้ำแท้ๆ คือ Hydrogen Oxide (H2O) เกลือสามัญก็เป็น Sodium Chloride (NaCl) จึงถูกแท้ดังนี้ เป็นต้น (ข้อเปรียบเทียบนี้ไม่ใช่ตรงกันแท้ แต่เทียบพอให้เห็นว่า ในวิชาการอื่น ก็มีการมองเห็นความจริงด้านอื่น ของสิ่งสามัญ)
.

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2018, 05:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ผู้ศึกษาพระพุทธศาสนาดู คคห.ต่อไปนี้ให้ชัดทั้งสมมติ ทั้งปรมัตถ์ สมมติสำหรับรู้ทัน ปรมัตถ์สำหรับเข้าใจ เมื่อรู้ทันเข้าใจแล้วจึงรู้จักใช้ทั้งสองนั้นถูกต้อง คือว่า สิ่งเดียวกันนั่นแหละแต่แยกได้ใช้ถูก)


อย่างไรก็ดี ความคิดเกี่ยวกับสมมติสัจจะ และปรมัตถสัจจะ ที่ท่านระบุออกมาเป็นคำบัญญัติในพระอภิธรรมนั้น ก็ยกเอาความในพระสูตรนั่นเองเป็นที่อ้าง แสดงว่า ความคิดความเข้าใจเรื่องนี้ เป็นของมีแต่เดิม

แต่ในครั้งเดิมนั้น คงเป็นที่เข้าใจกันดี จนไม่ต้องระบุคำบัญญัติ ๒ คำนี้ ข้อความในพระสูตรที่ท่านยกมาอ้างนั้น เป็นคำของพระภิกษณีชื่อวชิรา

มีเนื้อความดังนี้

"นี่แน่ะมาร ท่านจะมีความเห็นยึดถือว่าเป็นสัตว์ได้อย่างไร ในสภาวะที่เป็นเพียงกองแห่งสังขารล้วนๆ นี้ จะหาตัวสัตว์ไม่ได้เลย เปรียบเหมือนว่า เพราะคุมส่วนประกอบเข้าด้วยกัน ศัพท์ว่า รถ ย่อมมี ฉันใด เมื่อขันธ์ทั้งหลาย มีอยู่ สมมติว่า สัตว์ ก็ย่อมมี ฉันนั้น" * (สํ.ส.15/554/198 ฯลฯ)


ความคล้ายกันนี้ ที่เน้นในแง่ปฏิบัติ คือ ความรู้เท่าทันสมมติ และเข้าใจปรมัตถ์ แล้วรู้จักใช้ภาษา เป็นเครื่องมือสื่อความหมาย โดยไม่ยึดติดในสมมติเป็นทาสของภาษา สามารถยกบาลีที่เป็นพุทธพจน์มาอ้างได้อีกหลายแห่ง เช่น


"ภิกษุผู้เป็นอรหันตขีณาสพ....จะพึงกล่าวว่า ฉันพูด ดังนี้ ก็ดี เขาพูดกับฉัน ดังนี้ ก็ดี เธอเป็นผู้ฉลาด รู้ถ้อยคำที่เขาพูดกันในโลก ก็พึงกล่าวไปตามโวหารเท่านั้น" * (สํ.ส.15/65/21)

"เหล่านี้ เป็นโลกสมัญญา เป็นโลกนิรุตติ เป็นโลกโวหาร เป็นโลกบัญญัติ ซึ่งตถาคตใช้พูดจา แต่ไม่ยึดติด" (ที.สี.9/312/248)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2018, 06:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนึ่ง พระอรรถกถาจารย์บรรยายลักษณะของพระสูตร (สุตตันตปิฏก) ว่าเป็นโวหารเทศนา เพราะเนื้อหาส่วนมากแสดงโดยโวหาร คือ ใช้ภาษาสมมติ

ส่วนพระอภิธรรม เป็นปรมัตถเทศนา เพราะเนื้อหาส่วนมากแสดงโดยปรมัตถ์ คือ กล่าวตามสภาวะแท้ๆ (วินย.อ.1/21 ฯลฯ ) นี้เป็นข้อสังเกตเพื่อประดับความรู้อย่างหนึ่ง

(จบข่าว) :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2018, 06:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้ขอถาม คนสองคน คือ คุณโรส กับ ลุงหมาน ซึ่งคอเดียวกัน ว่ามีความเห็นเป็นประการใด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2018, 09:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คัมภีร์อภิธรรม หวังจะช่วยป้องกันความสับสนผิดพลาดเช่นนี้ จึงสอนให้รู้จักแยกสัจจะหรือความจริง เป็น ๒ ระดับ กล่าวคือ


๑. สมมติสัจจะ ความจริงโดยสมมติ (เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า โวหารสัจจะ ความจริงโดยโวหาร หรือโดยสำนวนพูด) คือ จริงตามมติร่วมกัน ตามที่ได้ตกลงกันไว้ หรือหมายรู้ร่วมกัน เป็นเครื่องมือสื่อสาร พอให้สำเร็จประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เช่น คน สัตว์ คนดี คนชั่ว โต๊ะ เก้าอี้ หนังสือ เป็นต้น (conventional truth) ตัวอย่างที่พอเทียบให้เห็นเค้า เช่น ภาษาสามัญพูดว่า น้ำ ว่า เกลือ เป็นต้น


๒. ปรมัตถสัจจะ ความจริงโดยปรมัตถ์ คือ จริงตามความหมายสูงสุด ตามความหมายแท้อย่างยิ่ง หรือ ตามความหมายแท้ขั้นสุดท้ายที่ตรงตามสภาวะ และเท่าที่พอจะกล่าวถึงได้ หรือพอจะยังพูดให้เข้าใจกันได้ เพื่อสำหรับให้เกิดความรู้ ความเข้าใจเท่าทันความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลาย คือ รู้จักสิ่งเหล่านั้นตามที่มันเป็น และเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด คือ การหยั่งรู้สัจธรรม ที่จะทำให้ความยึดติดถือมั่นหลงผิดทั้งหลายสลายหมดไป ทำให้วางใจวางท่าทีต่อสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้อง หลุดพ้นจากกิเลสและความทุกข์ มีจิตใจเป็นอิสระ ปลอดโปร่ง ผ่องใส เบิกบาน มีความสุขที่แท้จริง

สิ่งที่เป็นจริงโดยปรมัตถ์ เช่น นามธรรม รูปธรรม เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ผัสสะ เจตนา เอกัคคตา ชีวิตินทรีย์ ฯลฯ (ultimate truth) ตัวอย่างที่พอเทียบให้เห็นเค้า เช่น ในทางวิทยาศาสตร์ถือว่า คำว่า น้ำ เกลือ เป็นต้น ยังไม่ตรงสภาวะแท้ อาจมีแง่ความหมายที่คลุมเครือ หรือเขวได้ น้ำแท้ๆ คือ Hydrogen Oxide (H2O) เกลือสามัญก็เป็น Sodium Chloride (NaCl) จึงถูกแท้ดังนี้ เป็นต้น (ข้อเปรียบเทียบนี้ไม่ใช่ตรงกันแท้ แต่เทียบพอให้เห็นว่า ในวิชาการอื่น ก็มีการมองเห็นความจริงด้านอื่น ของสิ่งสามัญ)
.

:b32:
มีแล้วทุกเวลาก็ไม่รู้ไงคะและไม่รู้ด้วยว่าตัวเองไม่รู้ก็ร่างกายเป็นสมมุติสัจจะ
ตาหูจมูกลิ้นกายใจร่างกายมีแล้วเป็นรูปธรรมคือรูปขันธ์คือรูปคืออภิธรรม
จิตคือวิญญาณคือวิญาณขันธ์เป็นนามธรรมคืออภิธรรม
ใจคู่กับจิตเปรียบเหมือนเจตสิกเป็นนามธรรมคืออภิธรรม
จิตใจต้องมีไปด้วยกันตลอดไม่แยกจากกันจนกว่านิพพาน
ปรมัตถสัจจะคือปรมัตถธรรมคือภิธรรมคือจิตเจตสิกรูปนิพพาน
สมมุติสัจจะตายทุกขณะจิตที่จิตเกิดดับทีละ1ขณะตายทุกชาติจนกว่านิพพาน
จิต+เจตสิก+รูป=วิญญาณ1+เวทนา1สัญญา1สังขาร50+รูป28/ส่วนนิพพาน1ไม่เกิด
มีครบแล้วต้องไปทำอะไรเพิ่มไหมคะมีแล้วไม่รู้ว่ามี/จิเจรุพาเกิด/นิไม่เกิด
อภิธรรมคือปรมัตถสัจจะคือธัมมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ครบธาตุ4ขันธ์5อายตนะ6
จึงปล่อยวางภาระที่ยึดถือสมมุติสัจจะได้เพราะสมมุติไม่มีอยู่จริงไม่ตามไปภพหน้า
:b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 16 ก.ค. 2018, 17:27, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2018, 09:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
วิสยรูป7คือเดี๋ยวนี้คือรู้ตรงปรมัตถสัจจะคือความจริงตรงๆคืออันที่ไม่เคยคิดเองได้ก็มีตรงปัจจุบัน
อันร่างกายคนสัตว์วัตถุใครไม่รู้จักว่ามีมาตั้งแต่เกิดไม่ใช่หรือคะมีอยู่ตลอดเวลาจนแก่ตายค่ะคือมีจิตใจ
:b16:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2018, 09:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
วิสยรูป7คือเดี๋ยวนี้คือรู้ตรงปรมัตถสัจจะคือความจริงตรงๆคืออันที่ไม่เคยคิดเองได้ก็มีตรงปัจจุบัน
อันร่างกายคนสัตว์วัตถุใครไม่รู้จักว่ามีมาตั้งแต่เกิดไม่ใช่หรือคะมีอยู่ตลอดเวลาจนแก่ตายค่ะคือมีจิตใจ
:b16:
:b32: :b32:


ถามนะ ตอบตรงๆ คนมีไหม ?

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2018, 10:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
วิสยรูป7คือเดี๋ยวนี้คือรู้ตรงปรมัตถสัจจะคือความจริงตรงๆคืออันที่ไม่เคยคิดเองได้ก็มีตรงปัจจุบัน
อันร่างกายคนสัตว์วัตถุใครไม่รู้จักว่ามีมาตั้งแต่เกิดไม่ใช่หรือคะมีอยู่ตลอดเวลาจนแก่ตายค่ะคือมีจิตใจ
:b16:
:b32: :b32:


ถามนะ ตอบตรงๆ คนมีไหม ?

คนเป็นสมมุติสัจจะก็ตอบสิคะเข้าใจว่าคนเป็นสมมุติสัจจะยังไงดี
ตนเองไม่รู้ก็ไตร่ตรองดูสิคะคุณธรรมต่างระดับน๊าถึงสละออกบวชได้
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2018, 12:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
วิสยรูป7คือเดี๋ยวนี้คือรู้ตรงปรมัตถสัจจะคือความจริงตรงๆคืออันที่ไม่เคยคิดเองได้ก็มีตรงปัจจุบัน
อันร่างกายคนสัตว์วัตถุใครไม่รู้จักว่ามีมาตั้งแต่เกิดไม่ใช่หรือคะมีอยู่ตลอดเวลาจนแก่ตายค่ะคือมีจิตใจ
:b16:
:b32: :b32:


ถามนะ ตอบตรงๆ คนมีไหม ?

คนเป็นสมมุติสัจจะก็ตอบสิคะเข้าใจว่าคนเป็นสมมุติสัจจะยังไงดี
ตนเองไม่รู้ก็ไตร่ตรองดูสิคะคุณธรรมต่างระดับน๊าถึงสละออกบวชได้
:b32: :b32:


ถามว่า คนมีไหม ไปบวชอีกแระ อิอิ

งั้นถามใหม่ แถวๆนั้นเขาว่าคุณโรส เป็นคนไหม ? :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2018, 15:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
วิสยรูป7คือเดี๋ยวนี้คือรู้ตรงปรมัตถสัจจะคือความจริงตรงๆคืออันที่ไม่เคยคิดเองได้ก็มีตรงปัจจุบัน
อันร่างกายคนสัตว์วัตถุใครไม่รู้จักว่ามีมาตั้งแต่เกิดไม่ใช่หรือคะมีอยู่ตลอดเวลาจนแก่ตายค่ะคือมีจิตใจ
:b16:
:b32: :b32:


ถามนะ ตอบตรงๆ คนมีไหม ?

คนเป็นสมมุติสัจจะก็ตอบสิคะเข้าใจว่าคนเป็นสมมุติสัจจะยังไงดี
ตนเองไม่รู้ก็ไตร่ตรองดูสิคะคุณธรรมต่างระดับน๊าถึงสละออกบวชได้
:b32: :b32:


ถามว่า คนมีไหม ไปบวชอีกแระ อิอิ

งั้นถามใหม่ แถวๆนั้นเขาว่าคุณโรส เป็นคนไหม ? :b10:

:b32:
สมมุติสัจจะคือมายาไง
มีเมียก็หลอกเมียไปมีกิ๊ก
มีกิ๊กก็บอกเมียว่าสัตย์ซื่อ
เหมือนบวชไหมรับเงินก็คือ
หลอกชาวบ้านว่าเป็นพระไงคะ
คุณธรรมไม่มีพอให้ชาวบ้านกราบ
เตรียมใจไว้ด้วยว่าไปนรกแล้วแก้ไม่ได้คร่า
ต้องแก้ตอนเป็นซื่อตรงต่อคำปฏิญาณตนทำไม่ได้ก็รู้เองนี่
คนอื่นมองเห็นตามคำสอนของพระพุทธเจ้ามันจริงหมดเขาชี้ให้สังวรณ์ไงคะ
พระพุทธเจ้าบอกว่าบวชรับเงินทองใช้เงินทองมันผิดพระธรรมวินัยถูกไหมล่ะคะ
แล้วเวลามีคนพูดว่าบวชรับเงินคือโกงบวขเป็นโจรเป็นเศรษฐีหัวโล้นมีตามที่พระพุทธเจ้าบอกไหมมมมมม
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2018, 15:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
จริงทั้งสมมุติสัจจะและจริงทั้งปรมัตถสัจจะ
เวลาดูก็เทียบคำสอนสิคะว่ามันผิดศีลทั้ง
โป้ปดเมียและโป้ปดชาวบ้านไงคะ
ดูความจริงเทียบตำราค่ะ
ไม่ใช่กอดตำรา
ไม่ดูสิ่งที่เห็น
ตรงตำรา
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2018, 16:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss

เป็นสมมุติสงฆ์คือต้องทำถูกตามสมมุติสัจจะ
ขอบวชทำตามปรมัตถสัจจะคือทำตาม
คำสอนได้แล้วถ้าบวชไม่เข้าใจ
ก็ทำผิดเป็นปกติลองทำหรือ
ตกนรกน่ะไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
คือมีปกติจิตสะสมอกุศล
ก็คืออกุศลศีลไงคะ
ก็เจตนาอกุศลแล้ว
เพราะกุศลกับอกุศลเจตสิกไม่เกิดร่วมกันเรียกว่าไม่ร่วมสังฆกรรมค่ะ
:b17: :b17:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 207 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร