วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 11:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2018, 17:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยเห็น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่า ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตายไหม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2018, 09:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
เคยเห็น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่า ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตายไหม


คำว่าไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย ท่านมุ่งหมาย ให้เข้าใจว่า มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้น
มีแต่ธรรมเท่านั้นที่ดับไป เพื่อลดสิ่งที่เข้าใจว่า"อัตตา"

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2018, 23:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
เคยเห็น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่า ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตายไหม


คำว่าไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย ท่านมุ่งหมาย ให้เข้าใจว่า มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้น
มีแต่ธรรมเท่านั้นที่ดับไป เพื่อลดสิ่งที่เข้าใจว่า"อัตตา"



คำว่าไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย เคยได้ยินว่าเป็นคำอุทานของพระสงฆ์รูปหนึ่งซึ่งอุทานขึ้นมาขณะกำลังสนทนาธรรมกับพระสงฆ์อีกรูปหนึ่ง และท่านก็บรรลุธรรม หมายถึงทำกิจในอริยสัจ ๔ จบสิ้นขณะนั้นด้วย

แสดงว่าท่านเกิดญาณเห็นความเป็นอนัตตา เห็นความเห็นผิดคืออุปาทานขันธ์ ๕ หรือทุกขสัจจึงกล่าวอุทานออกมาแบบนั้น ซึ่งมันก็สมเหตุสมผล

คำถามคือ ประโยคที่ว่า ''ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย'' ฟังแล้วทำให้รู้สึกเบื่อหน่ายคลายกำหนัดไหม ฟังแล้วจะเกิดความเพียร สำรวมระวังศีล สังวรณ์อินทรี์ไหม ฟังแล้วจะเกิดความเพียรเจริญสมถ วิปัสสนาเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงไหม การนำมาบอกสอนกันจะเกิดผลไปในทิศทางใด

สำหรับผมเห็นว่าจะพาให้เกิดความประมาทมากกว่า อาจปรุงแต่งไปเองว่าโลกนี้เป็นสิ่งสมมุติไปหมด คนสัตว์ไม่มี ทุกข์ไม่มี เพื่อนร่วมทุกข์ไม่มี ..... ความเห็นแบบนี้ทำให้ไม่ทุกข์ได้ก็จริง แต่เป็นมิจฉาวิมุติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2018, 07:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ที่สุดคือ..ไม่มีใครเกิด..ไม่มีใครตาย..นั้นแหละถูกต้องที่สุดแล้ว

แต่ที่มีตาย...เพราะเราหลง...หลงยึดขันธ์..ว่า..นี้เป็นเรา..นั้นเป็นพ่อแม่พี่น้องพ้องญาติแลว่าขันธ์ทั้งหลายนั้นเป็นของสัตว์นั้น...

เมื่อเข้าใจที่สุด..ก็ไม่มีใครตาย..

แต่..ตายมั้ย?...ก็ต้องบอกว่า...ตาย..เพียงแต่ไม่มีใครตาย...

หาก
พ่อ แม่ กบ ตาย
ก็ไม่ต้องจัดงาน ไม่ต้องเขียนป้ายชื่อนะครับ


ถึงจะจัดงาน..ถึงจะเขียนป้ายชื่อ...กูก็ไม่หลง..ครับ.. :b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2018, 08:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




คนแก่ทะเลาะกันหราครับ
:b32: :b32: :b32: :b32:

1. ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย เพราะบรรลุธรรม สำเร็จเป็นอรหันตผล ตัดวงจรปฏิจจะขาดบรรลุอรหันต์ ก็ไม่มาเกิดอีก เมื่อไม่เกิดก็ไม่ตาย ไม่ต้องเวียน ว่าย ตาย เกิดอีก ...มันก็ถูกแล้วนี่ครับ โดยนัยยะของการบรรลุออรหันต์

2. ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย ในปุถุชน จิตเดิมแท้ที่จรมาอาศัยธาตุดิน ธาตุน้ำ ลม ไฟ ที่พ่อแม่ให้มา แล้วใจเข้ายึดครองธาตุ ๕ ที่ไม่เที่ยงมีความเสื่อมเป็นธรรมดา ไม่ใช่ตัวตนจะบังคับให้เป็นดั่งใจก็ไม่ได้ เมื่อมันจะเสื่อมจะพักไม่อยู่ใต้บังคับของใคร เมื่อตายแต่กายแตกไปลมหายใจดับ ไฟก็ดับ ดินกับน้ำก็คงอยู่ไม่ได้ก็คลายจากกันให้อืด บวม เน่า เหม็น แล้วน้ำก็กลับคืนสู่น้ำ ดินกลับคืนสู่ดิน ก็ไม่มีเราในธาตุ ๕ เหล่านั้น แล้วจิตก็ต้องจรไปตามยถากรรม
..ถึงแม้ยังมีชีวิตอยู่สิ่งที่แค่นแข็งอ่อนนุ่ม สิ่งที่เอิบอาบซึมซาบข้นเหนียวไหลออก สิ่งที่เคลื่อนไป ไหวติง พัดออก ความมอบอุ่น อาการที่ร้อนที่ย่อยอาหารนี้คลายออกดับไป ตดที่ออกทางช่องว่าง ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของใคร..ก็ถ้าเป็นเราแล้ว เมื่อสิ่งทั้งปวงที่กล่าวไว้นี้หลุดออกมาหรือดับสูญไปก็ทำไมเราไม่ตายตามมันไปเล่า เพราะมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เพราะอาศัยใจเข้ายึดครองจึงยังคงรูปคงสันฐานเอาไว้ได้ จึงยังมีชีวิตทำงานได้อยู่ยังดำรงอยู่ได้ เมื่อไม่มีใจเข้ายึดครองแล้วเขาจะเอาสิ่งที่หลุดออกมหรือที่พังลงาจากกายธาตุนี้ไปทำอะไรเราก็ไม่รู้สึกแล้ว ธาตุ ๕ จึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มีความเสื่อมเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นไปไม่ได้ จึงมีความเจ็บ ความปวด ความป่วย เป็นโรค แล้วตาย
..ก็แล้วอะไรที่ตายล่ะ ก็ธาต ๕ ที่ใจเข้ายึดครองนั้นแหละที่ตาย ที่ดับสลายไป ..แต่ใจนี้ไม่ตาย ใจนี้มันก็ต้องจรไปจากธาตุ ๕ ที่มันยึดว่าเป็นตนมานาน เข้าสู่ภพภูมิดี-ชั่ว มีรูปพรรณสันฐานต่างๆแบบอื่นตามแต่บารมีกรรมดีหรือบารมีกรรมชั่วที่มันทำสะสมมาให้เป็นไป
- มีทาน มีเมตตาก็อุดมด้วยความบริบูรณ์ในโภคทรัพย์ บริวาร วรรณะดี
- มีศีล มีพรหมวิหาร ๔ ก็มีรูปร่าง สันฐานงาม โรคภัยไข้เจ็บน้อยหรือไม่มีเลย อายุยืน
- มีภาวนา ทำสมาธิ และศึกษาเรียนรู้(สุตะ) ทำความรู้ให้เข้าใจลงใจ(จินตะ) จนเห็นจริง(ภาวนา) ก็มีสุขะ มีพละ มีกำลังใจดี ไม่ค่อยติดใจข้องแวะสิ่งใด มีความหลงน้อย ก็ยึดน้อย จึงทุกข์น้อยตามไป

- แต่ตราบใดที่จิตต้องจรไปอยู่นี้ จิตเราก็ไม่อาจจะพ้นจากสิ่งที่เสื่อม สิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน ความเจ็บ ปวด ป่วย เป็นที่ประชุมโรค ต้องพรัดพราก พบเจอสิ่งที่ชัง ผิดหวังไม่สมปารถนา อัดอั้นคับแค้นกายใจ ไม่สบายกายไม่สบายใจ ความเร่าร้อน ความทนอยู่ไม่ได้สืบไป
- การจัดงานศพทำบุญอุทิศให้นี้ ประการแรกเพื่อให้ดวงจิตผู้ที่เคยเข้ายึดครองร่างกายนั้นรัับทราบว่าบัดนี้ถึงความสูญแห่งธาตุ ๕ นั้นแล้ว การทำบุญให้ทาน รับศีล ฟังธรรม สวดมาติกา สวดอภิธรรม ก็เป็นบุญแก่ขันธ์ของผู้จัดงานและรู้ว่าคนเรามีความพรัดพรากเป็นที่สุด แลจะล่วงพ้นความตาย(ธาตุ ๕ พังสลาย)ไปไม่ได้ พร้อมทั้งให้ดวงจิตที่ขาดจากธาตุ ๕ นั้นได้รับรู้ด้วยว่าคนเรามีความพรัดพรากเป็นที่สุด ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย มีแต่จิตที่ท่องเที่ยวไปเปลี่ยนที่เข้ายึดครองอาศัยธาตุตามบุญกรรมที่สะสมมาในภพภูมิต่างๆ ต้องวนเวียนพรัดพรากไปไม่มีสิ้นสุด
- เมื่อกรวดน้ำอุทิศบุญให้..ก็ทำให้แก่ดวงจิตที่เคยยึดครองกายนั้น มีชื่อเมื่อเข้ายึดครองกายนั้นอย่างนี้ๆ
- เมื่อเผาเอากระดูกไว้โกฏใส่ในข้างกำแพงวัดหรือที่บรรจุอัฐิ แล้วตั้งขึ้น มีรูปภาพในอดีตของกายในรูปร่างอย่างนี้ๆ มีชื่ออย่างนี้ๆ ก็เพื่อพอถึงคราวที่มีคนทำบุญอุทิศให้ ..คนทำเขาจะได้รู้ว่าต้องแผ่บุญกุศลอุทิศให้..ดวงจิตที่เดิมเคยมีชื่อนี้ๆ เคยมีสถานะภาพอย่างนี้ ในสมัยที่เข้ายึดครองกองเถ้ากระดูกนี้เมื่อครั้งที่ยังดำรงธาตุขันธ์ไว้อยู่ ได้ถูกต้องตรงกัน
- เมื่อไม่รู้พระอริยะสัจ ๔ ไม่แตกฉานเห็นแจ้งแทงตลอดฉันใด ก็ยังต้องจรไปในวงเวียนแห่งทุกข์ ผิดหวังไม่สมปารถนา พบเจอสิ่งที่เกลียดชังให้ทนอยู่ไม่ได้ ต้องพรัดพรากจากสิ่งที่รักที่เจริญใจ อยู่ไม่สิ้นสุด
..ข้อนี้คือ..การไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย จะมีก็แต่ความพรัดพรากไม่ยังยืนคงทนอยู่ได้นาน..โดยนัยยะของ ธาตุ ๖ ที่ดวงจิตนี้ไม่ตายแต่ต้องจรไปในวงเวียนทุกข์

ข้อนี้ผมเสนอความเห็นเฉยๆนะครับ ไม่รู้ธรรม ฟังๆจำๆมาปรุงแต่งเอง ทุกท่านที่แวะอ่านกระทู้ผมโปรดรู้ไว้ด้วยว่า..เป็นเพียงการอนุมานของปุถุชนอย่างผมที่น้อมเข้าประโยค 1 ประโยคที่ว่า "ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย" ให้พิจารณาได้ในทั้ง ขั้นต้น ขั้นกลาง และที่สุด ซึ่งมีทั้งของจริงและไม่จริงนะครับ ต้องพิจารณาเอานะครับ คนแก่จะได้เลิกทำตัวเป็นเด็กอัตตามาทะเลาะกัน คนที่ไม่รู้จริงเมื่อไปปรามาศเขาก็เป้นเวรภัยแก่ตัว จะได้สำรวมระวัง เป็นเจตนาของคนหล่อน่ะครับ(ยืมคำโจวซิงฉือมาใช้ อิอิ)


.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2018, 17:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: :b16: :b1:

...เยี่ยม...
ธรรม ... สี ... รุ้ง ...

เอกอนชอบตรงท่อนสีเขียว ...

เพราะ คุณอากาศเลือกสีมาได้ใกล้เคียงกันมา

เอกอนอ่านมาดี ๆ มาสะดุดตรงท่อนสีเขียวนี่ล่ะ

เพราะใจแว๊บออกไปสังเกตเห็นสีเขียวอ่อน ๆ ที่เหลื่อมกันอยู่

:b16:

พอได้เพลิดเพลินในสีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ค่อยกลับไปอ่านตั้งแต่ต้นใหม่

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2018, 17:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b1: :b16: :b1:

...เยี่ยม...
ธรรม ... สี ... รุ้ง ...

เอกอนชอบตรงท่อนสีเขียว ...

เพราะ คุณอากาศเลือกสีมาได้ใกล้เคียงกันมา

เอกอนอ่านมาดี ๆ มาสะดุดตรงท่อนสีเขียวนี่ล่ะ

เพราะใจแว๊บออกไปสังเกตเห็นสีเขียวอ่อน ๆ ที่เหลื่อมกันอยู่

:b16:

พอได้เพลิดเพลินในสีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ค่อยกลับไปอ่านตั้งแต่ต้นใหม่

:b32: :b32: :b32:



5555 ขอบพระคุณครับท่านเอกอนที่กรุณา 555

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2018, 19:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b17: :b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2018, 03:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b1: :b16: :b1:

...เยี่ยม...
ธรรม ... สี ... รุ้ง ...

เอกอนชอบตรงท่อนสีเขียว ...

เพราะ คุณอากาศเลือกสีมาได้ใกล้เคียงกันมา

เอกอนอ่านมาดี ๆ มาสะดุดตรงท่อนสีเขียวนี่ล่ะ

เพราะใจแว๊บออกไปสังเกตเห็นสีเขียวอ่อน ๆ ที่เหลื่อมกันอยู่

:b16:

พอได้เพลิดเพลินในสีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ค่อยกลับไปอ่านตั้งแต่ต้นใหม่

:b32: :b32: :b32:

(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)

ตาหลกดี

จิตรู้สมมุติ เป็นสมุทัย

เยี่ยมจริงๆค่ะ ธรรมมะสีประกายรุ้ง

เม อยากทำได้มั่ง อยากมีแบบนั้นมั่งค่ะ

คริคริ



แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 130 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron