ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ตัณหาอุปาทาน
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=56009
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 12 มิ.ย. 2018, 15:29 ]
หัวข้อกระทู้:  ตัณหาอุปาทาน

อุปาทาน หมายถึง การยึดมั่นในอารมณ์และความเห็นผิด ด้วยอำนาจของ โลภะ และทิฏฐิ ยึดถืออย่างแรงกล้า คือยึดไว้ไม่ยอมปล่อย หรืออีกอย่าง ตัณหา และ ทิฏฐิ ที่มีกำลังมาก

แสดงว่า ตัณหา และ ทิฏฐิ อย่างธรรมดาไม่ได้ชื่อว่า เป็น อุปาทาน ก็ต่อเมื่อมีกำลังมากขึ้น ยินดีในอารมณ์มากขึ้นไม่ยอมปล่อย เวลานั้น ตัณหาจึงชื่อว่า อุปาทาน และทิฏฐิ มีความเห็นผิดอย่างแรงกล้าไม่เชื่อฟังใครไม่ยอมฟังความเห็นจากผู้อื่น เวลานั้น ทิฏฐิ ก็ชื่อว่า อุปาทานด้วย

ไฟล์แนป:
Image-359.jpg
Image-359.jpg [ 114.89 KiB | เปิดดู 1288 ครั้ง ]

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 12 มิ.ย. 2018, 22:18 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตัณหาอุปาทาน

ลุงหมาน เขียน:
อุปาทาน หมายถึง การยึดมั่นในอารมณ์และความเห็นผิด ด้วยอำนาจของ โลภะ และทิฏฐิ ยึดถืออย่างแรงกล้า คือยึดไว้ไม่ยอมปล่อย หรืออีกอย่าง ตัณหา และ ทิฏฐิ ที่มีกำลังมาก

แสดงว่า ตัณหา และ ทิฏฐิ อย่างธรรมดาไม่ได้ชื่อว่า เป็น อุปาทาน ก็ต่อเมื่อมีกำลังมากขึ้น ยินดีในอารมณ์มากขึ้นไม่ยอมปล่อย เวลานั้น ตัณหาจึงชื่อว่า อุปาทาน และทิฏฐิ มีความเห็นผิดอย่างแรงกล้าไม่เชื่อฟังใครไม่ยอมฟังความเห็นจากผู้อื่น เวลานั้น ทิฏฐิ ก็ชื่อว่า อุปาทานด้วย


เห็นด้วยครับ

อุปาทาน..มีลักษณะของตัณหาบนตัณหา

เจ้าของ:  Rosarin [ 12 มิ.ย. 2018, 22:39 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตัณหาอุปาทาน

[quote="Rosarin"]Kiss
กิเลส/ตัณหา/อุปาทาน
คือเดี๋ยวนี้เองกำลังมีค่ะ
กิเลสคือความไม่รู้ที่มี
ตัณหาคือความอยาก
มี3อย่างคือ1กามตัณหา
2ภวตัณหา3วิภวตัณหา
หลงยึดถือว่ามีตัวเราทันที
ลองส่องกระจกสิคะคือใคร
(เห็นตัวตนในกระจก)ตัวตน
คือมิจฉาทิฏฐิก็กำลังมีจริงๆ
พ้นกิเลสตัณหาอุปาทานไม่ได้
ถ้าไม่ได้กำลังอบรมจิตจากการฟัง
คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะ
คิดตามสิ่งที่ตนเห็นคือความเห็นผิด
แนะนำศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า
จากการฟังเพื่อเข้าใจความจริงที่กำลังมี
ขาดการฟังย่อมคิดเองผิดๆเริ่มที่สุตมยปัญญา
onion onion onion[/quote]
ทุกอย่างมีจริงๆ
ทุกคำล้วนมีจริงๆ
กิเลสมีจริงๆ
ตัณหามีจริงๆ
อุปาทานมีจริงๆ
จะรู้ว่ามีจริงๆตอนที่
กำลังรู้ว่ามีคือเดี๋ยวนี้เลย
มีแล้วทั้งกิเลส/ตัณหา/อุปาทานพร้อมตัวตน
ที่ไม่มีคือปัญญาเพราะผู้มีปัญญาท่านไม่มาเกิด
ที่ยังมาอ่านอยู่นี่ยังมีครบตรงตามที่ตรัสรู้ถึงเกิดมา
จะรู้ว่ามีกิเลสตอนกำลังเข้าใจความจริงที่กำลังมีเท่านั้น
ที่หลงไปทำสิ่งต่างๆตามที่ตนอยากนั้นแหละคือความอยาก
เป็นกิเลสไม่ใช่ทางเกิดปัญญาตามลำดับที่ทรงแสดงเอาไว้
ทำมาแล้วทุกอย่างยกเว้นฟังเพื่อเพิ่มความเข้าใจคือปัญญา
ปัญญาเกิดเองไม่ได้จะไปกำหนดให้ปัญญาเกิดนั้นย่อมไม่ได้
เพราะต้องรู้จักตนเองตามเป็นจริงว่ายังไม่ทำเหตุเพิ่มปัญญา
เอาแค่ปัญญาแรกตามคำสอนทำตรงทางตรงขณะหรือยัง

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 13 มิ.ย. 2018, 06:49 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตัณหาอุปาทาน

อธิบายแบง่ายๆหรือเข้าใจแบบบ้านๆ ตัณหา คือความอยากได้เท่านั้น
แต่เมื่อได้มาแล้วก็แสวงหาความอยากได้ในสิ่งใหม่ๆต่อไปอีก
ตัณหานั้นทำหน้าที่เพียงแค่ความอยากได้เท่านั้นไม่คิดจะครอบครอง
ส่วนการครอบครองนั้นคือตัวอุปาทาน ซึ่งจะทำหน้าที่หรือรับช่วงต่อจากตัณหาอีกทีหนึ่ง
ฉะนั้นตัวอุปาทานก็ไม่ใช่ตัวอยากได้ แต่ได้ทำหน้าที่ต่อจากตัณหา

ส่วนตัวทิฏฐินั้นจะเกิดร่วมด้วยหรือไม่นั้นมันก็ต้องตัณหาเป็นผู้นำไป
เช่นว่า อยากได้โดยการ ขโมยเอา แย่งเอา หรือหลอกลวง อย่างนี้ทิฏฐิเกิดร่วมด้วย
ถ้าไม่มีทิฏฐิเกิดร่วมด้วย เช่น มีความอยากได้ ก็ซื้อเอา ขอเอา หรือทำเอาเอง

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 13 มิ.ย. 2018, 07:02 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตัณหาอุปาทาน

อุปาทานนั้นก็เกิดในเนื้อเดียวกับตัณหา
เพราะ องค์ธรรมของ ตัณหากับอุปทาน คือ โลภเจตสิก เหมือนกัน
เหมือนกับหมูเนื้อแดงอย่างนั้นแหละ ย่อมมีมันปะปนมาด้วย

ไฟล์แนป:
000372048.jpeg
000372048.jpeg [ 99.11 KiB | เปิดดู 1254 ครั้ง ]

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/