วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 00:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 45 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2018, 20:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงพ่อคูณท่านพูดอยู่คำหนึ่ง "อธิษฐาน" ดูความหมาย

อธิษฐาน มีหลายความหมาย เช่น ความหมายทางพระวินัย, ความหมายทางธรรม...ดูความหมายในแง่มุมต่างๆ ดังนี้

อธิษฐาน 1. ในทางพระวินัย แปลว่า การตั้งเอาไว้ ตั้งใจกำหนดแน่นอนลงไป เช่น อธิษฐานพรรษา ตั้งเอาไว้เป็นของเพื่อการนั้นๆ หรือตั้งใจกำหนดลงไปว่า ให้เป็นของใช้ประจำตัวชนิดนั้นๆ เช่น ได้ผ้ามาผืนหนึ่ง ตั้งใจว่าจะใช้เป็นอะไร คือ จะเป็นสังฆาฎิ อุตตราสงค์ อันตรวาสก ก็อธิษฐานเป็นอย่างนั้นๆ เมื่ออธิษฐานแล้ว ของนั้นเรียกว่าเป็นของอธิษฐาน (นิยมเรียกกันว่า จีวรครอง) ตลอดจนบาตรอธิษฐาน ส่วนของชนิดนั้น ที่ได้เพิ่มมาอีกหรือเกินจากนั้นไปก็เป็นอติเรก เช่น เป็นอติเรกจีวร อติเรกบาตร .... 2. ความตั้งใจมั่น, การตัดสินใจเด็ดเดี่ยว, ความตั้งใจมั่นแน่วที่จะทำให้สำเร็จลุจุดหมาย, ความตั้งใจหนักแน่นเด็ดเดี่ยวว่าจะทำการนั้นๆให้สำเร็จ และมั่นคงแน่วแน่ในทางดำเนินและจุดมุ่งหมายของตน เป็นบารมีอย่างหนึ่ง เรียกว่า อธิษฐานบารมี หรือ อธิฏฐานบารมี

3. ธรรมเป็นที่มั่น, ในแบบเรียนธรรมของไทย เรียกว่า อธิษฐานธรรม

4. ในภาษาไทยใช้เป็นคำกริยา และมักมีความหมายเพี้ยนไปว่า ตั้งใจมุ่งขอให้ได้ผลอย่างใดอย่างหนึ่ง, ตั้งจิตปรารถนาเฉพาะอย่างยิ่ง ตั้งจิตขอต่อสิ่งที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ให้สำเร็จผลอย่างใดอย่างหนึ่ง

มีข้อสังเกตว่า ในความหมายเดิมอธิษฐานเป็นการตั้งใจที่จะทำ (ให้สำเร็จด้วยความพยายามของตน) แต่ความหมายในภาษาไทย กลายเป็นอธิษฐานโดยตั้งใจขอเพื่อจะได้หรือจะเอา เฉพาะอย่างยิ่งด้วยอำนาจดลบันดาล โดยตนเองไม่ต้องทำ (บาลี อธิฏฐาน)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2018, 21:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กระทู้ถามจากพันทิพ

อ้างคำพูด:
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าผมไม่ใช่ ชาวพุทธศาสนิกชน นะ แต่หลายอาทิตย์ ผมลองนอนสมาธิดูลมหายใจ โดยเปลี่ยนคำบริกรรมเป็น นามอื่นในศาสนาที่ผมถือแทน ทีนี้ พอทำไปทำมา เหมือนรู้สึกตัวหาย เหมือนหายไปเลย ประมาณ สอง ชม.เห็นจะได้ แต่รู้สึกเหมือนแปปเดียว
จากนั้นผมก็ไม่ได้นั่งหรือนอนสมาธิ เป็นกิจลักษณะ แต่แค่ดูลมหายใจเข้าออกแทนพร้อมบริกรรมไปด้วย คือผมรู้สึกติดใจกับการนั่งสมาธิ เพราะผมรู้สึกดี สงบดี และมีสติและอดทนต่อเหตุการณ์ต่างที่เข้ามาได้ดีขึ้น แต่ที่นี้ผมไม่เลิกฟังเพลง ตอนนี้รู้สึกจะดูลมหายใจตามลำบากมาก และสติหายกลับไปเหมือนเมื่อก่อนที่คิดลบ คิดเยอะ อันนี้เพราะมีกิเลสเข้ามาแทรกใช่ไหม
เข้าคำถามที่สอง ทีนี้ตอนนี้ ผมเลยฝึกนั่งดูตัวเอง มองตัวเอง ณ ปัจจุบัน หมายถึง ดูตัวเองขณะปัจจุบันว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ เลยรู้สึกมีสติมากขึ้น และสงบขึ้น ถามว่าแบบนี้คือการฝึกสติใช่ไหม ขอคำอธิบายแบบภาษาง่าย ชาวบ้านหน่อยครับ


คนตั้ง กท.ถาม เขาทำจริงๆลงมือทำจริง เขาเล่าจากความรู้สึกที่เขาประสบ แต่ผู้ที่ร่วมตอบร่วมสนทนา เกือบทั้งนั้นไม่เคยทำ แต่มีความรู้พื้นฐานจากการฟังหลวงพ่อ หลวงปู่ หลวงตา อาจารย์นั่นนี่พูดไว้กล่าวไว้ ตนเองฟังแล้วอนุมานเอาตามเหตุผลก็เลยว่าไปตามแนวที่ตนเคยได้ยินได้ฟังมา ดูก็รู้ได้จากการตอบคำถาม รู้เลยว่ามาจากไหนสำนักใดอาจารย์ไหน รู้เลย




เพราะคุณกรัชกาย ไม่ได้เรียนปริยัติ เรยตื้นเขิน ไม่รู้ว่า


พระพุทธองค์ ทรงตรัสว่า

อารมณ์ของสมถะ ไม่อาจทำให้บรรลุวิปัสสนา มรรคผลนิพพานได้

ต้องปฎิบัติตามสติปัฎฐาน 44 ปัปพะ เท่านั้น ที่เป็นหนทางเดียว ที่ทำให้ผู้ปฎิบัติ บรรลุวิปัสสนามรรคผลนิพพานได้ ทางเดียวเท่านั้น

จึงถูกต้องตามพุทธวิชาค่ะ

สมถะ และฌาน ไม่ใช่พุทธวิชา

สมาธิจิตระดับไหนก็ตามของ สมถะ

มีแต่นำไปสู่ ความเสื่อมใหญ่ ตามที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ฉิบ หายนะ

คือถึงแก่ความฉิบหายเสียแล้วซึ่งคุณธรรม



นู๋เมนี่ศึกษาลึกซึ้งเกินไป ลึกจนทะลุไปถึงนรก คิกๆๆ คือมันเลยไปไงครับ

พระพุทธเจ้านี่จบขั้นสมถะหรือสมาธิมาจากสำนักของสองอาจารย์ถึงขั้นอรูปฌานนะ นี่ขั้นหนึ่ง จากนั้นก่อนที่จะตรัสรู้ทำอาสวะให้สิ้นก็ต้องใช้ฌานใช้สมถะใช้สมาธิเป็นบาทเป็นฐานนะ สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ (ผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง) นี่วิปัสสนา ดังนั้น วิปัสสนาก็ต้องอาศัยจิตที่เป็นสมาธิ (สมถะ) เป็นบาทฐาน พอเข้าใจไหมขอรับที่พูดเนี่ย :b1: อ้อ ไม่เข้าใจ นึกแล้ว :b32:



คุณกรัชกาย อ่อนทั้งปริยัติ อ่อนทั้งปฎิบัติ

แถมไม่เคยศึกษาอรรถกถาในสมาธิสูตร

จึงเข้าใจผิดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

พระพุทธองค์ ไม่ได้ใช้ ใช้สมาธิของสมถะ ของอาจารย์ดาบส เป็นพื้นฐานหรอกค่ะ

และวิชชาของสำนักอาจารย์ทั้งสอง ไม่ใช่พุทธวิชชา

ดังนั้น เมื่ออาจารย์ดาบส ตายลง พร้อมสมาธิในอรูปฌาน

พระพุทธองค์ ถึงกับทรงอุทานว่า ฉิบหายเสียแล้ว


สมาธิที่พระพุทธองค์สอน แตกต่างกันค่ะ
เอกคัคคตาจิต เป็นสมาธิ ของพุทธวิชา

และนอกจากนี้ ยังทรงสอนอีกว่า "เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงทำความเพียรว่า นี้ทุกข์ "
ต้องปฎิบัติตามสติปัฎฐาน 44 ปัปพะ เท่านั้น ที่เป็นหนทางเดียว ที่ทำให้ผู้ปฎิบัติ บรรลุวิปัสสนามรรคผลนิพพานได้ ทางเดียวเท่านั้น

หนูแนะนำนะคะ ให้คุณกรัชกายไปหัดศึกษาคันธะธุระให้ดีเสียก่อนนะคะ

จะได้มีปริยัติญานค่ะ

จะได้รู้ว่า อะไรที่ถูกต้องตามพุทธวิชชา ที่ พระพุทธองค์ทรงสอน
และปฎิบัติอย่างไร จึงเป็นสัมมาทิฎฐิตามที่พระพุทธองค์สอน


จะได้ไม่ไปมั่วๆๆๆๆ ไปเอาดาบส วิชชา มาเป็นพื้นฐาน

ที่จะนำไปสู่ความหายนะ ความฉิบ หายนะ ค่ะ

คุณกรัชกายอ่อนหัดในปริยัติ จริงๆค่ะ

ปริยัติ และปฎิบัติ ต้องสอดคล้องกัน

ไม่งั้นก็มั่วแหลก แบบคุณกรัชกายที่ไปคอยมั่วไปลอกกระทู้ตามเวปต่างๆ น่ะแหละค่ะ




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2018, 21:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูแนะนำให้ คุณกรัชกาย ไปศึกษาปริยัติเสียก่อนนะคะ

ไม่งั้นทำสมาธิตามท่านดาบส แบบที่คุณเข้าใจ

ไปถึงความฉิบหายแน่นอนค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2018, 07:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
หนูแนะนำให้ คุณกรัชกาย ไปศึกษาปริยัติเสียก่อนนะคะ

ไม่งั้นทำสมาธิตามท่านดาบส แบบที่คุณเข้าใจ

ไปถึงความฉิบหายแน่นอนค่ะ



ปริยัติๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ฟังนู๋เมโลกสวยพูดมาแต่ดลแล้ว มันอะไร ? ครับ ปริยัติของนู๋เมเนี่ย ไม่เข้าใจ

อ่านหนังสือไม่ศัพท์จับไปกระเดียด "ฉิบหาย" ที่นู๋มโนนั่น หมายถึงเขาตายไปเสียก่อน ถ้ายังไม่ตายแล้ว พระองค์แนะนำนิดเดียวเขานิพพานหลุดพ้นจากทุกข์ไปเลย เพราะอะไร ? เพราะอรูปฌาน คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะนั้่นกิเลสเหลือน้อยเต็มที ท่านเปรียบเหมือนน้ำมันทาบาตร แต่น่าเสียดายที่ทั้งสองท่านฉิบหาย คือ ตายไปเสียก่อน พระองค์จึงเปลี่ยนแผนเดินทางไปสอนดาบลทั้ง ๕ (ปัญจวัคคีย์) ที่พูดเนี่ยนู๋เมพอเจ้าใจไหมขอรับ ว่า อารัยนะ อ้อ ไม่เข้าใจ นึกแล้ว คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2018, 07:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กระทู้ถามจากพันทิพ

อ้างคำพูด:
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าผมไม่ใช่ ชาวพุทธศาสนิกชน นะ แต่หลายอาทิตย์ ผมลองนอนสมาธิดูลมหายใจ โดยเปลี่ยนคำบริกรรมเป็น นามอื่นในศาสนาที่ผมถือแทน ทีนี้ พอทำไปทำมา เหมือนรู้สึกตัวหาย เหมือนหายไปเลย ประมาณ สอง ชม.เห็นจะได้ แต่รู้สึกเหมือนแปปเดียว
จากนั้นผมก็ไม่ได้นั่งหรือนอนสมาธิ เป็นกิจลักษณะ แต่แค่ดูลมหายใจเข้าออกแทนพร้อมบริกรรมไปด้วย คือผมรู้สึกติดใจกับการนั่งสมาธิ เพราะผมรู้สึกดี สงบดี และมีสติและอดทนต่อเหตุการณ์ต่างที่เข้ามาได้ดีขึ้น แต่ที่นี้ผมไม่เลิกฟังเพลง ตอนนี้รู้สึกจะดูลมหายใจตามลำบากมาก และสติหายกลับไปเหมือนเมื่อก่อนที่คิดลบ คิดเยอะ อันนี้เพราะมีกิเลสเข้ามาแทรกใช่ไหม
เข้าคำถามที่สอง ทีนี้ตอนนี้ ผมเลยฝึกนั่งดูตัวเอง มองตัวเอง ณ ปัจจุบัน หมายถึง ดูตัวเองขณะปัจจุบันว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ เลยรู้สึกมีสติมากขึ้น และสงบขึ้น ถามว่าแบบนี้คือการฝึกสติใช่ไหม ขอคำอธิบายแบบภาษาง่าย ชาวบ้านหน่อยครับ


คนตั้ง กท.ถาม เขาทำจริงๆลงมือทำจริง เขาเล่าจากความรู้สึกที่เขาประสบ แต่ผู้ที่ร่วมตอบร่วมสนทนา เกือบทั้งนั้นไม่เคยทำ แต่มีความรู้พื้นฐานจากการฟังหลวงพ่อ หลวงปู่ หลวงตา อาจารย์นั่นนี่พูดไว้กล่าวไว้ ตนเองฟังแล้วอนุมานเอาตามเหตุผลก็เลยว่าไปตามแนวที่ตนเคยได้ยินได้ฟังมา ดูก็รู้ได้จากการตอบคำถาม รู้เลยว่ามาจากไหนสำนักใดอาจารย์ไหน รู้เลย




เพราะคุณกรัชกาย ไม่ได้เรียนปริยัติ เรยตื้นเขิน ไม่รู้ว่า


พระพุทธองค์ ทรงตรัสว่า

อารมณ์ของสมถะ ไม่อาจทำให้บรรลุวิปัสสนา มรรคผลนิพพานได้

ต้องปฎิบัติตามสติปัฎฐาน 44 ปัปพะ เท่านั้น ที่เป็นหนทางเดียว ที่ทำให้ผู้ปฎิบัติ บรรลุวิปัสสนามรรคผลนิพพานได้ ทางเดียวเท่านั้น

จึงถูกต้องตามพุทธวิชาค่ะ

สมถะ และฌาน ไม่ใช่พุทธวิชา

สมาธิจิตระดับไหนก็ตามของ สมถะ

มีแต่นำไปสู่ ความเสื่อมใหญ่ ตามที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ฉิบ หายนะ

คือถึงแก่ความฉิบหายเสียแล้วซึ่งคุณธรรม



นู๋เมนี่ศึกษาลึกซึ้งเกินไป ลึกจนทะลุไปถึงนรก คิกๆๆ คือมันเลยไปไงครับ

พระพุทธเจ้านี่จบขั้นสมถะหรือสมาธิมาจากสำนักของสองอาจารย์ถึงขั้นอรูปฌานนะ นี่ขั้นหนึ่ง จากนั้นก่อนที่จะตรัสรู้ทำอาสวะให้สิ้นก็ต้องใช้ฌานใช้สมถะใช้สมาธิเป็นบาทเป็นฐานนะ สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ (ผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง) นี่วิปัสสนา ดังนั้น วิปัสสนาก็ต้องอาศัยจิตที่เป็นสมาธิ (สมถะ) เป็นบาทฐาน พอเข้าใจไหมขอรับที่พูดเนี่ย :b1: อ้อ ไม่เข้าใจ นึกแล้ว :b32:



คุณกรัชกาย อ่อนทั้งปริยัติ อ่อนทั้งปฎิบัติ

แถมไม่เคยศึกษาอรรถกถาในสมาธิสูตร

จึงเข้าใจผิดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

พระพุทธองค์ ไม่ได้ใช้ ใช้สมาธิของสมถะ ของอาจารย์ดาบส เป็นพื้นฐานหรอกค่ะ

และวิชชาของสำนักอาจารย์ทั้งสอง ไม่ใช่พุทธวิชชา

ดังนั้น เมื่ออาจารย์ดาบส ตายลง พร้อมสมาธิในอรูปฌาน

พระพุทธองค์ ถึงกับทรงอุทานว่า ฉิบหายเสียแล้ว


สมาธิที่พระพุทธองค์สอน แตกต่างกันค่ะ
เอกคัคคตาจิต เป็นสมาธิ ของพุทธวิชา

และนอกจากนี้ ยังทรงสอนอีกว่า "เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงทำความเพียรว่า นี้ทุกข์ "
ต้องปฎิบัติตามสติปัฎฐาน 44 ปัปพะ เท่านั้น ที่เป็นหนทางเดียว ที่ทำให้ผู้ปฎิบัติ บรรลุวิปัสสนามรรคผลนิพพานได้ ทางเดียวเท่านั้น

หนูแนะนำนะคะ ให้คุณกรัชกายไปหัดศึกษาคันธะธุระให้ดีเสียก่อนนะคะ

จะได้มีปริยัติญานค่ะ

จะได้รู้ว่า อะไรที่ถูกต้องตามพุทธวิชชา ที่ พระพุทธองค์ทรงสอน
และปฎิบัติอย่างไร จึงเป็นสัมมาทิฎฐิตามที่พระพุทธองค์สอน


จะได้ไม่ไปมั่วๆๆๆๆ ไปเอาดาบส วิชชา มาเป็นพื้นฐาน

ที่จะนำไปสู่ความหายนะ ความฉิบ หายนะ ค่ะ

คุณกรัชกายอ่อนหัดในปริยัติ จริงๆค่ะ

ปริยัติ และปฎิบัติ ต้องสอดคล้องกัน

ไม่งั้นก็มั่วแหลก แบบคุณกรัชกายที่ไปคอยมั่วไปลอกกระทู้ตามเวปต่างๆ น่ะแหละค่ะ




ถามนู๋เมโลกสวยด้วยน้ำมือเราหน่อย ตอบนะครับ

อ้างคำพูด:
เอกคัคคตาจิต เป็นสมาธิ ของพุทธวิชา


เอกัคคตาจิต นี่มันอะไรขอรับ ไหนลองว่าไปสิ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2018, 08:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าผมไม่ใช่ ชาวพุทธศาสนิกชน นะ แต่หลายอาทิตย์ ผมลองนอนสมาธิดูลมหายใจ โดยเปลี่ยนคำบริกรรมเป็น นามอื่นในศาสนาที่ผมถือแทน ทีนี้ พอทำไปทำมา เหมือนรู้สึกตัวหาย เหมือนหายไปเลย ประมาณ สอง ชม.เห็นจะได้ แต่รู้สึกเหมือนแปปเดียว
จากนั้นผมก็ไม่ได้นั่งหรือนอนสมาธิ เป็นกิจลักษณะ แต่แค่ดูลมหายใจเข้าออกแทนพร้อมบริกรรมไปด้วย คือผมรู้สึกติดใจกับการนั่งสมาธิ เพราะผมรู้สึกดี สงบดี และมีสติและอดทนต่อเหตุการณ์ต่างที่เข้ามาได้ดีขึ้น แต่ที่นี้ผมไม่เลิกฟังเพลง ตอนนี้รู้สึกจะดูลมหายใจตามลำบากมาก และสติหายกลับไปเหมือนเมื่อก่อนที่คิดลบ คิดเยอะ อันนี้เพราะมีกิเลสเข้ามาแทรกใช่ไหม
เข้าคำถามที่สอง ทีนี้ตอนนี้ ผมเลยฝึกนั่งดูตัวเอง มองตัวเอง ณ ปัจจุบัน หมายถึง ดูตัวเองขณะปัจจุบันว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ เลยรู้สึกมีสติมากขึ้น และสงบขึ้น ถามว่าแบบนี้คือการฝึกสติใช่ไหม ขอคำอธิบายแบบภาษาง่าย ชาวบ้านหน่อยครับ


จะตั้งโจทย์ ให้นู๋เมตอบ ตัวอย่างข้างบนเขาไม่ใช่ชาวพุทธนะ (เป็นคริสต์ เป็นอิสลามแล้วแต่) ซึ่งเขาใช้คำบริกรรมภาวนาเป็นนามของศาสนาเขา พอนึกภาพออกนะครับ
ต่อไปจะนำคนชาติต่างๆ ซึ่งเขานับถือศาสนาต่างกัน มี ฝรั่ง จีน ฤๅษี (ดาบส) อิสลาม คนพุทธ เป็นต้น มานั่งทำสมาธิกัน ใครใช้คำบริกรรมภาวนายังไงก็ว่าไปตามอัธยาศัยตามนามศาสดาของตนๆ ทำไปๆๆๆ ภาวนาไปๆๆๆ สมาธิเกิดขึ้น อย่างนี้ นู๋เมโลกสวยจะเรียกว่า สมาธิดาบส สมาธิฤๅษี สมาธิฝรั่ง สมาธิจีน สมาธิแขก สมาธิพุทธ เป็นต้นไหม ตอบชัดๆ ให้กรัชกายตายตาหลับทีเถอะครับ :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2018, 16:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าผมไม่ใช่ ชาวพุทธศาสนิกชน นะ แต่หลายอาทิตย์ ผมลองนอนสมาธิดูลมหายใจ โดยเปลี่ยนคำบริกรรมเป็น นามอื่นในศาสนาที่ผมถือแทน ทีนี้ พอทำไปทำมา เหมือนรู้สึกตัวหาย เหมือนหายไปเลย ประมาณ สอง ชม.เห็นจะได้ แต่รู้สึกเหมือนแปปเดียว
จากนั้นผมก็ไม่ได้นั่งหรือนอนสมาธิ เป็นกิจลักษณะ แต่แค่ดูลมหายใจเข้าออกแทนพร้อมบริกรรมไปด้วย คือผมรู้สึกติดใจกับการนั่งสมาธิ เพราะผมรู้สึกดี สงบดี และมีสติและอดทนต่อเหตุการณ์ต่างที่เข้ามาได้ดีขึ้น แต่ที่นี้ผมไม่เลิกฟังเพลง ตอนนี้รู้สึกจะดูลมหายใจตามลำบากมาก และสติหายกลับไปเหมือนเมื่อก่อนที่คิดลบ คิดเยอะ อันนี้เพราะมีกิเลสเข้ามาแทรกใช่ไหม
เข้าคำถามที่สอง ทีนี้ตอนนี้ ผมเลยฝึกนั่งดูตัวเอง มองตัวเอง ณ ปัจจุบัน หมายถึง ดูตัวเองขณะปัจจุบันว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ เลยรู้สึกมีสติมากขึ้น และสงบขึ้น ถามว่าแบบนี้คือการฝึกสติใช่ไหม ขอคำอธิบายแบบภาษาง่าย ชาวบ้านหน่อยครับ


จะตั้งโจทย์ ให้นู๋เมตอบ ตัวอย่างข้างบนเขาไม่ใช่ชาวพุทธนะ (เป็นคริสต์ เป็นอิสลามแล้วแต่) ซึ่งเขาใช้คำบริกรรมภาวนาเป็นนามของศาสนาเขา พอนึกภาพออกนะครับ
ต่อไปจะนำคนชาติต่างๆ ซึ่งเขานับถือศาสนาต่างกัน มี ฝรั่ง จีน ฤๅษี (ดาบส) อิสลาม คนพุทธ เป็นต้น มานั่งทำสมาธิกัน ใครใช้คำบริกรรมภาวนายังไงก็ว่าไปตามอัธยาศัยตามนามศาสดาของตนๆ ทำไปๆๆๆ ภาวนาไปๆๆๆ สมาธิเกิดขึ้น อย่างนี้ นู๋เมโลกสวยจะเรียกว่า สมาธิดาบส สมาธิฤๅษี สมาธิฝรั่ง สมาธิจีน สมาธิแขก สมาธิพุทธ เป็นต้นไหม ตอบชัดๆ ให้กรัชกายตายตาหลับทีเถอะครับ :b13:


เดี๋ยวคุณกรัชกายจะตายตาไม่หลับ ไปถึงความฉิบหาย

นี่มันดึกมากแล้วนะที่นี่ ต้องลุกมาตอบให้เพราะหนูเมตตานะคะ

เพราะเดี๋ยวคุณกรัชกายจะตายเสียก่อนแล้วฉิบหายนะใหญ่



เพราะคุณกรัชกาย อ่อนทั้งปริยัติ อ่อนทั้งปฎิบัติ
ไม่รู้เรื่องๆๆๆๆๆๆเอาเสียเลย

เข้าใจผิดๆๆๆๆๆๆๆๆ อ่อนมั๊กๆๆ

คุณกรัชกาย ไปทำแบบนั้นนอนตาไม่หลับ ไปสู่ความฉิบหายนะ แน่นอนค่ะ


ไม่รู้ว่า ว่า สมาธิแบบอินเตอร์หลายศาสนา แบบนั้น เค้าเรียกว่า โลกียะสมาธิค่ะ

ไม่ใช่พุทธวิชชาค่ะ และไม่ใช่สัมมาปฎิบัติ ขาดอริยะมรรคสัมมาทิฎฐิ

เหมือนที่คุณกรัชกายเป็นอยู่ ไงคะ


เอกคัตตาจิต แบบอินเตอร์หลายศาสนา แบบนั่น ประกอบด้วยกามภพ รูปภพ อรูปภพ


แม้แต่กบ ยังจำศีลได้ ทำสมาธิแบบนั้นในรูได้เรย


แต่โลกุตระ สมาธินั้น เป็นพุทธวิชชาของพระบรมศาสดา

เป็นเอกคัคคตาจิตประกอบด้วยกุศลเจตสิกในอริยะมรรค

ไม่ใช่ สมาธิแบบอินเตอร์ แบบนั้น

นี่แหละคุณกรัชกาย อ่อนปริยัติ อ่อนทั้งปฎิบัติ เรยแยกความแตกต่างไม่ออก

ถ้าคุณกรัชกาย ยังไม่เห็นถูกตามความจริงในพุทธวิชชาได้ ก็ไม่ใช่สัมมาทิฎฐิ

เพราะปริยัติที่พระบรมศาสดาสอนมาก็ไม่รู้เรื่อง ปฎิบัติก็ผิดเพี้ยนจากพุทธวิชชา

ตายตาไม่หลับแน่นอนค่ะ







โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2018, 17:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าผมไม่ใช่ ชาวพุทธศาสนิกชน นะ แต่หลายอาทิตย์ ผมลองนอนสมาธิดูลมหายใจ โดยเปลี่ยนคำบริกรรมเป็น นามอื่นในศาสนาที่ผมถือแทน ทีนี้ พอทำไปทำมา เหมือนรู้สึกตัวหาย เหมือนหายไปเลย ประมาณ สอง ชม.เห็นจะได้ แต่รู้สึกเหมือนแปปเดียว
จากนั้นผมก็ไม่ได้นั่งหรือนอนสมาธิ เป็นกิจลักษณะ แต่แค่ดูลมหายใจเข้าออกแทนพร้อมบริกรรมไปด้วย คือผมรู้สึกติดใจกับการนั่งสมาธิ เพราะผมรู้สึกดี สงบดี และมีสติและอดทนต่อเหตุการณ์ต่างที่เข้ามาได้ดีขึ้น แต่ที่นี้ผมไม่เลิกฟังเพลง ตอนนี้รู้สึกจะดูลมหายใจตามลำบากมาก และสติหายกลับไปเหมือนเมื่อก่อนที่คิดลบ คิดเยอะ อันนี้เพราะมีกิเลสเข้ามาแทรกใช่ไหม
เข้าคำถามที่สอง ทีนี้ตอนนี้ ผมเลยฝึกนั่งดูตัวเอง มองตัวเอง ณ ปัจจุบัน หมายถึง ดูตัวเองขณะปัจจุบันว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ เลยรู้สึกมีสติมากขึ้น และสงบขึ้น ถามว่าแบบนี้คือการฝึกสติใช่ไหม ขอคำอธิบายแบบภาษาง่าย ชาวบ้านหน่อยครับ


จะตั้งโจทย์ ให้นู๋เมตอบ ตัวอย่างข้างบนเขาไม่ใช่ชาวพุทธนะ (เป็นคริสต์ เป็นอิสลามแล้วแต่) ซึ่งเขาใช้คำบริกรรมภาวนาเป็นนามของศาสนาเขา พอนึกภาพออกนะครับ
ต่อไปจะนำคนชาติต่างๆ ซึ่งเขานับถือศาสนาต่างกัน มี ฝรั่ง จีน ฤๅษี (ดาบส) อิสลาม คนพุทธ เป็นต้น มานั่งทำสมาธิกัน ใครใช้คำบริกรรมภาวนายังไงก็ว่าไปตามอัธยาศัยตามนามศาสดาของตนๆ ทำไปๆๆๆ ภาวนาไปๆๆๆ สมาธิเกิดขึ้น อย่างนี้ นู๋เมโลกสวยจะเรียกว่า สมาธิดาบส สมาธิฤๅษี สมาธิฝรั่ง สมาธิจีน สมาธิแขก สมาธิพุทธ เป็นต้นไหม ตอบชัดๆ ให้กรัชกายตายตาหลับทีเถอะครับ :b13:


เดี๋ยวคุณกรัชกายจะตายตาไม่หลับ ไปถึงความฉิบหาย

นี่มันดึกมากแล้วนะที่นี่ ต้องลุกมาตอบให้เพราะหนูเมตตานะคะ

เพราะเดี๋ยวคุณกรัชกายจะตายเสียก่อนแล้วฉิบหายนะใหญ่



เพราะคุณกรัชกาย อ่อนทั้งปริยัติ อ่อนทั้งปฎิบัติ
ไม่รู้เรื่องๆๆๆๆๆๆเอาเสียเลย

เข้าใจผิดๆๆๆๆๆๆๆๆ อ่อนมั๊กๆๆ

คุณกรัชกาย ไปทำแบบนั้นนอนตาไม่หลับ ไปสู่ความฉิบหายนะ แน่นอนค่ะ


ไม่รู้ว่า ว่า สมาธิแบบอินเตอร์หลายศาสนา แบบนั้น เค้าเรียกว่า โลกียะสมาธิค่ะ

ไม่ใช่พุทธวิชชาค่ะ และไม่ใช่สัมมาปฎิบัติ ขาดอริยะมรรคสัมมาทิฎฐิ

เหมือนที่คุณกรัชกายเป็นอยู่ ไงคะ


เอกคัตตาจิต แบบอินเตอร์หลายศาสนา แบบนั่น ประกอบด้วยกามภพ รูปภพ อรูปภพ


แม้แต่กบ ยังจำศีลได้ ทำสมาธิแบบนั้นในรูได้เรย


แต่โลกุตระ สมาธินั้น เป็นพุทธวิชชาของพระบรมศาสดา

เป็นเอกคัคคตาจิตประกอบด้วยกุศลเจตสิกในอริยะมรรค

ไม่ใช่ สมาธิแบบอินเตอร์ แบบนั้น

นี่แหละคุณกรัชกาย อ่อนปริยัติ อ่อนทั้งปฎิบัติ เรยแยกความแตกต่างไม่ออก

ถ้าคุณกรัชกาย ยังไม่เห็นถูกตามความจริงในพุทธวิชชาได้ ก็ไม่ใช่สัมมาทิฎฐิ

เพราะปริยัติที่พระบรมศาสดาสอนมาก็ไม่รู้เรื่อง ปฎิบัติก็ผิดเพี้ยนจากพุทธวิชชา

ตายตาไม่หลับแน่นอนค่ะ



ขอบคุณหลายๆที่อุตส่าห์ลุกขึ้นมาตอบปัญหาให้ แต่ยังไงๆก็ยังไม่เห็นคำตอบ

เห็นแต่ที่ว่านี่ แม้แต่กบ ยังจำศีลได้ ทำสมาธิแบบนั้นในรูได้เรย

เห็นแล้วตายตาเหลือกยิ่งกว่าเก่า :b18: คือตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งได้ยินกบทำสมาธิได้ หรือเขาเป็นเจ้าชายกบครับ คิกๆๆ โลกสวยจริงๆ นู๋เมนี่ คิดไปได้กบทำสมาธิในรู :b32: หรือเป็นกบนอกกะลา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2018, 05:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มาอีกแว้ว (แล้ว) คำถามปราบเซียนสดๆร้อน


อ้างคำพูด:
เหตุใดการนั่งสมาธิ จึงทำให้เห็นวิญญาณ

เราชอบนั่งสมาธิ เพราะทำให้ระงับความโกรธ ความเครียด ทำให้สมองปลอดโปร่ง
ไม่ได้คิดเรื่องอยากจะเห็นสิ่งเหนือธรรมชาติเลย แต่ลองสังเกตุมาว่า พอช่วงที่นั่งสมาธิเป็นประจำ
ก็จะสัมผัสได้กับวิญญาณ บางทีจะเห็นเหตุการณ์ก่อนที่มันจะเกิดขึ้ืน เคยมีเสียงหญิงชายมาบอกพร้อมๆกันข้างหูว่า อีกไม่เกิน 2-3 ปี ผู้หญิงคนนี้ต้องตาย (ผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนของเรา) เราก็ไม่ได้คิดอะไร จนเขาตายจริงๆเพราะปืนลั่น

หากตามหลักศาสนาแล้ว เพราะอะไรจึงทำให้วิญญาณเข้ามาหาเราในช่วงที่เราปฏิบัติกรรมฐาน แต่ก็ไม่ได้มาหลอกนะส่วนใหญ่ แต่เราก็กลัว
วิญญาณพวกนั้นไม่เคยทำร้ายเราได้ แต่บางตนจะหลอกให้กลัวถึงขีดสุดก็มี เลยหยุดนั่งเพราะรู้สึกว่า ยิ่งนั่งสมาธิมากเราก็จะยิ่งถลำลึกมากขึ้น และเริ่มกลัวขึ้นมา ภาพที่เห็นชัดขึ้น เสียงก็ชัด กลิ่นก็มา บางตนแรงถึงขนาดทำให้คนรอบตัวเราสามารถรับรู้ไปด้วยได้

https://pantip.com/topic/37681403


ขาดการกำหนดรู้สภาวะปัจจุบันขณะ เห็นอะไรยังไงต้องกำหนดทันที เห็นหนอๆๆๆๆ รู้สึกกลัวปุ๊บ กำหนดรู้ปั้บ กลัวหนอๆๆๆ ได้กลิ่นอะไรยังไงก็ชั่งปุ๊บ กำหนดปั้บ กลิ่นหนอๆๆๆ มันคิดอะไรยังไงปุ๊บ กำหนดปั้บ คิดหนอๆๆ ฯลฯ เป็นยังไง กำหนดยังงั้น รู้สึกยังไงกำหนดยังงั้น ทั้งทางกายทางใจ ไม่เลี่ยงหนีต่อสภาวะนั้นๆ เหมือนกำหนดแล้วก็เกาะยึดกรรมฐาน (หลัก) คือ ลมเข้า-ออก, อาการท้องพอง ท้องยุบ ต่อไป เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น กลัว คิด เป็นต้นเกิดแว๊บแทรกขึ้นมา กำหนดอีก นี่คือหลักแก้อารมณ์ซึงเกิดขณะปฏิบัติทางจิต

หรือนู๋เมโลกสวยจะเถียง ก็ว่ามา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2018, 05:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาคำถามปราบเซียน อีกสัก คคห.หนึ่งเถอะ :b16:

อ้างคำพูด:
เวลาผมนั่งสมาธิ พอภาวนาไปซักพัก เริ่มตัดภาวนาไปแล้วทีนี้ก็จะเกิดอาการขนลุกเย็นทั้งตัว แล้วหลังจากนั้นก็จะมีภาพ คน สัตว์ แมลง ที่เราเคยทำร้ายเคยทำให้เค้าตาย หรือเจ็บลอยมาให้เห็น คือ แปลกใจว่า บางเรื่องเป็นเรื่องที่นานมากบางเรื่องเป็นเรื่องสมัยเด็กๆอยู่ด้วยซ้ำ ซึ่งบางทีนึกถึงยังนึกไม่ออกเลย เพราะนานมาก แต่พอมานั่งสมาธิ ก็ลอยมาให้เห็นเฉยเลย


ดูดินู๋โลกสวยจะออกทางไหน ออกหัวหรือออกก้อย :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2018, 08:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นู๋เมพูดบ้อยบ่อย อรรถะ, อัตถะ ให้ดูความหมายๆหนึ่ง แยกออกจากกันให้ได้นะว่า ท่านใช้คำพูดยังไงเรียกว่าพูดตามสมมติ ใช้คำพูดยังไงเรียกว่าพูดโดยปรมัตถะ เมื่อแยกได้แล้วก็จะเห็นว่า พวกเราพูดสับสนปนเปกันยังไง


อัตถะ, อรรถ ความหมาย, ความหมายแห่งพุทธพจน์, พระสูตร พระธรรมเทศนา หรือ พุทธพจน์ ว่าโดยการแปลความหมาย แยกเป็น อัตถะ ๒ คือ

1. เนยยัตถะ (พระสูตร) ซึ่งมีความหมายที่จะต้องไขความ, พุทธพจน์ที่ตรัสตามสมมติ อันจะต้องเข้าใจความจริงแท้ที่ซ้อนอยู่อีกชั้นหนึ่ง เช่น ที่ตรัสเรื่องบุคคล ตัวตน เรา เขา ว่าบุคคล ๔ ประเภท, ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เป็นต้น

2. นีตัตถะ (พระสูตร) ซึ่งมีความหมายที่แสดงชัดโดยตรงแล้ว, พุทธพจน์ที่ตรัสโดยปรมัตถ์ ซึ่งมีความหมายตรงไปตรงมาตามสภาวะ เช่น ที่ตรัสว่า ขันธ์ อายตนะ ธาตุ รูป เสียง กลิ่น รส เป็นต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2018, 08:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วางข้อความนี้ไว้ใกล้ๆอีกด้วย นู๋เมแยกให้ออกนะ

คำสอนในทางพุทธศาสนานี้ มี ๒ ชั้น คือธรรมะหรือพระธรรมมี ๒ ชั้น : ธรรมะที่เป็นศีลธรรมอย่างหนึ่ง กับ ที่เป็นสัจธรรมอีกอย่างหนึ่ง (พูดอีกอย่างว่า จริยธรรมอย่างหนึ่ง กับ สภาวธรรม อย่างหนึ่ง)

ศีลธรรม นั้นเป็นคำสอนชั้นธรรมดา ที่มีคล้ายกันทุกศาสนา ศาสนาคริสต์ อิสลาม ฮินดู พุทธ มีคำสอนในด้านศีลธรรมคล้ายกัน ไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก

สัจธรรมเป็นเครื่องแก้ปัญหาเฉพาะคน

ถ้าพูดเป็นศัพท์แสงหน่อย ก็เรียกว่า สัจธรรมเป็นเรื่อง “ปัจเจกชน

ศีลธรรมเป็นเรื่อง “สังคม

ศึกษาเต็มๆที่

viewtopic.php?f=1&t=55033

ทีนี้แหละนู๋เมโลกสวยแทบจะเอาหัวมุดหิมะตายเลย คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2018, 03:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
มาอีกแว้ว (แล้ว) คำถามปราบเซียนสดๆร้อน


อ้างคำพูด:
เหตุใดการนั่งสมาธิ จึงทำให้เห็นวิญญาณ

เราชอบนั่งสมาธิ เพราะทำให้ระงับความโกรธ ความเครียด ทำให้สมองปลอดโปร่ง
ไม่ได้คิดเรื่องอยากจะเห็นสิ่งเหนือธรรมชาติเลย แต่ลองสังเกตุมาว่า พอช่วงที่นั่งสมาธิเป็นประจำ
ก็จะสัมผัสได้กับวิญญาณ บางทีจะเห็นเหตุการณ์ก่อนที่มันจะเกิดขึ้ืน เคยมีเสียงหญิงชายมาบอกพร้อมๆกันข้างหูว่า อีกไม่เกิน 2-3 ปี ผู้หญิงคนนี้ต้องตาย (ผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนของเรา) เราก็ไม่ได้คิดอะไร จนเขาตายจริงๆเพราะปืนลั่น

หากตามหลักศาสนาแล้ว เพราะอะไรจึงทำให้วิญญาณเข้ามาหาเราในช่วงที่เราปฏิบัติกรรมฐาน แต่ก็ไม่ได้มาหลอกนะส่วนใหญ่ แต่เราก็กลัว
วิญญาณพวกนั้นไม่เคยทำร้ายเราได้ แต่บางตนจะหลอกให้กลัวถึงขีดสุดก็มี เลยหยุดนั่งเพราะรู้สึกว่า ยิ่งนั่งสมาธิมากเราก็จะยิ่งถลำลึกมากขึ้น และเริ่มกลัวขึ้นมา ภาพที่เห็นชัดขึ้น เสียงก็ชัด กลิ่นก็มา บางตนแรงถึงขนาดทำให้คนรอบตัวเราสามารถรับรู้ไปด้วยได้

https://pantip.com/topic/37681403


ขาดการกำหนดรู้สภาวะปัจจุบันขณะ เห็นอะไรยังไงต้องกำหนดทันที เห็นหนอๆๆๆๆ รู้สึกกลัวปุ๊บ กำหนดรู้ปั้บ กลัวหนอๆๆๆ ได้กลิ่นอะไรยังไงก็ชั่งปุ๊บ กำหนดปั้บ กลิ่นหนอๆๆๆ มันคิดอะไรยังไงปุ๊บ กำหนดปั้บ คิดหนอๆๆ ฯลฯ เป็นยังไง กำหนดยังงั้น รู้สึกยังไงกำหนดยังงั้น ทั้งทางกายทางใจ ไม่เลี่ยงหนีต่อสภาวะนั้นๆ เหมือนกำหนดแล้วก็เกาะยึดกรรมฐาน (หลัก) คือ ลมเข้า-ออก, อาการท้องพอง ท้องยุบ ต่อไป เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น กลัว คิด เป็นต้นเกิดแว๊บแทรกขึ้นมา กำหนดอีก นี่คือหลักแก้อารมณ์ซึงเกิดขณะปฏิบัติทางจิต

หรือนู๋เมโลกสวยจะเถียง ก็ว่ามา



ต๊ายตาย นี่เหรอเรียกว่าผู้ปฎิบัติ
ใครสอนคุณมา แบบนั้น แสดงว่าคนสอนก็ยังปฎิบัติไม่เอาถ่านเรยค่ะ


นี่แสดงว่าไม่ได้รู้ปริยัติ และไม่ได้ปฎิบัติจริงจังเรย

แบบนี้ พวกหลับตานั่งโลกียะสมาธิ ลิมตามาแว่นหาย หายไปนานแล้ว ลิมตาค่อยมาหายหนอ ๆๆๆ
มันไม่ทันปัจจุบันด้วยซ้ำค่ะ

หนูจะชี้ให้ง่ายๆนะคะ เผื่อจะได้ดวงตาเห็นธรรมที่พระพุทธองค์สอนบ้าง

ไม่ใช่ดาบสวิชชา ที่ไปถึงแต่ความฉิบหายค่ะ


ถ้าลืมตา แค่กวาดตาไป ก็ร้องหนอๆๆๆๆๆ ไม่ทันแล้วหละค่ะ
แค่หายใจเข้าออก ก็หนอๆๆไม่ทันแล้ว เพราะทั้งลม ทั้งกลิ่น แม้นแต่อุณหภูมิ เปลี่ยนแปลงตลอดทั้งเข้าออก
เสียงเบาเสียงค่อย มันตลอดเวลา แค่นี้ก็หนอๆๆๆ ไม่ทันแล้ว

บอกตรงๆนะคะ ว่า ไม่ได้เรียกการปฎิบัติเรย ไม่เอาถ่านเรยแบบนั้น
ไม่เคยเห้นการกระทบ และไม่เคยเห็นที่วิญญานนำส่งจากภายนอก เข้าภายใน

และอีกอย่าง ก็ไม่รู้จัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

เรยยกปรมัตถ์ธรรมมาประเทืองปัญญาตามพุทธวิชชาไม่ได้


วันๆยี่สิบสี่ชั่วโมง หนอได้กี่นาที
คิดเป็นเปอร์เซนต์ รับรองว่าสอบตกแน่นอน


วันทั้งวัน ยี่สิบสี่ชั่วโมง หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ เค้าก็ทำหน้าที่อยู่แล้ว
ตาก็มีหน้าที่เห็น จมูกก็มีหน้าที่ได้กลิ่น ไม่ใช่ให้เวปต่างๆคอยสนตะพาย ให้ไปตามหามาแปะกระทู้ค่ะ

สรุปว่า คุณกรัชกาย อ่อนปริยัติ ปฎิบัติก็ไม่เป็น
ไม่รู้จักไตรลักษณ์


โลกียะ หนอๆ แบบนั้น ตายไปหนอๆๆ ถึงความฉิบหายแน่นอนค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2018, 04:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
วางข้อความนี้ไว้ใกล้ๆอีกด้วย นู๋เมแยกให้ออกนะ

คำสอนในทางพุทธศาสนานี้ มี ๒ ชั้น คือธรรมะหรือพระธรรมมี ๒ ชั้น : ธรรมะที่เป็นศีลธรรมอย่างหนึ่ง กับ ที่เป็นสัจธรรมอีกอย่างหนึ่ง (พูดอีกอย่างว่า จริยธรรมอย่างหนึ่ง กับ สภาวธรรม อย่างหนึ่ง)

ศีลธรรม นั้นเป็นคำสอนชั้นธรรมดา ที่มีคล้ายกันทุกศาสนา ศาสนาคริสต์ อิสลาม ฮินดู พุทธ มีคำสอนในด้านศีลธรรมคล้ายกัน ไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก

สัจธรรมเป็นเครื่องแก้ปัญหาเฉพาะคน

ถ้าพูดเป็นศัพท์แสงหน่อย ก็เรียกว่า สัจธรรมเป็นเรื่อง “ปัจเจกชน

ศีลธรรมเป็นเรื่อง “สังคม

ศึกษาเต็มๆที่

viewtopic.php?f=1&t=55033

ทีนี้แหละนู๋เมโลกสวยแทบจะเอาหัวมุดหิมะตายเลย คิกๆๆ


คุณกรัชกาย อ่อนทั้งปริยติ และปฎิบัติไม่เอาไหน
เรยไม่รู้ว่า

ทั้งศีลธรรม และสัจธรรม นั้น


ในปรมัตถ์ธรรมนั้นคือ

กุศลาธรรมมา คือ จิต และเจตสิก
อกุศลาธรรมา คือจิต และเจตสิก
อัพพยากตตาธรรมมา คือ รูป และนิพพาน

ที่ขยายความเป็นนิเทศ และอตินิเทศได้

พระพุทธองค์ทรงแสดงแค่สั้นๆ โดยสังเขปนัยแค่นี้ก็สามารถเข้าใจ สภาวะธรรมได้ทั้งหมดแล้วค่ะ

คุณกรัชกายตื้นเขินไม่รู้จักแม้แต่พระอภิธรรมโดย สังเขป





โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2018, 08:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
มาอีกแว้ว (แล้ว) คำถามปราบเซียนสดๆร้อน


อ้างคำพูด:
เหตุใดการนั่งสมาธิ จึงทำให้เห็นวิญญาณ

เราชอบนั่งสมาธิ เพราะทำให้ระงับความโกรธ ความเครียด ทำให้สมองปลอดโปร่ง
ไม่ได้คิดเรื่องอยากจะเห็นสิ่งเหนือธรรมชาติเลย แต่ลองสังเกตุมาว่า พอช่วงที่นั่งสมาธิเป็นประจำ
ก็จะสัมผัสได้กับวิญญาณ บางทีจะเห็นเหตุการณ์ก่อนที่มันจะเกิดขึ้ืน เคยมีเสียงหญิงชายมาบอกพร้อมๆกันข้างหูว่า อีกไม่เกิน 2-3 ปี ผู้หญิงคนนี้ต้องตาย (ผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนของเรา) เราก็ไม่ได้คิดอะไร จนเขาตายจริงๆเพราะปืนลั่น

หากตามหลักศาสนาแล้ว เพราะอะไรจึงทำให้วิญญาณเข้ามาหาเราในช่วงที่เราปฏิบัติกรรมฐาน แต่ก็ไม่ได้มาหลอกนะส่วนใหญ่ แต่เราก็กลัว
วิญญาณพวกนั้นไม่เคยทำร้ายเราได้ แต่บางตนจะหลอกให้กลัวถึงขีดสุดก็มี เลยหยุดนั่งเพราะรู้สึกว่า ยิ่งนั่งสมาธิมากเราก็จะยิ่งถลำลึกมากขึ้น และเริ่มกลัวขึ้นมา ภาพที่เห็นชัดขึ้น เสียงก็ชัด กลิ่นก็มา บางตนแรงถึงขนาดทำให้คนรอบตัวเราสามารถรับรู้ไปด้วยได้

https://pantip.com/topic/37681403


ขาดการกำหนดรู้สภาวะปัจจุบันขณะ เห็นอะไรยังไงต้องกำหนดทันที เห็นหนอๆๆๆๆ รู้สึกกลัวปุ๊บ กำหนดรู้ปั้บ กลัวหนอๆๆๆ ได้กลิ่นอะไรยังไงก็ชั่งปุ๊บ กำหนดปั้บ กลิ่นหนอๆๆๆ มันคิดอะไรยังไงปุ๊บ กำหนดปั้บ คิดหนอๆๆ ฯลฯ เป็นยังไง กำหนดยังงั้น รู้สึกยังไงกำหนดยังงั้น ทั้งทางกายทางใจ ไม่เลี่ยงหนีต่อสภาวะนั้นๆ เหมือนกำหนดแล้วก็เกาะยึดกรรมฐาน (หลัก) คือ ลมเข้า-ออก, อาการท้องพอง ท้องยุบ ต่อไป เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น กลัว คิด เป็นต้นเกิดแว๊บแทรกขึ้นมา กำหนดอีก นี่คือหลักแก้อารมณ์ซึงเกิดขณะปฏิบัติทางจิต

หรือนู๋เมโลกสวยจะเถียง ก็ว่ามา



ต๊ายตาย นี่เหรอเรียกว่าผู้ปฎิบัติ
ใครสอนคุณมา แบบนั้น แสดงว่าคนสอนก็ยังปฎิบัติไม่เอาถ่านเรยค่ะ


นี่แสดงว่าไม่ได้รู้ปริยัติ และไม่ได้ปฎิบัติจริงจังเรย

แบบนี้ พวกหลับตานั่งโลกียะสมาธิ ลิมตามาแว่นหาย หายไปนานแล้ว ลิมตาค่อยมาหายหนอ ๆๆๆ
มันไม่ทันปัจจุบันด้วยซ้ำค่ะ

หนูจะชี้ให้ง่ายๆนะคะ เผื่อจะได้ดวงตาเห็นธรรมที่พระพุทธองค์สอนบ้าง

ไม่ใช่ดาบสวิชชา ที่ไปถึงแต่ความฉิบหายค่ะ


ถ้าลืมตา แค่กวาดตาไป ก็ร้องหนอๆๆๆๆๆ ไม่ทันแล้วหละค่ะ
แค่หายใจเข้าออก ก็หนอๆๆไม่ทันแล้ว เพราะทั้งลม ทั้งกลิ่น แม้นแต่อุณหภูมิ เปลี่ยนแปลงตลอดทั้งเข้าออก
เสียงเบาเสียงค่อย มันตลอดเวลา แค่นี้ก็หนอๆๆๆ ไม่ทันแล้ว

บอกตรงๆนะคะ ว่า ไม่ได้เรียกการปฎิบัติเรย ไม่เอาถ่านเรยแบบนั้น
ไม่เคยเห้นการกระทบ และไม่เคยเห็นที่วิญญานนำส่งจากภายนอก เข้าภายใน

และอีกอย่าง ก็ไม่รู้จัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

เรยยกปรมัตถ์ธรรมมาประเทืองปัญญาตามพุทธวิชชาไม่ได้


วันๆยี่สิบสี่ชั่วโมง หนอได้กี่นาที
คิดเป็นเปอร์เซนต์ รับรองว่าสอบตกแน่นอน


วันทั้งวัน ยี่สิบสี่ชั่วโมง หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ เค้าก็ทำหน้าที่อยู่แล้ว
ตาก็มีหน้าที่เห็น จมูกก็มีหน้าที่ได้กลิ่น ไม่ใช่ให้เวปต่างๆคอยสนตะพาย ให้ไปตามหามาแปะกระทู้ค่ะ

สรุปว่า คุณกรัชกาย อ่อนปริยัติ ปฎิบัติก็ไม่เป็น
ไม่รู้จักไตรลักษณ์


โลกียะ หนอๆ แบบนั้น ตายไปหนอๆๆ ถึงความฉิบหายแน่นอนค่ะ


อ้างคำพูด:
เราชอบนั่งสมาธิ เพราะทำให้ระงับความโกรธ ความเครียด ทำให้สมองปลอดโปร่ง
ไม่ได้คิดเรื่องอยากจะเห็นสิ่งเหนือธรรมชาติเลย แต่ลองสังเกตุมาว่า พอช่วงที่นั่งสมาธิเป็นประจำ
ก็จะสัมผัสได้กับวิญญาณ บางทีจะเห็นเหตุการณ์ก่อนที่มันจะเกิดขึ้ืน เคยมีเสียงหญิงชายมาบอกพร้อมๆกันข้างหูว่า อีกไม่เกิน 2-3 ปี ผู้หญิงคนนี้ต้องตาย (ผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนของเรา) เราก็ไม่ได้คิดอะไร จนเขาตายจริงๆเพราะปืนลั่น

หากตามหลักศาสนาแล้ว เพราะอะไรจึงทำให้วิญญาณเข้ามาหาเราในช่วงที่เราปฏิบัติกรรมฐาน แต่ก็ไม่ได้มาหลอกนะส่วนใหญ่ แต่เราก็กลัว
วิญญาณพวกนั้นไม่เคยทำร้ายเราได้ แต่บางตนจะหลอกให้กลัวถึงขีดสุดก็มี เลยหยุดนั่งเพราะรู้สึกว่า ยิ่งนั่งสมาธิมากเราก็จะยิ่งถลำลึกมากขึ้น และเริ่มกลัวขึ้นมา ภาพที่เห็นชัดขึ้น เสียงก็ชัด กลิ่นก็มา บางตนแรงถึงขนาดทำให้คนรอบตัวเราสามารถรับรู้ไปด้วยได้


ทีนี้ ถึงตานู๋เมโลกซวยมั่ง จะแก้ปัญหานั้นยังไง ว่าปาย :b16:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 45 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 149 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร