วันเวลาปัจจุบัน 29 เม.ย. 2024, 04:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2018, 06:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"อย่าคิดว่าเราต้องได้ตลอดเวลา
เราต้องเป็นผู้ชนะแต่เพียงผู้เดียว
การยอมให้คนอื่นได้ และชนะดูบ้าง
เป็นวิธีสำคัญของการอยู่ร่วมกัน"
-:- หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป -:-




“มีเมตตาต่อเขา ผู้เป็นทุกข์ นั้นดีนัก
แต่อย่าลืม เมตตาตนเอง
ไม่ปล่อยให้ใจตัวเองเป็นทุกข์
เพราะเมตตาเขา ไม่มีอำนาจใด
จะไปสู้กับอำนาจกรรม ของใครได้”
-:- สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ -:-




“ปฏิบัติยาก ไม่ใช่ปฏิบัติไม่ได้
ถ้าค่อยทำ มันก็จะค่อยไป
เหมือนภาษิตที่ว่า หนทางหมื่นลี้
จะไปถึงได้ ก็ด้วยการเริ่มต้น
จากการก้าว ทีละก้าว
ดังนั้น ยากก็ทำไป ง่ายก็ทำไป
แล้วจะสำเร็จเอง”
-:- หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต -:-




เรานี้นักปฏิบัติต้องฝึกตัวเองอยู่อย่างนั้น ไม่มีผู้ใดทำแทนเราได้
ครูบาอาจารย์มีแต่บอกทางเท่านั้นแหละ
สิ่งที่ต้องทำ เราต้องเป็นผู้ทำเองทั้งหมด เหมือนกันกับกินข้าวนั่นแหละ
ถึงจะนั่งเฝ้าอาหารอยู่ก็ตาม ถ้าไม่ยอมกินมันก็ไม่รู้จักรสชาติ ไม่รู้จักความอิ่ม
เหมือนกันกับความเจ็บปวดนั่นแหละ นี่ก็เพียงไปถามอาการเท่านั้นแหละ
ถ้าไปว่าอาการนั้นเป็นอย่างนั้น ไปถามว่าวันนี้เป็นอย่างนี้
มีแต่ถามกันเท่านั้นแหละ ความเจ็บความปวดเป็นแทนกันไม่ได้
แต่นี่มีแต่ให้ท่านสอน พอสอนแล้วก็จำเอาคำพูดท่านไป
ไปโฆษณาเท่านั้นแหละว่าท่านดีเทศน์ดีเท่านั้น
แต่จะละกิเลสตัณหานั้นไม่มี นี่แหละมีแต่เราต้องทำเอาเอง
.
หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดป่าภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี




”การกระทำสำคัญที่สุด”
.
หนังสือมันก็อ่านได้ท่องจำได้
แต่ใจมันไม่ได้รู้อย่างถ่องแท้
ถึงจะรู้ว่าแก้ไขอย่างนั้นอย่างนี้จากตำรา ก็พูดได้
แต่หัวใจของเรา มันไม่ได้ขาดจากความลังเลสงสัยเลย
เพราะฉนั้น การกระทำมันจึงสำคัญที่สุด
เหมือนอาหาร ถ้าเราไม่กินก็เท่านั้นแหละ
ก็ไม่รู้จักรสชาติ ให้พากันตั้งใจปฏิบัตินะ
.
หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดป่าภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
เทศน์เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๓๘ (ค่ำ)






การสวดมนต์ ของหลวงปู่มั่นนั้น ท่านสวดมาก
สวดนานเป็นชั่วโมงๆ และสวดเป็นประจำทุกคืนมิได้ขาด
สูตรยาวๆ เช่น ธรรมจักร (ธัมมจักรกัปปวัตตนสูตร)
และมหาสมัย ท่านสวดเป็นประจำ
ในกรณีพิเศษ เช่นเมื่อคราวท่านกับหลวงปู่เสาร์ไปวิเวกที่ท่าแขก
ฝั่งประเทศลาว และชาวบ้านเกิดโรคฝีดาษกันทั้งหมู่บ้าน
ท่านแผ่เมตตาใหญ่ในรอบ ๒๔ ชั่วโมงต่อ ๓ ครั้ง
คือ เวลากลางวัน ตอนบ่ายขณะนั่งภาวนาครั้งหนึ่ง
ตอนก่อนนอนครั้งหนึ่ง ตอนตื่นนอนครั้งหนึ่ง
ส่วนการแผ่เมตตาปลีกย่อยประจำนิสัยนั้น
มิได้นับอ่านว่าวันหนึ่งกี่สิบครั้ง
และท่านกล่าวถึงอานุภาพของการสวดมนต์ไหว้พระว่า
พุทธมนต์นั้นใครสวดก็ตามจะเป็นกิจวัตรของพระสงฆ์
เช้า-เย็น หรือชาวพุทธทุกคนสวดพุทธคุณ:
• ระลึกในใจ มีอานุภาพแผ่ไปได้หมื่นจักรวาล
• พูดหรือออกเสียงพอฟังได้ มีอานุภาพแผ่ไปได้แสนจักรวาล
• สวดมนต์เช้า-เย็นธรรมดา มีอานุภาพแผ่ไปได้แสนโกฏิจักรวาล
• สวดเต็มเสียง สุดกู่ มีอานุภาพแผ่ไปได้อนันตจักรวาล
• แม้สัตว์ที่อาศัยอยู่ในสามภพและที่สุดอเวจี มหานรก ยังได้รับความสุข
เมื่อแว่วเสียงพุทธมนต์ ผ่านลงไปชั่วขณะหนึ่งครู่หนึ่ง ดีกว่าหาความสุขไม่ได้เลยตลอดกาล
.
จากหนังสือ “รําลึกวันวาน”โดยหลวงตาทองคํา จารุวฺณโณ




พระพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่ในอินเดีย ถ้าจะคิดตามสถานที่ที่ตรัสรู้แล้วรู้สึกไกลมาก แทบจะพูดได้ว่า คนละมุมโลกกับโลกที่พวกเราอยู่ ณ บัดนี้ แต่เมื่อคิดตามหลักความจริงโน้นก็เป็นความจริงเช่นเดียวกันกับพวกเราที่กำลังนั่งเฝ้าสติปัฏฐานสี่ และอริยสัจสี่อยู่ขณะนี้ เพราะพระกายพระพุทธเจ้าและกายพระสาวกท่าน กับกายของเรา เป็นกายคือ เรือนสติปัฏฐานสี่และอริยสัจสี่เช่นเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องของพระพุทธเจ้า และพระสาวกกับเรื่องของพวกเราดำเนินให้เป็นไปอยู่ ไม่ปรากฏมีแปลกต่างกันที่ตรงไหน
.
การปฏิบัติเพื่อความเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ย่อมปฏิบัติที่กาย วาจา ใจอันเดียวกัน การอบรมสมาธิเพื่อความสงบใจก็ปฏิบัติแบบเดียวกัน เพราะกิเลสมีประเภทเดียว และมีอยู่ที่ใจเช่นเดียวกัน เมื่อได้รับการอบรมด้วยวิธีที่ถูกต้องตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ว่าใจของคนเมืองไหนและชาติใด ย่อมนับวันจะหายพยศ ปรากฏเป็นความสงบสุขขึ้นมา เพราะเป็นใจที่รอรับเหตุผลดีชั่วด้วยกัน ขอให้มีธรรมเป็นเครื่องอบรมเท่านั้น
..............................................................................
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๐๖
"วัฏฏะเป็นสิ่งที่รู้ได้ยาก"




" ความสงบให้มันเพียงพอ"
.
มีแต่ความมืดกับสว่าง มันเป็นอยู่อย่างนี้
ปีนั้นเดือนนี้ทางโลกเขาใส่ชื่อสมมุติไปหมด
อัตภาพร่างกายของเรานั้นมีแต่ชื่อเรียกไปหมด
ถ้าเป็นขี้ก็เต็มตัวไปหมดขี้หัวขี้กลากขี้ไคล
สุดท้ายก็เป็นดินเป็นน้ำไป มาหลงของสมมุติใช้ตกแต่งตัวเอง
พิจารณาเข้าไป แล้วก็แก้ไขเข้าไป จิตใจของเราให้มันรู้จริงเห็นจริง
ให้จิตมันรวมดู นี่จิตของหมู่พวกมันไม่รวมสักที
พอไปนั่งภาวนาก็มีแต่ปลงความคิดของตัวเองอยู่อย่างนั้นนะ
เพราะอยากได้อันนั้น อยากเห็นอันนี้ อยากเห็นกายทิพย์ อยากเห็นหูทิพย์ไปนั่น
โอ๊ย มันเกินพระพุทธเจ้าท่าน ในตำราไม่มีนะที่ท่านบรรลุ
แต่กิเลสตัณหาก็ยังปลดเปลื้องออกจากใจไม่ได้
ยังมีความร้อนความกังวลอยู่ในหัวใจอย่างนั้น
ความร้อนมันก็เป็นกิเลสนั่นแหละ ความรัก ความชังนั้น
ถ้าไม่มีมันก็ไม่ร้อนใจนะ ต้องแก้ให้มันถึงฐานของมัน
ต้องพิจารณาให้ถึงฐานของมัน ความสงบก็ให้มีเพียงพอ
โดยมากครูบาอาจารย์ท่านฝึกครั้งแรก มีแต่ฝึกให้เกิดความสงบเสียก่อน
ถ้าจิตมันรวมลงได้แล้ว มันเป็นไปเองเลย
ปัญญามันเกิดขึ้นเองเลย นั่นถึงจะเป็นวิปัสสนา
เราไปคิดเองค้นเอง มันเลยเป็นสัญญาไปหมดนั่นแหละ
ค้นก็ค้นไปกับสัญญานั่นแหละ ได้ยินมาจากครูบาอาจารย์อย่างนั้น ท่านเห็นอย่างนั้น
ที่จริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะ แต่จำเอามาจากสัญญาของเราเอง แล้วก็พูดไปคิดไป
ถ้าตัวจริงแท้ๆ ปัญญามันเกิดขึ้นกับตัวเราเองนะ
ถึงจะเห็นตัวจริงนั่นแหละ ธรรมของพระพุทธเจ้า...
.
หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดป่าภูผาแดง




อานิสงส์สวดทิพยมนต์ ( ๙ กันยายน ๒๕๔๔)
.
โยม : หลวงปู่คะ อย่างลูกศิษย์ที่ไปสวดมนต์ถวายท่านพระอาจารย์วันชัย ตอนเย็นนี้ได้หรือไม่คะ
.
หลวงปู่ลี : ได้หมดนั่นแหละ สวดบ่อยๆยิ่งดี จิตใจของเราก็สบายนะ สวดมนต์ อย่างหลวงปู่มั่น หลวงปู่ขาวนี้สวดมนต์เป็นชั่วโมง
.
องค์หลวงปู่ลี กุสลธโร จากหนังสือ ๙๐ ปี เศรษฐีธรรม




ถ้าคนเรามีแต่ทำบุญทำทานอย่างเดียว ก็เหมือนได้แค่เปลือกไม้กาบไม้ที่มันแห้ง แต่ความปรารถนาของเรานั้นอยากได้ต้นไม้ ทีนี่ต้นไม้ต้นนั้นมีเปลือกหุ้มห่อเอาไว้และมีกระพี้ เปรียบเหมือนศีล
ที่นี้เมื่อมีศีลแล้วก็มีสมาธิ สามารถฝึกฝนอบรมจิตใจให้สงบเป็นสมาธิ มีศีลและเจริญภาวนาก็เหมือนกระพี้
เปรียบเทียบระดับการทำความดีของพวกเรา ต่อเมื่อเราสงบเป็นสมาธิและมีสติปัญญา รู้ถูกรู้ผิดนั่นแหละ เราถึงจะถึงแก่นไม้ที่จะนำมาใช้ทำประโยชน์ได้
เมื่อถึงตรงนั้นเราจึงจะถึงแก่นพระศาสนา
โอวาทธรรม
พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป




...ไม่มีอะไรจะดีเท่ากับการ
อยู่แบบไม่มีอะไร
เพราะมีอะไร
“มันก็ต้องทุกข์กับสิ่งที่มี”
................................................
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา 1/3/2558
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี




...เราต้องคิดถึงทุกสภาพ
ที่จะเกิดขึ้นกับเรา กับชีวิตเรา
การสูญเสียสิ่งต่างๆในทุกรูปแบบ
ต้องคิดให้ได้
.
พรุ่งนี้เราพิกลพิการไป
อยู่กับมันได้หรือเปล่า
เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต
แล้วอยู่กับมันได้หรือเปล่า
หมอบอกว่าเป็นโรคมะเร็ง
อยู่กับมันได้หรือเปล่า
หรือจะไปกระโดดตึกฆ่าตัวตาย
.
อันนี้แหล่ะคือ ข้อสอบของเรา
ต้องทำการบ้านเตรียมไว้ก่อน
ทุกรูปแบบเลย เกิด เเก่ เจ็บ ตาย
มันก็มีแค่นี้ พลัดพรากจากกัน
พลัดพรากจากสิ่งที่รักที่ชอบ
หรือประสพกับสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบ
.
นี่คือข้อสอบ คือการบ้านของเรา
เราไม่ชอบทำการบ้านกัน
ชอบไปเพ้อฝันว่า จะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้
คนนั้นคนนี้จะดีกับเรา จะอยู่กับเรา
จะยกย่องสรรเสริญเคารพเรา
ไม่ดูถูกเหยียดหยามเรา
.
พอไปเจอสิ่งที่ไม่คาดฝันมาก่อน
ก็จะทำใจไม่ได้
เพราะไม่ทำการบ้านไว้ก่อน
เราต้องพยายามหมั่นทำการบ้าน
คิดถึงเรื่องเสื่อม เรื่องเสียไว้
อย่าไปคิดถึงแต่เรื่องเจริญ
....................................
.
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา 29 /9/ 2556
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี




การติดครูบาอาจารย์ที่ถูกต้อง ต้องติดด้วยการปฏิบัติตามคำสอนของท่าน ไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกล ถ้าเราปฏิบัติตามคำสอนของท่าน เราจะอยู่ใกล้ท่านตลอดเวลา ถ้าเราอยู่ใกล้ท่านแต่เราไม่ปฏิบัติ เรามัวแต่คอยเกาะชายจีวร มัวเเต่คอยนั่งดูหน้าท่าน ฟังเสียงท่าน เวลาไม่ได้เห็นหน้าท่านได้ยินเสียงท่านก็หงุดหงิดรำคาญใจ อย่างนี้เรียกว่า เป็นการติดครูบาอาจารย์แบบไม่ถูกทาง ติดแบบกิเลส
ติดแบบถูกทางต้องติดที่คำสอน ต้องระลึกถึงพระธรรมคำสอนอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ไม่ว่าเวลาใด ถ้าเราระลึกถึงคำสอน เราก็อยู่ใกล้พระพุทธเจ้า ถ้าเราเห็นพระธรรมคำสอน เราก็จะเห็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต ผู้ที่เห็นตถาคตก็คือผู้ที่เห็นธรรม การที่จะเห็นธรรมได้ก็ต้องปฏิบัติธรรม พอปฏิบัติธรรมแล้วก็จะปรากฏธรรมขึ้นมาภายในใจ นี่คือวิธีติดครูบาอาจารย์ ติดครูบาอาจารย์ที่ถูกหลัก ที่ไม่เสียหายที่เป็นประโยชน์
ครูบาอาจารย์แต่ละรูปที่เราเคารพนับถือท่านจะอยู่ใกล้อยู่ไกล ท่านจะเป็นหรือจะตาย ถ้าเรามีคำสอนของท่าน เราก็อยู่ใกล้ท่าน ขอให้เราติดที่คำสอน อย่าไปติดที่สรีระ เพราะสรีระนี้เป็นของไม่เที่ยง แล้วก็สรีระนี้ไม่เป็นประโยชน์ เห็นหน้าท่านแล้วเป็นไง ก็ดีใจเดี๋ยวเดียว พอไม่ได้เห็นหน้าท่าน ความดีใจก็หายไป ได้ยินเสียงท่านก็ดีใจ แต่ไม่สนใจว่าท่านพูดอะไร เพียงแต่ได้ยินเสียงก็กรี๊ดกร๊าดๆ เหมือนเวลาไปดูคอนเสิร์ต ไม่รู้เขาร้องอะไร พอได้ยินเสียงหน่อยก็ร้องกรี๊ดกร๊าดกันขึ้นมา ดีใจกัน
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
๔ ตุลาคม ๒๕๕๗


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2018, 08:08 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2876


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 116 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร