วันเวลาปัจจุบัน 28 เม.ย. 2024, 02:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2018, 19:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"สมัยพุทธกาล โลกนี้สว่างจ้าไปด้วยพระธรรมและพระสงฆ์ ท่านชี้บอกทางพระธรรมแสงสว่างให้ โลกนี้เคยมืดมิดมาแต่ไหนแต่ไร พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้มา เหมือนนำแสงสว่างมา เห็นทางเดินชัดเจน ใครก้าวเดินตามท่านก็บรรลุไป ๆ อาศัยแสงสว่างนั้น และพอบรรลุธรรมแล้วก็เป็นแสงสว่างนำผู้อื่นไปได้อีก
หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าปรินิพพาน แสงสว่างดวงใหญ่ที่สุดก็ดับไป โลกก็ค่อยๆมืดเข้าแล้ว ถึงจะมีพระอรหันต์อยู่อีกหลายองค์ก็ตาม แต่ก็ค่อยๆนิพพานกันไปเรื่อยๆ จำนวนก็ลดลง แสงสว่างประจำโลกธาตุนี้ก็ลดลงไป ความมืดก็ค่อยๆครอบงำเข้ามาเหมือนเดิม
จนถึงปัจจุบันนี้ ท่านผู้จิตใจสว่างกระจ่างแจ้งมีสักเท่าไรกัน ค่อยๆจากไปเรื่อย จนกระทั่งดับสนิท พวกเรามีตาก็มองไม่เห็นทางชัดเจนเพราะปราศจากแสงสว่างแล้ว เดินไปก็ผิดบ้างถูกบ้าง จะให้ถูกร้อยเปอร์เซ็นแทบจะไม่มีเพราะไม่มีแสงสว่างนำทาง เป็นความสูญเสียของโลก
การดับขันธ์ของครูบาอาจารย์แต่ละองค์ เหมือนกับแสงสว่างที่เคยส่องนำทางวูบดับไป เราต้องมะงุมมะงาหลาคลำทางไป ถ้ายังอยากเดินก็ต้องลูบคลำไป จนกระทั่งมันมืดมิดเต็มที่แล้ว ไม่มีทางเลย เราจะเดินไปทางไหน ตามีก็เปล่าประโยชน์แล้ว ใจมี แต่ไม่มีผู้ชี้บอก ไม่มีผู้แนะนำ ก็ไม่รู้จะปฏิบัติยังไงต่อใจดวงนั้น ใจดวงนั้นก็ต้องก้าวผิดก้าวพลาดไปเรื่อย วกไปวนมาอยู่นั่น
การจากไปของท่านเหล่านี้เป็นความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ การดำเนินของพวกท่าน ปฏิปทาของพวกท่าน อีกหน่อยก็ค่อยๆสาบสูญลบเลือนไป นี่ยังทันได้เห็นตั้งหลายองค์พวกเรานี่ ชนรุ่นหลังจากนี้ไปอีกสักสิบยี่สิบปีแทบจะไม่ได้เห็นครูบาอาจารย์เหล่านี้ แล้วจะเอาอะไรเป็นกำลังใจ จะเอาอะไรเป็นแบบฉบับ เห็นในตำราก็ตามเถอะ หนังสือประวัติของท่าน องค์นั้นก็มีองค์นี้ก็มี แต่ไม่ได้เห็นตัวจริง ไม่ได้เห็นการประพฤติปฏิบัติของท่าน นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีการประพฤติปฏิบัติแบบนั้นได้จริงๆเหรอ แม้จะอ่านประวัติหลวงปู่มั่นก็ตาม แต่ถ้าไม่ได้เห็นครูบาอาจารย์เหล่านี้ล่ะ ไม่ได้เห็นหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว ไม่ได้เห็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์เหล่านี้ เราจะระลึกได้หรือไม่ว่าหลวงปู่มั่นทำอย่างนั้นจริงๆหรือเปล่า
นี่ก็ยังดี ยังได้ร่องได้รอย แต่ร่องรอยเหล่านั้นก็ได้จางเต็มที่แล้ว ค่อยดับไปเรื่อย ดับไปเรื่อย แสงสว่างมอดลงไป มอดลงไป ร่องรอยที่เคยมีก็มีอยู่ แต่มองไม่เห็นเสียแล้ว ถ้ายังตั้งเนื้อตั้งตัวไม่ได้มันก็ต้องวกไปวนมาอยู่อย่างนั้น..."
โอวาทธรรมคำสอนพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงพ่อวันชัย วิจิตฺโต วัดภูสังโฆ จ.อุดรธานี.





"ใจมีความสงบ อยู่ที่ใหนก็มีความสุข .ใจวุ่นวาย ใจมีความทุกข์ จะไปอยู่สถานที่ใหน ก็เอาใจที่วุ่นวาย ที่มีความทุกข์นั้นไปด้วย"
หลวงปู่แบน ธนากโร




ไม่อยากให้พระศาสนาหมดสิ้น พากันมั่นคงในข้อปฎิบัติ
พากันมั่นคงอยู่ในระเบียบวินัย เอาระเบียบ เอาวินัย เอามาเป็น
.
เอาตามใจชอบ เอาตามใจฉันชอบ มันก็ต้องไปอยู่นอกวัดพวกนี้ นอกศาสนาพวกนี้
เข้ามาอยู่ในวัด เข้ามาในชีวิต นักบวช ต้องมีระบบ ต้องมีระเบียบ
.
ระบบ ระเบียบ ใครเป็นคนวาง
พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่วางระเบียบเอาไว้
วางระเบียบทุกอย่าง นั่นคือวางพระศาสนา
.
หลวงปู่แบน ธนากโร
สะตินทริยัง
9 สค 47





"โดยธรรมชาติแต่ไหนแต่ไรแล้ว ความไม่ซื่อสัตย์เป็นภัยต่อโลก เป็นการทำลายเจ้าของ ในเมื่อทำลายเจ้าของแล้วก็ทำลายบุคคลอื่นด้วย คนไม่เบียดเบียนเจ้าของ คนไม่ทำลายเจ้าของคนนั้นก็เป็นคนดี จึงให้เป็นคนมีความพอ มีใจมั่นคง มีความสัตย์ซื่อ เห็นคุณค่าของความสัตย์ซื่อ ถ้าหากว่าคนเห็นความสัตย์ซื่อไม่มีความสำคัญ อันนั้นล่ะ เป็นการบั่นทอนเจ้าของเอง ในที่สุดอนาคตเจ้าของก็มืดมนอนธการ
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้มีความซื่อสัตย์ คนไม่มีความซื่อสัตย์ก็คือคนที่ทำลายเจ้าของ เป็นคนที่น่ารังเกียจของคนอื่น ไม่มีใครต้องการคบค้าสมาคม เพราะสมาคมแล้วมันมีแต่จะเสียหาย สามีภรรยามีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะต่างมีความซื่อสัตย์ต่อกัน อยู่กันก็อย่างร่มเย็นเป็นสุข
ถ้าหากว่าไม่มีความซื่อสัตย์ต่อกันแล้ว จะแต่งกันอย่าว่าแต่จะให้ทองสักเท่าใด ต่อให้ทองสิบตันยี่สิบตันก็ช่างเถอะ มันไม่เกินสามปีหรอก เป็นไปข้างๆ คูๆ ไปนอกลู่นอกทาง ไปนอกศีลนอกธรรมล่ะ พังทั้งนั้น..."
โอวาทธรรมคำสอนพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่แบน ธนากโร วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร




พระอรหันต์ไม่ได้ผุดมาจากไหน ก็มาจากหัวใจของปุถุชน
มาจาก ราคะ โทสะ โมหะ ถ้าหากใจของปุถุชนนั้น พยายามบากบั่น ฝึกปรือตนเอง ให้เดินตามมรรคาสัมมาปฏิบัติ พระอรหันต์ก็มาจากที่นั่น กลั่นกรองมาจากที่นั่น เหมือนดอกบัวมาจากขี้ตมขี้โคลนเน่าเน่าเหม็นเหม็น แต่พอพ้นน้ำ รับแสงอาทิตย์แย้มบานเต็มที่ มีสง่าราศีใครก็อยากได้อยากชม
โอวาทธรรมที่หลวงปู่ศรีได้สดับฟังมาจากพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต




ยินดีในปัจจุบันคือปฏิบัติถูกทาง
บางท่านกล่าวว่า ข้าพเจ้าเบื่อชอบแล้ว หน่ายชอบแล้ว พ้นชอบแล้ว ในเรื่องอดีต อนาคตนี้ แต่ทุกวันนี้อาศัยอยู่แต่ในปัจจุบันเท่าน้ัน ดังนี้ก็มี แต่
ข้าพเจ้าผู้เขียนเข้าใจว่า ผู้ยินดีในปัจจุบัน แปลว่าเป็นผู้ปฎิบัติถูกทางเดินมรรคภาวนาถูกทาง แต่ยังมิได้หลุดพ้นถึงขั้นอรหันต์ เป็นเพียงเดินมรรคใดมรรคหนึ่งอยู่เท่านั้น และได้รับผลใดผลหนึ่งอยู่ในตัวเท่าน้้น ยังมิใช่อรหัตผล เป็นเพียงได้ดื่มปิติความอื่มใจที่พอใจในสมถะและวิปัสสนาในปัจจุบัน แล้วหลงยึดถึอเอาปัจจุบันเป็นพระนิพพาน
ปัจจุบันมิได้เป็นพระนิพพาน เป็นเพียงทางเดินเข้าสู่พระนิพพานเท่านั้นเอง ด้วยอำนาจมรรคสามัคคี มรรคสามัคคีกับศึล สมาธิ ปัญญา รวมพลกันในขณะเดียวกัน ไม่มีอันใดก่อนไม่มีอันใดหลัง ในชั้นติดอยู่ในปัจจุบันจิต ปัจจุบันธรรมนี้ มิใช่เดินทางถึงปลายทางแล้ว เป็นเพียงใช้คำว่ามีโทษอยู่ ก็มีความหมายอันเดียวกัน ผู้มีใจที่ไม่มีโทษแล้วจะระวังใจทำไม แต่เมื่อยังไม่ถึงพระอรหันต์ก็ต้องระวังใจอยู่ ถ้าไม่ระวัง มันก็ผิดจริงๆ ไม่น้อยก็มาก
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต





"เราเกิดมาเป็นมนุษย์นับว่าเป็นอัตภาพอันสูงสุด
อันจะทำประโยชน์ให้แก่โลก แก่ญาติ และแก่ตน
ธรรมทั้งหลายไม่ได้อยู่ที่อื่น
อยู่ที่ตัวเรานี้ที่มีใจเป็นใหญ่ เป็นหัวหน้า
งานการทั้งหลายจะดีหรือจะชั่วล้วนสำเร็จอยู่ที่ใจ
จึงควรอบรมจิตใจให้มีสติให้ชำนิชำนาญ
ให้มีสัมปชัญญะประดับและประจำใจ
ให้รู้เท่าต่ออารมณ์ที่มันเกิดขึ้น
ให้เห็นความเกิด ตั้งอยู่ และความเสื่อมไป เป็นธรรมดา
ก็จะเกิดความเบื่อหน่าย หายหลง
ไม่เข้าไปยึดถือเอาก้อนกายทั้งก้อน
ว่าเป็นตัวเราของเรา
ติดสมมติว่าเป็นผู้หนุ่ม ผู้เฒ่า ผู้แก่ ซึ่งเป็นของสมมติ
จิตรู้เท่าอารมณ์ ปล่อยวางในขันธ์
ไม่ยึดอำนาจความโลภ ความโกรธ ความหลง
ปล่อยวางชำระล้างอย่าให้มันเข้ามาครอบงำ
จะมีความสุข เบิกบานใจ ใจหอม ใจไม่เน่า
ใจของผู้นั้นละอารมณ์ทั้งหลาย
จิตผ่องแผ้วตั้งมั่นเป็นสมาธิ
จิตสว่างไสวเป็นจิตสูง
ให้พากันทำเอาให้ได้ให้ถึง
อย่าให้เกิดมาแล้วไม่ได้อะไรดีสักอย่าง
เกิดมามีแต่แก่ไป ตายไป ทับแผ่นดิน
หาประโยชน์อันใดมิได้"
หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล อ.เมืองหนองบัวลำภู จ.หนองบัวลำภู





จำไว้พุทโธ ธัมโม สังโฆ ทำอะไรๆ ก็พุทโธ
กลัวก็พุทโธ ใจไม่ดีก็พุทโธ ขี้เกียจก็พุทโธ
ท่านให้พิจารณามูลกรรมฐานก่อนม๊ดเวลาบวช พิจารณาเพราะเหตุใด
เพื่อไม่ให้หลงถือทิฐิมานะอหังการ ถือว่าเป็นตัวเป็นตน
เป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นเรา เป็นเขา มันจึงหลง
.
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร




ทำแต่กาย ใจไม่ทำ มันก็ขาดทุน
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติมันก็ต้องดูที่เล่ห์เหลี่ยม ดูใจของเรา
ใครจะพูดขนาดไหน มันก็ไม่เท่าใจเรา เราต้องดูเราเอง
ดูที่หัวใจลงไปในขณะที่บำเพ็ญอยู่นั้น
ใจมันไม่สงบเพราะใจไปคิดวุ่นวายสิ่งใด
อย่างนี้เราก็ต้องหาวิธีแก้ไข
อย่างที่เคยพูดอยู่บ่อยๆ แล้วว่าต้องใช้คำบริกรรม
เหมือนอย่างเราลอยคออยู่ในทะเล
เจอะท่อนไม้ได้อาศัยเกาะไปถึงฝั่งได้
ก็ไม่ถึงแก่ความตาย
.
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท




“ซักฟอกจิตใจ”
..ต้องอาศัยการเสียสละ ของที่ไม่ดี ออกหมดเสียก่อน จิตใจจึงจะบริสุทธิ์ คล้าย เสื้อผ้า ที่สกปรกโสมม ไปแปดเปื้อนสิ่งต่าง ๆ เมื่อเราจะย้อมให้ได้สีที่ต้องการ เราต้องซักฟอกให้สีเดิมเหล่านี้ มันออกหมดเสียก่อน เอาไปย้อมมันจึงติดดี ถ้าต้องการสีขาว สีดำ สีแดง สีเขียว หรือสีอะไร ก็ทำไปได้ง่าย ต้องซักออกให้เรียบร้อยเสียก่อน ฉันใดก็ดี ร่างกายเรา ถ้าไม่สมบูรณ์ เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์แล้ว จะเอาธรรมะขั้นละเอียดมาใส่ มันก็อย่างว่านั้นหละ คนเราก็เหมือนกัน มาซักฟอกจิตใจของเรานี้หละ ธรรมะทั้งหลายแหล่ ในคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ก็มาฟอกจิตใจตัวนี้หละ คล้าย ๆ สบู่ ผงซักฟอก มาซักฟอกจิตใจนี้ ให้ขาวบริสุทธิ์..
หลวงปู่ศรี มหาวีโร
เทศนา เรื่อง ธรรมะเป็นของยอดเยี่ยม





ดูคนภาวนาน่ะดูง่าย มันไม่ค่อยสุงสิงกับใครหรอก
หากคนภาวนาไม่เป็นน่ะ เอาล่ะ...มีแต่สนุกสนานไปล่ะ
หยอกกัน...คนหยอกกัน มันก็ทะเลาะกันสิ...
เหมือนหมาน่ะ คนเราก็ไม่ต่างกันกับสัตว์นะ.
.............................................................
หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดป่าภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
เทศน์อบรมพระในพรรษา พุทธศักราช ๒๕๔๒





เรื่องความตายถึงระยะมันก็จะต้องไปตามหน้าที่ของเขา เกิดมาแล้วก็หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามเรื่องคล้ายๆกับว่าพระอาทิตย์พระจันทร์มันก็ขึ้นของมันเอง มันไม่ได้อ้อนวอนยาก เขาไปของเขาเอง แต่เขาไปหรือไม่ไปเขาไม่รับรู้
ลักษณะของร่างกายก็ทำนองเดียวกันมันเกิดขึ้นมาแล้วมันก็ค่อยไปตามเรื่องของมัน ผลสุดท้ายมันก็แตกดับไปเอง เรื่องธรรมดาธรรมชาติของเขาเป็นอย่างนั้น
หลวงปู่ศรี มหาวีโร
(พระเทพวิสุทธิมงคล)
วัดประชาคมวนาราม(ป่ากุง)
อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด




นิวรณ์แท้จริงมันก็มีอยู่กับตัวเราเสมอ
ถึงจะเรียนก็มี ไม่เรียนก็มี นิวรณ์นี้มันมีอำนาจ อิทธิพลมาก
เพราะเป็นเครื่องกลบเกลื่อนดวงจิตของเราไม่ให้ก้าวขึ้นสู่ความดีได้
เส้นทางของนิวรณ์ที่จะไหลมาสู่เรา ก็คือ สัญญาอดีต
อันได้แก่เรื่องราวต่างๆ ทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งของเราของเขา
ซึ่งเป็นอดีตทั้งหมดเส้นหนึ่ง อีกเส้นหนึ่งคือ สัญญาอนาคต
นับแต่เรื่องที่คิดไปตั้งแต่วันพรุ่งนี้จนถึงวันตาย
ซึ่งเราอาจเดาอาจคิดไปด้วยความผิดพลาดทั้งหมดทั้ง ๒ ทาง
นี้เป็นเส้นทางที่ไหลมาจากนิวรณ์ทั้งสิ้น
ฉะนั้น เรื่องอดีต อนาคต ก็ต้องวางไว้ก่อน
ยกจิตของเราขึ้นสู่องค์ภาวนา คือ นึกถึงลมหายใจของลม
อันเป็นส่วนปัจจุบันของรูป ปัจจุบันของนาม ได้แก่ ตัวรู้
เมื่อเราทำได้เช่นนี้ จิตของเราก็จะเหมือนกับลูกโป่ง
ที่ลอยอยู่ในอากาศ เพียงตัดเชือกเส้นเดียวเท่านั้นเราก็จะหลุดได้
คือ เมื่อตัดสัญญาขาด จิตของเราก็จะเข้าไปสู่องค์ภาวนาได้ทันที
ใจก็ไม่มีอาการอึดอัด มีแต่ความโปร่งสบาย
.
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร




"ผู้ที่ไม่ได้ทำบุญไว้แต่ชาติก่อน
ความสมหวังแห่ง ผู้นั้นไม่มี
ย่อมคลาดแคล้วแห่งสมบัติหลายประการ
ทำนาข้าวตาย ค้าขายขาดทุน หาคนค้ำจุนไม่ค่อยได้
คนนั้นป่วยไข้ ไปหาหมอก็ขัดข้องรักษาไม่ได้
ให้ตกอับทุกหน้าที่ ตกลงคนนั้น ต้องกอดเข่าเจ่าจุก
เพราะไม่ได้ทำบุญไว้แต่ชาติปางก่อน
ไม่ชวนให้ คนอื่นเมตตา...
ที่พวกเราได้พากันเกิดมาในโลกนี้ ล้วนมีชาติทุกข์
ชราทุกข์ พยาธิทุกข์ และมรณะทุกข์ ประจำชาติที่ เกิดมา...
เพราะฉะนั้น ขอคณะอุบาสก อุบาสิกา ทั้งหลาย
จงพากันให้ทาน รักษาศีล บำเพ็ญภาวนา
ให้เต็มไม้ เต็มมือ เพื่อความสุขในอนาคตข้างหน้า
เป็นอริยทรัพย์ที่ติดตามตนของเราไปได้..."
หลวงปู่หลุย จันทสาโร
วัดถ้ำผาบิ้ง ต.ทรายขาว อ.วังสะพุง จ.เลย




“ต้องสร้างสติขึ้นมาก่อน”
ถาม : เวลาเดินจงกรม นอกจากเจริญสติแล้ว เราสามารถจะพิจารณาธรรมได้ไหมคะ
พระอาจารย์ : ได้ เพียงแต่ว่ามันคนละขั้นกัน ขั้นแรกนี่เราต้องการสร้างสติขึ้นมาก่อน เพราะการสร้างสตินี้เหมือนกำลังหัดยืนอยู่ หัดยืนหัดเดินอยู่ การพิจารณานี้มันเหมือนกับกำลังหัดวิ่ง มันคนละขั้น มันข้ามขั้นตอน แล้วมันจะไม่ได้ผล เพราะมันจะล้ม มันจะพิจารณาได้คำสองคำ แล้วเดี๋ยวก็ไปคิดเรื่องกิเลสแล้ว ฉะนั้นสู้ฝึกสติให้ควบคุมไม่ให้มันคิดก่อนดีกว่า หยุดความคิดให้ได้ก่อน ถ้าเราหยุดความคิดได้แล้ว ทีนี้เวลาเราอยากให้มันคิดอะไร เราก็สั่งให้มันคิดได้ แล้วถ้ามันเกิดเถลไถล เราก็จะหยุดมันได้ แต่ถ้าเรายังหยุดความคิดไม่ได้ พอเราไปพิจารณาปัญญา ตอนต้นก็ปัญญา แล้วทำไปทำมาก็คิดไปทางกิเลสขึ้นมา ก็จะหยุดมันไม่ได้ ฉะนั้นถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็อย่าเพิ่งคิดทางปัญญา ฝึกสติหยุดความคิด แต่ปัญญาถ้ามีความจำเป็นอาจจะมีปัญหาทางใจเกิดขึ้นปัจจุบันทันด่วน ก็ใช้ปัญญาได้ เช่นโกรธใครยังงี้ ก็พิจารณาให้อภัยเขา แผ่เมตตาไป หรือถ้าเกิดกามารมณ์ขึ้นมา ก็พิจารณาอสุภะเสียตอนนั้นเลย เช่นกำลังคิดถึงแฟน ก็เอาเลย ดูตับไตไส้พุงดูอะไรไป ตอนนั้นก็ใช้ปัญญาได้ แต่ให้มันมีเหตุผล ถ้าไม่มีเหตุผลจำเป็นแล้วก็อย่าเพิ่งไปใช้มันดีกว่า.
สนทนาธรรมะบนเขา
วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาต์โต




“ อย่าไปทำตามความอยาก”
ถ้าใจมีสมาธิแล้ว มีความสงบแล้ว มีอุเบกขาแล้ว จะกำจัดรัก ชัง กลัว หลงที่มีอยู่ในใจ ให้หายไปหมดได้ แล้วก็สามารถใช้ปัญญาสอนใจ เวลาอยาก ก็จะบอกว่าอย่าไปอยาก อยากแล้วทุกข์ อยากแล้วถ้าไม่ได้ก็ทุกข์ ถ้าได้แล้วเดี๋ยวก็อยากอีก เพราะสิ่งที่ได้มาแล้วเดี๋ยวมันก็หมดความหมายไป หมดความสุขไป ก็อยากจะได้สิ่งใหม่ต่อไปอยากเท่าไหร่ก็ไม่มีวันพอ แล้วเวลาเสียสิ่งที่เราได้มาไป ก็เสียใจทุกข์ใจอีก
ดังนั้นอย่าไปทำตามความอยาก แล้วจะไม่ทุกข์กับอะไรต่อไป ร่างกายจะแก่ก็อย่าไปอยากให้มันไม่แก่ อย่าไปอยากให้มันไม่เจ็บ อย่าไปอยากให้มันไม่ตาย เวลามันจะแก่ก็ปล่อยให้มันแก่ไป ผมจะหงอกก็ปล่อยให้มันหงอกไป หนังจะเหี่ยวก็ปล่อยให้มันเหี่ยวไป ถึงเวลามันเจ็บก็รักษาไป รักษาได้ก็รักษาไป รักษาไม่ได้ก็อยู่กับมันไป จนกว่ามันจะตายไป ถึงเวลามันจะตายมันก็ต้องตาย ไม่มีใครห้ามได้ หมอเก่งขนาดไหน ยาวิเศษขนาดไหนก็ไม่สามารถยับยั้งความตายได้ แต่ถ้ามีสติ มีปัญญานี้ จะยับยั้งความทุกข์ใจได้ ใจจะไม่ทุกข์กับความแก่ กับความเจ็บ กับความตาย ไม่ว่าจะเป็นของใครก็ตาม ของเราเอง ของผู้อื่น ของคนที่เรารัก ถึงเวลาเขาไปเราก็เฉยๆไปเท่านั้นเอง เวลาเขาอยู่เราก็เฉยๆ เวลาคนที่เราเกลียดยังอยู่เราก็เฉย เราก็ไม่ไปมีความอยากให้เขาตาย เขาจะอยู่ก็อยู่ไป เดี๋ยวถึงเวลาเขาก็ตายเองไม่ต้องไปฆ่าเขาให้เสียเวลาเสียเงินเสียทองเปล่าๆ ถ้าเราอยากจะให้ใครตายก็ให้คิดอย่างนี้ เดี๋ยวเขาก็ตายเองแหละ เราไม่ต้องไปทำอะไร ไปฆ่าคนเดี๋ยวเราต้องติดคุกติดตะราง ไปถูกเขาฆ่าต่อ ถ้าเราเห็นว่าทุกคนต้องตาย เราก็ไม่ต้องทำอะไร ข้าศึกศัตรูถึงมันจะร้ายกาจขนาดไหน เดี๋ยวถึงเวลามันก็ตายกัน เห็นไหมฮิตเลอร์นี้มันตายรึเปล่า ถึงเวลามันจะตายมันก็ตายกันทั้งนั้น เราไม่ต้องไปทำอะไรมันหรอก ไม่ว่าใครทั้งนั้นในโลกนี้เกิดมาแล้วต้องตายกันไปหมด ไม่รู้จะไปทำสงครามป้องกันกันทำไม ก็ไปฆ่ากันอยู่ดี ทำสงครามเพื่อป้องกันความตาย ก็ไปฆ่ากันตายอยู่ดี สู้อยู่กันอย่างสงบดีกว่า มาฝึกสติทำใจให้สงบ มาสร้างความสุขแบบที่ไม่ต้องใช้ร่างกายดีกว่า ถ้าเรามีความสุขทางใจ ด้วยสติด้วยปัญญาแล้ว เราก็จะไม่ทุกข์กับเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ทุกข์กับการเปลี่ยนแปลง การเสื่อมการดับของสิ่งต่างๆ.
สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต




" บุญอยู่ที่ใจ แค่คิดจะทำบุญก็สุขใจ ทำความดีแล้ว ไม่ต้องหวังผลตอบแทน ทำความดีแล้ว ไม่ต้องให้ใครเห็น ทำความดีก็จารึกไว้ในใจแล้ว บุญคู่อยู่กับใจ ตายไปแล้ว ไม่ว่าไปอยู่ภพไหนๆ
บุญก็จะตามติดไปเป็นเพื่อน "
โอวาทธรรม:องค์หลวงปู่อ่ำ ธมฺมกาโม
วัดสันติวรญาณ จ.เพชรบูรณ์


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 192 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร