วันเวลาปัจจุบัน 13 ต.ค. 2025, 19:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2018, 20:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ชอบทำสมาธิ

จิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ กำลังสมาธิที่เกิดขึ้น
มีความแนบแน่น ทำให้ความดับมีเกิดขึ้น
ดับเหมือนกับหลับไป แต่ดีกว่าการหลับ

ที่ว่าดับเหมือนหลับไปคือ
ภายนอกดับ แต่รู้ชัดภายใน

สภาพอากาศวันนี้ กำลังเย็นสบาย
สัปปายะเหมาะแก่การทำสมาธิ

วันนี้มีนิมิต กำลังอยู่ในเหตุการณ์หนึ่ง
เห็นยมทูต ยืนอยู่ตรงหน้า แบบประจันหน้ากัน
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นขณะนั้น รู้สึกเฉยๆ
เหมือนมองอากาศธาตุ แล้วยมทูตก็หายไป

มีสัญญาเกิดขึ้นว่า
เกิด แก่ เจ็บ ตาย
ตถาตา มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง
ล้วนเกิดจากเหตุและปัจจัยที่มีอยู่

เมื่อยังมีเหตุปัจจัยของการเกิดอยู่
เหตุมี ผลย่อมมี





การตีความพระธรรมคำสอน
ล้วนเป็นการทำสัทธรรมปฏิรูปไปโดยไม่รู้ตัว
พระสัทธรรมเริ่มเลือนลาง

โสดาบัน ที่ยังเหลือเชื้อของการเกิด
จะลงมาเกิด และกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
จึงได้เผยแผ่พระธรรมคำสอนที่เป็นไปเพื่อ
ความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด
เพื่อดับสนิท เพื่อสงบระงับ
เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้
เพื่อนิพพานโดยส่วนเดียว

ทำให้พระสัทธรรมเริ่มฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง
จะเป็นดังนี้ตลอดไปจนถึงยุคพระศรีอารย์

เพียงแต่บุคคลใดจะรู้เห็นได้ด้วยตนเอง
ขึ้นอยู่กับการตั้งความปรารถนา(สัจจะอธิษฐาน)ของผู้นั้น
บางคนตั้งความปรารถนาในความเป็นพระพุทธเจ้า
ก็ต้องเกิดต่อไป จนกว่าจะได้ตามความปรารถนา เป็นพระพุทธเจ้า

บางคนตั้งความปรารถนาเกิดในยุคพระศรีอารย์
ก็ต้องเกิดต่อไป จนกว่าจะถึงยุคพระศรีอารย์

บุคคลสองจำพวกนี้ ต้องบำเพ็ญบารมีตามเหตุปัจจัยของตน





มีบุคคลประเภทหนึ่ง ที่มีโอกาสรู้เห็นด้วยตนเอง
คือ บุคคลที่ไม่ปรารถนาในการเกิด

โดยการตั้งสัจจะอธิษฐาน "นิพพานัง ปัจจโยโหตุ"
เพียงสิ่งเดียว ไม่มีสิ่งอื่นเจอปน เป็นการตั้งจิตอย่างแน่วแน่




เราไม่อาจรู้ได้ว่า ในการเกิดแต่ละครั้งนั้น
เคยตั้งความปรารถนาอันใดไว้
จะรู้ได้ต่อเมื่อลงมือปฏิบัติกรรมฐาน

เมื่อทำความเพียรถึงจุดๆหนึ่ง
สำหรับผู้ที่เคยตั้งความปรารถนาในการเป็นพระพุทธเจ้า
หรือตั้งความปรารถนา ต้องการเกิดในยุคพระศรีอารย์
สภาวะจะติดขัด(ทางจิต) ไม่อาจดำเนินไปสู่มรรค ผล นิพพานได้



วิธีแก้ มีวิธีเดียวเท่านั้น
ให้ถอนคำอธิษฐานที่เคยตั้งความปรารถนานั้นๆไว้
ถึงแม้ว่าจะระลึกไม่ได้ก็ตาม

แล้วให้ตั้งสัจจะอธิษฐานใหม่ทุกครั้งว่า นิพพานัง ปัจจโยโหตุ
หลังการทำทาน ทำบุญสร้างกุศล และหลังทำกรรมฐาน

โดยไม่มีสิ่งอื่นเจือปน คือ ขอให้รวย สวย ดี มีปัญญาฯลฯ
กล่าวคือ เป็นการอธิษฐานที่ไม่มีอาสวะ(กิเลส) เจือปน



"นิพพานัง ปัจจโยโหตุ"

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 06 ก.พ. 2018, 12:31, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2018, 21:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2018, 21:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โมทนานะคะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2018, 12:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


บุคคลที่เหลือเชื้อ ๙ จำพวก



เช้าวันหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรครองจีวร ถือบาตร เข้าไปบิณฑบาตในนครสาวัตถี
ท่านเห็นว่าเวลายังเช้าเกินไปสำหรับการบิณฑบาต จึงแวะเข้าไปในอารามของพวกปริพาชกลัทธิอื่น
ได้ทักทายปราศรัยกันตามธรรมเนียมแล้ว นั่งลง ณ ส่วนข้างหนึ่ง.

ก็ในเวลานั้นแล พวกปริพาชกทั้งหลายนั้น กำลังยกข้อความขึ้นกล่าวโต้เถียงกันอยู่
ถึงเรื่องบุคคลใด ใครก็ตาม ที่ยังมีเชื้อเหลือ

ถ้าตายแล้ว ย่อมไม่พ้นเสียจากนรก จากกำเนิดเดรัจฉาน จากวิสัยแห่งเปรต
จากอบาย ทุคติ วินิบาต ไปได้เลยสักคนเดียว ดังนี้.

ท่านพระสารีบุตร ไม่แสดงว่าเห็นด้วย และไม่คัดค้าน ข้อความของปริพาชกเหล่านั้น,
ลุกจากที่นั่งไป โดยคิดว่าทูลถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วจักได้ทราบความข้อนี้.


ครั้นกลับจากบิณฑบาต ภายหลังอาหารแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
กราบทูลถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนเช้าทุกประการ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-



สารีบุตร ! พวกปริพาชกลัทธิอื่น ยังอ่อนความรู้ ไม่ฉลาด
จักรู้ได้อย่างไรกันว่า ใครมีเชื้อเหลือ ใครไม่มีเชื้อเหลือ.
สารีบุตร ! บุคคลที่มีเชื้อ (กิเลส) เหลือ ๙ จำพวก ดังที่จะกล่าวต่อไปนี้

แม้ตายไป ก็พ้นแล้วจากนรก

พ้นแล้วจากกำเนิดเดรัจฉาน

พ้นแล้วจากวิสัยแห่งเปรต

พ้นแล้วจากอบาย ทุคติ วินิบาต.

บุคคลเก้าจำพวกเหล่านั้น เป็นอย่างไรเล่า เก้าจำพวก คือ :-




(๑) สารีบุตร ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ทำได้เต็มที่ในส่วนศีล
ทำได้เต็มที่ในส่วนสมาธิ แต่ทำได้พอประมาณ ในส่วนปัญญา.
เพราะทำสังโยชน์ ๕ อย่าง ในเบื้องต้นให้สิ้นไป,

บุคคลนั้นเป็น อนาคามี
ผู้จะปรินิพพาน ในระหว่างอายุยังไม่ทันถึงกึ่ง.

สารีบุตร ! นี้เป็นบุคคลผู้มีเชื้อเหลือพวกที่ ๑
ที่เมื่อตาย ก็พ้นแล้วจากนรก จากกำเนิดเดรัจฉาน จากวิสัยแห่งเปรต จากอบาย ทุคติ วินิบาต.





(๒) สารีบุตร ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ทำได้เต็มที่ในส่วนศีล
ทำได้เต็มที่ในส่วนสมาธิ แต่ทำได้พอประมาณในส่วนปัญญา.
เพราะทำสังโยชน์ ๕ อย่างในเบื้องต้นให้สิ้นไป,

บุคคลนั้นเป็น อนาคามี
ผู้จะปรินิพพาน เมื่ออายุพ้นกึ่งแล้วจวนถึงที่สุด.

สารีบุตร ! นี้เป็นบุคคลผู้มีเชื้อเหลือพวกที่ ๒
ที่เมื่อตาย ก็พ้นแล้วจากนรก จากกำเนิดเดรัจฉาน จากวิสัยแห่งเปรต จากอบาย ทุคติ วินิบาต.





(๓) สารีบุตร ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ทำได้เต็มที่ในส่วนศีล
ทำได้เต็มที่ในส่วนสมาธิ แต่ทำได้พอประมาณในส่วนปัญญา.
เพราะทำสังโยชน์ ๕ อย่างในเบื้องต้นให้สิ้นไป,

บุคคลนั้นเป็น อนาคามี
ผู้จะปรินิพพาน โดยไม่ต้องใช้ความเพียรเรี่ยวแรง.

สารีบุตร ! นี้เป็นบุคคลผู้มีเชื้อเหลือพวกที่ ๓
ที่เมื่อตาย ก็พ้นแล้วจากนรก จากกำเนิดเดรัจฉาน จากวิสัยแห่งเปรต จากอบาย ทุคติ วินิบาต.





(๔) สารีบุตร ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ทำได้เต็มที่ในส่วนศีล
ทำได้เต็มที่ในส่วนสมาธิ แต่ทำได้พอประมาณในส่วนปัญญา.
เพราะทำสังโยชน์ ๕ อย่างในเบื้องต้นให้สิ้นไป,

บุคคลนั้นเป็น อนาคามี
ผู้จะปรินิพพาน โดยต้องใช้ความเพียรเรี่ยวแรง.

สารีบุตร ! นี้เป็นบุคคลผู้มีเชื้อเหลือพวกที่ ๔
ที่เมื่อตาย ก็พ้นแล้วจากนรก จากกำเนิดเดรัจฉาน จากวิสัยแห่งเปรต จากอบาย ทุคติ วินิบาต.





(๕) สารีบุตร ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ทำได้เต็มที่ในส่วนศีล
ทำได้เต็มที่ในส่วนสมาธิ แต่ทำได้พอประมาณในส่วนปัญญา.
เพราะทำสังโยชน์ ๕ อย่างในเบื้องต้นให้สิ้นไป,

บุคคลนั้นเป็น อนาคามี
ผู้มีกระแส ในเบื้องบนไปถึงอกนิฏฐภพ.

สารีบุตร ! นี้เป็นบุคคลผู้มีเชื้อเหลือพวกที่ ๕
ที่เมื่อตาย ก็พ้นแล้วจากนรก จากกำเนิดเดรัจฉาน จากวิสัยแห่งเปรต จากอบาย ทุคติ วินิบาต.





(๖) สารีบุตร ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ทำได้เต็มที่ในส่วนศีล
แต่ทำได้พอประมาณในส่วนสมาธิ ทำได้พอประมาณในส่วนปัญญา.
เพราะทำสังโยชน์ ๓ อย่าง ให้สิ้นไป, และเพราะมีราคะ โทสะ โมหะ เบาบางน้อยลง,

เป็น สกทาคามี ยังจะมาสู่เทวโลกนี้อีกครั้งเดียวเท่านั้น
แล้วกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.

สารีบุตร ! นี้เป็นบุคคลผู้มีเชื้อเหลือพวกที่ ๖
ที่เมื่อตาย ก็พ้นแล้วจากนรก จากกำเนิดเดรัจฉาน จากวิสัยแห่งเปรต จากอบาย ทุคติ วินิบาต.





(๗) สารีบุตร ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ทำได้เต็มที่ในส่วนศีล
แต่ทำได้พอประมาณในส่วนสมาธิ ทำได้พอประมาณในส่วนปัญญา.
เพราะทำสังโยชน์ ๓ อย่างให้สิ้นไป,

บุคคลนั้นเป็น โสดาบันผู้มีพืชหนเดียว
คือ จักเกิดในภพแห่งมนุษย์อีกหนเดียวเท่านั้น แล้วกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.

สารีบุตร ! นี้เป็นบุคคลผู้มีเชื้อเหลือพวกที่ ๗
ที่เมื่อตาย ก็พ้นแล้วจากนรก จากกำเนิดเดรัจฉาน จากวิสัย แห่งเปรต จากอบาย ทุคติ วินิบาต.





(๘) สารีบุตร ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ทำได้เต็มที่ในส่วนศีล
แต่ทำได้พอประมาณในส่วนสมาธิ ทำได้พอประมาณในส่วนปัญญา.
เพราะทำสังโยชน์ ๓ อย่างให้สิ้นไป,

บุคคลผู้นั้นเป็น โสดาบันผู้ต้องท่องเที่ยวไปสู่สกุล
อีก ๒ หรือ ๓ ครั้ง แล้วกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.

สารีบุตร ! นี้เป็นบุคคลผู้มีเชื้อเหลือพวกที่ ๘
ที่เมื่อตาย ก็พ้นแล้วจากนรก จากกำเนิดเดรัจฉาน จากวิสัยแห่งเปรต จากอบาย ทุคติ วินิบาต.




(๙) สารีบุตร ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ทำได้เต็มที่ในส่วนศีล
แต่ทำได้พอประมาณในส่วนสมาธิ ทำได้พอประมาณในส่วนปัญญา.
เพราะทำสังโยชน์ ๓ อย่างให้สิ้นไป,

บุคคลนั้นเป็น โสดาบันผู้ต้องเที่ยวไปในเทวดา
และมนุษย์อีก ๗ ครั้งเป็นอย่างมาก แล้วกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.

สารีบุตร ! นี้เป็นบุคคลผู้มีเชื้อเหลือพวกที่ ๙
ที่เมื่อตาย ก็พ้นแล้วจากนรก จากกำเนิดเดรัจฉาน จากวิสัยแห่งเปรต จากอบาย ทุคติ วินิบาต.



สารีบุตร ! ปริพาชกลัทธิอื่น ยังอ่อนความรู้ ไม่ฉลาด
จักรู้ได้อย่างไรกันว่า ใครมีเชื้อเหลือ ใครไม่มีเชื้อเหลือ.




สารีบุตร ! บุคคลเหล่านี้แล ที่มีเชื้อเหลือ ๙ จำพวก
เมื่อตายไป ก็พ้นแล้วจากนรก จากกำเนิดเดรัจฉาน จากวิสัยแห่งเปรต จากอบาย ทุคติ วินิบาต.



สารีบุตร ! ธรรมปริยายข้อนี้ ยังไม่เคยแสดงให้ปรากฏ
แก่หมู่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย มาแต่กาลก่อน.
ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?

เพราะเราเห็นว่าถ้าเขาเหล่านั้นได้ฟังธรรมปริยายข้อนี้แล้ว
จักพากันเกิดความประมาท;

อนึ่งเล่า ธรรมปริยายเช่นนี้ เป็นธรรมปริยายที่เรากล่าว
ต่อเมื่อถูกถามเจาะจงเท่านั้น; ดังนี้ แล.

นวก. อํ. ๒๓/๓๙๑-๓๙๖/๒๑๖.

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร