วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 11:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 85 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2018, 22:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ตย.ให้คุณโลกสวย แนะนำตามวิธีดังคุณว่าสิครับ นี่ครับ


อ้างคำพูด:
ภาวนาแล้วตัวหายค่ะ เรียนปรึกษา

1.เราถือศีลเป็นปกติ

2.เราภาวนาเป็นปกติ (มีแว่บบ้างอะไรบ้างตามสไตล์ฆารวาส ยิ่งตอนนี้หย่อนมากค่ะ)

เราเริ่มการภาวนาจากการสวดมนต์ค่ะ เริ่มวันแรกตัวสั่นถามอาจารย์ท่านบอกว่าเป็นปิติ เราก็ยังภาวนาต่อทีนี้เริ่มนั่งสมาธิด้วย

หลังจากนั้นประมาณ 5-6 เดือน เรานั่งสมาธิและถือศีลแปดด้วยทำเป็นประจำ รวมทั้งนอนสมาธิด้วยค่ะ จนกระทั่งวันหนึ่ง...
เราภาวนาอยู่ทุกอารมณ์ ทุกลมหายใจ เราล้มตัวลงพักผ่อน ขณะมองดูลมหายใจไปตัวก็หายไปค่ะ ตอนนั้นเราตกใจแล้วหลุดออกมา
เราก็ถามรุ่นพี่นะคะ ท่านบอกว่าคราวหน้าให้ดูย้อนตรงๆไปเลย แต่ใจเราบอกว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำไม่ได้แน่นอน ก็ละไปแต่รักษา ศีล สวดมนต์เอาค่ะ

วันหนึ่งเราหลับเห็นแสงสว่างมากๆตั้งอยู่รอบข้างกว้างไพศาลพูดไม่ถูก เราก็มอง มันพูดยากมากแต่เหมือนเราพิจารณาแสงนั้นแล้วมันทวนย้อน (อธิบายไม่ถูกจริงๆค่ะ) ตื่นมาก็อิ่มมาก ทุกอย่างกระจ่างไปหมด เบา สบาย

หลังจากนั้นเราได้งาน ก็เลยละภาวนาไปเยอะ แต่ก็ยังรักษาศีลอยู่

ต่อมาก็ยังมีอีกช่วงหนึ่ง เรามีเรื่องในชีวิตให้คิดไม่ตก รู้สึกเหมือนมีอะไรปั่นอยู่กลางอกแล้วดีดออก ปั่นๆแล้วดีดออก นอนก็ปั่นๆอยู่ทั้งคืน นอนไม่ได้เลย จนกระทั่งมันปิ๊ง! เหมือนตัดเรื่องนั้นขาดเห็นต้นเหตุ-การแก้ไข-การวาง (ตอนนั้นก็น้อมมาพิจารณาแหล่ะค่ะ) อะไรบางอย่างถึงจะยอมลงให้แล้วจะรู้สึกปลง ปล่อย

จนเมื่อเร็วๆนี้ที่ทำงานพาเราไปวัดค่ะ เพื่อบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ ท้ายกระบวนการเขาก็ให้ขึ้นนั่งสมาธิเราก็นั่งข้างๆพัดลมเหล็กๆค่ะ
เราไม่ได้นั่งเอาจริงเอาจังเลยนะคะ ก็สักแต่นั่งตามลมไป แต่กลับรู้สึกว่าร่างกายใจหาย ทุกอย่างนิ่ง ตอนแรกได้ยินเสียงพัดลมแล้วเสียงพัดลมก็หายไป ดับนิ่งสนิท ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เราก็ตกใจหลุดออกมา...แบบวู้บ...ทีนี้ร่างกายเราสั่นแบบควบคุมไม่ได้เลย นั่งสะท้าน จนเราไปขอให้หลวงพี่เล่าธรรมะให้ฟังถึงคลายลง

ขออนุญาตสอบถามค่ะว่าเราควรทำอย่างไรต่อไปดี ตอนนี้ตัวเราเค้าไม่เอาแล้ว...กลัว...แหยงๆ...ไม่แตะเลย รักษาศีลยังรักษาอยู่ แต่พอจะนั่งเหมือนเขาร้องว่าไม่เอาๆกลัว อยากให้ทราบว่ามันทรมานจริงๆค่ะ เคยปฏิบัติได้ แต่ปฏิบัติไม่ได้กลัวอะไรก็ไม่รู้

เราอยากปฏิบัติต่อมากๆ...


จะให้หนูตอบอย่างลึกซึ้ง เธอก็คงไม่เข้าใจหรอกค่ะ

ตอบให้ง่ายๆ ถ้าจะเริ่มปฎิบัติ

ความมีจิตที่ปกติ คือพื้นฐาน และการปฎิบัติ เบื้องต้น ค่ะ

ก็เริ่มจาก รู้จัก จิตที่ปกติ ที่สุดของตนเองให้ได้เสียก่อน ดูให้เห็น หาให้เจอ เสียก่อนค่ะ


แล้วจะเห็นเอง ทราบเอง ตอบได้เองในปัญหาที่ถามมา ทั้งหมดค่ะ

การแสวงหาความอยากรู้ นานาประการ ล้วนทำให้ความปกติของจิตมัวหมองค่ะ



แล้วจะไปหาที่ไหนจิตปกติ

ลองตอบเถอะครับ จะเข้าใจไม่เข้าใจก็แล้วแต่ ตอบดูตามที่เรารู้ :b1:


จะไปหาจิตปกติ ในพระอริยะเจ้า จะไปหาจิตปกติ ในคนสัตว์ ผู้อื่น
หรือจะหา ที่ตนเองหละคะ

แค่นี้ ก็แสดงว่า แม้นแต่จิตปกติ ที่เป็นพื้นฐานปฎิบัติ ยังไม่รู้จะหาจากใครเลย ไม่รู้จะหาจากไหนเลย

หาที่ตัวเองค่ะ

ย้ำ หาที่ตัวเองค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 01:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ค่อนข้างยากเย็นหน่อยนะคะ ที่ยังไม่เคยทราบว่า
การจะหาจิตปกตินั้น ต้องหาที่ตัวเองเท่านั้น

ทางที่ดี ไปหาสำนัก หาอ. ที่เดินตามอริยะมรรคแล้ว ให้สอน เรียนให้เป็นล่ำเป็นสัน
ท่องบ่น จดจำให้ขึ้นใจเสียก่อนค่ะ ว่า จิตที่ปกติ นั่น หาจากตัวเองค่ะ

ขนาดจิตปกติ ยังไม่รู้ว่าจะหาจากไหน
ไปหาตามเวป หาตามแผงหนังสือ หาทั่วๆ
แม้จะเพียรหามานานแสนนาน
ไม่รู้ว่าเสียเวลาโดยเปล่าประโยน์

ในเซน คำสอนของพระสังฆปรินายกฮวงโป มีคำประโยคนึงที่ควรน้อมรับฟัง
และนำมาปฎิบัติ สามารถใช้ได้ทั้งพื้นฐาน เบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลายตลอดสายค่ะ

คำสอนนั้นมีประโยคนึง กล่าวว่า

" เหมือนอย่างว่านักรบคนหนึ่ง เขาลืมไปว่าได้ประดับไข่มุกของตนไว้ที่หน้าผากตัวเอง เรียบร้อยแล้ว กลับเที่ยวแสวงหามันไปในทุกแห่ง
เขาอาจจะเที่ยวหาไปได้ทั่วทั้งโลก แต่ก็มิอาจจะพบมันได้, แต่ถ้าเผอิญมีใครสักคนหนึ่งซึ่งรู้ว่านักรบคนนั้นทำผิดอยู่อย่างไร แล้วไปชี้ไข่มุกที่หน้าผากของเขา ให้เขาเห็น"


จะหาความดี หาความชั่ว หากิเลส หาตัณหา หากุศล หาอกุศล หาสวรรค์ หานรก หาอริยทรัพย์ หาวิมาน หาพรหมวิหาร หารูปฌาน หาอรูปฌาน หาวิปัสสนา หาธรรมะ หาอธรรม หาปัญญา หาวิมุติ หานิพพาน จะหาอะไรๆ ก็หาได้จากที่ตัวเอง

ไม่ได้ไปหาจากตามเวป เวปนิพพาน หรือเวปไหนๆค่ะ
ถ้ายังไม่รู้จักหาที่ตนเอง จิตใจยังป่วยหนักหนาสาหัส

ก็ไม่อาจพบจิตที่ปกติที่หาได้จากในตัวเองค่ะ


ย้ำอีกที ว่า

หาจิต หาจิตปกติ ที่ตัวเอง ค่ะ ย้ำว่า ให้หาในตัวเองค่ะ

หนูก็จบการแนะนำ หลักสำคัญ พื้นฐานการปฎิบัติ เพียงเท่านี้

เพราะถ้ายังไม่รู้ว่าจะหาธรรมะ ที่ไหน
ก็ป่วยการที่จะกล่าวขั้นสูงขึ้นต่อไปค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 07:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สำนักที่บรรลุธรรมอีกแห่งหนึ่ง :b1: อวิชชาขาดผึงก้นกระแทกเลย :b32: โชคดีที่หัวไม่ฟาดพื้น


ตอดเล็กตอดน้อย...เป็นนิสัยเสีย...ประจำเลย



ที่เขาพูดนั่นกบเชื่อว่าเป็นความจริงรึ

นี่แหละบ้านเรา บรรลุนั่นบรรลุนี่เพียงอ้างศัพท์ทางธรรมมาพูดแล้วมโนเอาวาดภาพเอาว่าเป็นนั่นเป็นนี่ :b1:


หนูเชื่อค่ะ ว่าการบรรลุธรรม และสภาวะธรรมในขณะนั้น เป็นความจริง

แต่ไม่ทราบว่า บรรลุในจุดไหน เพราะการบรรลุธรรมในแต่ละจุด มีมากมายกว่าจะถึงอรหัตตผล

ตั้งแต่จุดในปุถุชน จนก้าวไปเป็นโสดาบันมรรค โสดาบันผล และอริยะบุคคลระดับต่างๆ จนถึงอรหันตตผล

และอีกอย่างหลวงตาท่าน ก็เป็นพระปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ และปฎิบัติ มามาก มาช้านานกว่าพวกคุณ
ท่านก็คงไม่กล่าวเช่นนั้น ถ้าไม่เป็นความจริงค่ะ


การปรามาส วาจาทุจริต มโนทุจริต ส่อเสียดไม่เกิดผลดีค่ะ ยิ่งถ้าท่านได้อริยะบุคคลขึ้นไปแล้ว กรรมปรามาสพระธรรม พระอริยะบุคคลยิ่งหนักหนา ลงนรกได้ยาวนานค่ะ



อ้างคำพูด:
หนูเชื่อค่ะ ว่าการบรรลุธรรม และสภาวะธรรมในขณะนั้น เป็นความจริง


เอ้า ตามที่ว่า จริงก็จริง แต่ขอถามคุณโลกสวยนิดหนึ่ง ว่าธรรมที่คุณรับรองว่าจริงนั้น มันอะไร ธรรมอะไร ? เอาชัดๆธรรมอะไร บรรลุทีก้นกระแทกที หงายท้องหงายไส้ เอ้า

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 07:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
การที่จะรู้ว่า ตนเองมีจิตปกติ หรือผิดปกติ เป็นของยากเย็นเข็ญใจ สำหรับคนหลายๆคน

การทำศีล ทำสมาธิ ทำภาวนา ท่องบ่นคาถา การทำวิปัสสนา ร๋ำเรียนศึกษาวิชา การอ่านตำหรับตำรา
ท่องจำ เพื่อหวังเป็นโน่นเป็นนี่ อยากให้คนนับหน้าถือตา ความอยาก ความไม่อยาก ความเฉยๆแบบอัพยา
ทั้งวี่ทั้งวัน การพูด การคุย การเจรจา
รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมน์ ที่ประสพ
ล้วนเดินไปด้วยความปกติของจิต ได้หรือไม่


ตัวอย่าง ง่ายๆ ทีหนูจะชี้ให้เห็น

คือ พวกตัวอีโม ที่สมาชิกหลายๆท่าน เอามาใช้ ในบอรด์สนทนาธรรมค่ะ
ทำไปด้วยจิตที่ปกติ หรือห่อหุ่มกิเลส ตัณหา อวิชชาอะไรอยู่

ถ้าจะปฎิบัติ จะเดินไปตามอริยะมรรคจริงๆ

ก็จะรู้เองว่า จิตที่แสดงเหล่านั้น ปกติ หรือไม่ปกติ เหล่านั้น นั้นเป็นสัมมา หรือ มิจฉา
พาตนลงอบายภูมิ หรือไปสุขคติภูมิ

แค่นี้ ก็คือ การปฎิบัติเบื้องต้นแล้วค่ะ



ทำอีโม อีเม มันเกี่ยวอะไรกับเดินมรรค อีกล่ะน่า :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 07:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
พระธรรม ควรเทิดไว้เหนือเศียรเกล้า
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทรงเคารพพระธรรม
พระอรหันต์ทุกพระองค์ ทรงเคารพพระธรรม
พระอริยะบุคคล ทุกพระองค์ ทรงเคารพพระธรรม

ไม่ควรนำมาล้อเล่น ชวนหัว ทำตลกโปกฮา
พระมหาโพธิสัตว์ ก่อนที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้า ไม่เคยล้อเล่น ทรงสละทั้งชีวิต เพื่อหาพระธรรม
คณาจารย์ ครูบาอาจารย์ ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ ไม่เคยล้อเล่นกับพระธรรม
ยอมสละแม้ชีวิต เพื่อหาพระธรรม ปฎิบัติพระธรรม เพื่อลด ละ เลิก วาง และเผากิเลส ความไม่รู้ของตน

โดยอาศัยพระธรรม

ธรรมะจากคนไขน้ำเข้านา ธรรมมะที่เห็นคนพิการ ธรรมะที่เห็นสัตว์ต่างๆ ในพระชาดก
ไม่มีพระอริยะเจ้าพระองค์ใด ไปล้อเลียน ล้อเล่น

การล่วงเกินพระธรรม แม้เพียงนิดเดียว ก็เท่ากับการสร้างหนทางในสังสารวัฎให้ยาวนานขึ้น

นี่คือ ตัวอย่าง แบบง่ายๆ

คือข้อปฎิบัติเบื้องต้น พื้นฐาน


ทำให้ได้ ก็จะไม่ต่อสังสารวัฎให้ยาวขึ้นไป ทำได้ปฎิบัติได้ การเดินทางก็จะสั้นลง
จนสำเร็จได้ ในปัจจุบันค่ะ

ง่ายมั๊ยคะ แค่นี้ ถามใจตัวเองกัน ว่า มันปกติ หรือ ทำความปกติมัวหมองได้ตลอดเวลา

ถามตัวเอง ดูตัวเอง รู้ตัวเอง ให้จริงชัดก่อน

นี่คือคือข้อปฎิบัติเบื้องต้น พื้นฐาน ค่ะ



ถ้าคุณโลกสวยแต่งกระทู้ธรรมได้เต็มร้อยเลย :b4:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 07:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ตย.ให้คุณโลกสวย แนะนำตามวิธีดังคุณว่าสิครับ นี่ครับ


อ้างคำพูด:
ภาวนาแล้วตัวหายค่ะ เรียนปรึกษา

1.เราถือศีลเป็นปกติ

2.เราภาวนาเป็นปกติ (มีแว่บบ้างอะไรบ้างตามสไตล์ฆารวาส ยิ่งตอนนี้หย่อนมากค่ะ)

เราเริ่มการภาวนาจากการสวดมนต์ค่ะ เริ่มวันแรกตัวสั่นถามอาจารย์ท่านบอกว่าเป็นปิติ เราก็ยังภาวนาต่อทีนี้เริ่มนั่งสมาธิด้วย

หลังจากนั้นประมาณ 5-6 เดือน เรานั่งสมาธิและถือศีลแปดด้วยทำเป็นประจำ รวมทั้งนอนสมาธิด้วยค่ะ จนกระทั่งวันหนึ่ง...
เราภาวนาอยู่ทุกอารมณ์ ทุกลมหายใจ เราล้มตัวลงพักผ่อน ขณะมองดูลมหายใจไปตัวก็หายไปค่ะ ตอนนั้นเราตกใจแล้วหลุดออกมา
เราก็ถามรุ่นพี่นะคะ ท่านบอกว่าคราวหน้าให้ดูย้อนตรงๆไปเลย แต่ใจเราบอกว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำไม่ได้แน่นอน ก็ละไปแต่รักษา ศีล สวดมนต์เอาค่ะ

วันหนึ่งเราหลับเห็นแสงสว่างมากๆตั้งอยู่รอบข้างกว้างไพศาลพูดไม่ถูก เราก็มอง มันพูดยากมากแต่เหมือนเราพิจารณาแสงนั้นแล้วมันทวนย้อน (อธิบายไม่ถูกจริงๆค่ะ) ตื่นมาก็อิ่มมาก ทุกอย่างกระจ่างไปหมด เบา สบาย

หลังจากนั้นเราได้งาน ก็เลยละภาวนาไปเยอะ แต่ก็ยังรักษาศีลอยู่

ต่อมาก็ยังมีอีกช่วงหนึ่ง เรามีเรื่องในชีวิตให้คิดไม่ตก รู้สึกเหมือนมีอะไรปั่นอยู่กลางอกแล้วดีดออก ปั่นๆแล้วดีดออก นอนก็ปั่นๆอยู่ทั้งคืน นอนไม่ได้เลย จนกระทั่งมันปิ๊ง! เหมือนตัดเรื่องนั้นขาดเห็นต้นเหตุ-การแก้ไข-การวาง (ตอนนั้นก็น้อมมาพิจารณาแหล่ะค่ะ) อะไรบางอย่างถึงจะยอมลงให้แล้วจะรู้สึกปลง ปล่อย

จนเมื่อเร็วๆนี้ที่ทำงานพาเราไปวัดค่ะ เพื่อบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ ท้ายกระบวนการเขาก็ให้ขึ้นนั่งสมาธิเราก็นั่งข้างๆพัดลมเหล็กๆค่ะ
เราไม่ได้นั่งเอาจริงเอาจังเลยนะคะ ก็สักแต่นั่งตามลมไป แต่กลับรู้สึกว่าร่างกายใจหาย ทุกอย่างนิ่ง ตอนแรกได้ยินเสียงพัดลมแล้วเสียงพัดลมก็หายไป ดับนิ่งสนิท ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เราก็ตกใจหลุดออกมา...แบบวู้บ...ทีนี้ร่างกายเราสั่นแบบควบคุมไม่ได้เลย นั่งสะท้าน จนเราไปขอให้หลวงพี่เล่าธรรมะให้ฟังถึงคลายลง

ขออนุญาตสอบถามค่ะว่าเราควรทำอย่างไรต่อไปดี ตอนนี้ตัวเราเค้าไม่เอาแล้ว...กลัว...แหยงๆ...ไม่แตะเลย รักษาศีลยังรักษาอยู่ แต่พอจะนั่งเหมือนเขาร้องว่าไม่เอาๆกลัว อยากให้ทราบว่ามันทรมานจริงๆค่ะ เคยปฏิบัติได้ แต่ปฏิบัติไม่ได้กลัวอะไรก็ไม่รู้

เราอยากปฏิบัติต่อมากๆ...


จะให้หนูตอบอย่างลึกซึ้ง เธอก็คงไม่เข้าใจหรอกค่ะ

ตอบให้ง่ายๆ ถ้าจะเริ่มปฎิบัติ

ความมีจิตที่ปกติ คือพื้นฐาน และการปฎิบัติ เบื้องต้น ค่ะ

ก็เริ่มจาก รู้จัก จิตที่ปกติ ที่สุดของตนเองให้ได้เสียก่อน ดูให้เห็น หาให้เจอ เสียก่อนค่ะ


แล้วจะเห็นเอง ทราบเอง ตอบได้เองในปัญหาที่ถามมา ทั้งหมดค่ะ

การแสวงหาความอยากรู้ นานาประการ ล้วนทำให้ความปกติของจิตมัวหมองค่ะ


อ้างคำพูด:
การแสวงหาความอยากรู้ นานาประการ ล้วนทำให้ความปกติของจิตมัวหมองค่ะ


เป็นสะยังงั้นไป
ถ้ายังงั้นการปฏิบัติกัมมัฏฐานเพื่อฝึกจิตก็ดี การประกอบสัมมาชีพ เป็นต้น ก็ดี ทำให้ปกติมัวหมองสิขอรับ ยังงั้นในแต่ละวันๆ นอนมองเพดานอยู่ในห้อง ไม่ต้องไปไหน ไม่ต้องทำอะไร เพื่อรักษาจิตให้ปกติหรือขอรับ :b10:

หรือไม่ยังงั้น ก็เอาไม้เสียบลูกชิ้นแทงตาให้มันบอดเสียเลย เพื่อไม่ต้องเห็นอะไร เพื่อรักษาจิตให้ปกติ เป็นไงแบบนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 07:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ตย.ให้คุณโลกสวย แนะนำตามวิธีดังคุณว่าสิครับ นี่ครับ


อ้างคำพูด:
ภาวนาแล้วตัวหายค่ะ เรียนปรึกษา

1.เราถือศีลเป็นปกติ

2.เราภาวนาเป็นปกติ (มีแว่บบ้างอะไรบ้างตามสไตล์ฆารวาส ยิ่งตอนนี้หย่อนมากค่ะ)

เราเริ่มการภาวนาจากการสวดมนต์ค่ะ เริ่มวันแรกตัวสั่นถามอาจารย์ท่านบอกว่าเป็นปิติ เราก็ยังภาวนาต่อทีนี้เริ่มนั่งสมาธิด้วย

หลังจากนั้นประมาณ 5-6 เดือน เรานั่งสมาธิและถือศีลแปดด้วยทำเป็นประจำ รวมทั้งนอนสมาธิด้วยค่ะ จนกระทั่งวันหนึ่ง...
เราภาวนาอยู่ทุกอารมณ์ ทุกลมหายใจ เราล้มตัวลงพักผ่อน ขณะมองดูลมหายใจไปตัวก็หายไปค่ะ ตอนนั้นเราตกใจแล้วหลุดออกมา
เราก็ถามรุ่นพี่นะคะ ท่านบอกว่าคราวหน้าให้ดูย้อนตรงๆไปเลย แต่ใจเราบอกว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำไม่ได้แน่นอน ก็ละไปแต่รักษา ศีล สวดมนต์เอาค่ะ

วันหนึ่งเราหลับเห็นแสงสว่างมากๆตั้งอยู่รอบข้างกว้างไพศาลพูดไม่ถูก เราก็มอง มันพูดยากมากแต่เหมือนเราพิจารณาแสงนั้นแล้วมันทวนย้อน (อธิบายไม่ถูกจริงๆค่ะ) ตื่นมาก็อิ่มมาก ทุกอย่างกระจ่างไปหมด เบา สบาย

หลังจากนั้นเราได้งาน ก็เลยละภาวนาไปเยอะ แต่ก็ยังรักษาศีลอยู่

ต่อมาก็ยังมีอีกช่วงหนึ่ง เรามีเรื่องในชีวิตให้คิดไม่ตก รู้สึกเหมือนมีอะไรปั่นอยู่กลางอกแล้วดีดออก ปั่นๆแล้วดีดออก นอนก็ปั่นๆอยู่ทั้งคืน นอนไม่ได้เลย จนกระทั่งมันปิ๊ง! เหมือนตัดเรื่องนั้นขาดเห็นต้นเหตุ-การแก้ไข-การวาง (ตอนนั้นก็น้อมมาพิจารณาแหล่ะค่ะ) อะไรบางอย่างถึงจะยอมลงให้แล้วจะรู้สึกปลง ปล่อย

จนเมื่อเร็วๆนี้ที่ทำงานพาเราไปวัดค่ะ เพื่อบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ ท้ายกระบวนการเขาก็ให้ขึ้นนั่งสมาธิเราก็นั่งข้างๆพัดลมเหล็กๆค่ะ
เราไม่ได้นั่งเอาจริงเอาจังเลยนะคะ ก็สักแต่นั่งตามลมไป แต่กลับรู้สึกว่าร่างกายใจหาย ทุกอย่างนิ่ง ตอนแรกได้ยินเสียงพัดลมแล้วเสียงพัดลมก็หายไป ดับนิ่งสนิท ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เราก็ตกใจหลุดออกมา...แบบวู้บ...ทีนี้ร่างกายเราสั่นแบบควบคุมไม่ได้เลย นั่งสะท้าน จนเราไปขอให้หลวงพี่เล่าธรรมะให้ฟังถึงคลายลง

ขออนุญาตสอบถามค่ะว่าเราควรทำอย่างไรต่อไปดี ตอนนี้ตัวเราเค้าไม่เอาแล้ว...กลัว...แหยงๆ...ไม่แตะเลย รักษาศีลยังรักษาอยู่ แต่พอจะนั่งเหมือนเขาร้องว่าไม่เอาๆกลัว อยากให้ทราบว่ามันทรมานจริงๆค่ะ เคยปฏิบัติได้ แต่ปฏิบัติไม่ได้กลัวอะไรก็ไม่รู้

เราอยากปฏิบัติต่อมากๆ...


จะให้หนูตอบอย่างลึกซึ้ง เธอก็คงไม่เข้าใจหรอกค่ะ

ตอบให้ง่ายๆ ถ้าจะเริ่มปฎิบัติ

ความมีจิตที่ปกติ คือพื้นฐาน และการปฎิบัติ เบื้องต้น ค่ะ

ก็เริ่มจาก รู้จัก จิตที่ปกติ ที่สุดของตนเองให้ได้เสียก่อน ดูให้เห็น หาให้เจอ เสียก่อนค่ะ


แล้วจะเห็นเอง ทราบเอง ตอบได้เองในปัญหาที่ถามมา ทั้งหมดค่ะ

การแสวงหาความอยากรู้ นานาประการ ล้วนทำให้ความปกติของจิตมัวหมองค่ะ



แล้วจะไปหาที่ไหนจิตปกติ

ลองตอบเถอะครับ จะเข้าใจไม่เข้าใจก็แล้วแต่ ตอบดูตามที่เรารู้ :b1:


จะไปหาจิตปกติ ในพระอริยะเจ้า จะไปหาจิตปกติ ในคนสัตว์ ผู้อื่น
หรือจะหา ที่ตนเองหละคะ

แค่นี้ ก็แสดงว่า แม้นแต่จิตปกติ ที่เป็นพื้นฐานปฎิบัติ ยังไม่รู้จะหาจากใครเลย ไม่รู้จะหาจากไหนเลย

หาที่ตัวเองค่ะ

ย้ำ หาที่ตัวเองค่ะ



แล้วตอนไหนคุณว่าจิตมันปกติ เอ้า ในชีวิตประจำวันเอ้า

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 07:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
ค่อนข้างยากเย็นหน่อยนะคะ ที่ยังไม่เคยทราบว่า
การจะหาจิตปกตินั้น ต้องหาที่ตัวเองเท่านั้น

ทางที่ดี ไปหาสำนัก หาอ. ที่เดินตามอริยะมรรคแล้ว ให้สอน เรียนให้เป็นล่ำเป็นสัน
ท่องบ่น จดจำให้ขึ้นใจเสียก่อนค่ะ ว่า จิตที่ปกติ นั่น หาจากตัวเองค่ะ

ขนาดจิตปกติ ยังไม่รู้ว่าจะหาจากไหน
ไปหาตามเวป หาตามแผงหนังสือ หาทั่วๆ
แม้จะเพียรหามานานแสนนาน
ไม่รู้ว่าเสียเวลาโดยเปล่าประโยน์

ในเซน คำสอนของพระสังฆปรินายกฮวงโป มีคำประโยคนึงที่ควรน้อมรับฟัง
และนำมาปฎิบัติ สามารถใช้ได้ทั้งพื้นฐาน เบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลายตลอดสายค่ะ

คำสอนนั้นมีประโยคนึง กล่าวว่า

" เหมือนอย่างว่านักรบคนหนึ่ง เขาลืมไปว่าได้ประดับไข่มุกของตนไว้ที่หน้าผากตัวเอง เรียบร้อยแล้ว กลับเที่ยวแสวงหามันไปในทุกแห่ง
เขาอาจจะเที่ยวหาไปได้ทั่วทั้งโลก แต่ก็มิอาจจะพบมันได้, แต่ถ้าเผอิญมีใครสักคนหนึ่งซึ่งรู้ว่านักรบคนนั้นทำผิดอยู่อย่างไร แล้วไปชี้ไข่มุกที่หน้าผากของเขา ให้เขาเห็น"


จะหาความดี หาความชั่ว หากิเลส หาตัณหา หากุศล หาอกุศล หาสวรรค์ หานรก หาอริยทรัพย์ หาวิมาน หาพรหมวิหาร หารูปฌาน หาอรูปฌาน หาวิปัสสนา หาธรรมะ หาอธรรม หาปัญญา หาวิมุติ หานิพพาน จะหาอะไรๆ ก็หาได้จากที่ตัวเอง

ไม่ได้ไปหาจากตามเวป เวปนิพพาน หรือเวปไหนๆค่ะ
ถ้ายังไม่รู้จักหาที่ตนเอง จิตใจยังป่วยหนักหนาสาหัส

ก็ไม่อาจพบจิตที่ปกติที่หาได้จากในตัวเองค่ะ


ย้ำอีกที ว่า

หาจิต หาจิตปกติ ที่ตัวเอง ค่ะ ย้ำว่า ให้หาในตัวเองค่ะ

หนูก็จบการแนะนำ หลักสำคัญ พื้นฐานการปฎิบัติ เพียงเท่านี้

เพราะถ้ายังไม่รู้ว่าจะหาธรรมะ ที่ไหน
ก็ป่วยการที่จะกล่าวขั้นสูงขึ้นต่อไปค่ะ



อ้อไปหาที่ฮวงโป นิกายเซ็นด้วย อืมมม

แล้วนี่เขาหาที่ตัวเองยัง เป็นแบบนี้


อ้างคำพูด:
ไม่ได้ตั้งใจจะลบลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่จิตมันแว๊บขึ้นมา จะทำอย่างไร จะให้คำหยาบคำด่า หรืออะไรที่คิดอกุศลหายไปค่ะ พยายามนึกคิดในสิ่งที่ดี..สวดมนต์ก็แล้วยังไม่หยุดไปรบกวน แนะนำด้วยค่ะ


กรัชกายว่า คุณโลกสวย ไม่ทันทำอะไรเลย ตามที่คุณว่ามา ถ้าจะอุปมาเหมือนกับคุณใช้ของที่เขาทำสำเร็จรูปมาแล้ว ปกติจิตๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไส่อีโม :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 09:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ตัดมา เต็มๆที่ https://siampongsnews.blogspot.com/2018 ... ost_0.html)

ตรงนี้แหละที่นักวิชาการรัฐศาสตร์สมัยใหม่เขาบอกว่า ผู้ปกครองบ้านเมืองไทยใช้พระพุทธศาสนาเป็นเครื่องมือมอมเมาประชาชนให้ยอมสยบอยู่ใต้อำนาจ เอาสวรรค์วิมานเข้าล่อ ให้ประชาชนหวังสุขในชาติหน้า ตัวผู้ปกครองเองได้เสวยสุขในชาตินี้

...............

ผมถือว่าเป็นการดูถูกพระพุทธศาสนาอย่างแรง

มีใครเจ็บร้อนกันบ้าง-โดยเฉพาะท่านผู้ที่เรียนพระพุทธศาสนาจบประโยคสูงๆ

เพราะฉะนั้น เป้าหมายของการเรียนบาลีจึงไม่ใช่แค่สอบได้
ไม่ใช่แค่ได้เป็นนาคหลวง

สอบได้ ดี
เป็นนาคหลวง ดี อนุโมทนาสาธุ

แต่ต้องก้าวต่อไปอีก ไม่ใช่หลงติดอยู่ตรงนี้

ตรงที่ต้องก้าวต่อไปอีกนี่แหละครับที่แทบจะไม่มีใครสนใจ

เหมือนกับว่า เรามีหน้าที่แค่ช่วยกันทำให้สอบได้เท่านั้น
ใครสอบได้ก็ช่วยกันดีใจ ช่วยกันประโคมข่าว แล้วก็เข้าใจว่าหมดหน้าที่เพียงแค่นั้น ทั้งๆ ที่งานสำคัญที่เป็นเนื้อเป็นตัวจริงๆ ยังไม่ได้ทำเลย

ตัวผู้เรียนเองก็เข้าใจว่าสอบได้ ป.ธ.๙ หรือ บ.ศ.๙ แล้วก็เป็นอันบรรลุเป้าหมายสูงสุด

สังคมก็พากันยกย่องชื่นชมยินดีอยู่แค่นั้น

ไม่ได้ตามไปดูว่า สอบได้แล้วเอาวิชาความรู้ไปศึกษาค้นคว้าพระคัมภีร์ให้แตกฉานต่อไปอีกหรือเปล่า

เอาหลักพระธรรมวินัยที่ถูกต้องออกมาประกาศเผยแผ่หรือเปล่า

เมื่อมีคำสอนผิด ความประพฤติผิดปฏิบัติผิด ความเข้าใจผิดบิดเบือนเกิดขึ้น ได้ออกมาช่วยกันปกป้องพระศาสนา ช่วยกันแก้ไขให้เกิดความเข้าใจถูกต้องตามธรรมตามวินัยหรือเปล่า

ไม่มีใครสนใจตรงนี้เลย

-------------------

เคยมีผู้แก้แทนให้ว่า ผู้เรียนบาลี เมื่อเรียนไปก็ได้ความรู้ความเข้าใจ มีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น สามารถรู้ดีปฏิบัติชอบด้วยตัวเอง ก็เป็นประโยชน์อยู่แล้ว จะเอาอะไรกันอีก

นอกจากนั้น ผู้ที่สอบได้ก็มีหน้ามีตาในสังคม เปลี่ยนสภาพจากลูกชาวนาชาวไร่ ยกฐานะทางสังคมให้สูงขึ้น ก็ได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นเห็นๆ กันอยู่ ยังไม่ดีอีกหรือ

ถ้าให้ผมตอบ ผมก็จะบอกว่า ถ้าหวังแค่รู้ดีปฏิบัติชอบ ไม่ต้องเรียนบาลีให้เสียเวลาเลย แค่นักธรรมชั้นตรีก็สามารถรู้ดีปฏิบัติชอบได้เต็มที่แล้ว

ส่วนฐานะทางสังคม เป็นเพียงผลพลอยได้ ไม่ใช่ผลที่เป็นแก่นสารแท้จริง

การเรียนบาลีต้องไปไกลกว่านี้อีกมาก

คือต้องไปถึงขั้น-รู้ดีปฏิบัติดีด้วยตัวเอง เป็นเบื้องต้น

ศึกษาค้นคว้าพระธรรมวินัยออกมาเผยแผ่ เป็นเบื้องกลาง

และสามารถตอบโต้แก้ไขปรัปวาท (ปรัปวาท: คำกล่าวโทษคัดค้านโต้แย้ง, คำสอนที่คลาดเคลื่อนหรือวิปริตผิดเพี้ยนไปเป็นอย่างอื่น) ได้อย่างงดงามถูกต้องเรียบร้อย เป็นเบื้องปลาย

เส้นทางของการเรียนบาลีควรเป็นเช่นว่านี้

คือเรียนเพื่อปฏิบัติพระศาสนา
เพื่อเผยแผ่พระศาสนา
และเพื่อปกป้องรักษาพระศาสนา

ถ้าหยุดอยู่แค่สอบได้
พอใจแค่สถานะทางสังคม

เราก็ยังคงหลงทางกันต่อไป

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๓ มีนาคม ๒๕๖๑
๑๔:๑๑

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 09:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปรัปวาท (ปะ-รับ-ปะ-วาด) คำกล่าวของคนพวกอื่นหรือลัทธิอื่น, คำกล่าวโทษคัดค้านโต้แย้งของคนพวกอื่น, หลักการของฝ่ายอื่น, ลัทธิภายนอก, คำสอนที่คลาดเคลื่อน หรือวิปริตผิดเพี้ยนไปเป็นอย่างอื่น

ถึงชาวพุทธเองก็เถอะ ถ้าพูดกล่าวหลักธรรมผิดๆเพี้ยนๆคลาดเคลื่อนไป ก็อยู่ในพวกอื่นลัทธิอื่นเหมือนกัน คือเป็นปรัปวาทด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 12:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
ค่อนข้างยากเย็นหน่อยนะคะ ที่ยังไม่เคยทราบว่า
การจะหาจิตปกตินั้น ต้องหาที่ตัวเองเท่านั้น

ทางที่ดี ไปหาสำนัก หาอ. ที่เดินตามอริยะมรรคแล้ว ให้สอน เรียนให้เป็นล่ำเป็นสัน
ท่องบ่น จดจำให้ขึ้นใจเสียก่อนค่ะ ว่า จิตที่ปกติ นั่น หาจากตัวเองค่ะ

ขนาดจิตปกติ ยังไม่รู้ว่าจะหาจากไหน
ไปหาตามเวป หาตามแผงหนังสือ หาทั่วๆ
แม้จะเพียรหามานานแสนนาน
ไม่รู้ว่าเสียเวลาโดยเปล่าประโยน์

ในเซน คำสอนของพระสังฆปรินายกฮวงโป มีคำประโยคนึงที่ควรน้อมรับฟัง
และนำมาปฎิบัติ สามารถใช้ได้ทั้งพื้นฐาน เบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลายตลอดสายค่ะ

คำสอนนั้นมีประโยคนึง กล่าวว่า

" เหมือนอย่างว่านักรบคนหนึ่ง เขาลืมไปว่าได้ประดับไข่มุกของตนไว้ที่หน้าผากตัวเอง เรียบร้อยแล้ว กลับเที่ยวแสวงหามันไปในทุกแห่ง
เขาอาจจะเที่ยวหาไปได้ทั่วทั้งโลก แต่ก็มิอาจจะพบมันได้, แต่ถ้าเผอิญมีใครสักคนหนึ่งซึ่งรู้ว่านักรบคนนั้นทำผิดอยู่อย่างไร แล้วไปชี้ไข่มุกที่หน้าผากของเขา ให้เขาเห็น"


จะหาความดี หาความชั่ว หากิเลส หาตัณหา หากุศล หาอกุศล หาสวรรค์ หานรก หาอริยทรัพย์ หาวิมาน หาพรหมวิหาร หารูปฌาน หาอรูปฌาน หาวิปัสสนา หาธรรมะ หาอธรรม หาปัญญา หาวิมุติ หานิพพาน จะหาอะไรๆ ก็หาได้จากที่ตัวเอง

ไม่ได้ไปหาจากตามเวป เวปนิพพาน หรือเวปไหนๆค่ะ
ถ้ายังไม่รู้จักหาที่ตนเอง จิตใจยังป่วยหนักหนาสาหัส

ก็ไม่อาจพบจิตที่ปกติที่หาได้จากในตัวเองค่ะ


ย้ำอีกที ว่า

หาจิต หาจิตปกติ ที่ตัวเอง ค่ะ ย้ำว่า ให้หาในตัวเองค่ะ

หนูก็จบการแนะนำ หลักสำคัญ พื้นฐานการปฎิบัติ เพียงเท่านี้

เพราะถ้ายังไม่รู้ว่าจะหาธรรมะ ที่ไหน
ก็ป่วยการที่จะกล่าวขั้นสูงขึ้นต่อไปค่ะ



อ้อไปหาที่ฮวงโป นิกายเซ็นด้วย อืมมม

แล้วนี่เขาหาที่ตัวเองยัง เป็นแบบนี้


อ้างคำพูด:
ไม่ได้ตั้งใจจะลบลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่จิตมันแว๊บขึ้นมา จะทำอย่างไร จะให้คำหยาบคำด่า หรืออะไรที่คิดอกุศลหายไปค่ะ พยายามนึกคิดในสิ่งที่ดี..สวดมนต์ก็แล้วยังไม่หยุดไปรบกวน แนะนำด้วยค่ะ


กรัชกายว่า คุณโลกสวย ไม่ทันทำอะไรเลย ตามที่คุณว่ามา ถ้าจะอุปมาเหมือนกับคุณใช้ของที่เขาทำสำเร็จรูปมาแล้ว ปกติจิตๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไส่อีโม :b32:



แน่นอนค่ะ ของสำเร็จรูปนี้ หนูมีอยู่ และทุกๆคนก็มี


พระพุทธองค์ ทรงจำแนกไว้แล้วค่ะ
มีกันคนละแบบ


1 อุคคติตัญญู 2 วิปจิตัญญู 3 เนยยะ 4 ปทปรมะ

ปกติจิต ของหนู
ย่อมต่างกับปกติจิตของคุณค่ะ

เพราะรู้ธรรมช้าเร็วต่างกัน

ถึงตอนนี้ เวลานี้ คุณ ยังไม่รู้เลย ว่าจะหาปกติจิตได้ที่ไหน?

เพราะยิ่งไม่รู้ว่า กิน เดิน นั่ง นอน เข้าห้องน้ำขับถ่าย ทุกอิริยาบท อันเป็นเรื่องของกายนั้น
สามารถหาปกติจิต ได้ในกายการกระทำ ทุกอิริยาบท ของตัวเอง


ปกติจิต หาได้ ไม่ว่าจะไปไหนทุกที่ ทุกเวลา
24 ชั่วโมง สามารถหาได้ ทุกวินาที ค่ะ

ขนาดเป็นผู้ทรงคุณวุฒิของบอร์ด ยังไม่รู้จะหาปกติจิตได้ที่ไหน

ย้ำครั้งที่ 1 ว่า ให้หาที่ตัวเองค่ะ
ย้ำครั้งที่ 2 ว่า ให้หาที่ตัวเองค่ะ
ย้ำครั้งที่สามว่า ให้หาที่ตัวเองค่ะ

ท่านผู้ทรงคุณวุฒิ ท่องจำไว้ให้ขึ้นใจนะคะ

ผู้ทรงคุณวุฒิ ก็มีประเภท อุคคติตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ ปทปรมะ เช่นกัน
หาที่ตัวเอง แล้วคุณก็จะรู้เอง ว่าคุณเป็นผู้ทรงคุณวุฒิประเภทไหนค่ะ


ลองตั้งกระทู้ให้เพื่อนๆสมาชิก โหวตดูก็ได้ค่ะ ว่าคุณเป็นผู้ทรงคุณวุฒิประเภทไหนค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 12:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อนๆ สมาชิก ร่วมกันโหวตได้ค่ะ

ว่า ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบอร์ดท่านนี้ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิประเภทไหน

1อุคคติตัญญู

2วิปจิตัญญู

3เนยยะ

4ปทปรมะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 12:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สำนักที่บรรลุธรรมอีกแห่งหนึ่ง :b1: อวิชชาขาดผึงก้นกระแทกเลย :b32: โชคดีที่หัวไม่ฟาดพื้น


ตอดเล็กตอดน้อย...เป็นนิสัยเสีย...ประจำเลย



ที่เขาพูดนั่นกบเชื่อว่าเป็นความจริงรึ

นี่แหละบ้านเรา บรรลุนั่นบรรลุนี่เพียงอ้างศัพท์ทางธรรมมาพูดแล้วมโนเอาวาดภาพเอาว่าเป็นนั่นเป็นนี่ :b1:


หนูเชื่อค่ะ ว่าการบรรลุธรรม และสภาวะธรรมในขณะนั้น เป็นความจริง

แต่ไม่ทราบว่า บรรลุในจุดไหน เพราะการบรรลุธรรมในแต่ละจุด มีมากมายกว่าจะถึงอรหัตตผล

ตั้งแต่จุดในปุถุชน จนก้าวไปเป็นโสดาบันมรรค โสดาบันผล และอริยะบุคคลระดับต่างๆ จนถึงอรหันตตผล

และอีกอย่างหลวงตาท่าน ก็เป็นพระปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ และปฎิบัติ มามาก มาช้านานกว่าพวกคุณ
ท่านก็คงไม่กล่าวเช่นนั้น ถ้าไม่เป็นความจริงค่ะ


การปรามาส วาจาทุจริต มโนทุจริต ส่อเสียดไม่เกิดผลดีค่ะ ยิ่งถ้าท่านได้อริยะบุคคลขึ้นไปแล้ว กรรมปรามาสพระธรรม พระอริยะบุคคลยิ่งหนักหนา ลงนรกได้ยาวนานค่ะ



อ้างคำพูด:
หนูเชื่อค่ะ ว่าการบรรลุธรรม และสภาวะธรรมในขณะนั้น เป็นความจริง


เอ้า ตามที่ว่า จริงก็จริง แต่ขอถามคุณโลกสวยนิดหนึ่ง ว่าธรรมที่คุณรับรองว่าจริงนั้น มันอะไร ธรรมอะไร ? เอาชัดๆธรรมอะไร บรรลุทีก้นกระแทกที หงายท้องหงายไส้ เอ้า



คุณผู้ทรงคุณวุฒิคะ คุณไม่เห็นหรือ ว่ามีธรรมอะไร ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นบ้าง

หนูจะบอกให้

แต่คุณผู้ทรงคุณวุฒิอาจไม่เข้าใจ เพราะมันอาจจะซับซ้อน ลึกซึ้ง เกินไป แยกออกได้อีกนานาประการ
ก็จะบอกย่อๆให้ค่ะ

นามมีมั๊ยในนั้น
รูปมีมั๊ยในนั้น
ดวงจิตมีมั๊ยในนั้น
เจตสิกมีมั๊ยในนั้น
การกระทำปฎิบัติเพื่อถึงนิพพานมีมั๊ย
บุคคละมีมั๊ย
โวหารมีมั๊ย
กายมีมั๊ย เวทนามีมั๊ย
ธรรมแค่นี้ พอมั๊ยคะ ที่หนูเห็น และรัับรองว่า เป็นจริง มีจริง ในขั้นปรมัตถ์ธรรม


แต่คุณผู้ทรงคุณวุฒิ มองไม่เห็นธรรมเลย


แก้ไขล่าสุดโดย โลกสวย เมื่อ 15 มี.ค. 2018, 12:59, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 12:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


เข้าข่ายสุภาษิตที่ว่า


สองคนยลตามช่อง
หนูมองเห็นธรรมมากมายทั้งพระอภิธรรม และ มหาสติปัฎฐาน


แต่คุณผู้ทรงคุณวุฒิ เห็นแต่ก้น เห็นแต่พื้น ที่โดนกระแทก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 12:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ปรัปวาท (ปะ-รับ-ปะ-วาด) คำกล่าวของคนพวกอื่นหรือลัทธิอื่น, คำกล่าวโทษคัดค้านโต้แย้งของคนพวกอื่น, หลักการของฝ่ายอื่น, ลัทธิภายนอก, คำสอนที่คลาดเคลื่อน หรือวิปริตผิดเพี้ยนไปเป็นอย่างอื่น

ถึงชาวพุทธเองก็เถอะ ถ้าพูดกล่าวหลักธรรมผิดๆเพี้ยนๆคลาดเคลื่อนไป ก็อยู่ในพวกอื่นลัทธิอื่นเหมือนกัน คือเป็นปรัปวาทด้วย

คุณผู้ทรงคุณวุฒิคะ คงจะไม่ได้ศึกษาพระธรรมมากพอ

ที่หนูแสดงให้เรื่องเซน

ไม่ใช่ปรัปวาทที่วิปริต

เพราะ การที่แสดงให้หาจิตปกติ หาได้จากใจของตนเอง ไม่ใช่หาจากใจคนอื่นนั้น
ไม่ได้ผิดเพี้ยน ไม่วิปริต ไม่คลาดเคลื่อน ไม่ได้เป็นการคัดค้าน ไม่ได้เป็นการโต้แย้ง ไม่ได้ขัดหลักการของเถรวาท ค่ะ

แต่ช่วยส่งเสริม ความกว้างขวาง ของพระพุทธศาสนาเถรวาท
และคำสอนสพระพุทธองค์ ที่สามารถมองไปได้ ทั้งโลก ทุกศาสนา ทุกลัทธิค่ะ


ซึ่งสามารถตรวจสอบทาน กับพุทธพจน์ พระไตรปิฎก พระสูตร พระอภิธรรม คำสอนของพระสาวก อรรถา และฏีกา ได้ว่า
พระพุทธะเจ้า ทรงสอนและแสดง ชัดเจน

ในการปฎิบัติ ให้ดู ให้รู้ ให้หา ให้ปฎิบัติที่ตัวเอง ค่ะ

ที่ตัวเองค่ะ


คำพูดนี้ จึงไม่วิปริต ไม่ผิดเพี้ยน และไม่ได้จำมาผิด ไม่ได้ทองมาผิด ไม่ได้แสดงผิด ค่ะ


ย้ำ ให้หาที่ตัวเองค่ะ

จะต้องย้ำอีกสักกี่หนคะ คุณผู้ทรงคุณวุฒิ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 85 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 121 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร