วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 06:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2018, 16:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ใครบอกว่านิพพานเป็นอนัตตาผู้นั้นถือว่ายังเข้าใจธรรมะได้ตรงหรือ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2018, 17:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ใครบอกว่านิพพานเป็นอนัตตาผู้นั้นถือว่ายังเข้าใจธรรมะได้ตรงหรือ


แล้วมันเป็นอะไรล่ะ ถ้าไม่เป็นอนัตตา :b32: แล้วอนัตตามันเป็นอะไรล่ะ ในเมื่อนิพพานไม่เป็นอนัตตา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2018, 18:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


:b28: ปูเสื่อรอ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2018, 18:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิพพาน การดับกิเลสและกองทุกข์ เป็นโลกุตรธรรม

นิโรธ ความดับทุกข์ คือดับตัณหาได้สิ้นเชิง, ความปลอดทุกข์เพราะไม่มีทุกข์ที่จะเกิดขึ้นได้ หมายถึงพระนิพพาน

นิรฺวาณมฺ ความดับ เป็นคำสันสกฤต เทียบกับภาษาบาลี ก็ได้แก่ศัพท์ว่า นิพพาน นั่นเอง ปัจจุบันนิยมใช้เพียงว่า นิรวาณ กับ นิรวาณะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2018, 19:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ใครบอกว่านิพพานเป็นอนัตตาผู้นั้นถือว่ายังเข้าใจธรรมะได้ตรงหรือ


ตั้งสติ..ก่อนตั้งคำถาม...จะดีกว่ามั้ง?.. :b13: :b13:

คนที่เข้าใจธรรมะได้ตรง....คือคนบรรลุธรรมแล้ว...ถ้าบอกธรรมขั้นนิพพานได้ตรง..ก็พระอรหันต์นั้นแหละ

ส่วน..คนที่บอกว่า..นิพพานเป็นอนัตตา..เพียงแค่นี้...ไม่ได้เป็นข้อพิสูจน์ว่าผู้นั้นเข้าใจธรรมะอะไรทั้งนั้น

ผมก็พูดได้...แล้วงัยละ...เอ้อ.. huh huh


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2018, 19:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=23&A=8870&Z=8945

อ้างคำพูด:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต

นิพพานสูต


[๒๓๘] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทก-
*นิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรกล่าวกะภิกษุ
ทั้งหลายว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย นิพพานนี้เป็นสุข ดูกรอาวุโสทั้งหลาย นิพพาน
นี้เป็นสุข เมื่อท่านพระสารีบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุทายีได้กล่าวกะท่าน
พระสารีบุตรว่า ดูกรอาวุโสสารีบุตร นิพพานนี้ไม่มีเวทนา จะเป็นสุขได้
อย่างไร ฯ

ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า ดูกรอาวุโส นิพพานนี้ไม่มีเวทนานั่นแหละ
เป็นสุข ดูกรอาวุโส กามคุณ ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ รูปที่จะพึงรู้
แจ้งด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นที่รัก ยั่วยวน ชวนให้
กำหนัด เสียงที่จะพึงรู้แจ้งด้วยหู ฯลฯ กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจมูก ฯลฯ รสที่จะพึง
รู้แจ้งด้วยลิ้น ฯลฯ โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งด้วยกาย อันน่าปรารถนา น่าใคร่
น่าพอใจ เป็นที่รัก ยั่วยวนชวนให้กำหนัด กามคุณ ๕ ประการนี้แล ดูกรอาวุโส
สุขโสมนัสย่อมเกิดขึ้น เพราะอาศัยกามคุณ ๕ ประการนี้ นี้เรียกว่ากามสุข ฯ

ดูกรอาวุโส ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน
อยู่ ถ้าเมื่อภิกษุนั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมข้อนี้ สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยกาม
ย่อมฟุ้งซ่าน ข้อนั้นเป็นอาพาธของเธอ เปรียบเหมือนความทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่บุคคล
ผู้มีความสุข เพียงเพื่อเบียดเบียน ฉันใด สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยกาม
เหล่านั้น ย่อมฟุ้งซ่านแก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็นอาพาธของเธอ ฉันนั้นเหมือนกัน
ซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสเรียกอาพาธนั้นว่าเป็นความทุกข์ ดูกรอาวุโส นิพพาน
เป็นสุขอย่างไร ท่านจะพึงทราบได้โดยปริยายแม้นี้ ฯ



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2018, 19:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อนัตตลักขณสูตร...เป็นสูตรแรก..ที่พูดถึงอนัตตา..ที่เราเรามักจะจำบทที่ว่า..สัพเพธัมมาอนัตตาติ..

ดูให้ดี..ว่า...ในพระสูตรกล่าวถึงอะไรกันแน่..ที่ว่าเป็นอนัตตา..ดูให้ดี

อ้างคำพูด:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔
มหาวรรค ภาค ๑

ทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร


[๒๐] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะพระปัญจวัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็น
อนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้ารูปนี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว รูปนี้ไม่พึงเป็นเพื่ออาพาธ และบุคคล
พึงได้ในรูปว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ก็เพราะรูปเป็นอนัตตา ฉะนั้นรูปจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในรูปว่า
รูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.

เวทนาเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเวทนานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว เวทนานี้ไม่พึง
เป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในเวทนาว่า เวทนาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด เวทนาของ
เราจงอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะเวทนาเป็นอนัตตา ฉะนั้น เวทนาจึง
เป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในเวทนาว่า เวทนาของเรา จงเป็นอย่างนั้นเถิด เวทนา
ของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
สัญญาเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าสัญญานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว สัญญานี้ไม่พึง
เป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสัญญาว่า สัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สัญญาของเรา
อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะสัญญาเป็นอนัตตา ฉะนั้น สัญญาจึงเป็นไป
เพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในสัญญาว่า สัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สัญญาของเรา
อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าสังขารเหล่านี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว
สังขารเหล่านี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสังขารทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายของ
เราจงเป็นอย่างนี้เถิด สังขารทั้งหลายของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะ
สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา ฉะนั้น สังขารทั้งหลายจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้
ในสังขารทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด สังขารทั้งหลายของเราอย่าได้
เป็นอย่างนั้นเลย.
วิญญาณเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าวิญญาณนี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว วิญญาณนี้
ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในวิญญาณว่า วิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
วิญญาณของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะวิญญาณเป็นอนัตตา ฉะนั้น
วิญญาณจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในวิญญาณว่า วิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
วิญญาณของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
ตรัสถามความเห็นของพระปัญจวัคคีย์
[๒๑] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่ง
นั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?
ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. เวทนาเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่ง
นั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?
ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. สัญญาเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้น
ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?
ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. สังขารทั้งหลายเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่ง
นั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?
ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่ง
นั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?
ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2018, 19:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


จากพระสูตร...ก็ชัดเจนว่า..ทรงกล่าวว่า..รูป..เวทนา..สัญญา..สังขาร..วิญญาณ..เป็นอนัตตา..

แล้วมาดู คนตั้งกระทู้ซิ...

bigtoo เขียน:
ใครบอกว่านิพพานเป็นอนัตตาผู้นั้นถือว่ายังเข้าใจธรรมะได้ตรงหรือ


ผมถึงบอกว่า..ให้ตั้งสติ..ก่อนตั้งคำถามดีกว่ามั้ง?

:b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2018, 20:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
จากพระสูตร...ก็ชัดเจนว่า..ทรงกล่าวว่า..รูป..เวทนา..สัญญา..สังขาร..วิญญาณ..เป็นอนัตตา..

แล้วมาดู คนตั้งกระทู้ซิ...

bigtoo เขียน:
ใครบอกว่านิพพานเป็นอนัตตาผู้นั้นถือว่ายังเข้าใจธรรมะได้ตรงหรือ


ผมถึงบอกว่า..ให้ตั้งสติ..ก่อนตั้งคำถามดีกว่ามั้ง?

:b9: :b9: :b9:


กระทู้เขาว่ายังงี้

"นิพพานเป็นอนัตตาหรือ"

แต่กบว่ายังงี้

จากพระสูตร...ก็ชัดเจนว่า..ทรงกล่าวว่า..รูป..เวทนา..สัญญา..สังขาร..วิญญาณ..เป็นอนัตตา..


ซึ่งไม่ตรงคำถาม เขาถามว่านิพพานเป็นอนัตตาหรือ ?


ส่วนกรัชกายว่า นิพพานมันจะเป็นอัตตา จะเป็นอนัตตาอะไรก็ช่างมันเถอะ แต่ควรให้ความสนใจความหมาย นิพพาน นี่

นิพพาน การดับกิเลสและกองทุกข์ เป็นโลกุตรธรรม

นิโรธ ความดับทุกข์ คือดับตัณหาได้สิ้นเชิง, ความปลอดทุกข์เพราะไม่มีทุกข์ที่จะเกิดขึ้นได้ หมายถึงพระนิพพาน

นั่นก็สรุปว่า สภาวะของนิพพานได้แก่จิตใจที่หมดกิเลสหมดทุกข์แล้ว ครั้นเมื่อจิตใจหมดทุกข์สิ้นกิเลส แล้วมันจะเป็นอัตตา เป็นอนัตตาก็ช่างหัวมันเถอะ คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2018, 10:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชอบเล่นของสูง จึงเอาของสูงๆลงให้ดูอีก กิเลสมันก็ไม่ต่ำนะสูงลิ่วเลย มันไม่ง่ายดอก

กิเลส สิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง ความชั่วที่แฝงอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ทำให้จิตใจขุ่นมัวไม่บริสุทธิ์ และเป็นเครื่องปรุงแต่งความคิดให้ทำกรรม ซึ่งนำไปสู่ปัญหา ความยุ่งยากเดือดร้อนและความทุกข์,


กิเลส ๑๐ (ในบาลี เดิม เรียกว่ากิเลสวัตถุ คือ สิ่งก่อความเศร้าหมอง ๑๐) ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ,


กิเลสพันห้า (กิเลส ๑,๕๐๐) เป็นคำที่มีใช้ในคัมภีร์รุ่นหลังจากพระไตรปิฎก เริ่มปรากฏในชั้นอรรถกถา ซึ่งกล่าวไว้ทำนองเป็นตัวอย่าง โดยระบุชื่อไว้มากที่สุดเพียง ๓๓๖ อย่าง ต่อมาในคัมภีร์ชั้นหลังมาก อย่างธัมมสังคณีอนุฎีกา จึงแสดงวิธีนับแบบต่างๆ ให้ได้ครบจำนวน เช่น กิเลส ๑๐ x (คูณ) อารมณ์ ๑๕๐ = ๑,๕๐๐ (อารมณ์ ๑๕๐ ได้แก่ อรูปธรรม ๕๗ และรูปรูป ๑๘ รวมเป็น ธรรม ๗๕ เป็นฝ่ายภายใน และฝ่ายภายนอก ฝ่าย ละเท่ากัน รวมเป็น ๑๕๐)

อนึ่ง ในอรรถกถา ท่านนิยมจำแนก กิเลส เป็น ๓ ระดับ ตามลำดับขั้นของการละด้วยสิกขา ๓ (เช่น วินย.อ.1/22 ฯลฯ) คือ

๑. วีติกกมกิเลส กิเลสอย่างหยาบ ที่เป็นเหตุให้ล่วงละเมิดออกมาทางกาย และวาจา เช่น เป็นกายทุจริต และวจีทุจริต ละด้วยศีล (อธิศีลสิกขา)

๒. ปริยุฏฐานกิเลส กิเลสอย่างกลางที่พลุ่งขึ้นมาเร้ารุมอยู่ในจิตใจ ดังเช่น นิวรณ์ ๕ ในกรณีที่จะข่มระงับไว้ ละด้วยสมาธิ (อธิจิตตสิกขา)

๓. อนุสัยกิเลส กิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน อันยังไม่ถูกกระตุ้นให้พลุ่งขึ้นมา ได้แก่ อนุสัย ๗ ละด้วยปัญญา (อธิปัญญาสิกขา)


ตณฺหกฺขโย ความสิ้นไปแห่งตัณหา เป็นไวพจน์ (ใช้แทนกันได้) อย่างหนึ่งแห่งวิราคะ และนิพพาน

ตัณหา (= สมุทัย) ความทะยานอยาก, ความร่านรน, ความปรารถนา, ความอยากเสพ อยากได้ อยากเอาเพื่อตัว, ความแส่หา มี ๓ คือ ๑. กามตัณหา ความทะยานอยากในกาม อยากได้อารมณ์อันน่าใคร่ ๒. ภวตัณหา ความทะยานอยากในภพ อยากเป็นนั่นเป็นนี่ ๓. วิภวตัณหา ความทะยานอยากในวิภพ ไม่อยากเป็นนั่นเป็นนี่ อยากพรากพ้นดับสูญไปเสีย

ตัณหา ๑๐๘ ตามนัยอย่างง่าย = ตัณหา ๓ x (คูณ) อารมณ์ ๖ x ๒ (ภายใน +ภายนอก) X กาล ๓

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2018, 16:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
นิพพานคือนิพพาน
นิพพานพ้นอัตตา
นิพพานพ้นอนัตตา
แต่ก่อนถึงนิพพาน
ต้องอาศัยมีอัตตา
รู้ทั่วถึงตามคำสอน
จนหมดอัตตาและ
อาศัยรู้โดยอนัตตา
เพื่อเข้าถึงนิพพาน
พอถึงนิพพานก็ไม่มี
ทั้งอัตตาและอนัตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2018, 12:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2017, 20:21
โพสต์: 30

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิพพาน แปลว่า ตายใช่ป่าว ส่วนพระนิพพาน ไม่มีธาตุทั้งสี่ ไม่มีภพภูมิ แต่ พระนิพพานมีอยู่จริงแท้แน่นอน เนอะๆๆๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2018, 05:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


Amanta เขียน:
นิพพาน แปลว่า ตายใช่ป่าว ส่วนพระนิพพาน ไม่มีธาตุทั้งสี่ ไม่มีภพภูมิ แต่ พระนิพพานมีอยู่จริงแท้แน่นอน เนอะๆๆๆ


พระอริยะบุคคลทั้ง ๔ ประเภทนั้นท่านเป็นผู้เข้าถึงพระนิพพาน
เพื่อประหานกิเลส ตามอำนาจแห่งมรรค
ส่วนพระอรหันต์นั้นท่านประหานกิเลสได้หมดสิ้นไม่เหลือ
พร้อมทั้งได้ละขันธ์ ๕ ที่จะไปเกิดในภพใหม่อีกด้วย
เมื่อพระอรหันต์สิ้นชีวิตหรือปรินิพพาน ท่านจึงไม่มีขันธ์ ๕
ที่จะไปเกิดในภพใหม่ เป็นอันว่าท่านไม่เกิดอีก

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2018, 16:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ขอพิมพ์ยาว เพราะใช้โทรศัพท์มือถือพิมพ์

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

อ้างอิงข้อความจาก ปฎิสัมภิทามรรค ปัญญาวรรค วิปัสนากถา

Quote Tipitaka:
เมื่อภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นอนัตตา ย่อมได้อนุโลมขันติ
เมื่อภิกษุพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ย่อมย่างลงอยู่สัมมัตตนิยาม


จากพระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคไม่ได้ทรงแสดงว่าเมื่อเห็นเบญจขันธ์เป็นอนัตตาแล้ว ภิกษุผู้เจริญวิปัสสนาอยู่นั้นจะเห็นนิพพานเป็นอนัตตาไปด้วย
แต่ภิกษุผู้พิจารณาเห็นขันธ์ห้าว่าเป็นอนัตตานั้น ย่อมจะเห็นว่าอย่างแน่นอนและมั่นคงว่าความดับแห่งเบญจขันธ์คือนิพพานเป็นสิ่งที่มีประโยชน์พระอย่างยิ่ง ต่างหาก



ไม่แน่ใจบาลีใช้คำว่าอะไร ปรมัฏฐ ?

พระสูตรเต็มอยู่ลิงค์ด้านล่าง
http://www.84000.org/tipitaka/read/?31/735


แก้ไขล่าสุดโดย ปฤษฎี เมื่อ 23 ก.พ. 2018, 16:52, แก้ไขแล้ว 14 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2018, 16:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


Amanta เขียน:
นิพพาน แปลว่า ตายใช่ป่าว ส่วนพระนิพพาน ไม่มีธาตุทั้งสี่ ไม่มีภพภูมิ แต่ พระนิพพานมีอยู่จริงแท้แน่นอน เนอะๆๆๆ



ถึงคุณ Amanta นิพพานไม่ได้แปลว่าตาย แปลอย่างนี้ผิด

นิพพานแปลว่า ดับทุกข์ ดับกิเลส


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 164 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร