วันเวลาปัจจุบัน 03 ส.ค. 2025, 23:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2017, 09:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฏิปทาวรรคที่ ๒




[๑๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทา ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน
คือ ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ปฏิบัติลำบากทั้งรู้ได้ช้า ๑

ทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ปฏิบัติลำบากแต่รู้ได้เร็ว ๑

สุขาปฏิปทาทันธาภิญญา ปฏิบัติสะดวกแต่รู้ได้ช้า ๑

สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ปฏิบัติสะดวกทั้งรู้ได้เร็ว ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทา ๔ ประการนี้แล ฯ






[๑๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทา ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน

คือ ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ๑

ทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ๑

สุขาปฏิปทาทันธาภิญญา ๑

สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ๑

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2017, 20:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้า
(วิปัสสนาเกิดก่อน สมถะเกิดทีหลัง)



ภิกษุย่อมเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้า
เมื่อเธอเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้า มรรคย่อมเกิด
เธอย่อมเสพ ย่อมเจริญ ย่อมกระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
เมื่อเธอเสพ เจริญ กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
ย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ อนุสัยย่อมสิ้นสุด ฯ



[๕๓๗] ภิกษุนั้นย่อมเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นอย่างไร ฯ

วิปัสสนา ด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็น
โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง
โดยความเป็นทุกข์
โดยความเป็นอนัตตา

ความที่จิตมีการปล่อยธรรมทั้งหลาย
ที่เกิดในวิปัสสนานั้นเป็นอารมณ์

เพราะความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน เป็นสมาธิ
ด้วยประการดังนี้ วิปัสสนาจึงมีก่อน สมถะมีภายหลัง

เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า
เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น ฯ


อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น
เมื่อภิกษุนั้นเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อมเกิดขึ้น

ภิกษุนั้นเสพ เจริญทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่
ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ







ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญาเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ โดยปรกติเป็นคนมีราคะกล้า
ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่ราคะเนืองๆ บ้าง

โดยปรกติเป็นคนมีโทสะกล้า
ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โทสะเนืองๆ บ้าง

โดยปรกติเป็นคนมีโมหะกล้า
ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โมหะเนืองๆ บ้าง

อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ
สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ของเขาปรากฏว่าอ่อน
เขาย่อมบรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะได้ช้า เพราะอินทรีย์ ๕ เหล่านี้อ่อน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯ








ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญาเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ โดยปรกติเป็นผู้มีราคะกล้า
ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่ราคะเนืองๆ บ้าง

โดยปรกติเป็นผู้มีโทสะกล้า
ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โทสะเนืองๆ บ้าง

โดยปรกติเป็นผู้มีโมหะกล้า
ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โมหะเนืองๆ บ้าง

อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ของเขาปรากฏว่าแก่กล้า
เขาย่อมบรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะเร็วพลัน เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้แก่กล้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ฯ













[๑๖๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทา ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน
คือ การปฏิบัติไม่อดทน ๑
การปฏิบัติอดทน ๑
การปฏิบัติข่มใจ ๑
การปฏิบัติระงับ ๑


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็การปฏิบัติไม่อดทนเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ เขาด่า ย่อมด่าตอบ
เขาขึ้งโกรธ ย่อมขึ้งโกรธตอบ
เขาทุ่มเถียง ย่อมทุ่มเถียงตอบ
นี้เรียกว่าการปฏิบัติไม่อดทน ฯ



ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็การปฏิบัติอดทนเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ เขาด่า ไม่ด่าตอบ
เขาขึ้งโกรธ ไม่ขึ้งโกรธตอบ
เขาทุ่มเถียง ไม่ทุ่มเถียงตอบ
นี้เรียกว่าการปฏิบัติอดทน ฯ






ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็การปฏิบัติข่มใจเป็นไฉน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือโดยนิมิต ไม่ถือโดยอนุพยัญชนะ
ย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะพึงเป็นเหตุให้ธรรมอันเป็นบาปอกุศล
คือ อภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้
ย่อมรักษาจักขุนทรีย์
ย่อมถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์

ฟังเสียงด้วยหู ...
ดมกลิ่นด้วยจมูก ...
ลิ้มรสด้วยลิ้น ...
ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ...

รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว เป็นผู้ไม่ถือโดยนิมิต ไม่ถือโดยอนุพยัญชนะ
ย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมมนินทรีย์ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะพึงเป็นเหตุให้ธรรมอันเป็นบาปอกุศล
คือ อภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้
ย่อมรักษามนินทรีย์
ย่อมถึงความสำรวมในมนินทรีย์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า การปฏิบัติข่มใจ ฯ






ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็การปฏิบัติระงับเป็นไฉน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมไม่รับรอง ย่อมละ ย่อมบรรเทาซึ่งกามวิตกที่เกิดขึ้นแล้ว
ให้ระงับไป กระทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มี

ย่อมไม่รับรอง ย่อมละ ย่อมบรรเทาซึ่งพยาบาทวิตก ... วิหิงสาวิตก ...
ย่อมไม่รับรอง ย่อมละ ย่อมบรรเทาซึ่งธรรมอันเป็นบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วๆ
ให้ระงับไป กระทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าการปฏิบัติระงับ



ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทา ๔ ประการนี้แล ฯ







หมายเหตุ;

ข้อปฏิบัติ ได้แก่ โยนิโสมนสิการ
กล่าวคือ ดูตามความเป็นจริง รู้ตามความเป็นจริง ของสิ่งที่เกิดขึ้น(ผัสสะ) กระทำไว้ในใจ


ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ

สิ่งที่เกิดขึ้น(ผัสสะ) มีผลกระทบทางใจ
ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด(เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ)
กระทำไว้ในใจ ไม่สร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่มีเกิดขึ้น
(ไม่ปล่อยให้ก้าวล่วงออกไปทางกาย วาจา ให้กลายเป็นการสร้างกรรมใหม่ ให้มีเกิดขึ้น)

เมื่อกำหนดรู้เนืองๆ สภาพธรรมที่มีชื่อเรียกว่า วิปัสสนา
ได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ย่อมมีเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย

เมื่อรู้ชัดใน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีเกิดขึ้นเนืองๆ
จิตย่อมเกิดการปล่อยวางจาก ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ ที่มีเกิดขึ้น


ความที่จิตมีการปล่อยธรรมทั้งหลาย ที่เกิดในวิปัสสนานั้นเป็นอารมณ์
เพราะความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน เป็นสมาธิ


สมาธิที่มีเกิดขึ้น จากจิตที่ปล่อยวางจากผัสสะ
มีชื่อเรียกตามความรู้ชัดในสภาวะนั้นๆ

จิตที่เกิดการปล่อยวางจากผัสสะ เพราะรู้ชัดในอนัตตา
สมาธิที่มีเกิดขึ้น มีชื่อว่า สุญญตสมาธิ ๑

จิตที่เกิดการปล่อยวางจากผัสสะ เพราะรู้ชัดในอนิจจัง
สมาธิที่มีเกิดขึ้น มีชื่อว่า อนิมิตตสมาธิ ๑

จิตที่เกิดการปล่อยวางจากผัสสะ เพราะรู้ชัดในทุกขัง
สมาธิที่มีเกิดขึ้น มีชื่อว่า อัปปณิหิตสมาธิ ๑

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2017, 11:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า
(สมถะเกิดก่อน วิปัสสนาเกิดทีหลัง)


ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า
เมื่อเธอเจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า มรรคย่อมเกิด
เธอย่อมเสพ ย่อมเจริญ ย่อมกระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
เมื่อเธอเสพ เจริญ กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
ย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ อนุสัยย่อมสิ้นสุด ฯ





[๕๓๕] ภิกษุเจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องต้นอย่างไร ฯ
ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารถแห่งเนกขัมมะเป็นสมาธิ

วิปัสสนาด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็นธรรมที่เกิดในสมาธินั้น
โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง
โดยความเป็นทุกข์
โดยความเป็นอนัตตา

ด้วยประการดังนี้ สมถะจึงมีก่อน วิปัสสนามีภายหลัง
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องต้น ฯ


เมื่อภิกษุนั้นเจริญวิปัสสนา อันมีสมถะเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อมเกิด
ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น

เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่
ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป








ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สุขาปฏิปทาทันธาภิญญาเป็นไฉน

บุคคลบางคนในโลกนี้ โดยปรกติไม่เป็นคนมีราคะกล้า
ย่อมไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่ราคะเนืองๆ บ้าง

โดยปรกติไม่เป็นผู้มีโทสะกล้า
ย่อมไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โทสะเนืองๆ บ้าง

โดยปรกติไม่เป็นผู้มีโมหะกล้า
ย่อมไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โมหะเนืองๆ บ้าง

อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ
สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ของเขาปรากฏว่าอ่อน
เขาย่อมได้บรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะช้า เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้อ่อน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าสุขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯ




ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญาเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ โดยปรกติไม่เป็นผู้มีราคะกล้า
ไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่ราคะเนืองๆ บ้าง

โดยปรกติเป็นผู้ไม่มีโทสะกล้า
ไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โทสะเนืองๆ บ้าง

โดยปรกติเป็นผู้ไม่มีโมหะกล้า
ไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โมหะเนืองๆ บ้าง

อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ
สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ของเขาปรากฏว่าแก่กล้า
เขาย่อมบรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะได้ฉับพลัน เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้แก่กล้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทา ๔ ประการนี้แล ฯ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2017, 13:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า
(สมถะเกิดก่อน วิปัสสนาเกิดทีหลัง)



ฌานสูตร


[๒๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง
ทุติยฌานบ้าง ตติยฌานบ้าง
จตุตถฌานบ้าง
อากาสนัญจายตนฌานบ้าง ฯลฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย เพราะอาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนฌานบ้าง ฯ

ก็ข้อที่เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน
เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อันมีอยู่ในขณะแห่งปฐมฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นโรคเป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร ไม่มีสุข เป็นอาพาธ เป็นของผู้อื่น
เป็นของชำรุดว่างเปล่า เป็นอนัตตา

เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น
ครั้นแล้ว เธอย่อมโน้มจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ
ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา
ความคลายกำหนัดความดับ นิพพาน
เธอตั้งอยู่ในปฐมฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย

ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ
จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้นๆ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนนายขมังธนู หรือลูกมือของนายขมังธนู
เพียรยิงรูปหุ่นที่ทำด้วยหญ้าหรือกองก้อนดิน ต่อมาเขาเป็นผู้ยิงได้ไกล
ยิงไม่พลาด และทำลายร่างใหญ่ๆได้แม้ฉันใด

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน
เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อันมีอยู่ในขณะแห่งปฐมฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ... ว่างเปล่าเป็นอนัตตา
เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น

ครั้นแล้วย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ
ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง ... นิพพาน
เธอตั้งอยู่ในปฐมฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย

ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ
จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้นๆ

ข้อที่เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายเพราะ
อาศัยปฐมฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว ฯ





ก็ข้อที่เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
เพราะอาศัยทุติยฌานบ้าง ฯลฯ เพราะอาศัยตติยฌานบ้าง ฯลฯ
เพราะอาศัยจตุตถฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข
เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อันมีอยู่ในขณะแห่งจตุตถฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ... ว่างเปล่า เป็นอนัตตา
เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า
นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง ... นิพพาน
เธอตั้งอยู่ในจตุตถฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย

ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ
จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕สิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้นๆ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนนายขมังธนู หรือลูกมือของนายขมังธนู
เพียรยิงธนูไปยังรูปหุ่นที่ทำด้วยหญ้าหรือกองดิน ต่อมาเขาเป็นผู้ยิงได้ไกล
ยิงไม่พลาด และทำลายร่างใหญ่ๆได้ แม้ฉันใด

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล บรรลุจตุตถฌานฯลฯ
เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา ฯลฯ มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
ข้อที่เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
เพราะอาศัยจตุตถฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว ฯ






ก็ข้อที่เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
เพราะอาศัยอากาสานัญจายตนฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง
เพราะดับปฏิฆสัญญา และเพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา บรรลุอากาสานัญจายตนฌาน
โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่า อากาศไม่มีที่สุด เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะแห่งอากาสานัญจาตนฌานนั้น
โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ... ว่างเปล่า เป็นอนัตตา

เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า
นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง ... นิพพาน
เธอตั้งอยู่ในอากาสานัญจาตนฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย

ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ
จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไปด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้นๆ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนนายขมังธนู หรือลูกมือของนายขมังธนู
เพียรยิงธนูไปยังรูปหุ่นที่ทำด้วยหญ้าหรือกองดิน ต่อมาเขาเป็นผู้ยิงได้ไกล
ยิงไม่พลาด และทำลายร่างใหญ่ๆ ได้

แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล
เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะดับปฏิฆสัญญา
เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา บรรลุอากาสานัญจาตนฌาน ...
เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย ฯลฯ มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา ฯลฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่เรากล่าวว่า เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
เพราะอาศัยอากาสานัญจายตนฌานบ้าง ดังนี้นั้น
เราอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว ฯ





ก็ข้อที่เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
เพราะอาศัยวิญญาณัญจายตนฌานบ้าง ฯลฯ อากิญจัญญายตนฌานบ้าง
ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง
บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่า อะไรๆ หน่อยหนึ่งไม่มี
เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อันมีอยู่ในขณะแห่งอากิญจัญญายตนฌานนั้น
โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ... ว่างเปล่า เป็นอนัตตา
เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น

ครั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ
ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง ... นิพพาน
เธอตั้งอยู่ในอากิญจัญญายตนะนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย

ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ
จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้นๆ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนนายขมังธนูหรือลูกมือของนายขมังธนู
เพียรยิงธนูไปยังรูปหุ่นที่ทำด้วยหญ้าหรือกองดิน ต่อมาเขาเป็นผู้ยิงได้ไกล
ยิงไม่พลาด และทำลายร่างใหญ่ๆ ได้ แม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล

เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน
โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่า อะไรๆหน่อยหนึ่งไม่มี เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะแห่งอากิญจัญญายตนฌานนั้น
โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ... ว่างเปล่า เป็นอนัตตา
เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ในธรรมเหล่านั้น

ครั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ
ธรรมเป็นที่สงบสังขารทั้งปวง ... นิพพาน
เธอตั้งอยู่ในอากิญจัญญายตนฌานนั้น
ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย

ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพานในภพนั้น
มีอันไม่พึงกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป
ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้นๆ

ข้อที่เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
เพราะอาศัยอากิญจัญญายตนฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้แล
สัญญาสมาบัติมีเท่าใด สัญญาปฏิเวธก็มีเท่านั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะ ๒ เหล่านี้ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ๑
สัญญาเวทยิตนิโรธ ๑ ต่างอาศัยกัน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า อายตนะ ๒ ประการนี้
อันภิกษุผู้เข้าฌานผู้ฉลาดในการเข้าสมาบัติ และฉลาดในการออกจากสมาบัติ
เข้าแล้วออกแล้ว พึงกล่าวได้โดยชอบ ฯ



http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 041&Z=9145






หมายเหตุ:


สภาวะนี้ เป็นลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง
ของคำที่เรียกว่า เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า

และเป็นลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง
ของสภาวะ สมถะ ที่เป็นสัมมาสมาธิ



ให้สังเกตุสภาวะหรือลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้นแบบเจาะจง ในพระธรรมคำสอน


รูปฌาน

สมถะ(สัมมาสมาธิ)
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ"


วิปัสสนา
"เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อันมีอยู่ในขณะแห่งปฐมฌาน ฯลฯ"




อรูปฌาน

สมถะ(สัมมาสมาธิ)
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง
เพราะดับปฏิฆสัญญา และเพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา
บรรลุอากาสานัญจายตนฌาน
โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่า อากาศไม่มีที่สุด ฯลฯ"


วิปัสสนา
"เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะแห่งอากาสานัญจาตนฌาน ฯลฯ"





พระธรรมคำสอนนี้ เฉพาะผู้ที่เจโตวิมุติไม่เสื่อม

"

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 28 ก.ย. 2017, 18:29, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2017, 13:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า
(สมถะเกิดก่อน วิปัสสนาเกิดทีหลัง)



ตรงนี้เป็นเรื่องเล่านะ เป็นสภาวะที่มีเกิดขึ้นกับตัวเอง

สมัยก่อน เรื่องราวของสภาวะ เป็นอะไรที่อะเมซิ่งมาก
เหตุปัจจัยจาก อวิชชาที่มีอยู่


เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ
กำลังสมาธิที่มีเกิดขึ้น จะมีโอภาสเกิดขึ้นร่วมด้วยทุกครั้ง
กำลังสมาธิที่ไม่มีประมาณ โอภาสที่สว่างมากๆ


เพราะความไม่รู้ที่มีอยู่
วลัยพรเคยมีความชอบใจ พอใจในโอภาส
และโดยเฉพาะสภาวะ สักแต่ว่า(หุ่นยนต์)

ตอนที่มีเหตุปัจจัยให้ กำลังสมาธิที่มีอยู่
เสื่อมหายไปหมดสิ้น ไม่มีเหลือสักนิดเดียว


เป็นครั้งแรกของชีวิต ที่รู้จักคำว่า "กิเลส"
และลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง ของคำที่เรียกว่า กิเลส
ช่วงนั้น รู้สึกทุกข์สุดๆ เพราะเวลาที่ผัสสะเกิด
กิเลสที่มีเกิดขึ้น มีความคมชัดมาก


ทำให้หวนคิดถึง กำลังสมาธิที่เคยมีมากก่อนที่จะเสื่อมหายไป
เป็นทุกข์เพราะถือมั่น อยากให้กำลังสมาธิกลับมาเหมือนเดิม
ยิ่งทุกข์ ยิ่งทำความเพียรหนัก

ยิ่งอยากให้กลับมาเหมือนเดิม
ยิ่งมีความพยายามมาก ความเพียรก็ยิ่งมาก

เดินจงกรม ๑ ชม. นั่งแค่แป๊บเดียว จะตายเสียให้ได้
เดินจงกรม ๔ ชม. แล้วนั่งต่อ จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ แค่แว๊บเดียว ก็ดีใจมาก




และเป็นครั้งแรกของชีวิต การเริ่มต้นทำกรรมฐานใหม่(เพราะสมาธิเสื่อม)
ที่รู้ชัดในลักษณะอาการ "เดินให้รู้ว่าเดิน" ไม่ต้องกำหนดขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ
หากกำหนดขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ เหมือนกำหนดลงไปในความว่าง
แค่รู้ปกติทุกย่างก้าวที่เดิน กำหนดเวลาว่าจะเดินกี่ชม.

เมื่อเดินครบตามเวลาที่กำหนดไว้ ต่อด้วยอิริยาบทนั่ง
เป็นครั้งแรกในชีวิตเช่นกัน ที่รู้ชัดในลักษณะอาการ "นั่งให้รู้ว่านั่ง"
ไม่ต้องกำหนด พองหนอ ยุบหนอ
หรือกำหนดรู้ท้องที่พองขึ้น ยุบลง ตามลมหายใจเข้าออก

หากกำหนดพองหนอ ยุบหนอ หรือกำหนดรู้ท้องพองยุบ ตามลมหายใจเข้าใจ
จะเหมือนกำหนดลงไปในความว่างเช่นกัน

นั่งให้รู้ว่านั่ง หายใจปกติ รู้ลมหายใจเข้าออกปกติ
รู้ปกติอาการของท้องพองขึ้น ยุบลง ตามหายใจเข้าออก

ถ้าจิตจะตั้งมั่นเป็นสมาธิ
เดี๋ยวเป็นเอง ไม่ต้องไปใช้คำบริกรรมหรือใช้การเพ่งแต่อย่างใด
"จิตเป็นสมาธิ ย่อมรู้ชัดว่าจิตเป็นสมาธิ"

เพียงแต่ต้องใช้เวลา และต้องทำความเพียรต่อเนื่อง
โดยไม่ต้องไปคิดว่า ทำยังไงถึงจะให้กำลังสมาธิที่เคยมีอยู่ กลับมาเหมือนเดิม
เพียรก็ให้รู้ว่าเพียร เพราะรู้ว่า ควรทำอย่างไร จิตจึงจะตั้งมั่นเป็นสมาธิ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2017, 20:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เตโชกสิณ


ตอนนั้นเรียนอยู่ชั้นประถมปลาย อาพาไปเที่ยวกับผู้สูงอายุ ไปวัดเขาสุกิม
เมื่อเดินถึงข้างบ้น จะมีศาลารับแขก มีวัตถุโบราณใส่ตู้โชว์ เยอะแยะไปหมด

เขาถามถึงหลวงพ่อสมชาย พระบอกว่า ขึ้นไปบนเขา
ทุกคนขึ้นไปบนเขา ยกเว้นอากับเรา ไม่ขึ้น เพราะเราชอบดูของโบราณ

เรามองไปที่สำหรับพระนั่งรับแขก เห็นพระรูปหนึ่งนั่งอยู่
เราเข้าไปกราบ แล้วถามว่า หลวงพ่อมาทางทาง ทำไมหนูไม่เห็น
ท่านบอกว่า ก็นั่งอยู่ตรงนี้ แล้วท่านหยิบหนังสือในพาน
โยนส่งให้เรา พร้อมกับบอกว่า เอ้าไอ้หนู ไปลองทำดูนะ
อ่านแล้ว ชอบแบบไหน ลองทำดู

ทุกคนได้เจอหลวงพ่อ เขาเห็นหนังสือที่เราถืออยู่ ถามว่า เอามาจากไหน
เราบอกว่า หลวงพ่อให้ ทุกคนขอหลวงพ่อ
หลวงพ่อบอกว่า หยิบหนังสือ ที่อยู่ในพานได้เลย

หลังจากที่ได้หนังสือมาจากหลวงพ่อสมชายแล้ว
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็เปิดอ่าน เป็นเรื่องของการฝึกกสิณทั้งเล่ม มีดิน น้ำ ลม ไฟ

เราชอบกสิณไฟ อ่านแล้วรู้สึกว่าทำได้ง่ายกว่าอันอื่นๆ
ใช้แค่เทียนไขเล่มเดียวเอง

ซึ่งจริงๆแล้ว ก่อนจะฝึกกสิณนั้นต้องมีการสวดมนต์ สมาทานกัมมัฏฐานก่อน
แต่เราตอนนั้นยังเด็ก ยังไม่รู้เรื่องพวกนี้

เอาล่ะจุดเทียนได้ก็นั่งเลย นั่งเพ่งไปที่ไฟ กำหนดว่า เตโชๆๆๆๆๆๆๆ
คือ หายใจเข้ากำหนดคำว่า เต หายใจออก กำหนด คำว่า โช

( เท่าที่จำได้คร่าวๆนะ ) ตอนนั้นมันแปลกมากๆเลย กลัวผีมากๆ จะไม่กลัวได้ยังไง
กำลังนั่งเพ่งอยู่ รู้สึกเลยว่ามีคนมาจับบ้านเขย่าทั้งหลัง บางทีก็มาจับที่ตัวเรา บางทีก็มาเป่าลมใส่หูเรา
กลัวนะ แต่จำได้ในหนังสือเขาเขียนว่าไม่ให้กลัว ให้ภาวนาเตโชอย่างเดียว ไม่ต้องสนใจอย่างอื่น
กลัวจนขนหัวลุกไปหมดเลยตอนนั้นเท่าที่จำได้ สักพักเหมือนตัวเราพองใหญ่ขึ้น ขนลุกตั้งชัน

ทำอยู่ได้หลายวัน แอบทำ ถ้าพ่อรู้พ่อตีตาย ทำอยู่ 3 วันได้มั๊ง ถ้าจำไม่ผิด ไฟมันเปลี่ยนไป
ไฟที่มองเห็นน่ะ เหมือนกับว่า เราไม่ต้องมานั่งเพ่งเหมือนตอนแรก

หลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น อยู่ๆมันก็วาบขึ้นมาให้เห็น
จะให้ไฟใหญ่หรือเล็กกว่าเดิมก็ทำได้ เพียงแค่คิดจะดู
เราก็ไม่รู้หรอกว่าคืออะไร รู้แต่ว่า มันสงบดี

ความลับไม่มีในโลก วันหนึ่งพ่อเปิดประตูเข้ามาในห้อง พ่อบอกให้เลิกทำ
พ่อบอกว่า ทำแบบนี้ต้องมีครูบาอาจารย์ เดี๋ยวก็เป็นบ้าหรอก ถ้าทำอีกพ่อจะตี
ตั้งแต่นั้นมาก็เลยเลิก ไม่เลิกได้ไง พ่อจับตาดูทุกฝีก้าวเลย กลายเป็นว่าต้องเลิกไปโดยปริยาย

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2017, 21:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


s007
ตามๆ : )

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2017, 20:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทโธ


10 ก.ย. 2007

รู้จักพุทโธ ตอนแม่พาไปวัดพุทโธภาวนา อยู่ที่สามพราน

จำได้ว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งแม่ป่วยมีเลือดออก กินยาอะไรก็ไม่หยุด
ขุดมดลูกก็ไม่หาย แม่เลยไปรักษาที่ร.พ.จุฬาต่อ หมอผ่าตัดมดลูกทิ้ง
แม่เป็นเนื้องอกที่มดลูก ผลการส่งชิ้นเนื้อไปตรวจ แม่เป็นมะเร็ง ระยะที่ 1

เราได้แนะนำให้แม่ไปหาวัดที่มีการปฏิบัติกรรมฐาน
แม่ไปหาป้าที่อ่อนนุช ป้าพาแม่ไปนครปฐม ไปวัดพุทโธภาวนา
ช่วงนั้นแม่หายหน้าไป ตัวเราเองก็ยุ่งกับงานจนไม่ได้สนใจสอบถาม

เจอแม่อีกครั้ง แม่มาหาที่ทำงาน (คิดย้อนหลังทีไรรู้สึกละอายใจทุกที)
แม่หายจากมะเร็ง อาการที่เลือดไหลไม่หยุด ก็หายสนิท
ทั้งที่ตอนนั้นผ่าตัดแล้ว เลือดก็ยังไหลอยู่

แม่มาชวนไปปฏิบัติที่วัดพุทโธ
ไปกับแม่เพราะเกรงใจแม่ อีกอย่างอยากไปเที่ยวด้วย
ไม่ได้คิดว่าจะปฏิบัติอะไร แค่งานที่ทำก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว

คนที่มาวัดนี้เยอะมากๆ ห้องน้ำต้องแย่งกันเข้า ต้องตื่นตั้งแต่ตี1 ตี2
เพื่อรออาบน้ำแล้วค่อยไปนอนต่อ เพราะตี4 จะไม่มีห้องน้ำว่าง

มีพระมาเทศน์ให้ฟัง เราชอบฟังพระเทศน์อยู่แล้ว
ฟังมาตั้งแต่เด็ก เลยติดเสียงเทศน์ มันทำให้รู้สึกสงบ
พระท่านสอนเรื่องการกำหนดลมหายใจเข้าออก
โดยใช้ หายใจเข้า – พุท หายใจออก – โธ

เรารู้สึกว่ามันง่ายมาก แม่บอกว่าเราหัวดี บางคนยังทำไม่ได้เลย
เพราะหายใจไม่ทันกับการกำหนด แต่เราไม่เป็น ทำได้สบายๆๆ

กลับมาบ้านก็ทำมั่งไม่ทำมั่ง ไม่ได้สนใจอะไร
มาชวนเพื่อนที่ทำงานไป ไม่มีใครไปสักคน
เขาบอกว่ามันไกลไปอยู่ตั้งนครปฐม




หมายเหตุ;

ครั้งแรกกสิณ นี่ก็มาพุทโธ ก็ยังไม่ได้สนใจ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2017, 21:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


มีพี่น้องทั้งหมด ๕ คน
ตัวเองเป็นพี่คนโต

พ่อเป็นข้าราชการชั้นพลเรือน ทำงานประจำอยู่รพ.
แม่เป็นแม่บ้าน รับซักรีด

ก่อนที่พ่อแม่จะมีเหตุให้เลิกกัน
ฝันว่า ระเบิดลงบ้าน บ้านพังหมด ทุกคนไม่มีใครเป็นอะไร
หลังจากนั้น พ่อแม่เลิกกัน ลูกทั้งหมดอยู่กับพ่อ


ตอนนั้นยังไม่รู้ว่า ที่แม่ทิ้งพ่อไปนั้น ทิ้งไปเพราะอะไร
ตอนหลังแม่เล่าให้ฟังทั้งหมด







คำทำนายตั้งแต่แรกเกิด
พ่อเล่าให้ฟังว่า ปู่เป็นพราหมณ์ เคยรับราชการ
ที่ย้ายมาอยู่ตจว. เหตุผลทางการเมือง

ตอนเราเกิด ปู่บอกพ่อว่า เด็กคนนี้ จะเป็นที่พึ่งในวันหน้า
พ่อบอกว่า เราเก่งเหมือนปู่ หากปู่ยังอยู่ เราคงพูดได้หลายภาษา
ปู่เสียชีวิต เพราะโดนยาสั่ง ไปงานเลี้ยง พอดื่มน้ำ ล้มขาดใจตายทันที










คำทำนายจากซินแส

วันนั้นอยู่ที่ตลาดกับเพื่อน เพื่อนขายของที่ตลาดสด
มีผู้ชายคนหนึ่ง เดินผ่านหน้าร้านเพื่อน เรานั่งอยู่
เสียงผู้ชายบอกว่า ซินแส หมอดูแม่นๆ แต่ไม่มีใครสนใจ
พอเขาเดินผ่านไปแล้ว เขาเดินกลับมา มองหน้าเรา
แล้วเขาบอกว่า ลื้อน่ะ เป็นมังกรในหมู่คน เราแค่ฟังแต่ไม่ได้สนใจ
มังกรอะไร ไม่รู้จัก








คำทำนายจากซินแสที่บริษัท

ตอนนั้นทำงานอยู่ที่บริษัททำรองเท้าส่งออกนอก
เจ้าของเป็นคนจีน จะมีหมอดูประจำตัว

วันหนึ่งเราเดินไปติดต่องานที่office
มีผู้ชายคนหนึ่ง เดินมาทางเดียวกับที่เราเดินอยู่
เราเข้าห้องทำงาน เขาเดินไปคุยกับผจก.
เสียงเรียกให้เราออกไปหา เราเดินออกไป

คุณสุนันท์(ผจก.) แนะนำให้เรารู้จักกับผู้ชายคนนั้น
เป็นหมอดูประจำตัวของเถ้าแก่

เขาบอกเราว่า ให้รวบผมขึ้นให้หมด
เรารวบผมขึ้น ตามที่เขาบอก

เขามองนิ่งๆสักพัก แล้วบอกว่า ถ้ารับราชการ จะได้เป็นใหญ่
ถ้าบวชเป็นพระ จะเป็นใหญ่ในหมู่สงฆ์
เสียดายจริงๆ ที่เกิดเป็นผู้หญิง

คุณมีครอบครัวไม่ได้นะ มีแล้วต้องเลิกกัน
คนที่อยู่กับคุณได้ ต้องศิลเสมอกัน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2017, 12:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


พองหนอ ยุบหนอ


หลังจากที่ได้เหินห่างเรื่องการปฏิบัติไปนาน
ทำมั่ง ไม่ทำมั่ง เวลาผ่านไปหลายปี

มีอยู่วันหนึ่ง พี่ที่ทำงานชวนไปนั่งสมาธิ
คราวนี้คนที่สอนเราเป็นฆราวาส แขนขวาท่านขาด

ชื่อพระอาจารย์ สุวรรณ (เปิดสมุดดูเพราะลืมชื่อท่าน)
ท่านเป็นอาจารย์สอนกัมมัฏฐานที่พระธาตุพนม นครพนม
เราเป็นคนชอบเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว ก็ตกลงไปกับพี่เขา
จำได้นิดนึงว่า ท่านแขนขาดเพราะโดนฟ้าผ่า
แต่จำไม่ได้ว่า ฟ้าผ่าท่านเพราะท่านกำลังทำอะไร

ท่านอ.จ.ให้กำหนดใช้พองหนอ ยุบหนอ แทนพุทโธ
คือหายใจเข้ากำหนดพองหนอ หายใจออก กำหนดยุบหนอ
แต่ไม่ได้ให้ดูอาการท้องที่พองยุบ ให้ตามลมหายใจอย่างเดียว


ที่นี่แปลกกว่าที่เราเคยเจอมา ………..
เวลาสวดมนต์เสร็จ พอนั่งสมาธิปั๊บ ท่านให้หายใจถี่ๆแรงๆ
ยังไม่ต้องกำหนดองค์ภาวนาใดๆทั้งสิ้น เราทำตามที่ท่านบอก
เหมือนจะขาดใจ มันบอกไม่ถูก

บางคนก็ลุกขึ้นรำ บางคนก็ทุบทำร้ายตัวเอง
บางคนก็อาเจียน ต้องเอากระโถนตั้งไว้ตรงหน้า
ท่านบอกว่า การทำเช่นนี้เพื่อปรับความสมดุลการหายใจ
และเป็นการแก้กรรมด้วย อะไรๆที่อยู่ในตัวเราจะได้ออกมา
(ที่ให้หายใจถี่ๆแรงๆ นานด้วยนะไม่ใช่แป๊บเดียว)

วันแรกๆเราทำก็ยังปกติดี เพียงแต่รู้สึกเหมือนเราจะขาดใจ
เวลานั่งสมาธิ ท่านจะให้นั่ง 3 ช.ม.เต็มๆ ปวดก็ต้องทน ห้ามขยับ
ท่านจะคอยพูดตลอด

วันที่3 มันแปลกมากๆ 2 วันแรกก็ปกติดี
วันที่3นี่ ร้องไห้ใหญ่เลย ร้องไห้เหมือนจะขาดใจตาย

เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องร้อง
พยายามบังคับให้ตัวเองหยุดร้องก็บังคับไม่ได้
รู้ตัวตลอดขณะที่ร้อง แต่เหมือนมันซ้อนๆกันยังไงก็ไม่รู้
มันน่าเกลียดมากๆเลยในความรู้สึกของตัวเราเอง

คิดดูก็แล้วกันร้องเหมือนรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย
ทั้งสะอึกสะอื้น น้ำลายไหลย้อย น้ำลายเต็มพื้นเลย
สักพักก็หยุดเอง พอหยุดก็เข้าสมาธิเลย

ทีนี่ไม่รู้อะไรละ ได้ยินแต่เสียงอาจารย์ท่านพูดอย่างเดียว
อย่างอื่นไม่รู้ละ จะปวดจะเมื่อยนี่ไม่มีเลย

ทั้งๆที่2วันแรกจะเป็นจะตาย ปวดจนน้ำตาไหล
เพราะท่านจะคอยพูดไม่ให้ขยับตัวอย่างเด็ดขาด

นิมิตเยอะมาก (มาตอนนี้เพิ่งรู้ว่า ตอนนั้นติดนิมิต)
เหมือนอาจารย์ท่าจะรู้ว่าแต่ละคนเห็นอะไร ท่านพูดไปเรื่อยๆ

หลังจากมีอาการร้องไห้หนักๆอยู่ 7 วัน
อาการนั้นก็หายไปเอง อาจารย์บอกว่า …..
เจ้ากรรมนายเวรเขามาทวง เราเคยทำความทุกข์ใจให้กับเขาไว้มาก

ปฏิบัติมีนิมิตเยอะมาก ตอนนั้นไม่รู้ว่าเขาเรียกว่า นิมิต
พราะอาจารย์ท่านไม่เคยบอกอะไร มีแต่ถามว่าเห็นอะไรกันบ้าง

หลังจากที่หยุดร้องไห้แล้ว ต่อจากนั้นมา เมื่อหายใจถี่ๆหนักๆ
มันจะรวมตัวเป็นสมาธิเลย จะมีแสงสว่างมากๆเวลาเป็นสมาธิ

อาจารย์บอกว่าเราปฏิบัติได้ก้าวหน้ากว่าคนอื่นๆ
ตอนนั้นก็ดีใจอ่ะนะ ก็เหมือนคนเรียนหนังสือแล้วครูมาชม

ปฏิบัติอยู่เกือบ 2 ปี ไปบ้านอ.จ.ทุกวัน ไปตั้งแต่ทุ่ม
กลับบ้านเกือบ 5 ทุ่ม

ตอนนั้นยังทำงานอยู่ เราต้องกลับมาเข้าเวรเที่ยงคืนทุกวัน
ก่อนถึงเวลาเข้าเวร เราจะนอนที่ห้องพักเวร
แล้วเราก็จะมาปฏิบัติต่อที่ห้องพักเวร


มีวันหนึ่ง เรากำหนดอยู่ดีๆ ตอนนั้นเรางงมากๆ
ไม่รู้ว่ามันคืออะไร อยู่ดีๆก็เหมือนร่างกายเราหายไป
ลมหายใจก็หายไป รู้แต่ท้องพองยุบอย่างเดียว

แบบท้องมันกระเพื่อมเบาๆ แล้วเหมือนเห็นมีตัวเราซ้อนอยู่อีกร่างนึง
มีความรู้สึกเหมือนร่างนั้นมันจะหลุดออกมา

ตอนนั้นยอมรับเลยว่ากลัวมากๆ กลัวตาย
มันบอกความรู้สึกไม่ถูก กลัวว่าถ้าร่างข้างใน
หลุดออกไปแล้วเราจะต้องตาย นี่มันกลัวแบบนี้

เราฮึดสู้เลยตอนนั้น เท่าที่จำได้นะ เพราะเรื่องนี้มันนานมาแล้ว
จำได้ว่าลุกขึ้นเลย เดี่ยวนั้นเลย ไม่ยอมนั่งอีกเลย

วันต่อมาเล่าให้อ.จ.ฟัง ท่านบอกว่า …..
ทีหลังอย่ากลัว ปล่อยให้หลุดออกมาเลย ไม่ตายหรอก

ตั้งแต่นั้นมา หลังจากปฏิบัติที่บ้านอ.จ.แล้ว
เวลากลับมาขึ้นเวร เราไม่ยอมทำอีกเลย
ทำทีไรก็จะเป็นแบบเดิมทุกที เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร
อ.จ.ก็ไม่อธิบายให้ฟัง ถามก็ตอบว่าไม่มีอะไร

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2017, 22:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สมัยก่อน ใครพูดเรื่องการทำนายทายทัก จะสนใจฟัง
แต่ไม่ปักใจเชื่อ จนกว่าจะรู้ด้วยตนเอง
ความผิดพลาด ล้วนเป็นครู เพราะเหตุนี้


ปัจจุบัน ไม่เชื่อเรื่องการทำนายทายทัก
ชีวิตเป็นของเรา เราเป็นคนลิขิตเอง และมั่นคงในการตัดสินใจ


มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง
มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง


" ดูกรอานนท์ ก็ภิกษุเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง
คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติกำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสีย

ดูกรอานนท์ ภิกษุเป็นผู้มีตนเป็นเกาะมีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง
คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ อย่างนี้แล"

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร