วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 17:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2017, 05:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าเราอยู่กับคนที่ความประพฤติไม่ดีหรือน่าเกลียด แต่การพูดการจาค่อนข้างดี เราจะแผ่เมตตาให้เขาได้ไหม ?

ในกรณีนี้พระพุทธองค์ทรงแนะนำว่า อย่าใส่ใจ หรือไปเพ่งโทษจับผิดในส่วนที่ไม่ดีของเขา ให้เราคิดถึงส่วนที่ดีของเขาซึ่งก็คือ วาจาที่เรียบร้อยใช้ได้

ท่านเปรียบว่าเหมือนกับพระเดินธุดงค์ ต้องการผ้าทำจีวร เมื่อเห็น ผ้าบังสุกุลซึ่งเป็นผ้าสกปรก ท่านบอกว่า ให้ใช้เท้าซ้ายกดลงบนผ้า ใช้เท้าขวาคลี่ผ้า แล้วฉีกออกเฉพาะส่วนที่ใช้ได้ ปล่อยส่วนที่ใช้ไม่ได้ทิ้งไว้ ท่านว่าเหมือนคนที่มีความ ประพฤติไม่ดีนั้น เราไม่ต้องไปคิดมาก ส่วนที่ไม่ดี เราก็ไม่เอา เอาแต่ส่วนที่ดี เพื่อจะแก้โทสะในใจของเรา บางคนการกระทำดี แต่การพูดไม่ดี พูดไม่น่าฟัง พูดหยาบ ท่านก็ว่า อย่าไปใส่ใจ อย่าไประคายเคืองกับคำพูดไม่ดีของเขา ให้ปล่อยมันไป เอาแต่ส่วนที่ดีของเขาไว้ ความประพฤติที่ค่อนข้างจะดีบางอย่างของเขา เช่น เขามีความเอื้อเฟือ เผื่อแผ่ เป็นต้น

พระพุทธองค์ทรงเปรียบเทียบว่า เหมือนกับเราเดิน ทาง ทั้งร้อนทิ้งหิวกระหายอยากดื่มน้ำ แต่เมื่อไปถึงสระน้ำ ก็พบว่ามีสาหร่ายและพืชต่างๆ สีเขียวๆ ปกคลุมน้ำไว้จนมิด

แล้วเราจะใช้วิธีอย่างไร ? เราก็ใช้มือแหวกพวกสีเขียว ๆ ออกไป กระพุ่มมือแล้ว-วักน้ำขึ้นดื่ม ท่านเทียบว่า คนที่การกระทำดี แต่การพูดไม่ดี ก็เหมือนพวกสาหร่ายและ พืชสีเขียวๆ ที่ปกคลุมน้ำสะอาดที่อยู่เบื้องล่าง ท่านว่าก็ให้เราแหวกมันออก แล้วเอาแต่ส่วนที่ดีไว้

พระพุทธองค์ทรงสอนให้เราฉลาดในการมอง ท่านว่าบางคนการกระทำไม่ดี การพูดก็ไม่ดี แต่เมื่อได้สังเกตดู ก็พบว่าเขายังมีความคิดที่ดีๆ อยู่เป็นครั้งคราว บางครั้งเหมือนกับเขามีความเมตตานิดๆ หน่อยๆ เขายังพอมีความดีอยู่บ้าง ไม่ใช่ว่า ไม่ดีร้อยเปอร์เชนต์

ฉะนั้น ท่านให้เราพยายามสังเกต แล้วให้ไปคิด ยอมรับและชื่นชมใน ส่วนที่ดีของเขา

พระพุทธองค์ทรงเปรียบว่า เหมือนกับคน เดินทาง ทั้งร้อนทั้งหิวกระหายอยากดื่มน้ำ สระน้ำก็ไม่มี เห็นแต่รอยเท้าวัว ที่มีน้ำขังอยู่ในรอยเท้าเพียงนิดเดียว ถ้าจะเอามือไปกักน้ำหรือใช้ภาชนะอะไรไปตักก็คงไม่ได้ เพราะมีน้ำน้อยมาก ถึงจะพยายามตักออกมา น้ำก็จะขุ่น จนดื่มไม่ได้ เราควรทำอย่างไรดี ?

ก็ต้องคุกเข่าลง เอามือยันไว้ข้างหน้า แล้วก้มหน้าเอาปากลงไป กินน้ำเหมือนวัวกินน้ำ ท่านเปรียบเทียบเหมือนคนที่เราไม่เห็นว่ามีส่วนดีเลย การกระทำการพูดแย่ไปเสียหมด แต่ถ้าเราสังเกตดู ก็ได้เห็นความดีเพียงน้อยนิด ก็ให้เอาความดีนั้นแหละ เหมือนน้ำน้อยนิดที่ขังอยู่ในรอยเท้าวัว คุกเข่าลง เอามือยัน แล้วเอาปากลงกินเหมือนวัวกินน้ำนั้นเอง

ถ้าเราเจอคนที่ดีทุกอย่าง การกระทำก็ดี วาจาก็ดี จิตใจก็ดี ท่านเปรียบว่าเหมือนเราเดินทาง ทั้งร้อนทั้งหิว กระหายอยากดื่มน้ำ ได้เจอสระน้ำที่มีน้ำใสแจ๋ว รอบๆ สระเต็มไปด้วยต้นไม้น่ารื่นรมย์ ทุกสิ่งทุกอย่างดีหมด เรา ก็ลงไปทั้งอาบทั้งดื่ม แล้วก็นอนพักผ่อนสบาย เมื่อเราได้ เจอคนที่ดีทุกอย่าง เราก็ต้องระวังอย่าไปอิจฉาเขา อย่าไปเปรียบเทียบกับเขาแล้วรู้สึกว่าเราสู้เขาไม่ได้ ท่านให้ เรารู้จักชื่นชมในสิ่งที่ดีๆนั้น

เราเป็นผู้มีกาย มีวาจา มีใจ เราทุกคนสามารถพัฒนากาย วาจา ใจของเราให้มีคุณภาพยิ่งๆ ขึ้นไป เพียงแค่ว่าเราได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็เรียกว่าเป็นผู้มีบุญบารมีสูงแล้ว มีคุณสมบัติพอแล้ว ยิ่งได้เกิดเป็นคนไทย อยู่ในเมืองพุทธ มีโอกาสศึกษาปฏิบัติธรรม พูดไปก็จะเหมือนกับยอ แต่ต้องเรียกว่า มีบุญมากๆ ระดับหัวกะทิ เลย น้อยนักที่จะมีโอกาสอย่างนี้

ฉะนั้น ถ้าเรายังมีความรู้สึกขัดข้อง ยังรู้สึกว่า แหม! ชีวิตมันยาก มันลำบาก มันตํ่าต้อย ก็ให้รู้ว่าถึงอย่างไรเราก็เป็นผู้มีบุญสูง เรียกว่า ถึงจะรู้สึกว่าต่ำ มันก็ยังน่าภูมิใจนะ เพราะเป็นระดับตํ่า ของระดับสูง ซึ่งมันก็สูงมากอยู่แล้ว ตํ่าของสูงก็ย่อมจะดี กว่าสูงของตํ่า ท่านให้เรามองอย่างนั้น
ให้เรามีความหวังว่า ไม่มีอะไรที่เราจะแก้ไม่ได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่านิสัยใจคออะไร ถึงจะรู้สึก ว่าฝังลึกขนาดไหนก็ตาม สุดท้ายแล้วมันก็ล้วนเป็นสังขาร มีเกิด มีดับ ไม่ใช่ว่าเมื่อมันเกิดแล้ว ต้องมีมันทุกภพทุกชาติไป สิ่งใดมีความเกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไปเป็นธรรมดา
กิเลสทุกตัวที่เราเห็นอยู่ในใจของเรา มีเกิด มีดับ นี่คือความหวัง สิ่งที่เราจะต้องทำ คือให้เรารู้สึกสลดสังเวช หรือที่ดี คือไม่ประมาท รู้ว่ากิเลสเกิดแล้ว แต่ดังไม่ดับ โอ้! กิเลสเกิดขึ้นเยอะ ยังดับไม่ได้สักอย่าง เห็นอย่างนี้แล้ว ก็ให้ตั้งใจปฏิบัติ

แต่ในขณะเดียววัน ก็ต้องเตือนสติตนเอง ว่า เกิดได้ก็ดับได้ ไม่มีส่งใดที่เกิดได้แล้วดับไม่ได้ มันเป็น ของเกิดของดับ เพียงแต่ว่าเรายังไปไม่ถึงขั้นนั้นเท่านั้นเอง เรายังอยู่ในขั้นตํ่าของขั้นสูง แต่ไม่เหลือวิสัยที่จะพัฒนาเพื่อยกระดับ

คำสอนของพระพุทธเจ้าแม้ที่ง่ายที่สุดจะลึกซึ้งมาก ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งลึกซึ้ง พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ที่พระตถาคต สอนให้พวกเธอละบาป เพราะเป็นสิ่งที่พวกเธอทำได้ที่พระตถาคตสอนให้พวกเธอบำเพ็ญกุศล เพราะเป็นส่งที่พวกเธอทำได้ที่พระตถาคตสอนให้พวกเธอชำระจิตใจ ของตนให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง เพราะเป็นส่งที่พวกเธอทำได้

ถ้าพวกเธอละบาปไม่ได้ บำเพ็ญกุศลไม่ได้ ชำระจิตใจ ของตนให้บริสุทธิ์ผุดผ่องไม่ได้ พระตถาคตไม่สอน พระตถาคตเลือกสอนสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่มวลมนุษย์ สิ่งที่พระองค์ไม่สอนมีมากมาย แต่สิ่งที่ทรงสอน คือสอนให้ เราเจริญด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา เพราะเป็นสิ่งที่ มนุษย์ทำได้ และเพราะเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ต่อมนุษย์ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน ฉะนั้น เราต้องเชื่อมั่นใน คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยการเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง

***********
จาก หนังสือ อักษรส่อสาร ชยสาโรภิกขุ หน้าที่ ๑๐๓ -๑๐๖






เราเคยได้ยินกันมานานแล้วว่าพระในบ้านเมืองเราสมมติกันเป็น ๒ นิกายคือ ธรรมยุตและมหานิกาย

ถ้าครูบาอาจารย์จำได้เมื่อครั้งที่หลวงพ่อชาเทศน์ในวันงานกฐินตั้งแต่อดีตกาล ผมยังจำได้และจำได้แม่นยำ

ท่านเทศน์อยู่ที่ศาลาหลังเก่าและช่วงก่อนจะจบพระธรรมเทศนา ท่านได้ปรารภว่า ท่านนั้นเคารพทั้ง ๒ นิกาย แต่เคารพยิ่งกว่า ๒ นิกายนี้คือพระธรรมวินัย ผมว่าคำนี้เป็นคำที่มีหลักหนักแน่น เชื่อถือได้และมาจากคำพูดของผู้ใหญ่

หลวงปู่ชาท่านให้เหตุผลว่า ทั้งธรรมยุตและมหานิกายล้วนเกิดหลังพระธรรมวินัย

ตรงนี้ไม่ต้องสงสัยเลยเพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้ประกาศมหานิกาย ไม่ได้ประกาศธรรมยุต

แต่พระพุทธเจ้าประกาศพระธรรมวินัย

นี้เป็นจุดยืนชัดเจนที่สุด เป็นคำพูดจากหลวงปู่ชา

***********
เรื่อง :โดย หลวงพ่อเอนก ยสทินโน วัดป่าไทรงาม อุบลราชธานี หนังสือกิ่งก้านแห่งโพธิญาณ






...ขั้นตอนนี้
เราต้องการทำจิตให้สงบ
"รู้มากมันก็จะคิดมาก"
คิดมากมันก็จะไม่สงบ
.
...นี่ถ้าจะปฏิบัติจริง
"ขั้นต้นนี้"
อย่าไปรู้อะไรเลย
.
...ให้รู้คำเดียว "ให้รู้ พุทโธ"
แล้วก็ "ให้..หยุดความคิดให้ได้".
....................................
.
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา 8/12/2559
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี







"รักษาศีล"

ถาม : พระอาจารย์ครับคนจนไม่สามารถทำบุญด้วยปริมาณได้ จะทำยังไงดีครับ

พระอาจารย์ : ก็รักษาศีลสิ รักษาศีลได้บุญมากกว่าทำบุญเป็นร้อยล้านพันล้าน.

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต







"ความว่างเป็นบรมสุข"

ก็เรียนให้ทราบ ไม่มีอะไร ก็ทำไปตามเหตุตามผลที่ควรจะกระทำ เพราะเรายังไงก็ได้ มันก็แค่กินแค่อยู่เท่านั้นเอง เรื่องอาหารบิณฑบาต เรื่องอะไรอย่างอื่นก็ไม่ได้มีความหมายอะไร ข้าวของเงินทองญาติโยมให้มาก็เอาไปแจกจ่ายทำบุญต่อ เราไม่มีเหตุผลที่จะต้องใช้เงินทอง ไม่จำเป็นต้องซื้ออะไร วันๆ หนึ่งก็ทำกิจอย่างนี้ทุกวัน ไม่ได้ไปไหนไม่มีค่าใช้จ่าย เอาเวลามานั่งสมาธิดีกว่า เอาเวลามาทำใจให้สงบดีกว่า ความสุขจากความสงบนี้เหนือกว่าความสุขจากการได้เงินทองเป็นร้อยล้านพันล้าน จากการได้ทรัพย์ได้ข้าวของต่างๆ ได้ตึกได้รถเก๋งได้อะไร สู้ความสุขที่เกิดจากการนั่งสมาธิไม่ได้ นั่งสมาธิจิตสงบนี้มันคนละระดับกัน สุขระดับที่ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะมาให้ความสุขได้เท่า

ฉะนั้นขอให้พวกเราพยายามหัดนั่งสมาธิกัน หลับตาดีกว่าลืมตา ลืมตาดูทีวีดูอะไรอยู่ แล้วเดี๋ยวก็เครียดไปกับหนังที่เราดู ดูข่าวก็ไปเครียดกับข่าว อย่าไปดูอย่าไปฟังเลย มีแต่ขยะทั้งนั้น ทุกวันนี้ของที่มาทางโซเชียลต่างๆ นี้ คนนั้นก็เขียนด่าเรา คนนั้นก็เขียนชมเรา คนนั้นก็วิพากษ์วิจารณ์อย่างโน้นอย่างนี้ อย่าไปดู มันเป็นเศษเป็นขยะ เป็นเรื่องไร้สาระ ทำแล้วไม่ได้เกิดปัญญา ทำแล้วเกิดอารมณ์ เกิดความรักความชังความกลัวความหลงกัน ถ้าจะฟังก็ฟังธรรมะดีกว่า ถ้าไม่ฟังก็นั่งสมาธิทำใจให้สงบ ฟังเสียงของความเงียบดีกว่า ฟังเสียงของความว่าง ความว่างนี่แหละเป็นความสุข ที่เรียกว่าบรมสุข

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต







#ศรัทธาที่ตั้งมั่นใจต้องแข็งแกร่ง
"เมื่อตอนหลวงพ่อชา ได้เดินทางมาประเทศอังกฤษ คณะลูกศิษย์พระที่เดินทางติดตามมาด้วยมีตั๋วเครื่องบินไป-กลับทุกองค์ เช้าวันหนึ่งหลวงพ่อชา เรียกเราเข้าไปหา แล้วพูดว่า'สุเมโธ ให้อยู่นี่แหล่ะ ไม่ต้องกลับ อยู่เพื่อสั่งสอนชาวอังกฤษต่อไป"

"เราฟังหลวงพ่อแล้วก็ช็อค ตกใจมาก
เพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าต้องมาอยู่ประเทศอังกฤษ
หลวงพ่อก็สั่งให้เราทิ้งตั๋วเครื่องบินขากลับ
และอยู่ต่อที่นี้ จะปล่อยให้เราอยู่ที่นี้
เราก็ฝืนและข่มความรู้สึกอันนั้น
ให้ตั้งใจทำตามที่หลวงพ่อท่านสั่งให้ดีที่สุด
ตามธรรมวินัยที่ทำได้
เนื่องจากเราตั้งใจถวายชีวิตต่อหลวงพ่อชาแล้ว"

พระอาจารย์สุเมโธเกิดความกังวลใจเกี่ยวกับการดำรงเพศบรรพชิต ในประเทศอังกฤษ โดยเฉพาะเรื่องการรักษาพระวินัยและข้อวัตรปฏิบัติ จึงหาโอกาสเข้าไปกราบเรียนปรึกษาหลวงพ่อชา

"เวลาเราสงสัยว่า 'เราจะอยู่อย่างไร ถ้าเราไม่มีเงิน คนอังกฤษก็คงจะไม่รู้เรื่อง บิณฑบาตร ใส่บาตร ถวายทาน ทำบุญ วัฒนธรรมต่างกัน ออกบิณฑบาตรคงจะไม่มีใครรู้เรื่อง เราจะรับอาหารจากใคร จะฉันอาหารอย่างไร' แต่หลวงพ่อชา ก็ถามกลับมาว่า 'ที่ประเทศอังกฤษจะไม่มีคนดีเลยเหรอ คนอังกฤษจะไม่มีคนใจดี คนใจบุญเลยเหรอ "

คำถามที่หลวงพ่อชาย้อนถามพระอาจารย์สุเมโธดังกล่าว "เราก็พิจารณาว่า 'สงสัยมีอยู่' ท่านก็ว่า'ไปได้นะ' แล้วก็จับใจเรา" นับเป็นคำตอบที่ยุติคำถาม กลับกลายเป็นแรงผลักดันให้เกิดพลังปัญญาอันชาญฉลาด

สามารถมองข้ามปัญหา อุปสรรคต่างๆ ที่เป็นปัจจัยภายนอกได้ ทำให้คลายความกังวล และยึดถือข้อนี้เป็นธรรมนูญปฏิบัติสืบมาว่า 'ไม่ว่าประเทศอังกฤษ หรือประเทศอื่นใดก็ตามย่อมมีคนที่มีจิตใจดีงามอาศัยอยู่ หากเพียงคนเหล่านั้นแค่ล่วงรู้ถึงล่วงรู้ถึงวัตถุประสงค์และธรรมเนียมปฏิบัติของเรา เขาย่อมพร้อมให้การสนับสนุน ด้านปัจจัยสี่และส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างไม่มีข้อกังขา

"เราก็เห็นว่าหลวงพ่อชี้ทางที่ดี เราเคยคิดว่า ความดีอยู่ที่เมืองไทย เราเห็นความดีเป็นเรื่องเมืองไทย เป็นชาวพุทธอยู่เมืองไทย เป็นเรื่องคนชาวบ้านอยู่ใกล้วัดหนองป่าพง แต่เราไม่เคยคิดเปิดกว้าง เหมือนที่หลวงพ่อแนะนำ"

คำถามของหลวงพ่อชา ได้ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนทัศนคติ มีมุมมองกว้างไกลมากขึ้น เห็นว่าการสืบทอดพระพุทธศาสนามิได้จำกัดเพียงอาศัยศรัทธาของชาวพุทธไทยเท่านั้น หลักธรรมที่แท้จริงคือการมีน้ำใจและตั้งอยู่ในความดี นี่คือหลักความจริงอันเป็นสากลของมนุษย์ทั่วโลก

"เมื่อเราได้ไปอยู่ในประเทศอังกฤษแล้ว ก็ได้เห็นนานาจิตตัง มีอยู่หลายประเภท เห็นของแปลกแล้วไม่ชอบก็มี ถ้าเห็นพระภิกษุบิณฑบาตร อาจมีคนสงสัยบ้าง เยาะเย้ยบ้าง รังเกียจบ้าง หรือไม่สนใจ รู้สึกเฉยบ้าง บางคนเห็นมีความเอ็นดูสงสารเข้ามาให้ถามให้ความช่วยเหลือแล้วเกิดศรัทธา บ้างก็สงสัยว่าพระองค์นี้ทำอย่างนี้ทำไม จะช่วยท่านได้อย่างไร บ้างก็สงสัย ว่าเป็นขอทานหรืออยากได้เงิน เราก็บอกว่า 'เรารับเงินไม่ได้' บางคนก็ซื้ออาหารมาถวายเหมือนกัน ที่จริงนั้นจิตของมนุษย์แท้ๆนั้น เป็นสิ่งบริสุทธิและเป็นธรรมอยู่แล้ว"

ก่อนที่หลวงพ่อชาจะกลับเมืองไทย ท่านก็ได้เน้นย้ำให้ศิษย์ของท่านอยู่อย่างสมถะภายใต้พระธรรมวินัย เพื่อรักษาแบบอย่างของวัดป่าอย่างที่เคยถือปฏิบัติในประเทศไทย เพื่อร่วมกันรักษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาสืบไป

"หลวงพ่อชา ต้องการให้เรารักษาแบบอย่าง ที่เราเคยถือปฏิบัติที่วัดป่าเมืองไทย ท่านต้องการให้เราอยู่กันอย่างธรรมดา ภายใต้พระธรรมวินัย"

"หลวงพ่อชาปล่อยให้เราต้องอยู่ที่ประเทศอังกฤษต่อไป
เมื่อเราไปถึงสนามบินเพื่อจะส่งหลวงพ่อกลับเมืองไทย
ก็แยกกับหลวงพ่อที่ช่องทางเดินของผู้โดยสารขาออก
พอหลวงพ่อท่านเดินหายเข้าไปข้างในเพื่อขึ้นเครื่องบินแล้ว
เราก็รู้สึกเหมือนเด็กกำพร้าพ่อแม่ไม่มีแล้ว"

ช่วงเวลา 10 ปี ที่เราได้อยู่กับหลวงพ่อชา ที่วัดหนองป่าพง
ถือเป็นช่วงเวลาของความเปลี่ยนแปลง
จากคนที่ไร้ความสุข วุ่นวาย สับสน
ไปเป็นคนที่เชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า"

หลวงพ่อชาปรารภไว้เสมอว่า
"การมาก็เป็นของธรรมดา
การไปก็เป็นของธรรมดา
ถ้าเราตั้งอยู่ในพระธรรมวินัยแล้ว
เหมือนเราไม่ได้จากกัน"





เทศนา เรื่อง นิวรณ์ธรรม ๕
“ทำให้มาก”
..การประพฤติปฏิบัติศีลธรรม จะไปคาดคะเนไว้ก่อนล่วงหน้าหละโอ๊ย ! ตั้งความอยากไว้ข้างหน้าแล้ว ขัดขวางไว้เลยหละ เหมือนกับว่า เขากั้นรั้วไว้ ทำไปเลย เรามีหน้าที่ทำ ทำมากเท่าไหร่ก็ไม่ว่า พยายามทำให้มาก ไม่ได้ท้อ ไม่ได้ถอย ผลมันจะเกิดขึ้นหรอก..

หลวงปู่ศรี มหาวีโร





ไฟไหม้น้ำท่วม

โดย หลวงพ่อชา สุภัทโท

พระพุทธองค์ท่านก็ทรงสอนว่า
ร่างกายจิตใจนี้ มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น
มันจะเป็นของมันอยู่อย่างนั้น มันจะไม่เป็นไปอย่างอื่น
คือเริ่มเกิดขึ้นมา แล้วก็แก่ แก่มาแล้วก็เจ็บ เจ็บมาแล้วก็ตาย
อันนี้เป็นความจริงเหลือเกินเป็นสัจธรรมอยู่แล้ว
ก็มองดูมันด้วยปัญญา ให้เห็นมันเสียเท่านั้น

ถึงแม้ว่าไฟมันจะมาไหม้บ้านของเราก็ตาม
ถึงแม้ว่าน้ำมันจะท่วมบ้านของเราก็ตาม
ก็ให้มันเป็นเฉพาะบ้านเฉพาะเรือน

ถ้าไฟมันไหม้ ก็อย่าให้มันไหม้หัวใจเรา
ถ้าน้ำมันท่วม ก็อย่าให้มันท่วมหัวใจเรา
ให้มันท่วมแต่บ้าน ให้มันไหม้แต่บ้าน
ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่นอกกายของเรา
ส่วนจิตใจของเรานั้น ให้มันมีการปล่อยวาง
เพราะในเวลานี้มันสมควรแล้ว มันสมควรที่จะปล่อยแล้ว







"...มีสติรู้ตัว พูดจาให้น้อยลง พูดเท่าที่จำเป็นจะต้องพูดด้วยความมีสติรู้ตัวอยู่ การพูดมาก มีโอกาสพูดผิดได้มาก ไม่เกิดประโยชน์ แล้วยังเป็นโทษอีกด้วย

เป็นผู้ฟัง แล้วตามคิด เลือกจำสิ่งดี ๆ มาใช้ จะได้ประโยชน์กว่า คนพูดมาก มักขาดสติง่าย เป็นผู้ฟังที่โทษน้อย หรือไม่มีเลย แต่เป็นผู้ได้รู้มากกว่าผู้พูด..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร






"...ความสุขอันเกิดจากวัตถุธาตุทั้งหลาย เป็นเพียงเพื่อบรรเทาความทุกข์ในจิตใจของเราเพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่ใช่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ภายในจิตใจของเรา..."
โอวาทธรรมคำสอน..
พระอาจารย์อัครเดช (ตั๋น) ถิรจิตฺโต






"...เสื่อมจงรู้ตาม เจริญจงรู้ตาม เผลอหรือไม่เผลอ จงตามรู้ทุกอาการ จึงจัดว่านักค้นคว้าความรู้เท่าในอาการเกิด ๆ ดับ ๆ ของสิ่งเหล่านี้ด้วยปัญญาเสมอไป นั่นแล จัดว่าเป็นผู้รู้เท่าทันโลก และเรียนโลกจบ จึงจะพบของจริง..."
โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน






"...เป็นครูสอนคนอื่นก็ดีอยู่
หากสอนตัวเองด้วย ก็จะดีมากขึ้น
เราตรวจคะแนนให้คนอื่น
ข้อนี้ถูก ข้อนั้นผิด

เราเคยตรวจดูตัวเองบ้างหรือเปล่า
วันเวลาผ่านไป ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
คะแนนฝ่ายดี กับคะแนนฝ่ายชั่วนั้น
ข้างไหนมันมากน้อยกว่ากัน

กลับไปตรวจตัวเองเด้อ!..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต
วัดอุดมคงคาคีรีเขต จ.ขอนแก่น







"วัน คืน เดือน ปี หมดไป สิ้นไป
แต่อย่าเข้าใจว่า วันคืนนั้นหมดไป
วันคืนไม่หมด ชีวิตของแต่ละบุคคลหมดไป
สิ้นไป มันหมดไป ทุกลมหายใจเข้าออก

ฉะนั้น ให้ภาวนาดูว่า
วันคืนล่วงไป เราทำอะไรอยู่
ทำบุญ หรือทำบาป เราละกิเลสได้หรือยัง
เราภาวนาใจสงบหรือยัง"

-:- หลวงปู่สิม พุทธาจาโร -:-







"บาป มันก็ต้องบาป
บุญ มันก็ต้องบุญ
มันก็ต้องได้รับ

บาปก็บ่เสีย บุญก็บ่เสีย
มันก็ต้องรับในเวลาใด เวลาหนึ่ง

เหมือนกับของที่ตกลงมาจากที่สูง
ผู้ใดอยู่สูง ก็ได้รับก่อน
ผู้มาทีหลัง ก็ได้ทีหลัง

บุญหลาย ก็ได้รับผลบุญก่อน
บาปหลาย ก็ได้รับบาปก่อน"

-:- หลวงตาแตงอ่อน กัลยาณธัมโม -:-







"ทุกอย่าง รวมอยู่ที่ความประพฤติ
คือฤกษ์ดี ฤกษ์ร้าย โชคดี โชคร้าย
เรื่องเคราะห์กรรม บาปบุญ อะไรทั้งหมดนี้
ล้วนออกไปจากความประพฤติของมนุษย์ทั้งนั้น"

-:-หลวงปู่ดูลย์ อตุโล-:-


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 135 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร