วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 07:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2017, 05:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


โยม : อยากเป็นพระโสดาบัน
หลวงพ่อ : พระโสดาบันต้องรักษาศีลดีๆ
พระโสดาบันไปด่าเค้าเก่งไม่ได้นะ

คนเรามีความเข้าใจต่างกันมาก
คนเราทำอะไรต้องเข้าใจ

บางทีเราไปคุยกับพระ พระก็ต้องพูดอย่างโน้นอย่างนี้ เค้าจะเอาเป็นพรรคพวก ถ้าโยมไม่ไปวัดพระก็ไม่มีข้าวกิน ไม่มีวัตถุสิ่งของ

ถ้าโยมอยู่ที่ทำงานแล้วก็ใจอยู่กับเนื้อกับตัว
เจ้านี้ไม่ชอบมัน ต้องไปอุปัฏฐากมัน
ไม่ชอบมัน อย่าไปหนีหน้ามัน
"ขอบคุณค่ะ มีอะไรจะให้ช่วยเหลือ" . . . ไปอุปัฏฐาก
เราจะได้ไม่ไปโมโหให้เขาเนาะ เจริญเมตตาเข้า
อย่าไปหนีหน้ามัน หนีหน้ามันก็โง่สิ...ไม่ฉลาด

นักมวยน่ะ...เจ้านี้เป็นแชมป์ เราจะชิงแชมป์
เราก็หนีหน้าหนีหลัง เราก็ไม่ได้ต่อยกับเค้า

พระโสดาบันต้องเดินตามพระพุทธเจ้าเต็มที่เต็ม ๑๐๐ นะ ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งจิตใจ ทั้งเจตนา

คนเรามันเดินทางสายกลาง
มันเอาความรู้สึกของตัวเองเป็นหลัก
เค้าเรียกว่าสัญชาตญาณ มันไม่ใช่ทางสายกลางนะ
ทางสายกลางต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก

คนเรานะเรามีหน้าที่ว่าเราจะได้เสียสละอะไรบ้าง
โยมต้องรับผิดชอบในการเสียสละของตัวเอง
รับผิดชอบในความอดทนของตัวเอง
เพราะคนเรามันใจอ่อน เค้าด่านิดหน่อยก็โมโหล่ะ
เราจะได้เสียสละอะไรบ้าง เราจะได้รักษาศีลดีๆ นะ
เราก็ได้บอกตัวเอง ดีนะเห็นภัยในวัฏฏสงสาร

________________________________________

หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม







"เศรษฐีขี้เหนียว"

.. ต่อแต่นั้น ข้าพระองค์เดินผ่านทางมา "มาเห็นสัปโปงูเหลื่อมใหญ่ ขนดขดตัวอยู่จอมปลวกใหญ่แห่งหนึ่ง ไปไหนไม่ได้หลายร้อยปี ไม่ได้กินอาหารอะไร หิวโหยอยู่อย่างนั้น นี่เป็นพระกรรมเวรอันใดหนอ พระเจ้าข้า"

ดูก่อนอุบาสก "สัปโปงูเหลื่อมใหญ่ตัวนี้ แต่ปางก่อนโน้น เป็นเศรษฐีมีเงิน ๘๐ โกฏิ ตระหนี่ถี่เหนียว" นักปราชญ์สมณชีพราหมณ์มาภิกขาจารบิณฑบาตรไม่ให้เลย ยาจกวณิพกมาขอก็ไม่ให้ บริโภคแต่ตนผู้เดียว "แล้วเอาทองคำหนักแสนบาทใส่ไหไพใหญ่ ไปฝังไว้ที่จอมปลวกนั้น"

นั่นแหละ "จิตปฏิพัทธ์รักใคร่ พอดีสิ้นลม กรรมกับกิเลสพาไปเกิดเป็นงูเหลื่มใหญ่แล้วก็เลื้อยไปอยู่ที่จอมปลวกนั้น" ความตระหนี่เหนียวแน่นผูกมัดรึงรัดให้ขนดขดตัวอยู่ที่จอมปลวกนั้น ไปไหนไม่ได้ อดอยากข้าวปลาอาหารอยู่อย่างนั้น .. "

หลวงปู่จันทา ถาวโร






"คนไม่มีเงิน หรือ ไม่มีเวลาจะไปวัด
แต่อยากทำบุญ ก็เพียงเจริญเมตตาจิต
ไม่ให้โกรธเกลียดใคร มีแต่ความรักให้แก่เขา
วิธีนี้ถือเป็นการทำบุญ ที่ได้อานิสงส์มากทีเดียว"

-:-พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล-:-







"คนที่ฉลาดทางโลกนั้น
เขาจะแสวงหาเงินตรา
แต่บุคคลที่มีปัญญานั้น
ท่านจะแสวงหาธรรมะ "

-:-หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต-:-






โอวาทของพระพุทธเจ้า
ทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ไม่ได้ชี้ที่อื่น
นอกไปจากกาย วาจา ใจ ของเรา
ชี้ที่กายที่ใจนี้แหละ.
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
(จันทร์ สิริจนฺโท)






อานิสงส์ถวายผ้าอาบน้ำฝน...การถวายผ้าอาบน้ำฝนมีผลานิสงส์อย่างไร เป็นใจความว่า ในสมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ณ กรุงสาวัตถีในวันนั้นเป็นวัน ๘ ค่ำ นางวิสาขาได้ถือเครื่องสักการะ พร้อมด้วยบริวารเป็นอันมากไปสู่สำนักพระพุทธเจ้าถวายเครื่องสักการบูชาพระรัตนตรัยแล้ว บังเอิญฝนตก พระภิกษุทั้งหลายได้เปลือยกายอาบน้ำฝนกันมากมาย นางวิสาขาเห็นเช่นนั้นแล้วก็เกิดความละอาย และคิดในใจว่าพระภิกษุไม่มีผ้าสำหรับอาบน้ำฝน ก็บังเกิดมีจิตศรัทธา คิดจะสร้างผ้าอาบน้ำฝนถวายเป็นทานแล้วก็กลับไปสู่กรุงสาวัตถี จัดแจงหาผ้าได้พอสมควรแล้วพอตอนเย็นก็พาบริวารและผ้านั้นมาสู่สำนักพระพุทธองค์แล้วถวายผ้าอาบน้ำฝนนั้น แก่องค์พระศาสดาพร้อมทั้งภิกษุทั้งหลายแล้วกราบทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ การถวายผ้าอาบน้ำฝนนี้มีผลานิสงส์เป็นอย่างไรพระเจ้าข้า

พระองค์ได้ตรัสเทศนาว่า ดูกรนางวิสาขา ถ้าบุคคลใดมีจิตศรัทธานำผ้าอาบน้ำฝนมาถวายแก่พระภิกษุ ในพุทธศาสดาจะมีผลานิสงส์เป็นอเนกประการแล้วพระองค์ทรงนำอดีตนิทานมาแสดงต่อไปว่าในศาสนาพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีหญิงเข็ญใจคนหนึ่ง มีนามว่า อมัยทาสีอยู่มาวันหนึ่งนางได้เห็นคนทั้งหลาย นำผ้ากาสาวพัตรไปสู่สำนักภิกษุสงฆ์ให้เป็นทาน โดยกระทำให้เป็นผู้อาบน้ำฝน นางอมัยทาสีก็มีศรัทธาอยากจะทำบุญกับเขาบ้าง นางก็คิดว่าจะทำอย่างไรดีหนอ ที่เราจะได้ทำบุญในคราวนี้บ้าง พิจารณาผ้าที่จะให้ทานก็ไม่มี รีบไปหามารดา แล้วบอกความจำนงของตนให้มารดา มารดาก็ตอบว่า เราจะเอามาแต่ที่ไหน เราก็เป็นทาสเขาอยู่ นางอมัยทาสี เมื่อได้ยินดังนี้น้ำตาก็ไหลด้วยความเสียใจ มารดาของนางก็มีจิตสงสาร จึงแนะนำให้นางอมัยทาสีไปขึ้นค่าตัวกับนายนางได้รับคำแนะนำเช่นนั้นแล้วก็มีความยินดีจึงรีบไปหานายของนาง ฝ่ายเศรษฐีผู้เป็นนายก็ปฏิเสธไม่ยอมให้นางอมัยทาสีขึ้นค่าตัว นางไม่มีความสบายใจนางมาคิดว่าเมื่อชาติก่อนนี้เราไม่ทำบุญให้ทาน มาชาตินี้เราจึงได้ตกระกำลำบาก ถึงเวลาจะทำบุญกับเขาบ้างก็จะไม่ทำกับเขาคราวนี้จะเป็นตายอย่างไรจะต้องขอทำบุญให้ได้ในครั้งนี้ ด้วยจิตศรัทธาแรงกล้านางอมัยทาสีทนความอับอาบขายหน้า ได้สละผ้าห่มแล้วนำใบไม้มาเย็บกลัดพอปกปิด บรรเทาความอายแล้วเอาผ้าซักฟอกให้หมดความสกปรกแล้วนำดอกไม้ธูปเทียนพร้อมด้วยผ้าไปสู่ธรรมศาลาถวายผ้าอาบน้ำฝนนั้นในวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๗ ก่อนเข้าพรรษาพร้อมกับมหาชนทั้งหลาย แล้วตั้งความปรารถนาว่า ด้วยอานิสงส์ที่ตนได้กระทำบุญในคราวครั้งนี้ ขึ้นชื่อว่าความยากจนเข็ญใจไร้ทรัพย์อย่าได้มีในชาติต่อ ๆ ไป จนถึงพระนิพพาน และขอให้พบพระศาสนาพระศรีอริยเมตไตรย์ เมื่อคำปรารถนาของนางจบลงแล้ว เทวดาทั้งหลายก็ซ้องสาธุการสนั่นหวั่นไหว

ด้วยอานิสงส์ของนางอมัยทาสีทำบุญในคราวครั้งนั้น อยู่มาได้ ๗ วัน พระเจ้าพันธุมหาราช ได้เสด็จไปพบนางกำลังหาบฟืนมาในระหว่างทางก็เกิดความปฏิพัทธ์รักใคร่ในตัวนางมาก จึงตรัสปราศรัยไต่ถามความตลอดแล้วจึงยกนางขึ้นราชรถนำเข้าไปสู่พระนคร อภิเษกนางให้อยู่ในตำแหน่งอัครมเหสี ครั้นทำลายขันธ์แล้วนางได้ไปเกิดบนสวรรค์มีวิมานทองสูง ๑๕ โยชน์ มีนางฟ้าเป็นบริวาร ๓ พัน ครั้นเสวยทิพย์สมบัติแล้วจนในชาติสุดท้ายนางจะได้เกิดในศาสนาพระศรีอริยเมตไตรย์ได้บรรลุธรรมพิเศษดังนี้แล พระองค์ได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาจบลงแล้ว ชนทั้งหลายก็ได้ดวงตาเห็นธรรมส่วนนางวิสาขาก็ตั้งอยู่ในพระรัตนตรัย







ปฏิบัติธรรมแล้วถ้ารู้สึกเบื่อครอบครัว
เบื่อโลก เบื่อสงสาร อย่าไปเชื่อความรู้สึกของตัวเอง

ถ้ามันเบื่อ ดูไปจนมันหายเบื่อ
แต่ถ้าหากพอปฏิบัติธรรม ได้ธรรม เห็นธรรมแล้วนี่
มันทำให้รู้สึกเคารพบูชาพ่อแม่
ปู่ย่าตายาย เมตตาสงสารครอบครัว

แล้วความรักระหว่างครอบครัวของเรานี่
ทีแรกเรารักด้วยกิเลสตัณหา
แต่มาภายหลังจะเหลือแต่ความเมตตาปราณี
แล้วเราจะทอดทิ้งซึ่งกันและกันไม่ได้

ยิ่งปฏิบัติไปเท่าไร ความเมตตาปราณีมันก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
เราจะอยู่ด้วยกันโดยไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น
เกี่ยวกับทางเรื่องของกิเลส เราจะมีอะไรต่อกัน
หรือไม่มีอะไรต่อกัน เราจะอยู่กันได้อย่างสบาย
เพราะความรักและความเมตตาปราณี
นี่เป็นความรักที่บริสุทธิ์สะอาด

ถ้าความรู้สึกอันนี้เกิดขึ้น
ในบรรดาพ่อแม่พี่น้องทั้งหลายแล้ว
สันนิษฐานได้ว่าเราปฏิบัติธรรมได้ผล

แต่ถ้าปฏิบัติแล้วเบื่อโลกสงสารอยากโกนหัวไปบวช
อย่าเพิ่งเชื่อมัน อันนั้นแหละตัวมารร้ายที่สุด
บางทีเราหลงเชื่อมัน เราทิ้งครอบครัวไป
ไปแล้วในเมื่อมันหายเบื่อ แล้วมันก็ไปเจอ
(เบื่อ)ข้างหน้า ไปมี(เบื่อ)ข้างหน้าอีก

_______________________

หลวงปู่พุธ ฐานิโย







เป็นนักภาวนา ให้ภาวนาเอาให้รู้อย่างเดียว ใจเรามันชั่ว ปัญญาตัวรู้นี่แหละทำให้เราฉลาด อย่าเอาหลายอย่าง เอาตัวรู้อย่างเดียว จับปลาหลายมือ มันก็คว้าน้ำเหลว จับรู้อย่างเดียว หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ อย่างนี้สินักภาวนา
หลวงปู่ท่อน ญาณธ





" เผลอๆ หลงๆ ลืมๆ ขาดสติ แล้วจะเอาปัญญาที่ไหน ปัญญาไม่เกิด ปัญญาจะเกิดต้องอยู่ด้วยความนิ่งเสียก่อน เหมือนดั่งน้ำนิ่ง ถ้าน้ำมันกระเพื่อมอยู่ มันก็ดูเงาตัวเองไม่ได้ไม่ชัด จะดูอะไรๆ ก็ไม่ชัด แม้ธรรมะก็คิดปรุงไปหมด เป็นวิปลาสคลาดเคลื่อน ไม่เป็นของจริง ต้องให้มันนิ่ง ก็ดูเงาได้ชัดเจนฉันใด ถ้าใจเราไม่จดจ่อ ดูอะไรก็ไม่ชัด ถ้าใจนิ่งเห็นอะไรๆชัด เห็นสังขารตามความจริง มีโอกาสสิ้นสงสัย "
หลวงปู่ท่อน ญาณธโร






ถ้าพูดว่า "ยิ่งเจริญ คือยิ่งบ้า"
ดูจะหา คนเชื่อ ได้ยากยิ่ง
เพราะต่างชอบ ความเจริญ ที่เกินจริง
เจริญอย่าง ผีสิง ยิ่งชอบกัน

โลกเจริญ เกินขนาด ธรรมชาติแหลก
เกิดของแปลก แปลงโลก ให้โศกศัลย์
ทำมนุษย์ ให้เป็นสัตว์ พิเศษพลัน
คือฆ่ากัน ทั้งบนดิน และใต้ดิน

ยิ่งเจริญ ยิ่งดุเดือด ด้วยเลือดอาบ
ยิ่งฉลาด ยิ่งมีบาป กว่ายุคหิน
สร้างปัญหา ยุ่งยาก มากระบิล
โลกทั้งสิ้น สุมความบ้า ว่าความเจริญ ฯ

กลอนธรรมคำสอน..
องค์ท่านพุทธทาสภิกขุ







"...ต้องหมั่นมีสติ หมั่นพิจารณาร่างกายจนเป็นเป็นกระดูก จนร่วงลงไปกอง แล้วเผาให้เกลี้ยงไปเลย

ถามตัวเองซิ มีตัวตนไหม อะไรทำให้ทุกข์ ทำให้เจ็บปวด มีตัวเราไหม ดูให้ถึงแก่นแท้ของธรรมชาติ พิจารณาไปจนไม่มีอะไรของเราสักอย่าง..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก






"...อันคำสรรเสริญไม่มีตัวตนหรอก มีแต่ลมๆ แล้งๆ หาแก่นสารไม่ได้ แต่เรากลับไปหลงว่าเป็นตัวเป็นตนจริง ไปหลงหอบเอาลมๆ แล้งๆ มาใส่ตนเข้า ก็เลยพองตัวอิ่มไปตามความยึดถือนั้น

ไปถือเอาเงาเป็นตัวเป็นจริงเป็นจัง แต่เงาเป็นของไม่มีตัว เมื่อเงาหายไปก็เดือดร้อนเป็นทุกข์ โทมนัสน้อยใจไปตามอาการต่างๆ ตามวิสัยของโลก..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 143 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร