วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 20:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2017, 07:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"อยู่ก็ให้เหมือนอยู่คนเดียว แม้จะมีเพื่อนฝูงมากขนาดไหนก็ให้ทำความรู้สึกตัวอยู่กับความเพียร ประหนึ่งว่าเป็นคนคนเดียว สองกับความเพียรเท่านั้น ให้หมุนกันอยู่อย่างนั้นนั่นแหละเหมาะ ขอให้ใจนี้ได้หลุดพ้นไปเถอะ เป็นยังไงแดนอัศจรรย์ ตั้งแต่เกิดมาเราไม่เคยเห็น ได้ยินแต่ท่านพูดให้ฟัง ธรรมท่านแสดงไว้แต่ไม่เคยปรากฏในหัวใจเราเลย เราก็เอาความแน่นอนไม่ได้ เมื่อเจอเข้าอย่างจังๆ แล้ว ดังพระสาวกท่านตรัสรู้หรือบรรลุธรรมตามพระพุทธเจ้าเท่านั้น หมอบราบเลยด้วยการยอมรับพระพุทธเจ้า เพราะความบริสุทธิ์ความหลุดพ้นจากทุกข์นั้นเป็นอันเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องทูลถามพระพุทธเจ้า นั่นเป็นผู้หมดห่วงหมดใยหมดภาระกังวลทุกสิ่งทุกอย่าง หมดโดยสิ้นเชิงก็คือผู้สิ้นจากกิเลส สิ้นแล้วรู้แล้วประจักษ์อยู่ในปัจจุบันนั้น นี่แหละผลแห่งการประพฤติปฏิบัติธรรม"


หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๓





อดีตชาติของหลวงปู่ เคยเกิดเป็นไส้เดือน หลวงปู่เน้นหนักเรื่องการรักษาศีล ภาวนา อันเป็นเครื่องถอดถอนกิเลส เพราะหลวงปู่รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว จึงบอกให้ลูกศิษย์ประพฤติปฏิบัติ แสดงออกแต่ละบทแต่ละบาทไม่สะทกสะท้านพูดอย่างอาจหาญ หลวงปู่ท่านเคยเล่าว่า ครั้งหนึ่งท่านเคยเป็นไส้เดือนเพราะไปล้อมรั้วสวนแล้วล้ำเอาที่ดินเขาแค่ไม่ถึงศอก ตายไปตกนรกพอหมดกรรมจากนรกขึ้นมา ต้องมาใช้เศษผลกรรม จึงได้มาเกิดเป็นไส้เดือนตรงที่เอาที่ดินของเขานั้นเอง จนหมดเศษกรรม...ประวัติหลวงปู่คำตา ทีปังกโร
วัดป่าภูคันจ้อง บ้านคำด้วง ต.คำด้วง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี





เรื่องเปรต (หลวงปู่แหวน สุจิณโณ...•เมื่อครั้งที่ หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ บวชได้ไม่กี่พรรษา และมีวาสนาถวายตัวเป็นศิษย์ของท่าน พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ท่านได้รับคำสั่งสอนแนะนำในข้อธรรมต่างๆ อย่างกระจ่างแจ้ง ทำการเจริญภาวนากระทำความเพียรก้าวหน้าไปอีกหลายระดับ เป็นกำลังใจให้เกิดความวิริยะมานะที่จะสะบั้นสายใยแห่งกิเลสจนกว่าจะหมดสิ้น ในภพชาตินี้ ขณะจำพรรษาอยธู่กับพระอาจารย์มั่นที่บ้านนาหมีนายูง อำเภอน้ำโสน อุดรธานี

.
ท่านพระอาจารย์มั่นได้บอกเล่าให้ ฟังว่า ใกล้ฝั่งแม่น้ำโขงมีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่ง ที่ถ้ำนั้นมีเปรตตนหนึ่งสิงสู่อยู่ไม่ยอมไปไหน หากหลวงปู่แหวนไปบำเพ็ญเพียรที่ใดนั้นก็ให้ถามเปรตดูสิว่าชาติก่อนกระทำกรรม อะไรไว้ถึงได้มาเกิดเป็นเปรต

.
การที่ท่านพระอาจารย์มั่น กล่าวเช่นนี้ อาจจะมีเจตนาต้องการให้ศิษย์ผู้อ่อนพรรษาได้เรียนรู้สภาวธรรมด้วยการสัมผัส ตามความเป็นจริงโดยตัวเองก็ได้ เมือหลวงปู่แหวนน้อมรับคำบอกเล่าเช่นนั้นท่านจึงเดินทางไปที่ถ้ำดังกล่าว เพียงรูปเดียว ณ. ที่ถ้ำนี้เป็นสถานที่ร่มรื่นสงบสงัด เหมาะสมที่จะเจริญภาวนาอย่างยิ่ง ภายในถ้ำสะอาดสะอ้าน ด้านนอกปากถ้ำเป็นพื้นที่ราบเรียบพอจะใช้เป็นทางเดินจงกรมได้ ครั้นถึงเวลาเย็น เมื่อทำวัตรสวดมนต์แล้วท่านก็เข้าที่ภาวนาภายในถ้ำ ได้รับผลตามประสงค์ไม่มีอุปสรรค ตราบทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น คืนแรกผ่านไปด้วยดี คืนที่สองไม่มีสิ่งผิดปกติ กระทั่งคืนทีสามรูปเงาของเปรตจึงเริ่มปรากฎ โดยแสดงกายมืดดำ และมีความสูงใหญ่ น่าพรั่นพรึง ยืนปักหลักขวางหน้าถ้ำ หลวงปู่แหวนเห็นเปรตแล้วก็มิได้หวาดหวั่นแต่ประการใด เพียงแต่แผ่เมตตาให้ด้วยจิตกุศลเต็มเปี่ยม ปรารถนาจะให้พลังแห่งความเมตตาผ่อนคลายความทุกข์ซึ่งสุมรุมเปรตตนดังกล่าว อยู่ จากนั้นก็กำหนดจิตถามเปรตไปว่า "ชาติก่อนเคยทำกรรมอะไรไว้ถึงได้มาเป็นเปรต"

.
เปรตตนนั้นเงียบเฉยไม่ตอบ และอันตรธานหายไป หลายคืนต่อมาปรากฎว่าเปรตตนเดิมาแสดงร่างร้ายให้หลวงปู่แหวนเห็นทุกคืนใน ลักษณะคืนแรก คือมายืนตระหง่านเงียบงันด้วยร่างอันสูงใหญ่ทะมึนดำ ประหนึ่งต้องการข่มขวัญให้พระธุดงค์กรรมฐานเกิดความหวาดกลัว ทว่าหลวงปู่แหวนมีจิตที่มั่นคงแน่วแน่อยู่ในธรรม ฉะนั้นท่านจึงตัดขาดไปจากความพรั่นพรึงทั้งปวงหมดสิ้น

.
........กระทั่งคืนหนึ่งเปรตมาปรากฎร่างให้หลวงปู่แหวนเห็นอีก เมื่อท่านแผ่เมตตาให้แล้ว กำหนดจิตสอบถามเช่นครั้งก่อนๆ คราวนี้เปรตยอมพูดติดต่อด้วย โดยเล่าให้หลวงปู่แหวนฟังว่า

.
ชาติ ก่อนเมื่อเป็นมนุษย์เพศชายตนเป็นนักเลงไก่ชน ลุ่มหลงในการชนไก่ ซึ่งมีเดิมพันมาใช้จ่ายอย่างสำราญ คราวใดไก่ชนของตนพ่ายแพ้เสียเงินเดิมพันไปตนก็จะถูกโทสะครอบงำจัดการฆ่าไก่ ตัวที่ชนแพ้ และหากไก่ชนตัวใดสู้จนได้รับบาเจ็บหนัก หรือพิการ ตนก็จะฆ่าเอมากินหมดเช่นกัน ได้กระทำกรรมชั่วนี้เป็นอาจิณตั้งแต่หนุ่มยันแก่ ครั้นอายุมากก็ล้มป่วย มีอาการเจ็บปวดแสนสาหัสจนสิ้นใจตาย ตายแล้วยังต้องไปรับกรรมในนรกเป็นเวลานานจนประมาณมิได้ ครั้นพ้นจากนรกจึงมาผุดเป็นเปรต

.
หลวงปู่แหวนจึงถามว่า "เหตุใดไม่ไปผุดไปเกิดเสียที ทำไมต้องมาเป็นเปรตเฝ้าถ้ำ เฝ้าป่า ให้ลำบากทุกข์ยากเช่นนี้" เปรตตอบว่า เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะยังห่วงเรื่องอาหารที่ได้เสพ เนื่องจากชาวบ้านที่อยู่ย่านนี้ นำหมูเห็ดเป็ดไก่ มาเซ่นสังเวยทุกครั้งที่เข้ามาตัดไม้และหาของป่า หากไปอยู่ที่อื่นกลัวจะอดอยาก เปรตยังเล่าต่อว่า หากชาวบ้านไม่เซ่นสังเวย ตนก็จะกระทำให้เจ็บไข้ได้ป่วย ชาวบ้านจึงกลัวตนมาก หลวงปู่แหวนได้เทศนาชี้ทางให้เปรตผละจากที่อยู่อาศัยนี้ไปเสียเถิด เพราะถ้าจิตหลุดจากความยึดมั่นถือมั่นได้เมื่อใด ตนเองก็จะมีโอกาสไปเกิดใหม่ตามกระแสกรรมของตน มิเช่นนั้นก็ต้องจ่อมจมอยู่ก้บถ้ำแห่งนี้ เพราะความยึดมั่นยึดเหนี่ยวฉุดรั้งไว้ และถ้าสิงอยู่ถ้ำแห่งนี้ด้วยความหวงแหนสถานที่คอยหวาดระแวงว่าจะมีผู้อื่นมา แย่งถ้ำนี้ไปเปรตย่อมแสดงตัวให้ผู้พบเห็นหวาดกลัวเพื่อให้หนีไปเสีย

.
หากมีพระธุดงค์รูปอื่นจาริกผ่านมา เปรตแสดงตัวเจตนาขับไล่เช่นที่เคยทำมา พระธุดงค์มีจิตเข้มแข็ง และมีสติมั่นคงย่อมไม่เกิดผลร้ายอะไร แต่หากพระธุดงค์จิตไม่แก่กล้า หวาดกลัวจนไร้สติ ย่อมเป็นผลให้เสียจริต หรืออาจถึงมรณภาพ บาปเวรก็จะตกแก่เปรต กลายเป็นอกุศลกรรมถมทับซับซ้อนจนไม่อาจพบกับทางสว่างได้อีก เปรตรับฟังด้วยความสงบ แต่ยังไม่สามารภกระทำตามคำเทศนาของหลวงปู่แหวนได้ ท่านเห็นว่าเปรตยังมีมิจฉาทิฐิมั่นคงท่านก็ต้องวางตนอยู่ในอุเบกขา เมื่อเจริญภาวนาครบกำหนดตามที่ได้กำหนดเจตนาเอาไว้แล้ว หลวงปู่แหวนจึงจาริกลับมากราบเรียนถวายรายงานต่อท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ณ บ้านนาหมีนายูง ซึ่งท่านพระอาจารย์มั่น ก็ไม่ได้กล่าวว่ากะไร
.
ภายหลังเมื่อพระอาจารย์มั่นมีโอกาสผ่านได้เมตตาโปรดเปรตตนนั้น และเปรตตนนั้นก็หลุดพ้นไปจากถ้ำได้ในที่สุด









หลวงตามหาบัว...ท่านกล่าวไว้ ในธรรมนี้น่าสลดสังเวชเอามากมายนะ ท่านบอกว่า คนเหมือนสัตว์ สัตว์เหมือนคน ไม่มีอะไรผิดแปลกต่างกันเลยในความรู้สึก เพราะไม่มีใครมีจิตใจสูง จิตที่เป็นธรรมเรียกว่าจิตใจสูงไม่มี เป็นแบบเดียวกันหมด แล้วจมลงๆ พระพุทธเจ้ากว่าจะมาตรัสรู้องค์หนึ่งๆ นี้นานแสนนานนะ ไม่ใช่ธรรมดา ที่ท่านเรียกว่าพุทธันดร ระหว่างพระพุทธเจ้าองค์นี้กับองค์นี้จะมาตรัสรู้นี้ ห่างกันมากมาย นี่เรียกว่า "พุทธันดร" แปลว่าระหว่างแห่งพระพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรู้สืบต่อกันนี้ห่าง

นี่ละตรงนี้เอง ที่สัตว์ทั้งหลายได้รับความทุกข์ความทรมาน ใครมีกรรมหนักกรรมหนาสาโหดก็จะมาโดนเอาตรงนี้ๆ ถ้าผู้ที่มีคุณงามความดีก็ไปอยู่สวรรค์ไม่ได้มาทุกข์ทรมานกับสิ่งเหล่านี้ อำนาจแห่งความดีพาคนไปสู่ทางดีไปอยู่สวรรค์ ไม่ได้มายุ่ง มาทุกข์อย่างนี้ เขาตกนรกเราก็อยู่สวรรค์เสีย คนบุญไปอยู่บนสวรรค์ คนบาปไปอยู่ในนรก ความจริงก็เป็นอย่างนั้น ทีนี้พอถึงกาลเวลาที่ควรจะเคลื่อนก็เคลื่อนออกมาหาความเป็นสิริมงคลพอดี เช่นพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา เหมาะแล้วมาสร้างบารมีเพิ่มเข้าๆ ดีไม่ดีก็ได้บรรลุธรรมสุดขีดเสีย ในพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ ผู้ที่ยังไม่ได้ ก็สร้างบารมีไป สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
...หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 140 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร