ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ต้นเหตุที่ไม่มีใครดู
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=53581
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  muisun [ 16 ม.ค. 2017, 17:44 ]
หัวข้อกระทู้:  ต้นเหตุที่ไม่มีใครดู

อนันตริยกรรม เป็นกรรมหนักที่ทำให้คนต้องตกอเวจีมหานรกนานถึง 1 กัปป์ ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน ต้องไปชดใช้กรรมจนกว่าจะหมด เป็นระยะเวลานาน เท่ากับภูเขาสูงกว้าง 16 กิโลเมตร 100 ปี คนเอาผ้าเช็ดหน้าไปเช็ด 1 ครั้ง จนกว่าภูเขานั้นจะสึกกร่อนเสมอราบกับพื้นดินเรียกว่า 1 กัปป์ อนันตริยกรรมเป็นกรรมหนัก คือ ฆ่าพ่อแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำโลหิตของพระพุทธเจ้าห้อ ยุยงสงฆ์ให้แตกกัน แต่ก็ยังมีจุดสิ้นสุด แต่การว่ากันหนักกว่านั้นหลายเท่า ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะว่ากันไม่หยุดทุกลมหายใจเข้าออก ถึงจะไม่บอกกล่าว แค่คิดในใจ คิดอย่างนั้น ติอย่างนี้ ว่าอย่างนั้น ก็ให้ผลหนักกว่าอนันตริยกรรม เป็นวจีสังขาร ต้องตกลึกลงไปในมหานรกชั่วหลายกัปป์หลายกัณฑ์ เหมือนกับพระโกกาลิกะว่าพระโมกขลานะ พระสาลีบุตร และพระพุทธเจ้าว่าเป็นพระลามก มักมาก เพราะการว่าด้วยความยึดถือเป็นบาปหนักที่ยากต่อการหยุดยั้ง ต้องรู้ทันดับที่ต้นเหตุ คือ ตัว จะว่าหนอๆ จะคิดหนอๆ อย่าคิดว่าว่าในใจจะไม่มีผล เพราะผลแห่งความเสียหาย โชคร้าย ภัยพิบัติให้ผลอยู่เห็นๆ ผู้รู้ทันเท่านั้นจึงจะหยุดตัวจะว่าได้ ตัวจะคิดได้ ไม่ได้บอกให้เชื่อ และก็ไม่ได้บอกให้คัดค้าน แต่บอกให้ไปพิสูจน์ดู ถ้ารู้ทันก็เป็นสุข ถ้ารู้ไม่ทันก็เป็นทุกข์ เห็นผลพิสูจน์กันในวันนี้ ถ้ารู้ทันก็ฉลาด ถ้ารู้ไม่ทันก็โง่ ถ้ารู้ทันก็มีสติ ถ้ายึดถือก็บ้าไป สมกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสไว้ว่า ธรรมอันใดย่อมเกิดแต่เหตุ พระองค์ทรงสอนให้รู้จักเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความเกิด ความดับ ของธรรมเหล่านั้น

จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 17 ม.ค. 2017, 06:18 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ต้นเหตุที่ไม่มีใครดู

น่าเบื่อ...ไม่มีอะไรใหม่...พูดคุยภาษามนุษย์ไม่เป็น...ฯลฯ...นี้แหละ...ต้นเหตุที่ไม่มีใครดู(กระทู้)

:b9: :b9: :b9:

เจ้าของ:  muisun [ 19 ม.ค. 2017, 16:41 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ต้นเหตุที่ไม่มีใครดู

บางสะพานซิตี้ ถึงจะมีน้ำท่วม แต่ก็รวมใจได้เข้มแข็ง ยอมเสียแรง เสียของ แต่จะไม่ยอมเสียคน อดทนทำใจให้ได้รู้ทัน เพื่อสร้างสรรค์รางวัลชีวิตใหม่

จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 19 ม.ค. 2017, 19:46 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ต้นเหตุที่ไม่มีใครดู

:b32: :b32: :b32:

บางสะพาน..น้ำท่วม...

แต่..ไม่ท่วมผักตบ..

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 19 ม.ค. 2017, 21:25 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ต้นเหตุที่ไม่มีใครดู

มีวิทยุซานซิสเตอร์ที่ใช้ถ่านไฟฉายไหม ? s006 ตามข่าว

https://www.google.co.th/?gws_rd=ssl#q= ... 3%E0%B9%8C


https://pbs.twimg.com/media/C1aZ7LBVEAA4EXV.jpg

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 21 ม.ค. 2017, 05:39 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ต้นเหตุที่ไม่มีใครดู

ในลานนี้..ก็มี..นะ

อ้างคำพูด:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖
อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต


โกกาลิกสูตร

[๘๙] ครั้งนั้นแล ภิกษุ ชื่อโกกาลิกะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่
ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระสารีบุตรและพระ-
*โมคคัลลานะเป็นผู้มีความปรารถนาลามก ลุอำนาจแห่งความปรารถนาลามก พระผู้มี
พระภาคตรัสว่า ดูกรโกกาลิกะ เธออย่ากล่าวอย่างนั้น เธออย่ากล่าวอย่างนั้น
เธอจงยังจิตให้เสื่อมใสในสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด เพราะสารีบุตรและ
โมคคัลลานะเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก ฯ
แม้ครั้งที่ ๒ โกกาลิกภิกษุก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาของข้าพระองค์ เป็นผู้มีพระพุทธพจน์
อันข้าพระองค์พึงเชื่อถือได้ก็จริง ถึงอย่างนั้น พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะก็
เป็นผู้มีความปรารถนาลามก ลุอำนาจแห่งความปรารถนาลามก พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรโกกาลิกะ เธออย่ากล่าวอย่างนั้น เธออย่ากล่าวอย่างนั้น เธอจง
ยังจิตให้เลื่อมใสในสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด เพราะสารีบุตรและโมคคัลลานะ
เป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก ฯ
แม้ครั้งที่ ๓ โกกาลิกภิกษุได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์-
*ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาของข้าพระองค์ เป็นผู้มีพระพุทธพจน์
อันข้าพระองค์พึงเชื่อถือได้ก็จริง ถึงอย่างนั้น พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะก็
เป็นผู้มีความปรารถนาลามก ลุอำนาจแห่งความปรารถนาลามก พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรโกกาลิกะ เธออย่ากล่าวอย่างนี้ เธออย่ากล่าวอย่างนี้ เธอจง
ยังจิตให้เลื่อมใสในสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด เพราะสารีบุตรและโมคคัลลานะ
เป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก ฯ
ครั้งนั้นแล โกกาลิกภิกษุลุกขึ้นจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค
กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป เมื่อโกกาลิกภิกษุหลีกไปแล้วไม่นาน ร่างกายมีตุ่ม
เท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดเกิดขึ้นทั่วตัว ตุ่มเหล่านั้นเท่าเมล็ดถั่วเขียว แล้วก็โตเท่าเมล็ด
ถั่วดำ แล้วก็โตเท่าเมล็ดพุทรา แล้วก็โตเท่าเมล็ดกระเบา แล้วก็โตเท่าผล
มะขามป้อม แล้วก็โตเท่าผลมะตูมอ่อน แล้วก็โตเท่าผลมะตูมแก่ แล้วจึงแตก
หนองและเลือดหลั่งไหลออก ได้ยินว่า โกกาลิกภิกษุนั้นนอนบนใบตองกล้วย
เหมือนปลากินยาพิษ ครั้งนั้นแล ตุทิปัจเจกพรหมเข้าไปหาพระโกกาลิกยังที่อยู่
ครั้นแล้วยืนอยู่ที่เวหาสได้กล่าวกะโกกาลิกภิกษุว่า ดูกรโกกาลิกะ ท่านจงยังจิตให้
เลื่อมใสในพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเถิด เพราะพระสารีบุตรและพระ-
*โมคคัลลานะเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก โกกาลิกภิกษุถามว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ ท่าน
เป็นใคร ฯ
ตุ. เราเป็นตุทิปัจเจกพรหม ฯ
โก. ดูกรท่านผู้มีอายุ ท่านเป็นผู้ที่พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่าเป็น
อนาคามีมิใช่หรือ เมื่อเป็นเช่นนั้น ไฉนท่านมา ณ ที่นี้อีกในบัดนี้ อนึ่ง ท่าน
จงเห็นความผิดนี้ของท่านเท่าที่มีอยู่ ฯ
ครั้งนั้นแล ตุทิปัจเจกพรหมได้กล่าวกะโกกาลิกะภิกษุด้วยคาถาว่า
ผรุสวาจาเพียงดังจอบ ซึ่งเป็นเครื่องตัดทอนตนของคนพาล
ผู้กล่าวคำชั่ว ย่อมเกิดขึ้นที่ปากของบุคคลผู้เป็นบุรุษพาล ผู้
ใดสรรเสริญผู้ที่ควรติเตียน หรือติเตียนคนที่ควรสรรเสริญ
ผู้นั้นชื่อว่าสะสมโทษไว้ด้วยปาก ย่อมไม่ประสบความสุข
เพราะโทษนั้น ฯ
การปราชัยด้วยทรัพย์ในการเล่นการพนัน ด้วยตนเองจนหมด
ตัวนี้ เป็นโทษมีประมาณน้อย การที่บุคคลยังใจให้ประทุษ-
ร้าย ในพระอริยเจ้าผู้ดำเนินดีแล้วนี้ เป็นโทษมากกว่า บุคคล
ตั้งวาจาและใจอันเป็นบาป แล้วติเตียนพระอริยะ ย่อมเข้าถึง
นรกสิ้นหนึ่งแสนนิรัพพุทกัป อีก ๓๖ นิรัพพุทะ และ ๕
อัพพุทะ ฯ

ครั้งนั้นแล โกกาลิกภิกษุได้กระทำกาละด้วยอาพาธนั้นเองแล้วเกิดใน
ปทุมนรก เพราะยังจิตให้อาฆาตในพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ลำดับนั้น
เมื่อปฐมยามแห่งราตรีผ่านไปแล้ว ท้าวสหัมบดีพรหมผู้มีวรรณะสง่างาม ยังพระ-
*วิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ ถวายบังคม
แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ โกกาลิกภิกษุกระทำกาละแล้ว เกิดในปทุมนรก เพราะยังจิตให้
อาฆาตในพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะพระเจ้าข้า ท้าวสหัมบดีพรหมครั้น
กราบทูลดังนี้แล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วหายไปในที่
นั้นเอง ครั้งนั้น เมื่อราตรีผ่านไปแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในคืนนี้เมื่อปฐมยามผ่านไปแล้ว ท้าวสหัมบดีพรหมผู้มีวรรณะ
สง่างาม ยังวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสวเข้ามาหาเรายังที่อยู่ อภิวาทเราแล้วนั่ง
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญโกกาลิก-
*ภิกษุกระทำกาละแล้ว เกิดในปทุมนรก เพราะยังจิตให้อาฆาตในพระสารีบุตร
และพระโมคคัลลานะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท้าวสหัมบดีพรหมครั้นกล่าวคำนี้แล้ว
อภิวาทเรา กระทำประทักษิณแล้วหายไปในที่นั้นเอง ฯ
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้ทูลถามพระผู้มี-
*พระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ประมาณอายุในปทุมนรกนานเท่าไรหนอ
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรภิกษุ ประมาณอายุในปทุมนรกนานนัก ประมาณ
อายุในปทุมนรกนั้นยากที่จะกระทำการกำหนดนับได้ว่า ประมาณเท่านี้ปี ประมาณ
ร้อยปีเท่านี้ ประมาณพันปีเท่านี้ หรือประมาณแสนปีเท่านี้ ฯ
ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระองค์อาจเพื่อจะทำการเปรียบเทียบได้
หรือ พระพุทธเจ้าข้า ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อาจอยู่ภิกษุ แล้วได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เปรียบ
เหมือนหนึ่งเกวียนเมล็ดงาของชนชาวโกศลมีอัตรา ๒๐ ขารี ๑- เมื่อล่วงไปแสนปี
บุรุษนำเอาเมล็ดงาเมล็ดหนึ่งออกจากเกวียนนั้น ดูกรภิกษุ เมล็ดงาหนึ่งเกวียนของ
ชาวโกศลซึ่งมีอัตรา ๒๐ ขารีนั้น พึงถึงความสิ้นไปหมดไปโดยทำนองนี้เร็วกว่า
นั่นยังไม่ถึงหนึ่งอัพพุทะในนรกเลย ดูกรภิกษุ ๒๐ อัพพุทะในนรกจึงเป็น
๑ นิรัพพุทะ ๒๐ นิรัพพุทะเป็น ๑ อพัพพะ ๒๐ อพัพพะเป็น ๑ อหหะ
๒๐ อหหะเป็น ๑ อฏฏะ๒๐ อฏฏะ เป็น ๑ กุมุทะ ๒๐ กุมุทะเป็น ๑ โสคันธิกะ
๒๐ โสคันธิกะเป็น ๑ อุปปละ ๒๐ อุปปละเป็น ๑ ปุณฑรีกะ ๒๐ ปุณฑรีกะเป็น
๑ ปทุมะ ดูกรภิกษุ โกกาลิกภิกษุเกิดในปทุมนรก เพราะยังจิตให้อาฆาตใน
สารีบุตรและโมคคัลลานะ ครั้นพระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดาได้ตรัสไวยากรณ์
ภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ผรุสวาจาเพียงดังจอบ ซึ่งเป็นเครื่องตัดทอนตนของคนพาล
ผู้กล่าวคำชั่ว ย่อมเกิดขึ้นที่ปากของบุคคลผู้เป็นบุรุษพาล ผู้ใด
สรรเสริญผู้ที่ควรติเตียน หรือติเตียนคนที่ควรสรรเสริญ
ผู้นั้นชื่อว่าสะสมโทษด้วยปากย่อมไม่ประสบความสุขเพราะ
โทษนั้น การปราชัยด้วยทรัพย์ ในการเล่นการพนันด้วยตน
@๑ ขารีเท่ากับ ๒๔๖ ทะนาน
เองจนหมดตัวนี้ เป็นโทษมีประมาณน้อย การที่บุคคลยังใจ
ให้ประทุษร้ายในพระอริยเจ้า ผู้ดำเนินดีแล้วนี้ เป็นโทษมาก
กว่า บุคคลตั้งวาจาและใจอันเป็นบาปแล้วติเตียนพระอริยะ
ย่อมเข้าถึงนรกสิ้นหนึ่งแสนนิรัพพุทกัป ๓๖ นิรัพพุทะ
และ ๕ อัพพุทะ ฯ
จบสูตรที่ ๙

http://www.84000.org/tipitaka/read/v.ph ... 916&Z=4009



กะว่าจะตั้งกระทู้...เกี่ยวกับเรื่องการกระทำที่แสดงว่ายังไม่ผู้เห็นธรรมจริง..อยู่แล้ว..ก็พอดีคุณ muisun โพสต์เรื่องนี้เข้า..

มันมาเกี่ยวกันก็ตรงนี้...

อ้างคำพูด:
ตุทิปัจเจกพรหมได้กล่าวกะโกกาลิกะภิกษุด้วยคาถาว่า
ผรุสวาจาเพียงดังจอบ ซึ่งเป็นเครื่องตัดทอนตนของคนพาล
ผู้กล่าวคำชั่ว ย่อมเกิดขึ้นที่ปากของบุคคลผู้เป็นบุรุษพาล ผู้
ใดสรรเสริญผู้ที่ควรติเตียน หรือติเตียนคนที่ควรสรรเสริญ
ผู้นั้นชื่อว่าสะสมโทษไว้ด้วยปาก ย่อมไม่ประสบความสุข
เพราะโทษนั้น ฯ

การปราชัยด้วยทรัพย์ในการเล่นการพนัน ด้วยตนเองจนหมด
ตัวนี้ เป็นโทษมีประมาณน้อย การที่บุคคลยังใจให้ประทุษ-
ร้าย ในพระอริยเจ้าผู้ดำเนินดีแล้วนี้ เป็นโทษมากกว่า บุคคล
ตั้งวาจาและใจอันเป็นบาป แล้วติเตียนพระอริยะ ย่อมเข้าถึง
นรกสิ้นหนึ่งแสนนิรัพพุทกัป อีก ๓๖ นิรัพพุทะ และ ๕
อัพพุทะ ฯ


เจ้าของ:  กรัชกาย [ 21 ม.ค. 2017, 05:58 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ต้นเหตุที่ไม่มีใครดู

พุทธธรรมกว้างขวางครอบคลุมทุกด้าน :b1: ดูแง่นี้สั้นๆ

"นิคฺคณฺเห นิคฺคหารหํ ปคฺคณฺเห ปคฺคหารหํ"

ที่นี่ว่าไว้ดี คือความคิดไม่จม :b13:

https://www.gotoknow.org/posts/550239

เจ้าของ:  muisun [ 21 ม.ค. 2017, 10:53 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ต้นเหตุที่ไม่มีใครดู

คุณเชื่อไหมว่าที่ดิ้นรนแสวงหากันมาก็เพื่อเป็นขยะ เมื่อเบื่อ เมื่อไม่ชอบใจก็ทิ้ง เหมือนชีวิตที่ไร้ค่าเพราะรู้ไม่ทัน สุดท้ายนั้นก็เป็นขยะ หรือใครจะบอกว่าหนีพ้นจากขยะไปได้ ถ้ารู้ทัน จะคิดหนอๆ ก็พ้นจากความเป็นขยะไปได้ แค่น้ำท่วมเมืองต่างๆ ของทุกอย่างก็เป็นขยะ อย่างน่าสงสาร โถ๋! ขยะ ไม่รู้จะเอาไปทิ้งที่ไหน ขนไปถมตามคูคลอง ไปขวางทางน้ำไหลไว้อีกเป็นวงกลมแห่งขยะจริง

จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์

เจ้าของ:  muisun [ 21 ม.ค. 2017, 11:07 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ต้นเหตุที่ไม่มีใครดู

ความชอบคือโลภะ โทษเบาแต่คลายช้า ความชังคือความโกรธ โทษหนักแต่คลายเร็ว ความรู้ไม่ทันคือโมหะ โทษก็หนักคลายก็ช้า พระพุทธเจ้าสอนให้ละความรู้ไม่ทันเพียงอย่างเดียว ความโลภกับความโกรธก็ละไปด้วย จะคิดหนอๆ

จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/