ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
เรื่อของคนฟุ้งซ่านและยึดติด http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=53521 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 3 |
เจ้าของ: | asoka [ 29 ธ.ค. 2016, 16:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | เรื่อของคนฟุ้งซ่านและยึดติด |
![]() ความฟุ้งซ่านเป็น 1 ในนิวรณ์ 5 ที่ค่อนข้างจะสำคัญกว่านิวรณ์ตัวอื่นเพราะกว่าจะขุดถอนออกได้ต้องใช้ถึงอรหัตมรรคโน่นเชียว ซึ่งที่เป็นลักษณะของความฟุ้งซ่านที่ชัดเจนคือความคิด หรือจิตตสังขารความคิดแทบทุกอย่างถือเป็นความฟุ้งซ่านของจิต ซึ่งแม้แต่กระทั้งความคิดพิจารณาตามเนื้อธรรมคำสอนถ้าหยุดไม่ได้ สงบไม่เป็นก็ต้องถือว่าเป็นความฟุ้งซ่าน การที่โยคีหรือผู้ปฏิบัติธรรมไปพบกับผัสสะ อารมณ์ ความ รู้สึกต่างๆแล้วเกิดการสังขารปรุงแต่งว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ขึ้นมา จะทำให้เกิดความคิดนึกตามมาแล้วลามไปเป็นความฟุ้งซ่าน เป็นมโนกรรม เกิดตัณหา อุปาทาน กรรมและวิบากต่างๆตามมา แต่ถ้าสติไปรู้ทันเสียตั้งแต่เกิดผัสสะระงับเวทนาที่เกิดตามมาเสียได้ ความฟุ้งซ่านก็ไม่มีโอกาสได้เกิด (มีต่อ แบตหมดครับ) ผู้ปฏิบัติธรรมใหม่ๆหรือบางทีเก่าๆนานๆแล้วก็ตามพอเกิดผลจากสมาธิ คือ ปีติ ปัสสัทธิ นิมิต ฌาณ ต่างๆขึ้นมาแล้วไปหลงสงสัย เพลิน ติดใจ กลัว สำคัญผิดต่างๆแล้วไปสังขารปรุงแต่งต่อเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาเยอะแยะมากมายเลยเป็นงานที่ไม่ใช่งานขึ้นมาคือไปเป็นปัญหาถามครูบาอาจารย์ให้ช่วยแก้ไข ที่ปรึกษาอาจารย์แก้ให้ไม่เป็น ไม่ถูกประเด็นไม่ถูกเหตุ เลยพากันฟุ้งไปใหญ่ จมลงในปัญหาดังตัวอย่างที่คุณกรัชกายยกมาถามให้เปรอะเยอะแยะมากมาย เมื่อวิเคราะห์ลงไปก็เป็นเรื่องฟุ้งซ่าน อุปาทาน สังขารปรุงแต่งไปของผู้ปฏิบัติเหล่านั้นทั้งสิ้น การแก้ไขอุทธัจจะหรือความฟุ้งซ่านของผู้ปฏิบัตินั้นมีหลักใหญ่ใจความว่าต้องทำให้เขาเหล่านั้นมีสติสัมปชัญญะกลับคืนมาอยู่กับปัจจุบันและงานในหน้าที่ที่เขาต้องทำ ถ้าอยู่ในขั้นตอนเจริญสมาธิก็ให้มีสติรู้ทันนิวรณ์ทั้ง 5 มีปัญญารู้ตัวว่ากำลังทำหน้าที่สงบนิวรณ์เพื่อให้เกิดสมาธิและฌาณ มิใช่งานอื่นและยังไม่ใช่ขั้นตอนการเจริญปัญญาวิปัสสนา นิวรณ์ 5 สงบดีแล้วเมื่อไหร่จึงค่อยไปทำความเพียรเจริญปัญญาต่อ ถ้าอยู่ในขั้นตอนเจริญวิปัสสนาปัญญาก็คอยรักษาระดับสมาธิให้เพียงพอสำหรับการจดจ่อต่อเนื่องในการดู รู้ สังเกตและพิจารณาธรรม ตอนพิจารณาธรรมก็ต้องพยายามทำให้อยู่ในกรอบที่ควบคุมได้คือไม่ลุกลามไปเป็นการคิดฟุ้งซ่าน ลำดับงานควรจะมีเพียง ดู เห็น สังเกต รู้ สภาวธรรมที่กำลังเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงและดับไปในกายในใจ ไม่ให้แลบต่อไปถึงการพิจารณาที่ต้องใช้ความคิดนึก เพราะสภาวธรรมจริงที่เป็นปรมัตถ์อนัตตา ใช้แค่ปัญญาดูสังเกต ก็จะรู้หรือเกิดปัญญารู้ขึ้นมาเองตรงในใจไม่ต้องคิดนึก แต่ถ้าจำเป็นจะต้องถอยออกมาคิดนึกพิจารณาเป็นธรรมวิจัยหรือการใคร่ครวญธรรม ก็อาจทำได้เพื่อให้เกิดจินตมยปัญญามาหนุนภาวนามยปัญญาให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นแต่ต้องคอยระวังเพราะตอนนั้นสติจะไม่ทันปัจจุบันอารมณ์ ต้องมาทรงอยู่ทำงานพิจารณาอดีตหรืออนาคตอารมณ์ โมหะและจิตตสังขารสามารถแทรกเข้ามาจนเกิดเป็นความฟุ้งซ่านได้ตลอดเวลา พิจารณาพอได้แนวทางแล้วก็ต้องรีบกลับไปอยู่ตรงช่องทางเดินของวิปัสสนาภาวนาคือ สติ ปัญญาไปอยู่ตรงงาน ดู เห็น สังเกต รู้ สภาวธรรมตามที่มันเป็น (ตถตา) ไม่ต้องห่วงว่ามันจะไม่รู้ตามที่ตำราบอกสอนไว้ มันจะรู้เองเป็นเองไปตามลำดับโดยธรรม ![]() |
เจ้าของ: | Rosarin [ 29 ธ.ค. 2016, 17:54 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่อของคนฟุ้งซ่านและยึดติด |
![]() ![]() สุเมธดาบสสามารถบรรลุอรหันต์ได้เมื่อได้ฟังพระทีปังกะระพุทธเจ้าชาตินั้นเลย ท่านอโศกะว่าสุเมธดาบสฟุ้งซ่านหรือคิดถูกต้องและบารมีคือความดีพร้อมแล้วอ่ะ การได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าเป็นนิยตโพธิสัตว์แล้วและต้องเกิดอีก4อสงไขย เรียกว่าฟุ้งซ่านไหม...การคิดถูกต้องตามคำสอน...ตามคำสอนเท่านั้นคือปัญญาบารมีน๊า ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | Rosarin [ 29 ธ.ค. 2016, 18:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่อของคนฟุ้งซ่านและยึดติด |
![]() ![]() กิเลสคือไม่รู้ไม่เข้าใจ รู้คือปัญญาเกิดตอนฟัง ไม่ฟังก็ไม่รู้จักกิเลสของตน ![]() ![]() http://www.youtube.com/watch?v=4Oxr_U3-GcY ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | asoka [ 29 ธ.ค. 2016, 19:45 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่อของคนฟุ้งซ่านและยึดติด |
Rosarin เขียน: Kiss ![]() สุเมธดาบสสามารถบรรลุอรหันต์ได้เมื่อได้ฟังพระทีปังกะระพุทธเจ้าชาตินั้นเลย ท่านอโศกะว่าสุเมธดาบสฟุ้งซ่านหรือคิดถูกต้องและบารมีคือความดีพร้อมแล้วอ่ะ การได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าเป็นนิยตโพธิสัตว์แล้วและต้องเกิดอีก4อสงไขย เรียกว่าฟุ้งซ่านไหม...การคิดถูกต้องตามคำสอน...ตามคำสอนเท่านั้นคือปัญญาบารมีน๊า ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ขอบคุณที่คุณรสรินมาสนใจกระทู้นี้ครับ กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่คิด ตั้งใจจะให้เป็นคำตอบแก่คุณกรัชกายในปัญหาทั้งหมดของศิษย์กรัชกายที่ไปก้อปเอาอารมณ์ของศิษย์ทั้งหลายกระจายถามไปในกระทู้ต่างๆนับสิบกระทู้ดังที่ได้เห็นได้อ่านกันครับ พอดีคุณรสรินมาสนใจตั้งคำถามให้ก่อน ก็ดีครับ จะได้สนทนากันไป คุยกันไปพลางๆจนกว่ากรัชกายจะปรากฏร่างขึ้นมา การที่ท่านสุเมธดาบสไม่ยอมบรรลุอรหันต์ทันทีที่ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าทีปังกรไม่ใช่เรื่อฟุ้งซ่านหรือไม่ฟุ้งซ่าน คิดถูกต้องหรือคิดผิดอะไรนะครับระดับสุเมธดาบสนี่ นิวรณ์ 5 สงบไปนานแล้วไม่ต้องห่วงและอย่าคิดอนุมานเอาเอง ที่ท่านไม่ยอมบรรลุธรรมก็เพราะติดและกำลังเสวยวิบากของความปรารถนาจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างพระพุทธเจ้าทีปังกรและการมีจิตน้อมที่จะอธิษฐานเป็นพระโพธิสัตว์ของท่าน เป็นธรรมของพระโพธิสัตว์ทุกท่านทุกองค์ที่จะไม่ทำโสดาปัตติมรรคได้ถ้ายังไม่ถึงวาระและชาติที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า ลองไปสืบสาวราวเรื่องหาอ่านดูเรื่องคุณลักษณะของพระโพธิสัตว์นะครับ น่าจะมีบอกไว้ในพระสูตร |
เจ้าของ: | asoka [ 29 ธ.ค. 2016, 19:57 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่อของคนฟุ้งซ่านและยึดติด |
Rosarin เขียน: Kiss ![]() กิเลสคือไม่รู้ไม่เข้าใจ รู้คือปัญญาเกิดตอนฟัง ไม่ฟังก็ไม่รู้จักกิเลสของตน ![]() ![]() http://www.youtube.com/watch?v=4Oxr_U3-GcY ![]() ![]() ![]() ![]() ปัญญา รู้ ไม่ได้ถูกล้อคไว้ว่าจะเกิดขึ้นแต่ตอนฟังเสมอไปอย่างที่คุณพิมกำลังยึดมั่นถือมั่นอยู่ขณะนี้นะครับ ปัญญาสามารถเกิดขึ้นได้ทุกตอนกับทุกผัสสะของอายตนะทั้ง 6 ครับ คำว่า "ปัญญา" ที่แท้จริงนั้นคือ ความรู้ที่เกิดรู้ขึ้นตรงที่ใจ หรือที่เรียกว่า "ภาวนามยปัญญา" ปัญญาชนิดนี้เท่านั้นที่จะทำให้เกิดการยอมรับและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ ปัญญาที่เกิดจากผัสสะของทวารทั้ง 5 คือเว้น มโนทวาร นอกนั้นถือเป็นสุตตะและจินตมยปัญญาต้องอาศัยสัญญาความจำหมายในบัญญัติมาช่วย สุดท้ายเมื่อมาลงรู้ที่ใจตรงๆแล้วจึงจะเป็นภาวนามยปัญญาหรือปัญญาที่แท้จริงครับ ![]() |
เจ้าของ: | Rosarin [ 30 ธ.ค. 2016, 01:14 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่อของคนฟุ้งซ่านและยึดติด |
![]() ![]() ครั้งพุทธกาลไม่มีใครทราบล่วงหน้าแบบไปอ่านท่องจำคำสอนมาก่อนหรอกค่ะ ปัญญาถึงเฉพาะพระธรรมที่ทรงแสดงความจริงให้รู้ตัวเด่วนี้เลยค่ะถูกไหม ที่เอามาสนทนาเอ่อแบบว่ารู้เกินความจริงที้ตนกำลังมีอ่ะค่ะเรียกว่าจำ สัญญาจำไว้ล่วงหน้าว่าสภาวะแบบนี้ชื่ออะไรบ้างเป็นสัญญานะคะ เหมือนเดินผ่านทางนี้ทุกวันมีอะไรเห็นหมดเลยเหมือนรู้ค่ะแต่ไม่รู้ เพราะดูแต่สิ่งต่างๆที่แสดงสมมุติบัญญัติที่ตนยังเข้าไม่ถึงสัจจะค่ะ เดินไปเนี่ยใครรู้บ้างว่าแต่ละวันมีฝุ่นปลิวไปมามากแค่ไหนติดเท้า ไม่รู้ถูกไหมคะ...ปัญญาต้องรู้ว่าสัญญาที่กายจิตตนเองตรงคำไหน ที่ถึงสัจจะจริงๆคือเข้าถึงความจริงที่ปะทะเฉพาะตนซึ่งหน้าทันที ไม่ใช่การจำชื่อบัญญัติที่มีการขยายความยาวๆเช่นอริยสัจธรรม แค่คิดคำ1คำได้แต่ไม่ใช่ความรู้สึกทันทีก็คือเลยปัจจุบันขณะแล้ว ถามที่เถอะค่ะท่านอโศกะมีสติไหมในการเข้าถึงความจริงตรงจริง ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | asoka [ 30 ธ.ค. 2016, 07:57 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่อของคนฟุ้งซ่านและยึดติด |
![]() น้องพิมคงยังไม่เข้าใจปัญญา 3 เพราะยึดติดแน่นกับความเห็นสุดโต่งของตน จึงเกิดอาการเอียงกะเท่เร่ พูดซ้ำอยู่อย่างเดียวเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง ต้องปล่อยวางสิ่งที่ยึดว่าใช่นั้นเสียจึงจะกลับสู่ ตรงกลาง ทางสายกลางและสมดุลย์ "สัพเพธัมมา นาลังอภินิเวสายะ" "ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" จิตใจที่ลงกลางดีแล้วและได้สมดุลย์จะพูดเป็นกลางๆ ปกติ ไม่สุดโต่งโด่งชี้ชัดตัดสินไปทางใดทางหนึ่ง เพราะสังขารความปรุงแต่งทั้งปวงเป็นอนิจจัง เปลี่ยนแปลงได้เสมอ ทุกขังทนตั้งอยู่คงสภาพอยู่ถาวรอย่างนั้นไม่ได้ ธรรมทั้งหมดทั้งปวงเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ เขาหากเป็นไปตามอำนาจแห่งเหตุ ปัจจัยและกรรม ![]() |
เจ้าของ: | Rosarin [ 30 ธ.ค. 2016, 14:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่อของคนฟุ้งซ่านและยึดติด |
asoka เขียน: :b39: น้องพิมคงยังไม่เข้าใจปัญญา 3 เพราะยึดติดแน่นกับความเห็นสุดโต่งของตน จึงเกิดอาการเอียงกะเท่เร่ พูดซ้ำอยู่อย่างเดียวเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง ต้องปล่อยวางสิ่งที่ยึดว่าใช่นั้นเสียจึงจะกลับสู่ ตรงกลาง ทางสายกลางและสมดุลย์ "สัพเพธัมมา นาลังอภินิเวสายะ" "ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" จิตใจที่ลงกลางดีแล้วและได้สมดุลย์จะพูดเป็นกลางๆ ปกติ ไม่สุดโต่งโด่งชี้ชัดตัดสินไปทางใดทางหนึ่ง เพราะสังขารความปรุงแต่งทั้งปวงเป็นอนิจจัง เปลี่ยนแปลงได้เสมอ ทุกขังทนตั้งอยู่คงสภาพอยู่ถาวรอย่างนั้นไม่ได้ ธรรมทั้งหมดทั้งปวงเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ เขาหากเป็นไปตามอำนาจแห่งเหตุ ปัจจัยและกรรม ![]() ![]() ![]() ท่านอโศกะไม่รู้จักพระพุทธเจ้าเลยเพราะไม่มีสติตรงความจริง แต่ท่านอโศกะหลงสมมุติที่ตนยึดมั่นในสิ่งที่ตนทำว่ารู้จริง แต่พระพุทธเจ้าตรัสให้รู้ความจริงที่กำลังมีจริง/จริงๆ เช่นจิตเห็นจะเกิดได้ต้องมี3ธัมมะประจวบกันคือ 1จักขุวิญญาณ2จักขุปสาทะรูป3รูปของสีสันวรรณะ ![]() จิตเห็นเกิดจากรูปพิเศษที่กลางตาที่คนมองไม่เห็น แต่พระพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงที่พระองค์เห็น ทั้ง3ธัมมะที่ประจวบกันพระพุทธเจ้าผู้เดียวที่เห็น ไม่มีใครสามารถเห็นจักขุปสาทะรูปจริงไหมคะ แล้วที่ทุกคนรู้ว่าจิตเห็นมีองค์ประกอบอะไรบ้าง เพราะศึกษาคำสอนเข้าใจตามคำสอนถูกไหม หรือท่านอโศกะมีปัญญามองเห็นจักขุปสาทะรูป ![]() จักขุปสาทะรูปคือรูปพิเศษตรงกลางตาเป็นที่ตั้งของเห็น จักขุวิญญาณเกิดปรากฏว่าเห็นได้เพราะมีการปรากฏ การกระทบกันของจักขุปสาทะรูปกับอุปาทายะรูป(คือสีที่มหาภูตรูป) ถ้าท่านอโศกะคิดว่ารู้ความจริงของเห็นเป็นไปได้ไหม เพราะพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่เห็นรูปพิเศษที่กลางอายตนะภายในทั้ง6ทาง ![]() ท่านอโศกะคิดว่าเชื่อพระพุทธเจ้าเพราะอะไร คงไม่ใช่เพราะเห็นจักขุปสาทะหรือปสาทะอื่นๆ เพราะปสาทะรูปที่พิเศษอยู่ตรงกลางที่มหาภูตรูป คือที่กลางตาหูจมูกลิ้นกายใจไม่มีใครเห็นนะคะ เป็นพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แม้พระสารีบุตรก็ไม่ได้รู้เห็นเอง เพราะสาวกคือผู้รู้ตามเท่านั้น คิดได้ตามพระปัญญาใคร ![]() พระผู้มีพระภาคอะระหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 01 ม.ค. 2017, 15:54 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่อของคนฟุ้งซ่านและยึดติด |
asoka เขียน: Rosarin เขียน: สุเมธดาบสสามารถบรรลุอรหันต์ได้เมื่อได้ฟังพระทีปังกะระพุทธเจ้าชาตินั้นเลย ท่านอโศกะว่าสุเมธดาบสฟุ้งซ่านหรือคิดถูกต้องและบารมีคือความดีพร้อมแล้วอ่ะ การได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าเป็นนิยตโพธิสัตว์แล้วและต้องเกิดอีก4อสงไขย เรียกว่าฟุ้งซ่านไหม...การคิดถูกต้องตามคำสอน...ตามคำสอนเท่านั้นคือปัญญาบารมีน๊า ขอบคุณที่คุณรสรินมาสนใจกระทู้นี้ครับ กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่คิด ตั้งใจจะให้เป็นคำตอบแก่คุณกรัชกายในปัญหาทั้งหมดของศิษย์กรัชกายที่ไปก้อปเอาอารมณ์ของศิษย์ทั้งหลายกระจายถามไปในกระทู้ต่างๆนับสิบกระทู้ดังที่ได้เห็นได้อ่านกันครับ พอดีคุณรสรินมาสนใจตั้งคำถามให้ก่อน ก็ดีครับ จะได้สนทนากันไป คุยกันไปพลางๆจนกว่ากรัชกายจะปรากฏร่างขึ้นมา การที่ท่านสุเมธดาบสไม่ยอมบรรลุอรหันต์ทันทีที่ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าทีปังกรไม่ใช่เรื่อฟุ้งซ่านหรือไม่ฟุ้งซ่าน คิดถูกต้องหรือคิดผิดอะไรนะครับระดับสุเมธดาบสนี่ นิวรณ์ 5 สงบไปนานแล้วไม่ต้องห่วงและอย่าคิดอนุมานเอาเอง ที่ท่านไม่ยอมบรรลุธรรมก็เพราะติดและกำลังเสวยวิบากของความปรารถนาจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างพระพุทธเจ้าทีปังกรและการมีจิตน้อมที่จะอธิษฐานเป็นพระโพธิสัตว์ของท่าน เป็นธรรมของพระโพธิสัตว์ทุกท่านทุกองค์ที่จะไม่ทำโสดาปัตติมรรคได้ถ้ายังไม่ถึงวาระและชาติที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า ลองไปสืบสาวราวเรื่องหาอ่านดูเรื่องคุณลักษณะของพระโพธิสัตว์นะครับ น่าจะมีบอกไว้ในพระสูตร อ้างคำพูด: ตั้งใจจะให้เป็นคำตอบแก่คุณกรัชกายในปัญหาทั้งหมดของศิษย์กรัชกายที่ไปก้อปเอาอารมณ์ของศิษย์ทั้งหลาย ท่านอโศก เหมือนคนหนามตำไม่เจ็บ เหยียบก้นบุหรี่ไม่ร้อน ยุงกัดไม่รู้สึก อิอิ เหมือนคนไม่มีสัญญา คือ ความจำได้หมายรู้ คือจะเอาแต่ทิ้งท่าเดียว ทิ้งไปทิ้งมากางเกงในก็ทิ้ง ก็บอกแล้วว่าถ้าอยู่อินเดียเป็นเถียรถีย์นิครนถ์แก้ผ้าเดินไปแล้ว บอกไม่เชื่อ บอกนับครั้งไม่ถ้วนว่าไม่ใช่ศิษย์กรัชกาย ![]() ทั้งที่วางลิงค์ที่มาให้แล้วก็ไม่สำเหนียกสำนึก เออ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 01 ม.ค. 2017, 17:00 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่อของคนฟุ้งซ่านและยึดติด |
asoka เขียน: ความฟุ้งซ่านเป็น 1 ในนิวรณ์ 5 ที่ค่อนข้างจะสำคัญกว่านิวรณ์ตัวอื่นเพราะกว่าจะขุดถอนออกได้ต้องใช้ถึงอรหัตมรรคโน่นเชียว ซึ่งที่เป็นลักษณะของความฟุ้งซ่านที่ชัดเจนคือความคิด หรือจิตตสังขารความคิดแทบทุกอย่างถือเป็นความฟุ้งซ่านของจิต ซึ่งแม้แต่กระทั้งความคิดพิจารณาตามเนื้อธรรมคำสอนถ้าหยุดไม่ได้ สงบไม่เป็นก็ต้องถือว่าเป็นความฟุ้งซ่าน การที่โยคีหรือผู้ปฏิบัติธรรมไปพบกับผัสสะ อารมณ์ ความ รู้สึกต่างๆแล้วเกิดการสังขารปรุงแต่งว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ขึ้นมา จะทำให้เกิดความคิดนึกตามมาแล้วลามไปเป็นความฟุ้งซ่าน เป็นมโนกรรม เกิดตัณหา อุปาทาน กรรมและวิบากต่างๆตามมา แต่ถ้าสติไปรู้ทันเสียตั้งแต่เกิดผัสสะระงับเวทนาที่เกิดตามมาเสียได้ ความฟุ้งซ่านก็ไม่มีโอกาสได้เกิด (มีต่อ แบตหมดครับ) ผู้ปฏิบัติธรรมใหม่ๆหรือบางทีเก่าๆนานๆแล้วก็ตามพอเกิดผลจากสมาธิ คือ ปีติ ปัสสัทธิ นิมิต ฌาณ ต่างๆขึ้นมาแล้วไปหลงสงสัย เพลิน ติดใจ กลัว สำคัญผิดต่างๆแล้วไปสังขารปรุงแต่งต่อเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาเยอะแยะมากมายเลยเป็นงานที่ไม่ใช่งานขึ้นมาคือไปเป็นปัญหาถามครูบาอาจารย์ให้ช่วยแก้ไข ที่ปรึกษาอาจารย์แก้ให้ไม่เป็น ไม่ถูกประเด็นไม่ถูกเหตุ เลยพากันฟุ้งไปใหญ่ จมลงในปัญหาดังตัวอย่างที่คุณกรัชกายยกมาถามให้เปรอะเยอะแยะมากมาย เมื่อวิเคราะห์ลงไปก็เป็นเรื่องฟุ้งซ่าน อุปาทาน สังขารปรุงแต่งไปของผู้ปฏิบัติเหล่านั้นทั้งสิ้น การแก้ไขอุทธัจจะหรือความฟุ้งซ่านของผู้ปฏิบัตินั้นมีหลักใหญ่ใจความว่าต้องทำให้เขาเหล่านั้นมีสติสัมปชัญญะกลับคืนมาอยู่กับปัจจุบันและงานในหน้าที่ที่เขาต้องทำ ถ้าอยู่ในขั้นตอนเจริญสมาธิก็ให้มีสติรู้ทันนิวรณ์ทั้ง 5 มีปัญญารู้ตัวว่ากำลังทำหน้าที่สงบนิวรณ์เพื่อให้เกิดสมาธิและฌาณ มิใช่งานอื่นและยังไม่ใช่ขั้นตอนการเจริญปัญญาวิปัสสนา นิวรณ์ 5 สงบดีแล้วเมื่อไหร่จึงค่อยไปทำความเพียรเจริญปัญญาต่อ ถ้าอยู่ในขั้นตอนเจริญวิปัสสนาปัญญาก็คอยรักษาระดับสมาธิให้เพียงพอสำหรับการจดจ่อต่อเนื่องในการดู รู้ สังเกตและพิจารณาธรรม ตอนพิจารณาธรรมก็ต้องพยายามทำให้อยู่ในกรอบที่ควบคุมได้คือไม่ลุกลามไปเป็นการคิดฟุ้งซ่าน ลำดับงานควรจะมีเพียง ดู เห็น สังเกต รู้ สภาวธรรมที่กำลังเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงและดับไปในกายในใจ ไม่ให้แลบต่อไปถึงการพิจารณาที่ต้องใช้ความคิดนึก เพราะสภาวธรรมจริงที่เป็นปรมัตถ์อนัตตา ใช้แค่ปัญญาดูสังเกต ก็จะรู้หรือเกิดปัญญารู้ขึ้นมาเองตรงในใจไม่ต้องคิดนึก แต่ถ้าจำเป็นจะต้องถอยออกมาคิดนึกพิจารณาเป็นธรรมวิจัยหรือการใคร่ครวญธรรม ก็อาจทำได้เพื่อให้เกิดจินตมยปัญญามาหนุนภาวนามยปัญญาให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นแต่ต้องคอยระวังเพราะตอนนั้นสติจะไม่ทันปัจจุบันอารมณ์ ต้องมาทรงอยู่ทำงานพิจารณาอดีตหรืออนาคตอารมณ์ โมหะและจิตตสังขารสามารถแทรกเข้ามาจนเกิดเป็นความฟุ้งซ่านได้ตลอดเวลา พิจารณาพอได้แนวทางแล้วก็ต้องรีบกลับไปอยู่ตรงช่องทางเดินของวิปัสสนาภาวนาคือ สติ ปัญญาไปอยู่ตรงงาน ดู เห็น สังเกต รู้ สภาวธรรมตามที่มันเป็น (ตถตา) ไม่ต้องห่วงว่ามันจะไม่รู้ตามที่ตำราบอกสอนไว้ มันจะรู้เองเป็นเองไปตามลำดับโดยธรรม อ้างคำพูด: มันจะรู้เองเป็นเองไปตามลำดับโดยธรรม เป็นคำพูดของคนไม่รู้จะทำอิท่าไหนดี ก็เลยพูดว่ามันจะรู้เองเป็นเองตามลำดับธรรม อิอิ ![]() ถ้ายังงั้นนะ นี่เขาก็รู้เองเป็นเองไปแล้ว คงไม่ตั้งกระทู้ถามให้เจ็บนิ้วหรอก เออ ![]() อ้างคำพูด: ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สามนั่งไปซักพัก ประมาณสิบนาที เริ่มมีอาการเหวี่ยง แบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัวจึงนั่งต่อไม่ได้ ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก จนลาสิกขามา ก็เริ่มมาหาอ่านเอง จนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฐฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลย หมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย ผมก็พิจารณาว่าเป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืนหมุนจนจะอ้วกจนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น คำถามครับ 1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง 2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่า มันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนาทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่างมีเกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้วจะทำไปเพื่ออะไร หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน ก่อนท่านอโศกจะจากโลกนี้ไป ช่วยบอกวิธีกำหนดถี่ๆอย่างทีว่าหน่อยสิ นึกสะว่าเป็นของขวัญปีใหม่ให้กรัชกายแล้วกัน สาธุ เอ้า ![]() |
เจ้าของ: | asoka [ 02 ม.ค. 2017, 17:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่อของคนฟุ้งซ่านและยึดติด |
![]() สวัสดีปีใหม่ 2560 ครับทุกๆท่าน ![]() ปีใหม่เริ่มต้นชีวิตใหม่กันในทางที่ดีและประเสริฐยิ่งขึ้นกว่าเดิมนะครับ ![]() ปีใหม่แต่กรัชกายยังไม่เป็นคนใหม่ ยังฟุ้งซ่านและมากเรื่องเหมือนเดิม ยังยึดติดอยู่กับเรื่องและปัญหาเก่าๆในอดีตที่จำเจ ซ้ำซากนะครับ ยังเปลี่ยนทันนะ กลิ่นอายปีใหม่ยังคุกรุ่นอยู่ ![]() ![]() ปัญหาที่ยกมาถามก็ยังลงล๊อกเดิมเป็นปัญหาของคนที่สติไม่ทันปัจจุบันอารมณ์ สัมปชัญญะขาดเหมือนเดิม กรัชกายก็แก้ปัญหาให้เขาไม่ได้เหมือนเดิม ใช่ไหมครับ สอนหลักการวิเคราะห์ปัญหาและวิธีแก้ไขให้แล้วก็ไม่ยอมเอาไปใช้ แถมยังกลับมาดูถูกดูแคลนอาจารย์ผู้แนะนำเสียอีก อย่างนี้คงไปไม่รอดแน่ครับคุณกรัชกาย ไม่เป็นไร ปีใหม่ เริ่มต้นกันใหม่ดีๆอีกครั้งหนึ่ง สังเกต พิจารณา จดจำไว้ให้ดีนะจะบอกเทคนิคและวิธีแก้ไขปัญหาทุกเรื่องของกรัชกายให้ ในกระทู้นี้นะ ต่อไปมีปัญหาอะไรก็ให้มาถามในกระทู้นี้กระทู้เดียวก็พอนะ จะได้มีสมาธิและหายฟุ้งซ่านกันเสียที ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 02 ม.ค. 2017, 17:44 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่อของคนฟุ้งซ่านและยึดติด |
asoka เขียน: สวัสดีปีใหม่ 2560 ครับทุกๆท่าน ปีใหม่เริ่มต้นชีวิตใหม่กันในทางที่ดีและประเสริฐยิ่งขึ้นกว่าเดิมนะครับ ปีใหม่แต่กรัชกายยังไม่เป็นคนใหม่ ยังฟุ้งซ่านและมากเรื่องเหมือนเดิม ยังยึดติดอยู่กับเรื่องและปัญหาเก่าๆในอดีตที่จำเจ ซ้ำซากนะครับ ยังเปลี่ยนทันนะ กลิ่นอายปีใหม่ยังคุกรุ่นอยู่ ปัญหาที่ยกมาถามก็ยังลงล๊อกเดิมเป็นปัญหาของคนที่สติไม่ทันปัจจุบันอารมณ์ สัมปชัญญะขาดเหมือนเดิม กรัชกายก็แก้ปัญหาให้เขาไม่ได้เหมือนเดิม ใช่ไหมครับ สอนหลักการวิเคราะห์ปัญหาและวิธีแก้ไขให้แล้วก็ไม่ยอมเอาไปใช้ แถมยังกลับมาดูถูกดูแคลนอาจารย์ผู้แนะนำเสียอีก อย่างนี้คงไปไม่รอดแน่ครับคุณกรัชกาย ไม่เป็นไร ปีใหม่ เริ่มต้นกันใหม่ดีๆอีกครั้งหนึ่ง สังเกต พิจารณา จดจำไว้ให้ดีนะจะบอกเทคนิคและวิธีแก้ไขปัญหาทุกเรื่องของกรัชกายให้ ในกระทู้นี้นะ ต่อไปมีปัญหาอะไรก็ให้มาถามในกระทู้นี้กระทู้เดียวก็พอนะ จะได้มีสมาธิและหายฟุ้งซ่านกันเสียที ยังไปไหนมา? 3 วา 2 ศอกเหมือนเดิม ไม่ได้ถามเรื่องปีใหม่ ถามเรื่องกำหนดถี่ๆที่ว่านั่นน่า กำหนดยังไง กำหนดถี่ๆ ว่าไปถี |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 02 ม.ค. 2017, 18:12 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่อของคนฟุ้งซ่านและยึดติด |
เปลียนพ.ศ.ใหม่แล้วท่านอโศกก็ยังเหมียนเดิม เจอะของจริงเข้าไป เพ่นเข้าห้องแทบไม่ทัน คิกๆๆ ทำนายไว้เลย ว่าคืนนี้แอบลักหลับอีก อย่านะๆ ![]() เปลี่ยนพ.ศ. ใหม่เปลี่ยนใจหรือยัง https://www.youtube.com/watch?v=YFDCLCw2WQY |
เจ้าของ: | asoka [ 03 ม.ค. 2017, 07:38 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่อของคนฟุ้งซ่านและยึดติด |
![]() การช่วยแก้ปัญหาของผู้ปฏิบัติธรรมนั้น ไม่ใช่การจมลงไปในปัญหาร่วมกับเขา แต่ต้องลอยตัวอยูเหนือปัญหาเพื่อจะได้รู้หรือเห็นครอบคลุมปัญหาทั้งหมดและที่มาของปัญหาตลอดจนวิธีแก้ไข หลักสากลหรือหลักธรรมในการวิเคราะห์และแก้ปัญหาทุกชนิดในโลกหรือนอกโลก คือหลักของเหตุและผล ดังคำบอกของท่านพระอัสชิที่มีต่ออุปติสสะปริพาชกว่า [size=150]"เยธัมมาเหตุปัพวา เทสังเหตุงตถาคถาคตา เตสัญจโยนิโรโธจะ เอวังวาทีมหาสมโณ" "ทุกสิ่งเกิดแต่เหตุ พระพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุนั้นและวิธีดับเหตุนั้น นี่คือคำกล่าวของพระมหาสมณะ"[/size] ปัญหาของนายแพทย์ที่ติดปีติ หมุนติ้วดังที่ยกมาถามนั้น เมื่อวิเคราะห์ดูแล้วเป็นเพราะเหตุที่ สติของเขาไม่ทันปัจจุบันอารมณ์จึงถูกโมหะครอบงำ สัมปชัญญะความรู้ตัวก็ขาดหลุดออกจากทางและหน้าที่แห่งการทำสมาธิภาวนาและวิปัสสนาภาวนาอีกอย่างหนึ่งก็เป็นวิบากหรือผลของกรรมที่เขาต้องเสวยเพราะ คนติดปีตินี่กว่าจะหลุดพ้นได้ต้องใช้เวลานับเป็นปีๆ บางคนหมุนเต้นอยู่ไม่นาน บางคนหลายปี อโศกะเคยติดปีติหมุนสั่นเต้นอย่างนี้เกือบ 3 ปีถึงแก้ได้ กระบวนการแก้ไขให้เขารู้เรื่องเหตุและผลแล้วให้เขาเพิ่มความสังเกตให้ลึกละเอียดลงไปอีกว่าก่อนจะมีอาการเต้นหมุนนั้นมีผัสสะ เวทนา อารมณ์อะไรเกิดขึ้นมาก่อนเป็นลำดับ หลังจากเต้นหมุนจบแล้วมีอาการเวทนา อารมณ์ ความรู้สึกอย่างไรเกิดขึ้นตามมา สอบอารมณ์และส่งอารมณ์ให้ละเอียด จะพบเหตุที่เมื่อปีติเกิดแล้วเกิดอาการเต้นหมุนจากรายละเอียดเหล่านั้น ถ้าเป็นการปฏิบัติสายหนอก็หนอให้ถี่ๆหนอให้ทันปัจจุบันอารมณ์ที่ลึกละเอียดก่อนและหลังการเกิดอาการผิดปกตินั้น แต่ถ้ายังมีบริกรรมหนออยู่มักจะไม่ค่อยทันอารมณ์ละเอียดเหล่านั้น ต้องวางหนอแล้วเอาสติตามรู้จิตตรงๆจึงจะไล่ทันกันเพราะไม่ต้องมัวไปพะวงล่าช้าอยู่กับคำบริกรรม หนอ จากข้อสังเกตและประสบการณ์ที่แก้ปีติให้กับตัวเองและเพื่อนสหธัมมิกได้พบว่า บางคนติดในรสของปัสสัทธิที่เกิดต่อจากปีติเพราะพอหมุนจบจิตจะหยุดคิดนึกสมาธิตั้งมั่นกายเบาใจเบามีสุขเลยสำคัญผิดเกิดอุปาทานยึดว่าต้องหมุนสั่นเสียก่อนจึงจะได้อาการของปัสสัทธิดังกล่าวมา เช่นเดียวกับพวกจ้าว คนทรง หรือนักปลุกพระทั้งหลาย ที่จะต้องปลุกตัวเองจนปีติเกิดสั่นเต้นไปทั้งตัว จนลืมตัวลืมตน ลืมตัวลืมตนนี่สำคัญมาก เพราะถ้าไปอยู่ในภาวะไร้ตัวตยชั่วคราวช่นนั้นได้มันจะไม่เจ็บไม่ปวดมีฤทธิ์มีอำนาจพิเศษเหนือมนุษย์เกิดขึ้น (มีต่อ แบตหมด) ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 03 ม.ค. 2017, 08:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่อของคนฟุ้งซ่านและยึดติด |
asoka เขียน: :b38: การช่วยแก้ปัญหาของผู้ปฏิบัติธรรมนั้น ไม่ใช่การจมลงไปในปัญหาร่วมกับเขา แต่ต้องลอยตัวอยูเหนือปัญหาเพื่อจะได้รู้หรือเห็นครอบคลุมปัญหาทั้งหมดและที่มาของปัญหาตลอดจนวิธีแก้ไข หลักสากลหรือหลักธรรมในการวิเคราะห์และแก้ปัญหาทุกชนิดในโลกหรือนอกโลก คือหลักของเหตุและผล ดังคำบอกของท่านพระอัสชิที่มีต่ออุปติสสะปริพาชกว่า "เยธัมมาเหตุปัพวา เทสังเหตุงตถาคถาคตา เตสัญจโยนิโรโธจะ เอวังวาทีมหาสมโณ" "ทุกสิ่งเกิดแต่เหตุ พระพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุนั้นและวิธีดับเหตุนั้น นี่คือคำกล่าวของพระมหาสมณะ" ปัญหาของนายแพทย์ที่ติดปีติ หมุนติ้วดังที่ยกมาถามนั้น เมื่อวิเคราะห์ดูแล้วเป็นเพราะเหตุที่ สติของเขาไม่ทันปัจจุบันอารมณ์จึงถูกโมหะครอบงำ สัมปชัญญะความรู้ตัวก็ขาดหลุดออกจากทางและหน้าที่แห่งการทำสมาธิภาวนาและวิปัสสนาภาวนาอีกอย่างหนึ่งก็เป็นวิบากหรือผลของกรรมที่เขาต้องเสวยเพราะ คนติดปีตินี่กว่าจะหลุดพ้นได้ต้องใช้เวลานับเป็นปีๆ บางคนหมุนเต้นอยู่ไม่นาน บางคนหลายปี อโศกะเคยติดปีติหมุนสั่นเต้นอย่างนี้เกือบ 3 ปีถึงแก้ได้ กระบวนการแก้ไขให้เขารู้เรื่องเหตุและผลแล้วให้เขาเพิ่มความสังเกตให้ลึกละเอียดลงไปอีกว่าก่อนจะมีอาการเต้นหมุนนั้นมีผัสสะ เวทนา อารมณ์อะไรเกิดขึ้นมาก่อนเป็นลำดับ หลังจากเต้นหมุนจบแล้วมีอาการเวทนา อารมณ์ ความรู้สึกอย่างไรเกิดขึ้นตามมา สอบอารมณ์และส่งอารมณ์ให้ละเอียด จะพบเหตุที่เมื่อปีติเกิดแล้วเกิดอาการเต้นหมุนจากรายละเอียดเหล่านั้น ถ้าเป็นการปฏิบัติสายหนอก็หนอให้ถี่ๆหนอให้ทันปัจจุบันอารมณ์ที่ลึกละเอียดก่อนและหลังการเกิดอาการผิดปกตินั้น แต่ถ้ายังมีบริกรรมหนออยู่มักจะไม่ค่อยทันอารมณ์ละเอียดเหล่านั้น ต้องวางหนอแล้วเอาสติตามรู้จิตตรงๆจึงจะไล่ทันกันเพราะไม่ต้องมัวไปพะวงล่าช้าอยู่กับคำบริกรรม หนอ จากข้อสังเกตและประสบการณ์ที่แก้ปีติให้กับตัวเองและเพื่อนสหธัมมิกได้พบว่า บางคนติดในรสของปัสสัทธิที่เกิดต่อจากปีติเพราะพอหมุนจบจิตจะหยุดคิดนึกสมาธิตั้งมั่นกายเบาใจเบามีสุขเลยสำคัญผิดเกิดอุปาทานยึดว่าต้องหมุนสั่นเสียก่อนจึงจะได้อาการของปัสสัทธิดังกล่าวมา เช่นเดียวกับพวกจ้าว คนทรง หรือนักปลุกพระทั้งหลาย ที่จะต้องปลุกตัวเองจนปีติเกิดสั่นเต้นไปทั้งตัว จนลืมตัวลืมตน ลืมตัวลืมตนนี่สำคัญมาก เพราะถ้าไปอยู่ในภาวะไร้ตัวตยชั่วคราวช่นนั้นได้มันจะไม่เจ็บไม่ปวดมีฤทธิ์มีอำนาจพิเศษเหนือมนุษย์เกิดขึ้น (มีต่อ แบตหมด) อ้างคำพูด: เยธัมมาเหตุปัพวา เทสังเหตุงตถาคถาคตา เตสัญจโยนิโรโธจะ เอวังวาทีมหาสมโณ" "ทุกสิ่งเกิดแต่เหตุ พระพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุนั้นและวิธีดับเหตุนั้น นี่คือคำกล่าวของพระมหาสมณะ" นั่นว่าตามตำรา กรัชกายเปิดหนังสือดูจนมือด้านแล้วนะ คิกๆๆ ทีหน้า ก่อนเข้าลานชาร์ตแบตให้เต็ม 100 % นะ จำไว้ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 3 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |