วันเวลาปัจจุบัน 02 พ.ค. 2024, 18:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2022, 05:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"พ่อพาเฮ็ดพาทำนี้ บ่แม่นเพื่อพ่อเด้
เพื่อให้พวกลูกได้สร้างบุญเอาไว้
เที่อตายไปสิได้บ่ตกไปอบายภูมิ..."

หลวงปู่ปั่น สมาหิโต อายุ ๙๖ ปี
สำนักสงฆ์ศรีอุทัย ต.วังยาง อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร








ให้พวกเราพากันนั่งดูลมหายใจเข้าหายใจออก หน้าที่อย่างอื่นไม่มี ให้จิตอยู่ในปัจจุบัน ไม่คิดเรื่องอดีต ไม่คิดเรื่องอนาคต ไม่กังวลเรื่องเกิดแก่เจ็บตายของตนเองและผู้อื่น

โลกเราเปลี่ยนแปลงเกิดดับของมัน ปล่อยวางรับรู้แต่ลมหายใจเข้าหายใจออกอย่างเดียว จิตใจของเราจิตใจมันอยู่สงบ ธรรมชาติของจิตคือ สะอาด สว่าง สงบ

ธรรมชาติของกิเลสคือ ร้อนวุ่นวาย ไม่สงบ ไม่สะอาด เพราะฉะนั้น จิตที่มีกิเลสก็แยกออกได้ จิตกับอารมณ์ก็แยกออกได้ หันมาดูจิตถ้ามีอารมณ์แล้วก็ปล่อย ทั้งยินดี ทั้งยินร้าย

โอวาทธรรม พระอาจารย์สิริปัญโญ (Ajahn Siripannyo)
ทายาทมหาเศรษฐี ผู้สละทางโลก





#ความชั่วอย่าทำ_ความดีให้ส่งเสริม

"... นี่ชื่อว่าเป็นผู้รับผิดชอบในตัวเอง รับผิดชอบอย่างนี้แล้ว
... ไปข้างหน้าผลแห่งการ รับผิดชอบตัวเรา
นี้เอง
... จะเป็นเครื่องป้องกันเรา ไม่มีใครมาป้องกันนะ
... อยู่กันเป็นกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้าน ๆ ก็ตาม ไม่มีใครมีอำนาจ
... ยิ่งกว่าบาปกับบุญที่ครองใจเรา บาปครองใจนี้บีบเลย
... บุญครองใจนี้หนุนขึ้นตลอด เป็นอย่างนี้มา
กี่กัปกี่กัลป์
... เราเป็นผู้รับผิดชอบในตัวของเรา ต้องทำ ความระมัดระวัง
... รักษาความดีตลอดอย่าจืดอย่าจาง ..."

#ธรรมโอวาท
#หลวงตามหาบัว_ญาณสัมปันโน







#มองให้เห็นว่ามันเป็นธรรมชาติ

รู้สึกอย่างไรต่อการปฏิบัติ ก็ช่างมันเถอะ อย่าสำคัญมั่นหมาย บางวันก็รู้สึกขยัน บางวันก็เฉยๆ ไม่ค่อยอยากทำ ไม่เป็นไร

ถ้าเราไม่ยึดมั่น ความรู้สึกเป็นปัญหาไม่ได้ ขยันก็ทำ ขี้เกียจก็ทำ ไม่ต้องสงสัย การปฏิบัตินี่ก็คือปล่อย ปล่อย ปล่อย ปล่อย ไม่เอาอะไรเลย สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เราก็รู้เท่าทันแล้วก็ปล่อยมันไป

ปล่อยมันไป ปล่อยไปแล้วก็ไม่เห็นเดือดร้อนอะไร ตรงกันข้าม มันเบาดี แต่ก่อนนี้จิตใจเกาะอยู่กับอารมณ์ เหมือนว่าเรากับอารมณ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คือรู้สึกขยันแล้วอยากทำทั้งวันทั้งคืน เราจะหลงอยู่ในอารมณ์นั้น จะเชื่อในอารมณ์นั้น แต่อารมณ์นั้นก็ต้องเป็นไปตามธรรมดาของอารมณ์ คือเกิดขึ้นแล้วดับไป

ถ้าเรารู้สึกว่าเราเป็นผู้ขยัน เมื่อความขยันดับไป ก็รู้สึกกลุ้มใจ เสียใจ เพราะในขณะที่เราขยันมีกำลังใจ เราก็หลงเพลิดเพลินยินดีในความรู้สึกนั้น แต่เมื่อความรู้สึกนั้นดับไป เราก็รู้สึกว่าตัวเองเสื่อม

แต่ผู้มีปัญญาจะรู้ว่า ความขยันก็เป็นอารมณ์อันหนึ่งที่เราสนับสนุนอยู่ เพราะเป็นอารมณ์ฝ่ายกุศล แต่สนับสนุนอยู่ด้วยความรู้ในธรรมชาติของมันว่าเป็นของไม่แน่นอน เราจะขยันทั้งวัน ทั้งคืน ทั้งปี ทั้งเดือน เป็นไปไม่ได้

ความขยันย่อมมีเงาตามตัวคือความขี้เกียจ เราก็รู้ แล้วก็ป้องกันเอาไว้ คือเมื่อความขี้เกียจเกิดขึ้น เราก็ค่อยๆ ปรามมันไว้ แต่ถ้าไม่ฉลาด เราก็คิดผิด ว่าเราเป็นผู้ขี้เกียจ บางทีเราดูถูกดูหมิ่นตัวเองหรือโกรธตัวเองว่าเป็นคนขี้เกียจ แต่ความขี้เกียจไม่มีเจ้าของ มันเป็นของธรรมชาติ ต้องพยายามมองให้เห็นว่ามันเป็นของธรรมชาติ เป็นของธรรมดา

แต่ที่เรากำหนดรู้ตามความเป็นจริงว่าเป็นของธรรมชาติ เป็นของธรรมดานั้น ไม่ได้หมายความว่าต้องปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้นไปเรื่อยๆ เพราะธรรมชาติที่จะต้องละก็มี ธรรมชาติที่จะต้องบำเพ็ญก็มี ธรรมชาติที่ต้องชำระก็มี

จุดสำคัญคือเราเข้าใจว่าการละก็ดี การบำเพ็ญก็ดี การชำระก็ดี ล้วนแต่เป็นการปฏิบัติต่อสิ่งที่เป็นธรรมชาติทั้งนั้น ไม่ใช่ของใคร วิธีการภาวนาจึงเป็นวิธีที่จะปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ต่างๆ ว่าเป็นเรา เป็นของเรา นี่ก็เป็นอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ ...

#พระอาจารย์ชยสาโร







"#เพิ่มเวลาให้ชีวิต"

เดี๋ยวนี้คนที่ใช้อินเทอร์เน็ต
ใช้โชเชียลมีเดียหรือออนไลน์
ยิ่งใช้ก็ยิ่งเครียด
บางทีมีอารมณ์อกุศลต่างๆ เกิดขึ้น
ทั้งความโกรธ ความเกลียด
ความกลุ้มอกกลุ้มใจ วิตกกังวล
รวมทั้งความโลภด้วย
เพราะเดี๋ยวนี้มีโฆษณาต่างๆ เข้ามา
ให้เราดูให้เราเห็นทางโซเชียลมีเดียสารพัดเลย
ออนไลน์ก็ดี ยูทูปก็ดี
อินสตาแกรมก็ดี เฟสบุ๊คก็ดี
เห็นแล้วก็อยากได้เห็นแล้ว
ก็อยากซื้อ เห็นแล้วก็อยากมี
ไม่มีไม่ซื้อ ก็ทุกข์ กลุ้มใจ

ฉะนั้นถ้าเราใช้เวลาในการออนไลน์
ให้น้อยลง ๑ ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น
มันก็ทำให้เรามีช่วงเวลาที่ทุกข์
ช่วงเวลาที่ไม่สบายใจ
น้อยลงไปด้วยหนึ่งชั่วโมง
หรือมากกว่านั้น

และที่สำคัญอีกอย่างก็คือว่า
เป็นการฝึกจิตให้เรารู้จักอดกลั้น
เพราะเดี๋ยวนี้
เราทำอะไรตามใจอยากเยอะมาก
ทั้งที่บางทีก็รู้ว่ามันไม่ดีแต่ห้ามใจไม่ได้

แต่ถ้าเราลองฝึก เออ
เราจะใช้อินเทอร์เน็ต
ให้น้อยลงวันละ ๑ ชั่วโมง

ใหม่ๆ ก็ต้องใช้ความอดกลั้นมากทีเดียว
เพราะว่าคนเดี๋ยวนี้ติดเสียแล้ว

ติดโทรศัพท์มือถือ ติดออนไลน์

ที่จริงมันติดอย่างอื่น
ติดข้อมูลข่าวสาร ติดการชอป
ติดหนัง ติดเพลง
แต่โทรศัพท์มือถือเป็นช่องทาง
ในการเสพสิ่งเหล่านั้น
ก็เลยพลอยติดโทรศัพท์มือถือไปด้วย

แต่ถ้าเกิดว่าเรา
ถึงแม้ว่ายังต้องใช้โทรศัพท์มือถือ
ยังต้องออนไลน์อยู่
แต่ถ้าเราตั้งใจและฝึกใจ
ให้ใช้มันให้น้อยลงวันละ ๑ ชั่วโมง
ต้องใช้ความอดกลั้น
ต้องใช้ความพยายามมากทีเดียว

แต่ข้อดีคือ ทำให้จิตใจของเราเข้มแข็ง
และพอใจของเราเข้มแข็งแล้ว

การที่จะพ่ายแพ้ต่อกิเลส
ไม่ว่าจะเป็นความอยาก
ความโกรธ ความโลภ ก็น้อยลง

เราจะสามารถเอาชนะมันได้มากขึ้น

แต่เดี๋ยวนี้จิตใจของคนเราอ่อนแอ
เพราะว่าเราอยากได้อะไร
ก็ทำตามสิ่งที่อยาก
ติดอะไรก็พยายามหาสิ่งนั้นมาปรนเปรอ

จิตใจเลยอ่อนแอ

พออ่อนแอแล้ว
การที่จะพ่ายแพ้ต่อกิเลส ก็ง่ายมาก

เสร็จแล้วชีวิตก็ทุกข์มากขึ้น ย่ำแย่มากขึ้น

เพราะฉะนั้นถ้าเราตั้งใจว่า
วันๆหนึ่งๆ เราจะใช้อินเทอร์เน็ตให้น้อยลง
ใช้โทรศัพท์มือถือให้น้อยลง

โดยเฉพาะในโหมดออนไลน์

มันจะช่วยให้เรามีคุณภาพที่ดีขึ้นไม่น้อยเลย
รวมทั้งมีความสุขได้มากขึ้น

หรืออย่างน้อยก็มีความทุกข์น้อยลง
และเราก็ยังมีจิตใจที่เข้มแข็ง
ในการที่จะทวนกระแสกิเลส
ที่จริงควบคู่ไปกับการรณรงค์
ชักชวนให้คนออฟไลน์ให้มากขึ้น
ออนไลน์ให้น้อยลงแล้วนี่
ยังมีการชวนหรือเตือนใจให้คิดก่อนส่ง
อันนี้ไลน์เขาก็รณรงค์เหมือนกัน
.....
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๕






#บาปกรรม..!!

"... ขึ้นชื่อว่าบาปกรรม นรชนไม่ควรดูหมิ่น
ว่าเล็กน้อย
... เปรียบเสมือนภาชนะที่เขาเปิดปากตั้งไว้กลางแจ้ง
... เมื่อฝนตก น้ำฝนหยาดเดียวไม่ทำให้ภาชนะเต็มก็จริงอยู่
... แต่เมื่อฝนตกอยู่บ่อยๆ ภาชนะนั้นย่อมเต็มได้แน่ๆฉันใด ..."
#ผู้ทำบาปอยู่_แม้ทีละน้อยๆย่อมทำกองบาปให้ใหญ่โตขึ้น
#โดยลำดับได้ฉันนั้นเหมือนกัน"

#หลวงปู่ชอบ_ฐานสโม








#อานิสงส์ของบุญกุศลสูงสุด

พระพุทธเจ้าก็จัดลำดับของอานิสงส์ไว้...

ให้ทานกับสัตว์เล็กสัตว์น้อย มดปลวกต่างๆ ก็มีอานิสงส์

แต่ให้ทานกับสัตว์ที่ใหญ่ขึ้นมา​ ก็มีอานิสงส์ที่สูงกว่า

ให้ทานกับมนุษย์​ แม้ยังไม่มีศีล มนุษย์ทุศีล ก็มีอานิสงส์ที่สูงกว่า

แต่ว่าให้ทานกับมนุษย์ที่มีศีล ก็จะมีอานิสงส์ที่สูงกว่านั้นขึ้นไปอีก

ให้ทานกับมนุษย์ที่มีสมาธิ ทรงฌาน ก็จะมีอานิสงส์ที่พอกพูนขึ้นไปกว่านั้น

ให้ทานกับพระอริยบุคคล​ พระโสดาบัน ก็จะมีอานิสงส์ที่สูงกว่าขึ้นไปอีก ไล่ลำดับไปเรื่อยๆ

ให้ทานกับพระสกทาคามี อนาคามี อรหันต์ ก็จะสูงขึ้นไป

เรียกว่า ถวายทานกับพระอนาคามี 100 ครั้ง ยังไม่เท่ากับการถวายทาน แด่พระอรหันต์ครั้งหนึ่ง ลำดับชั้นก็จะสูงขึ้นไป

ถวายทานกับพระอรหันต์ 100 ครั้ง ก็ยังไม่เท่ากับการถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าครั้งหนึ่ง

ถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า 100 ครั้ง ก็ยังไม่เท่ากับการถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้งหนึ่ง

ถวายแด่พระพุทธเจ้า อานิสงส์สูงกว่าแล้วก็สิ่งที่สูงกว่านั้น ก็คือ

การถวายเป็นสังฆทาน แก่หมู่พระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน มีอานิสงส์สูงกว่าที่กล่าวมาทั้งหมดเลย

เพราะว่าเริ่มเป็นสังฆมณฑลแล้ว

ถวายสังฆทาน 100 ครั้งก็ยังไม่เท่ากับการถวายวิหารทาน เสนาสนะที่อยู่อาศัยที่เป็นสาธารณประโยชน์ เกื้อกูลแก่การปฏิบัติธรรมต่างๆ

ถวายวิหารทาน 100 ครั้ง ก็ยังไม่เท่ากับการให้ธรรมเป็นทาน มีอานิสงส์สูงกว่า ก็ไล่สเตปขึ้นมา

เรื่องของอานิสงส์ของบุญกุศล สูงสุดคือ " ธรรมทาน " อันนี้จัดอยู่ในหมวดรวมทั้งหมดของทาน คือการให้

มีอานิสงส์ที่สูงกว่าทานไหม? ....มี

พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็น “มหาทาน”
มหา แปลว่า ใหญ่... เป็นการให้ทานอันยิ่งใหญ

ก็คือ การรักษาศีล งดเว้นจากการเบียดเบียนไม่ทำให้ตนเอง และผู้อื่นเดือดร้อน

พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็น “มหาทาน" เป็นการให้อภัยทาน ให้ความไม่เบียดเบียน ให้ความไม่มีเวรมีภัย แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย

ผู้ที่มีปกติไม่เบียดเบียนใคร อยู่ที่ไหนที่นั่นก็ร่มเย็น จริงไหม?

ถ้าทุกคนในประเทศเรา ในโลกนี้มีศีล ไม่เบียดเบียนกัน ร่มเย็นไหมล่ะ

ต้องมีทหาร ต้องมีตำรวจไหม
ต้องมีอาวุธสงครามต่างๆไหม

ก็ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองกับสิ่งต่างๆเหล่านี้

การไม่เบียดเบียน พระพุทธเจ้าตรัสว่า...เป็นมหาทาน เป็นการให้ทานอันยิ่งใหญ่

เพราะฉะนั้น เรื่องของบุญกุศล อย่าไปคิดเรื่องของการต้องเสียเงินอะไร

เจตนาที่งดเว้น อานิสงส์ก็สูงกว่ามาก มีอานิสงส์ที่สูงกว่านี้ไหม?

รักษาศีล อย่างนี้ 100 ปีก็ยังไม่เท่ากับจิตสงบเกิดสมาธิแม้เพียงชั่วขณะหนึ่ง

เริ่มเข้าสู่ภาคของการภาวนา และสูงกว่า เกิดสมาธิชั่วขณะหนึ่งเนี่ยโยม อานิสงส์สูงกว่าที่กล่าวมาทั้งหมดเลย

ที่เราฝึกปฏิบัติกันเป็นการสร้างบารมีที่ไพบูลย์มาก

เจริญสมาธิฌานสมาบัติ 100 ปี อานิสงส์ ก็ยังไม่เท่ากับ #เกิดวิปัสสนาญาณ

เกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง แม้เพียงชั่วขณะหนึ่ง สูงกว่าไหม?

เจริญสติปัฏฐานจนเกิดวิปัสสนาญาณแม้เพียงชั่วขณะหนึ่ง บุญกุศลมากกว่าที่กล่าวมาทั้งหมดเลย

เพราะว่า จะเริ่มเป็นไปสู่การสลัดคืนเข้าสู่ความบริสุทธิ์แล้ว

เพราะฉะนั้น การที่พาฝึกในทุกๆวัน ฝึกสติปัฏฐานจนเกิดวิปัสสนาญาณ และสลัดคืนเข้าสู่ความบริสุทธิ์

มันเป็นการเพิ่มบารมีธรรมอย่างสูงสุดให้แก่ทุกคน เพราะฉะนั้นฝึกตามในทุกๆวัน

ท่านจะได้สามารถมีบารมีธรรมที่ใช้ชำระตน ชำระล้างบาปและอกุศลธรรมจนหมดสิ้นไปได้

โดย
#พระมหาวรพรต_กิตติวโร






“ พุทโธ..นี่ดี บ่แม่นธรรมดานะ
อะไรก็เข้ามาใกล้ไม่ได้
ไม่ต้องไปหาคาถากันผีกันอะไร
พุทโธได้ตลอด ดีที่สุดเลย… ”

พระครูจันทสีลคุณ ( หลวงปู่บุญจันทร์ จันทสีโล )
วัดป่ากิ่วดู่ ต.แม่คะ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่






#ธรรม_เป็นธรรมชาติที่นิ่มนวลอ่อนโยน

"... เมื่อเข้าสัมผัสสัมพันธ์กับใจ ผู้ปฏิบัติ ผู้มีความเลื่อมใสแล้ว
... จิตใจนั้นก็จะกลายเป็นสิ่งที่นุ่มนวลอ่อนโยนไปด้วยเมตตาจิต
... ไม่เคยมีก็มี ความไม่เคยเสียสละก็เสียสละได้เพื่อผู้อื่น ..."

#เพราะความเมตตา_สามารถมองเห็นเขาเห็นเราว่ามีสาระสำคัญเช่นเดียวกันได้เพราะความเมตตา.

#หลวงตาพระมหาบัว_ญาณสัมปันโน







#ธรรมะถึงใจ
๗ มิถุนายน ๒๕๖๕

"ให้เราให้อภัย ให้เอาชนะความโกรธ อย่าไปชนะผู้อื่น ชนะตนนั้นประเสริฐ เพราะเมื่อชนะตน ชนะความโกรธได้แล้ว ใจจะเย็น ใจจะสงบ จะไม่ไปสร้างความทุกข์ให้แก่ผู้อื่น"

#พระจุลนายก พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
"พรหมวิหารธรรม"
กัณฑ์ที่ ๑๙ หน้า ๓๘
๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๓






"ปฏิบัติธรรมตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
เป็นหนุ่ม เป็นสาว นี่แหละดี

เพราะเมื่อแก่เฒ่าไปแล้ว
จะนั่งก็โอย จะลุกก็โอย
หากจะรอไว้ให้แก่เสียก่อน
แล้วจึงค่อยปฏิบัติ

ก็เหมือนคนที่คิดจะหัดว่ายน้ำ
เอาตอนที่แพใกล้จะแตก
มันจะไม่ทันการณ์"

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ






"จงอย่ายินดีในผัวหรือเมียของคนอื่น
การคิดแต่จะแย่งผัวหรือเมียของคนอื่น
เป็นวิสัยของเดรัจฉาน"

หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ







"บรรดาสัตว์ทั้งหลายนั้น
เมื่อไม่มีทุกข์ มาถึงตัว
มักไม่เห็น คุณพระศาสนา

มัวเมาประมาท ปล่อยกาย ปล่อยใจ
ให้ประพฤติทุจริต ผิดศีลธรรม
อยู่เป็นประจำนิสัย เห็นผิดเป็นถูก
เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

ต่อเมื่อได้รับทุกข์เข้า ที่พึ่งอื่นไม่มี
นั่นแหละ จึงได้คิดถึงพระ คิดถึงศาสนา
แต่ก็เป็นเวลาที่สายไปแล้ว"

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ







"การทำตนที่ชั่ว ให้เป็นตนที่ดีได้ เป็นกุศลที่สูงที่สุด"

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ







#หลวงตามหาบัว

#วันนี้เราบ่นว่ายุ่งยาก
#เราบ่นว่าลำบาก
#บ่นว่าไม่มีโอกาส
#วันหน้าเราก็จำต้องบ่นอีกต่อไป

ผู้จะมาปลดเปลื้องความยุ่งเหยิงขัดข้องหรือโอกาสเวล่ำเวลาให้เรานั้น ไม่มีใครจะสามารถมาเปลื้องให้ได้ เพราะใครก็ต้องเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงขัดข้องด้วยกันทั่วทั้งโลกอันนี้

เราอยู่ในบ้านคนเดียวมีกายอันเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับใครก็บ่นอยู่ภายในบ้านคนเดียว วุ่นวายอยู่คนเดียว คนอื่นบ้านอื่นเข้าใจว่าไม่ยุ่งยากเหมือนกับเรา

เราก็จะเห็นว่าในโลกนี้หรือในแผ่นดินอันนี้มีแต่เราคนเดียวเป็นผู้รับเคราะห์กรรม ความยุ่งยากความทุกข์ก็จะมีแต่เราคนเดียว ความยุ่งเหยิงใด ๆ ก็จะมีแต่เรารับเสียคนเดียว
.
โปรดได้เปิดประตูบ้านออกไปมองดูคนภายนอก จะเห็นคนอื่นที่เป็นทุกข์เช่นเราหรือยิ่งกว่าเราอีกเป็นคนที่สอง เดินออกนอกบ้านไปก็ยิ่งจะเห็นคนที่สาม ที่สี่เป็นลำดับ ยิ่งเดินออกไปไกล ก็ยิ่งจะเห็นคนเป็นจำนวนมากซึ่งเต็มไปด้วยความยุ่งยากเช่นเดียวกับเรา เราเป็นอย่างไร เขาก็เป็นเช่นนั้น ความทุกข์ความยุ่งเหยิงทั้งมวล

เราลองไปถามเขาดูว่า มีความทุกข์ความยุ่งเหยิงเช่นเดียวกับเราหรือไม่ โอกาสเวลาเขาจะมีหรือไม่ หรือไม่มีเฉพาะเรา

ก็จะทราบได้ทันทีว่าคนในโลกนี้ สัตว์ในโลกนี้ไม่มีใครจะอยู่เหนือความทุกข์ความยุ่งเหยิงไปได้ แม้โอกาสและความสะดวกขัดข้องก็อยู่กับคนเรา ซึ่งจะให้โอกาสและความขัดข้องแก่ตนโดยทางใดเท่านั้น นอกจากตัวเราเองจะฝ่าฝืนตัวเราเพื่อทางเจริญแห่งโภคทรัพย์และสมบัติภายในใจแล้ว ไม่มีทางอื่นจะทำได้
.
แม้พระพุทธเจ้า ถ้าจะรอโอกาส รอวาสนา รอเวล่ำเวลา รอการงานให้เบาบางลงไปเสียก่อนจึงจะออกบำเพ็ญสมณธรรมแล้ว ป่านนี้พระองค์จะไม่ปรากฏเป็นศาสดาของโลก ให้เราทั้งหลายได้กราบไหว้เคารพนับถือเลย

แต่พระองค์เป็นศาสดาได้ ก็เนื่องจากพระองค์เห็นว่าความไม่มีโอกาสก็ดี ความยุ่งยากก็ดี ก็คือพระองค์ผู้เดียว ความหิวกระหายทั้งหลายมีอยู่ในธาตุในขันธ์ของพระองค์ พระองค์จะต้องรับประทานอาหาร ผู้ใดจะมารับประทานแทนพระพุทธเจ้าไม่ได้

แม้กิเลสอาสวะที่มีอยู่ภายในใจของท่าน ก็เป็นภาระจะทรงทำหน้าที่ถอดถอนออกจนไม่มีอะไรเหลือ ผลที่ทรงได้รับจากความเพียรไม่ท้อถอย จึงปรากฏเป็นมหัศจรรย์ไปทั่วโลกธาตุประหนึ่งโลกธาตุหวั่นไหว

หลวงตามหาบัว






#หลวงปู่เหลือง #ฉันทาคโม
#สิ่งต่างๆในโลกนี้มันก็อยู่ที่จิตนี่เอง

ความรู้สึกของเราอยู่ที่ไหน จิตใจก็อยู่ที่นั่น หลวงปู่มั่นท่านก็เคยพูดว่า อยู่ที่ใจของเจ้า โลกนี้ไม่มีใจก็ไม่มีความหมาย โลกกับธรรมมันอิงกันอยู่ ก็อยู่อย่างไม่ขัดโลกขัดธรรมเขา รูปนาม ถ้าแยกออกก็เป็นอภิธรรมทั้งหมด

#รูปกับนามเป็นจุดแรกของปัญหา

เรื่องราวต่างๆ ที่เราไม่รู้ ก็เพราะไม่ได้ค้นคว้ากำหนด ท่านว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นวัฏฏะ หมุนเวียนตั้งแต่จุดเล็กไปถึงจุดใหญ่ เหมือนกับความมืดกับความแจ้ง มันต้องอยู่ที่เดียวกัน แต่คนละช่วง มันเกิดพร้อมกันไม่ได้

#ความจริงรูปนามมันมีอยู่แล้ว

ถ้าปลงความเชื่อว่า คำสอนต่างๆ ล้วนมีอยู่แล้ว ถ้าไม่มี ท่านก็ไม่มีอะไรจะพูด เมื่อไม่มีอะไรจะพูดมันก็หยุดเป็นวิมุตติไป ถ้าเอามาพูดถึงมันก็เป็นสมมติไป

#ธรรมะจริงๆ
#จะพูดหรือไม่พูดมันมีอยู่แล้ว..

#หลวงปู่เหลือง #ฉันทาคโม








#หลวงปู่แสง #ญาณวโร
#ผู้รู้ท่านอยู่เหนือโลก

ถ้าบ่หลงมันก็บ่รู้ ถ้ารู้แล้วมันบ่มีหลง บาดนี้ก็เบื่อโลกบ่อยากมาเกิดมาตายอีก ถ้าผู้รู้เพิ่นอยู่เหนือโลก พระอริยะสงฆ์เพิ่นเบื่อนานละ

ถ้าคนเพียรภาวนามีบุญบารมีดี จิตเขาก็จะมาต้องข่ายญาณจิตอาตมา จะอยู่แห่งหนใดจากเมืองนอกเมืองนา ข่ายญาณอาตมาก็ไปโปรดเมตตาไปสอนธรรมเขาได้นะ เหล่าเทพเทวบุตร เทวดาเทพชั้นพรหม 3 แดนโลกธาตุก็ไปได้

มนุษย์ สัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ เทวดาชั้นบ่สูงมันติดกามติดกิเลส มีเทพชั้นพรหมท่อนั้นล่ะที่เพิ่นบ่ติด เพิ่นมีหูทิพย์ตาทิพย์เพิ่นก็ได้ฟังธรรมอยู่ ณ เวลานี้พร้อมกัน

อยากได้บุญก็เฮ็ดเอาบุญ อยากได้บาปก็เฮ็ดเอาบาป มันอยู่ที่หัวใจไผ๋ใจมัน

หลวงปู่แสง ญาณวโร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 52 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร