ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
จุดชี้ขาดความเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=53333 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 4 |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 02 พ.ย. 2016, 07:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | จุดชี้ขาดความเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนา |
จุดชี้ขาดความเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนา พระธรรมที่เป็นคำสอนคำบัญญัติตรัสสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดง ให้เปิดเผยปรากฏขึ้นนั้น เรียกว่า พระสัทธรรม จำนแนกเป็น ๓ ประเภท คือ ๑. ปริยัติสัทธรรม สัทธรรม คือ คำสั่งสอนที่จะต้องศึกษาเล่าเรียน ได้แก่ พระบาลีพุทธพจน์ในพระไตรปิฎก ๒. ปฏิบัติสัทธรรม สัทธรรม คือ ปฏิปทาที่จะต้องประพฤติปฏิบัติ ได้แก่ อริยมรรคมีองค์ ๘ หรือไตรสิกขา ๓. ปฏิเวธสัทธรรม สัทธรรม คือ ผลที่บุคคลจะพึงเข้าถึงหรือบรรลุได้ด้วยการศึกษาปฏิบัติ ได้แก่ มรรค ผล นิพพาน พระสัทธรรมทั้ง ๓ ประเภทนี้ เรียกง่ายๆสั้นๆ ว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ซึ่งมีความสำคัญเชิงสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันอย่างแยกไม่ออก ดังนี้ ปริยัติ เป็นการศึกษาเล่าเรียนหลักพุทธธรรมภาควิชาการทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏอยู่ใน คัมภีร์พระไตรปิฎก ซึ่งเป็นคัมภีร์สำคัญที่ประมวลพระพุทธพจน์หรือหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ ทั้งหมด โดยต้องศึกษาเรียนรู้ให้เข้าใจก่อนจะน้อมนำหลักธรรมอันเป็นพระพุทธพจน์นั้นไปปฏิบัติตาม ดังนั้น ปริยัติ จึงเปรียบเหมือนแผนที่ลายแทงแสวงหาขุมทรัพย์ ที่จำเป็นต้องศึกษาให้รู้ให้เข้าใจเสียก่อนเป็นเบื้องต้น ปฏิบัติ เป็นกระบวนการฝึกควบคุมกาย วาจา และพัฒนาจิต เพื่อให้สงบระงับกิเลส และเกิดปัญญา เห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งเกิดขึ้นและดับไปตามเหตุปัจจัยที่ตัวของเราเอง เป็นการดำเนินงานเพื่อความสิ้นทุกข์ตามความมุ่งหมายของปริยัติ กล่าวง่ายๆ ได้แก่ การนำหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และปัญญา มาบูรณาการปฏิบัติอย่างเป็นระบบ ดังนั้น ปฏิบัติ จึงเปรียบเหมือนการเดินทางแสวงหาขุมทรัพย์ตามแผนที่ลายแทง ปฏิเวธ เป็นผลที่ได้จากการปฏิบัติ คือการบรรลุรู้แจ้งธรรมตามสมควรแก่การปฏิบัตินั้น ซึ่งสามารถบรรลุได้ตั้งแต่ผลขั้นต้นไปจนถึงผลขั้นสูงสุด คือ ความสิ้นสุดแห่งทุกข์โดยสิ้นเชิง เป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นโดยอาศัยการปฏิบัติที่ถูกต้องเป็นหตุ ดังนั้น ปฏิเวธ จึงเปรียบเหมือนการพบขุมทรัพย์ พระสัทธรรมทั้ง ๓ คือ ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ นี้ เป็นเหตุเป็นผลที่ผู้ปรารถนาจะสำเร็จประโยชน์จากการนับถือพระพุทธศาสนาต้องทำให้เกิดเป็นระบบที่บูรณาการกันทั้งปริยัติ และปฏิบัติ เพื่อให้เกิดปฏิเวธ เพราะเมื่อปริยัติไม่มี ปฏิบัติก็ไม่ถูก เมื่อปฏิบัติไม่ถูก จึงไม่เกิดปฏิเวธ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 02 พ.ย. 2016, 07:44 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จุดชี้ขาดความเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนา |
ปัญหาสำคัญสำหรับพุทธบริษัทในปัจจุบัน ก็คือการไม่นำพระสัทธรรมทั้ง ๓ ประการนี้มาบูรณาการกันในการศึกษาปฏิบัติตนตามหลักพระพุทธศาสนา โดยส่วนใหญ่มีแต่ผู้นิยมศึกษาเล่าเรียนปริยัติ สามารถกำหนดจดจำพุทธพจน์ได้เป็นสูตรๆ แต่ไม่นิยมนำมาปฏิบัติอย่างเข้มแข็งจริงจัง เมื่อไม่มีการปฏิบัติ ปฏิเวธ คือ ผลที่เกิดจากการปฏิบัติจึงไม่เกิด หรือไม่ก็มีแต่ผู้ปฏิบัติ โดยไม่ยอมศึกษาให้เกิดความรู้ความเข้าใจตามหลักพระพุทธศาสนาที่แท้จริง จึงปฏิบัติผิดๆ จนเกิดความลุ่มหลงงมงายเชื่อดายในสิ่งที่เป็นไสยศาสตร์ว่าเป็นพุทธศาสตร์ แล้วนำมาอวดอ้างแสวงหาประโยชน์ในเชิงพุทธพาณิชย์ ซึ่งนับเป็นปัญหาที่ผู้เกี่ยวข้องกับการพัฒนากิจการพระพุทธศาสนาควรรีบหาทาง แก้ไข เพราะเป็นบ่อเกิดแห่งความเสื่อมของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นภัยของพระพุทธศาสนาที่จะเกิดจากคนภายใน คือ พุทธบริษัทด้วยกันเองที่ศึกษาปริยัติธรรมแล้วไม่ปฏิบัติธรรม จึงไม่เกิดปฏิเวธ คือ การบรรลุธรรม ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความอันตรธานเสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรมไปโดยลำดับ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 02 พ.ย. 2016, 07:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จุดชี้ขาดความเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนา |
ความอันตรธานเสื่อมสูญแห่งพระสัทธธรรมทั้ง ๓ นี้จะปรากฏชัดตามที่ท่านพระอรรถกถาจารย์ได้อธิบายขยายความไว้ในคัมภีร์ อรรถกถามโนรถปูรณี (คัมภีร์อธิบายพระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย องฺ.อฏฺฐก.อ.265) ดังนี้ "ระยะเวลา (๑ พันปีแรก) ยังมีพระอรหันต์ขีณาสพผู้บรรลุความแตกฉานในปฏิสัมภิทาอยู่ ความจริง ปฏิเวธสัทธรรมนั้นดำรงอยู่ ๕ พันปี โดยเมื่อล่วงไปอีก ๑ พันปี ก็ยังมีพระอรหันตขีณาสพผู้สุกกวิปัสสกะอยู่ ล่องไปอีก ๑ พันปี ก็ยังมีพระอนาคามีอยู่ ล่วงไปอีก ๑ พันปี ก็ยังมีพระสกทาคามีอยู่ ล่วงไปอีก ๑ พันปี ก็ยังมีพระโสดาบันอยู่ แม้ปริยัติสัทธรรมก็ดำรงอยู่ ๕ พันปีเช่นกัน เพราะปฏิเวธมีไม่ได้ หากไม่มีปริยัติ เมื่อปริยัตินั้นเสื่อมสูญ ก็จะปรากฏแต่เครื่องหมายเพศพรหมจรรย์อยู่นาน" จากข้อความในอรรถกถานี้ ถอดความให้ชัดได้ว่า พระสัทธรรมที่เป็นหลักของพระพุทธศาสนานั้นมีอายุ ๕ พันปี (นับแต่พุทธปรินิพพาน คือ พ.ศ.๑ - พ.ศ.๕๐๐๐) โดยในช่วงระยะเวลา ๑ พันปีแรก (พ.ศ.๑ - พ.ศ.๑๐๐๐) เป็นช่วงเวลาที่พระพุทธศาสนายังมีพระอริยบุคคลขั้นสูงสุด คือ พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาปัตตะ (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา) ซึ่งเป็นหนึ่งในพระอรหันต์ประเภทสมถยานิก * โดยก่อนที่จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ผ่านกระบวนการศึกษาสดับตรับฟัง สอบค้นหลักพระธรรมวินัย แล้วประกอบความเพียรในอธิจิต และอธิปัญญา บำเพ็ญสมถะเจริญวิปัสสนา จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔ คือ (๑) มีปัญญาแตกฉานในอรรถ โดยเห็นข้อธรรมหรือความย่อ ก็สามารถคิดแยกแยะอธิบายขยายออกไปได้โดยพิสดาร (๒) มีปัญญาแตกฉานในธรรม โดยเห็นอรรถาธิบายพิสดาร ก็สามารถจับใจความมาตั้งเป็นกระทู้หรือหัวข้อได้ (๓) มีปัญญาแตกฉานในนิรุกติ คือ รู้แจ้งภาษา รู้ศัพท์ถ้อยคำบัญญัติ และภาษาต่างๆ เข้าใจใช้คำพูดชี้แจงให้ผู้อื่นเข้าใจ และเห็นตามได้ (๔) มีปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ คือ รู้แจ้งในความคิดทันการ มีไหวพริบ ซึมซาบในความรู้ที่มีอยู่ เอามาเชื่อมโยงเข้าสร้างความคิด และเหตุผลขึ้นใหม่ ใช้ประโยชน์ได้สบเหมาะ เข้ากับกรณีและเหตุการณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 02 พ.ย. 2016, 07:49 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จุดชี้ขาดความเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนา |
ที่อ้างอิง * ข้างบน * พระอรหันต์จำแนกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ คือ ๑) ประเภทสุกขวิปัสสกะ ผู้เห็นแจ้งอย่างแห้งแล้ง หมายถึง ท่านผู้มิได้ฌานสมาบัติ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ด้วยการเจริญแต่วิปัสสนาล้วนๆ ๒) ประเภทสมถยานิก ผู้มีสมถะเป็นยาน หมายถึงท่านผู้เจริญสมถะจนได้ฌานสมาบัติแล้วจึงเจริญวิปัสสนาต่อจนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ประเภทสุกขวิปัสสกะ เรียกย่อยลงไปอีกว่า พระอรหันต์ประเภทปัญญาวิมุต คือ ผู้หลุดพ้นแห่งจิตจากอวิชชาด้วยปัญญาที่รู้เห็นตามเป็นจริง โดยอาศัยเพียงอุปจารสมาธิ เจริญวิปัสสนาไปจนถึงที่สุด แต่เมื่อจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ก็เป็นผู้ได้บรรลุปฐมฌาน เรียกอีกอย่างว่า วิปัสสนายานิก หรือสุทธวิปัสสนายานิก พระอรหันต์ประเภทสมถยานิก เรียกย่อยลงไปอีกว่า พระอรหันต์ประเภทอุภโตภาควิมุต ผู้หลุดพ้นทั้งสองส่วน คือ ได้ทั้งเจโตวิมุตติขั้นอรูปสมาบัติแล้วได้ปัญญาวิมุตติ แบ่งย่อยลงไปอีก ๓ ประเภท คือ (๑) เตวิชชะ - พระอรหันต์ผู้ได้วิชชา ๓ (๒) ฉฬภิญญะ - พระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา ๖ และ (๓) ปฏิสัมภิทาปัตตะ - พระอรหันต์ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 02 พ.ย. 2016, 07:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จุดชี้ขาดความเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนา |
ในช่วงระยะเวลา ๑ พันปีที่ ๒ (พ.ศ. ๑๐๐๑ - พ.ศ. ๒๐๐๐) ก็ยังมีพระอรหันต์อยู่ แต่เป็นพระอรหันต์ประเภทสุกขวิปัสสนกะ คือ ผู้บำเพ็ญแต่วิปัสสนาล้วนๆ จนบรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันต์ด้วยปัญญา แต่ไม่ได้ความรู้ความสามารถอันเป็นคุณวิเศษในพระพุทธศาสนาแต่อย่างใด ในช่วงระยะเวลา ๑ พันปีที่ ๓ (พ.ศ. ๒๐๐๑ - พ.ศ. ๓๐๐๐) ไม่มีพระอรหันต์แล้ว มีเพียงพระอริยบุคคลขั้นรองจากพระอรหันต์ คือ พระอนาคามี (ผู้ไม่เวียนกลับมาอีก) ซึ่งเป็นผู้สำเร็จอนาคามิผล เมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็ไปเกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส และจะปรินิพพานในที่นั้น โดยไม่ต้องกลับมาเกิดในมนุษยโลกอีก ในช่วงระยะเวลา ๑ พันปีที่ ๔ (พ.ศ. ๓๐๐๑ - พ.ศ. ๔๐๐๐) มีเพียงพระอริยบุคคลขั้นรองจากพระอนาคามี คือ สกทาคามี (ผู้กลับมาเกิดอีกครั้งเดียว) ซึ่งเป็นผู้บรรลุธรรมในโลกนี้ เมื่อสิ้นชีวิตแล้วไปเกิดในเทวโลก หมดอายุแล้วกลับมาเกิดในโลกนี้อีกชาติเดียวก็จะปรินิพพาน ในช่วงระยะเวลา ๑ พันปีที่ ๕ (พ.ศ. ๔๐๐๑ - พ.ศ. ๕๐๐๐) มีเพียงพระอริยบุคคลขั้นต่ำสุด คือ พระโสดาบัน ซึ่งเป็นผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน โดยเป็นผู้เวียนตายเกิดในสุคติภูมิอีกอย่างมากเพียง ๗ ครั้ง ก็จักบรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วปรินิพพานในที่สุด |
เจ้าของ: | Rosarin [ 02 พ.ย. 2016, 18:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จุดชี้ขาดความเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนา |
![]() ที่แน่ๆคือศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าแต่ไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัส เป็นความเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนาโดยตรงคือจิตเสื่อมจากธรรมแล้ว ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 02 พ.ย. 2016, 20:14 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จุดชี้ขาดความเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนา |
กรัชกาย เขียน: ในช่วงระยะเวลา ๑ พันปีที่ ๒ (พ.ศ. ๑๐๐๑ - พ.ศ. ๒๐๐๐) ก็ยังมีพระอรหันต์อยู่ แต่เป็นพระอรหันต์ประเภทสุกขวิปัสสนกะ คือ ผู้บำเพ็ญแต่วิปัสสนาล้วนๆ จนบรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันต์ด้วยปัญญา แต่ไม่ได้ความรู้ความสามารถอันเป็นคุณวิเศษในพระพุทธศาสนาแต่อย่างใด ในช่วงระยะเวลา ๑ พันปีที่ ๓ (พ.ศ. ๒๐๐๑ - พ.ศ. ๓๐๐๐) ไม่มีพระอรหันต์แล้ว มีเพียงพระอริยบุคคลขั้นรองจากพระอรหันต์ คือ พระอนาคามี (ผู้ไม่เวียนกลับมาอีก) ซึ่งเป็นผู้สำเร็จอนาคามิผล เมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็ไปเกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส และจะปรินิพพานในที่นั้น โดยไม่ต้องกลับมาเกิดในมนุษยโลกอีก ในช่วงระยะเวลา ๑ พันปีที่ ๔ (พ.ศ. ๓๐๐๑ - พ.ศ. ๔๐๐๐) มีเพียงพระอริยบุคคลขั้นรองจากพระอนาคามี คือ สกทาคามี (ผู้กลับมาเกิดอีกครั้งเดียว) ซึ่งเป็นผู้บรรลุธรรมในโลกนี้ เมื่อสิ้นชีวิตแล้วไปเกิดในเทวโลก หมดอายุแล้วกลับมาเกิดในโลกนี้อีกชาติเดียวก็จะปรินิพพาน ในช่วงระยะเวลา ๑ พันปีที่ ๕ (พ.ศ. ๔๐๐๑ - พ.ศ. ๕๐๐๐) มีเพียงพระอริยบุคคลขั้นต่ำสุด คือ พระโสดาบัน ซึ่งเป็นผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน โดยเป็นผู้เวียนตายเกิดในสุคติภูมิอีกอย่างมากเพียง ๗ ครั้ง ก็จักบรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วปรินิพพานในที่สุด กักกายเชื่อหรอ.. ส่วนตัว..ผมว่าเชื่อไม่ได้.. มิน่า...ผู้เฒ่าผู้แก่...เราบอกให้อธิฐานถึงนิพพานในชาตินี้..แกบอกว่า..ไม่ได้หรอก..ผมถามว่าใครบอก...แกว่าพระเทศน์สอนใว้ว่า..เกินกึ่งพุทธกาลก็ไม่มีอรหันต์แล้ว... ![]() ![]() เพราะ..เชื่อ..อย่างที่กักกายยกมานี้เอง.... ยกบทความโชว์ความเสื่อม....เห็นๆ.. ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 02 พ.ย. 2016, 21:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จุดชี้ขาดความเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนา |
กบนอกกะลา เขียน: กรัชกาย เขียน: ในช่วงระยะเวลา ๑ พันปีที่ ๒ (พ.ศ. ๑๐๐๑ - พ.ศ. ๒๐๐๐) ก็ยังมีพระอรหันต์อยู่ แต่เป็นพระอรหันต์ประเภทสุกขวิปัสสนกะ คือ ผู้บำเพ็ญแต่วิปัสสนาล้วนๆ จนบรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันต์ด้วยปัญญา แต่ไม่ได้ความรู้ความสามารถอันเป็นคุณวิเศษในพระพุทธศาสนาแต่อย่างใด ในช่วงระยะเวลา ๑ พันปีที่ ๓ (พ.ศ. ๒๐๐๑ - พ.ศ. ๓๐๐๐) ไม่มีพระอรหันต์แล้ว มีเพียงพระอริยบุคคลขั้นรองจากพระอรหันต์ คือ พระอนาคามี (ผู้ไม่เวียนกลับมาอีก) ซึ่งเป็นผู้สำเร็จอนาคามิผล เมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็ไปเกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส และจะปรินิพพานในที่นั้น โดยไม่ต้องกลับมาเกิดในมนุษยโลกอีก ในช่วงระยะเวลา ๑ พันปีที่ ๔ (พ.ศ. ๓๐๐๑ - พ.ศ. ๔๐๐๐) มีเพียงพระอริยบุคคลขั้นรองจากพระอนาคามี คือ สกทาคามี (ผู้กลับมาเกิดอีกครั้งเดียว) ซึ่งเป็นผู้บรรลุธรรมในโลกนี้ เมื่อสิ้นชีวิตแล้วไปเกิดในเทวโลก หมดอายุแล้วกลับมาเกิดในโลกนี้อีกชาติเดียวก็จะปรินิพพาน ในช่วงระยะเวลา ๑ พันปีที่ ๕ (พ.ศ. ๔๐๐๑ - พ.ศ. ๕๐๐๐) มีเพียงพระอริยบุคคลขั้นต่ำสุด คือ พระโสดาบัน ซึ่งเป็นผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน โดยเป็นผู้เวียนตายเกิดในสุคติภูมิอีกอย่างมากเพียง ๗ ครั้ง ก็จักบรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วปรินิพพานในที่สุด กักกายเชื่อหรอ.. ส่วนตัว..ผมว่าเชื่อไม่ได้.. มิน่า...ผู้เฒ่าผู้แก่...เราบอกให้อธิฐานถึงนิพพานในชาตินี้..แกบอกว่า..ไม่ได้หรอก..ผมถามว่าใครบอก...แกว่าพระเทศน์สอนใว้ว่า..เกินกึ่งพุทธกาลก็ไม่มีอรหันต์แล้ว... ![]() ![]() เพราะ..เชื่อ..อย่างที่กักกายยกมานี้เอง.... ยกบทความโชว์ความเสื่อม.... อ้างคำพูด: ส่วนตัว..ผมว่าเชื่อไม่ได้.. บอกเหตุผลหน่อยดิ อะไรทำให้เชื่อไม่ได้ |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 02 พ.ย. 2016, 21:45 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จุดชี้ขาดความเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนา |
แล้ว...เหตุผลอะไร..กักกายถึงเชื่อ..ละ? |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 02 พ.ย. 2016, 21:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จุดชี้ขาดความเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนา |
กบนอกกะลา เขียน: แล้ว...เหตุผลอะไร..กักกายถึงเชื่อ..ละ? ยอกย้อน คิกๆๆ เอาตำรามาให้ดู แล้วทำไมกบถึงไม่เชื่อตำราล่ะ บอกสิ ![]() |
เจ้าของ: | asoka [ 04 พ.ย. 2016, 07:18 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: จุดชี้ขาดความเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนา | ||
![]() "สัมมาวิหาเรยุง อสุโญโลโก อรหันเตหิ" "ตราบใดที่ยังมีผู้เจริญตามสัมมา(ทั้ง 8 ข้อ)อยู่ ตราบนั้นโลกนี้จักไม่ว่างจากพระอรหันต์" ถ้าเคารพพระพุทธเจ้า กรัชกายต้องเชื่อและเคารพ พุทธวัจจนะที่กล่าวนี้ด้วยอย่างสุดจิตหมดใจนะครับ ![]()
|
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 04 พ.ย. 2016, 08:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จุดชี้ขาดความเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนา |
asoka เขียน: onion ]"สัมมาวิหาเรยุง อสุโญโลโก อรหันเตหิ" "ตราบใดที่ยังมีผู้เจริญตามสัมมา(ทั้ง 8 ข้อ)อยู่ ตราบนั้นโลกนี้จักไม่ว่างจากพระอรหันต์" ถ้าเคารพพระพุทธเจ้า กรัชกายต้องเชื่อและเคารพ พุทธวัจจนะที่กล่าวนี้ด้วยอย่างสุดจิตหมดใจนะครับ พระพุทธองค์ตรัสไว้ชอบแล้ว แต่ปัจจุบันยังไม่เห็นใครเจริญสัมมา...อะไรที่ว่าได้ตรงเป้า ยิ่งท่านอโศกด้วยเละเป็นเต้าหู้ตกตึกมหานคร (เมื่อก่อนตกตึกใบหยก) คิกๆๆ อ้างคำพูด: ยังมีผู้เจริญตามสัมมา(ทั้ง 8 ข้อ) ที่พูดนี่ก็ไม่น่าจะถูก อ่ะๆ ถ้าว่าถูกไหนลองสาธิตการเจริญสัมมา...อะไรที่ว่าให้ฟังหน่อยสิ ![]() |
เจ้าของ: | Rosarin [ 04 พ.ย. 2016, 10:28 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จุดชี้ขาดความเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนา |
Rosarin เขียน: Kiss ที่แน่ๆคือศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าแต่ไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัส เป็นความเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนาโดยตรงคือจิตเสื่อมจากธรรมแล้ว ![]() ![]() ![]() ทุกขณะจิตเลยที่เสื่อมจากจิตผู้ไม่รู้ความจริงเพราะยังย้อนกลับมาเริ่มต้นใหม่ด้วยความไม่รู้ค่ะ ส่วนผู้ที่ไม่เสื่อมจากพระธรรมคำสอนและดำรงความจริงตามคำสอนแล้วไม่เป็นผู้ถอยกลับ พระอรหันต์เท่านั้นที่ดำรงความจริงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นผู้สืบทอดพุทธศาสนา พระอริยบุคคลแต่ละชั้นนั้นสามารถรักษาพุทธศาสนาได้ตามกำลังสติปัญญาสะสมต่อยอด สำหรับปุถุชนยังต้องท่องเที่ยวไปตามยถากรรมเพราะไม่รู้ความจริงคือจิตเสื่อมจากธรรม ![]() พระพุทธศาสนาเจริญที่จิตผู้รู้ความจริงแล้วเท่านั้น ที่เสื่อมจากจิตคือไม่รู้ไม่สามารถเข้าใจความจริง ก็คือสะสมแต่กิเลสอันใหม่ไปเรื่อยๆเกิดอีกนาน จนกว่าจะมีสติปัญญารู้ตรงตามที่ตรัสไว้ดีแล้ว ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | asoka [ 04 พ.ย. 2016, 21:04 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จุดชี้ขาดความเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนา |
กรัชกาย เขียน: asoka เขียน: onion ]"สัมมาวิหาเรยุง อสุโญโลโก อรหันเตหิ" "ตราบใดที่ยังมีผู้เจริญตามสัมมา(ทั้ง 8 ข้อ)อยู่ ตราบนั้นโลกนี้จักไม่ว่างจากพระอรหันต์" ถ้าเคารพพระพุทธเจ้า กรัชกายต้องเชื่อและเคารพ พุทธวัจจนะที่กล่าวนี้ด้วยอย่างสุดจิตหมดใจนะครับ พระพุทธองค์ตรัสไว้ชอบแล้ว แต่ปัจจุบันยังไม่เห็นใครเจริญสัมมา...อะไรที่ว่าได้ตรงเป้า ยิ่งท่านอโศกด้วยเละเป็นเต้าหู้ตกตึกมหานคร (เมื่อก่อนตกตึกใบหยก) คิกๆๆ อ้างคำพูด: ยังมีผู้เจริญตามสัมมา(ทั้ง 8 ข้อ) ที่พูดนี่ก็ไม่น่าจะถูก อ่ะๆ ถ้าว่าถูกไหนลองสาธิตการเจริญสัมมา...อะไรที่ว่าให้ฟังหน่อยสิ ![]() ![]() อวดรู้อวดเก่งเสียจนลืมตัวและกล้ากล่าวคำว่า อ้างคำพูด: กรัชกาย แต่ปัจจุบันยังไม่เห็นใครเจริญสัมมา...อะไรที่ว่าได้ตรงเป้า เอาสถิติและข้อมูลที่ไหนมาตัดสินเช่นที่ว่านี้ อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นการดูถูกดูหมิ่นหลวงปู่ ครูบาอาจารย์และท่านที่กำลังเจริญมรรค 8 เจริญวิปัสสนาภาวนาอยู่มากมายทั้งในวัดป่าวัดบ้านทั้งในไทยและต่างประเทศทุกวันนี้หรือครับ กรัชกายลองบอกมาสิว่าการเจริญสัมมา(ทั้ง 8) หรือการเจริญมรรค 8 ได้อย่างตรงเป้า ที่กรัชกายพูดมานี้มันต้องทำกันยังไง เพราะกรัชกายกล้าตำหนิรวมๆไปทั่วเช่นนี้แสดงว่ากรัชกายรู้และทำได้เก่งกว่าท่านอื่นๆเหล่านั้น ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 05 พ.ย. 2016, 08:44 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จุดชี้ขาดความเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนา |
asoka เขียน: กรัชกาย เขียน: asoka เขียน: onion ]"สัมมาวิหาเรยุง อสุโญโลโก อรหันเตหิ" "ตราบใดที่ยังมีผู้เจริญตามสัมมา (ทั้ง 8 ข้อ) อยู่ ตราบนั้นโลกนี้จักไม่ว่างจากพระอรหันต์" ถ้าเคารพพระพุทธเจ้า กรัชกายต้องเชื่อและเคารพ พุทธวัจจนะที่กล่าวนี้ด้วยอย่างสุดจิตหมดใจนะครับ พระพุทธองค์ตรัสไว้ชอบแล้ว แต่ปัจจุบันยังไม่เห็นใครเจริญสัมมา...อะไรที่ว่าได้ตรงเป้า ยิ่งท่านอโศกด้วยเละเป็นเต้าหู้ตกตึกมหานคร (เมื่อก่อนตกตึกใบหยก) คิกๆๆ อ้างคำพูด: ยังมีผู้เจริญตามสัมมา(ทั้ง 8 ข้อ) ที่พูดนี่ก็ไม่น่าจะถูก อ่ะๆ ถ้าว่าถูกไหนลองสาธิตการเจริญสัมมา...อะไรที่ว่าให้ฟังหน่อยสิ ![]() ![]() อวดรู้อวดเก่งเสียจนลืมตัวและกล้ากล่าวคำว่า อ้างคำพูด: กรัชกาย แต่ปัจจุบันยังไม่เห็นใครเจริญสัมมา...อะไรที่ว่าได้ตรงเป้า เอาสถิติและข้อมูลที่ไหนมาตัดสินเช่นที่ว่านี้ อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นการดูถูกดูหมิ่นหลวงปู่ ครูบาอาจารย์และท่านที่กำลังเจริญมรรค 8 เจริญวิปัสสนาภาวนาอยู่มากมายทั้งในวัดป่าวัดบ้านทั้งในไทยและต่างประเทศทุกวันนี้หรือครับ กรัชกายลองบอกมาสิว่าการเจริญสัมมา (ทั้ง 8) หรือการเจริญมรรค 8 ได้อย่างตรงเป้า ที่กรัชกายพูดมานี้มันต้องทำกันยังไง เพราะกรัชกายกล้าตำหนิรวมๆไปทั่วเช่นนี้แสดงว่ากรัชกายรู้และทำได้เก่งกว่าท่านอื่นๆเหล่านั้น ถ้าทำอย่างอโศกนะ ลงเหวลงอเวจีหมด อ้างคำพูด: ตราบใดที่ยังมีผู้เจริญตามสัมมา (ทั้ง 8 ข้อ) อยู่ ตราบนั้นโลกนี้จักไม่ว่างจากพระอรหันต์ มรรค 8 ที่ชอบอ้างกันนั่นน่า เขาย่อลงเป็นภาคปฏิบัติเหลือ 3 เรียกว่า ไตรสิกขา ซึ่งก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา แค่นี้ ทีนี้ก็มาวัดกึ่นท่านอโศก ศีลยังไม่เข้าใจเลย ไม่ต้องถึงสมาธิ ปัญญาหรอก เออ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 4 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |