ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ความไม่ยึดมั่นที่แท้ ต้องเกิดจากปัญญา มองเห็นความจริง
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=53230
หน้า 1 จากทั้งหมด 2

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 09 ต.ค. 2016, 10:55 ]
หัวข้อกระทู้:  ความไม่ยึดมั่นที่แท้ ต้องเกิดจากปัญญา มองเห็นความจริง

หนังสือจาริกบุญ จารึกธรรมหน้า 415

https://stanglibrary.files.wordpress.co ... .jpg?w=640

คติพระอรหันต์ มีข้อควรศึกษาหลายอย่าง รวมทั้งเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรต่างๆ เราดูจากวินัย เราจะได้คติมากมาย อย่างที่ว่าความไม่ยึดมั่นถือมั่น ถ้าเราเอียงไปแง่เดียว เราอาจเข้าใจธรรมผิดไปก็ได้

จะต้องระลึกว่า ความไม่ยึดมั่นถือมั่นที่แท้นั้น ต้องเกิดจากปัญญา มองเห็นความจริง ที่เป็นสัจธรรม และความไม่ยึดมั่นถือมั่นนั้น จะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 09 ต.ค. 2016, 11:01 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความไม่ยึดมั่นที่แท้ ต้องเกิดจากปัญญา มองเห็นความจริง

วินัยเอาปัจจัยพิเศษของมนุษย์เข้าไปใส่กระบวนธรรม


เวลามีเรื่องมีราว คนทำความผิดความชั่วร้าย บางคนชอบพูดว่า ไม่ต้องไปยุ่งไปจัดการอะไร แล้วเขาก็จะได้รับผลกรรมของเขาเอง การพูดอย่างนี้ต้องระวังให้มาก ทั้งจะขัดกับหลักการของพระพุทธศาสนา และทำให้ตกอยู่ในความประมาท


ในเรื่องนี้ วินัยของสงฆ์ก็ช่วยให้มีวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง อย่างที่ว่าแล้วว่า ต้องแยกความรับผิดชอบเป็น ๒ ด้าน คือ

ด้านธรรม แต่ละคนรับผิดชอบต่อกรรมของตน ตามกระบวนการของกฎแห่งธรรมชาติที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยของมันเอง นี่เรียกว่ากรรม

แต่อีกด้านหนึ่งคือด้านวินัย เพื่อประโยชน์ของสังคม เขามีการบัญญัติจัดวางกฎระเบียบกติกา เพื่อให้ธรรมออกผลแก่หมู่มนุษย์ในเชิงรูปธรรม คือให้สังคมมนุษย์ได้ประโยชน์จากธรรม

ดังนั้น เมื่อมีภิกษุทำความผิด จะไม่มีการพูดว่ารอให้ภิกษุนั้นรับผลกรรมของตนเอง แต่ในทางวินัย มีกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นบัญญัติฝ่ายวินัย ซึ่งสงฆ์จะให้เป็นเครื่องมือเพื่อดำเนินคดีและลงโทษเป็นต้น แก่ภิกษุที่ทำความผิดนั้นทันที โดยไม่ต้องรอกรรมฝ่ายธรรมชาติ

(ยิ่งกว่านั้น เมื่อมีภิกษุทำความผิด ถ้าภิกษุอื่นๆ ปล่อยปละละเลย ไม่ดำเนินการ ภิกษุเหล่านั้นก็อาจจะมีความผิดไปด้วย)

จะต้องไปรอทำไม เราจงใจทำอะไรเมื่อไร ก็เป็นกรรมฝ่ายธรรมชาตินั่นแหละทันที วินัยหรือกฎที่สมมติไว้ จึงให้พระสงฆ์ทำกรรมใส่เหตุปัจจัยใหม่เข้าไปช่วยหนุนหรือผลักดันให้กรรมแสดงผลบางอย่างออกมา อย่างน้อยผลข้างเคียงที่เกื้อกูลต่อสังคม ใครรอก็คือไม่รู้ธรรมนั่นเอง


วินัยถือสงฆ์เป็นใหญ่ มุ่งจะรักษาสงฆ์ที่เป็นส่วนรวมเป็นสำคัญ พระพุทธศาสนาเรานี้ ดำรงอยู่มาได้ยั่งยืนถึงบัดนี้ ก็เพราะพระสงฆ์ในอดีตได้ปฏิบัติตามหลักการที่ว่ามานี้


ที่จริงนั่น เมื่อมองลึกลงไปถึงขั้นสุดท้าย สังคมทั้งหมดก็ดี วินัยที่เป็นระบบ ระบอบ ระเบียบต่างๆ ทั้งหลายก็ดี ก็ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยในกระบวนการของกฎธรรมชาติทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น ถ้าวินัยไม่เกิดจากความรู้เข้าใจความจริงของธรรมชาติแท้จริง และจัดตั้งวางไว้โดยไม่สอดคล้องกับธรรม วินัยก็จะรักษาสังคมไว้ไม่ได้ วินัยก็จะก่อผลร้าย และสังคมก็จะไม่สามารถดำรงอยู่ด้วยดีหรืออาจถึงความวิบัติ


ได้กล่าว แล้วว่า วินัยนั้นเกิดจากปัญญาพิเศษของมนุษย์ที่เข้าถึงความของธรรม แล้วจัดตั้งวางระบบเป็นต้น เพื่อให้มนุษย์ได้ประโยชน์จากธรรม

เพราะ ฉะนั้น เมื่อพูดอีกสำนวนหนึ่ง วินัยก็คือความสามารถพิเศษของมนุษย์ที่นำเอาปัจจัยฝ่ายมนุษย์เข้าไปเป็นส่วนร่วมในกระบวนการแห่งเหตุปัจจัยของธรรมชาติ เพื่อให้บังเกิดผลดีแก่มนุษย์ในทางที่ดีงามพึงปรารถนา


มนุษย์ที่มีปัญญา ได้พัฒนาดีแล้ว เมื่อเข้าไปเป็นส่วนร่วมในกระบวนการแหงเหตุปัจจัยของธรรมชาติ ย่อมเป็นปัจจัยที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง ที่จะช่วยให้กระบวนการแห่งเหตุปัจจัยทั้งหมดดำเนินไปในทางที่จะก่อให้เกิดผลดีที่พึงปรารถนาแก่ชีวิตและสังคมของมนุษย์


เป็นอันว่า คติพระอรหันต์ มีข้อควรศึกษาหลายอย่าง รวมทั้งเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรต่างๆ เราดูจากวินัย เราจะได้คติมากมาย อย่างที่ว่าความไม่ยึดมั่นถือมั่น ถ้าเราเอียงไปแง่เดียว เราอาจเข้าใจธรรมผิดไปก็ได้


จะต้องระลึกว่า ความไม่ยึดมั่นถือมั่นที่แท้นั้น ต้องเกิดจากปัญญา มองเห็นความจริง ที่เป็นสัจธรรม และความไม่ยึดมั่นถือมั่นนั้น จะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 09 ต.ค. 2016, 11:22 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความไม่ยึดมั่นที่แท้ ต้องเกิดจากปัญญา มองเห็นความจริง

ความต่อๆกับหัวข้อนี้

viewtopic.php?f=1&t=53231

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 09 ต.ค. 2016, 12:59 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความไม่ยึดมั่นที่แท้ ต้องเกิดจากปัญญา มองเห็นความจริง

ความไม่ยึดมั่นถือมั่นที่แท้นั้น ต้องเกิดจากปัญญา มองเห็นความจริงที่เป็นสัจธรรม และความไม่ยึดมั่นถือมั่นนั้น จะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ

(ทำความเข้าใจบทความข้างบนด้วยตัวอย่างจงกรมนี่) =>


ตอนดิฉันเดินจงกรม ช่วงนาทีที่เห็นเป็นกายมันเดินเอง ร้องให้เลย ตอนนั้นรู้สึกว่า แม้ร่างกายมันยังไม่ใช่ของเราจะมีอะไรเป็นของเราบ้างหนอ


รูปภาพ


ผู้ปฏิบัติต้องถึงขั้นรู้เห็นนามรูปหรือกายกับจิตใจมันเป็นของมันเอง ตอนนั่งก็เห็นลมหายใจเข้า-ออก (พอง-ยุบ) ความรู้สึกนึกคิดมันทำงานของมัน ผู้ปฏิบัติเป็นเพียงผู้ดูรู้ทันมัน จิตไม่หวั่นไม่ไหวไปกับความเปลี่ยนแปลงของมัน

เจ้าของ:  student [ 09 ต.ค. 2016, 14:10 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความไม่ยึดมั่นที่แท้ ต้องเกิดจากปัญญา มองเห็นความจริง

กรัชกาย เขียน:
ความไม่ยึดมั่นถือมั่นที่แท้นั้น ต้องเกิดจากปัญญา มองเห็นความจริงที่เป็นสัจธรรม และความไม่ยึดมั่นถือมั่นนั้น จะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ

(ทำความเข้าใจบทความข้างบนด้วยตัวอย่างจงกรมนี่) =>


ตอนดิฉันเดินจงกรม ช่วงนาทีที่เห็นเป็นกายมันเดินเอง ร้องให้เลย ตอนนั้นรู้สึกว่า แม้ร่างกายมันยังไม่ใช่ของเราจะมีอะไรเป็นของเราบ้างหนอ


รูปภาพ


ผู้ปฏิบัติต้องถึงขั้นรู้เห็นนามรูปหรือกายกับจิตใจมันเป็นของมันเอง ตอนนั่งก็เห็นลมหายใจเข้า-ออก (พอง-ยุบ) ความรู้สึกนึกคิดมันทำงานของมัน ผู้ปฏิบัติเป็นเพียงผู้ดูรู้ทันมัน จิตไม่หวั่นไม่ไหวไปกับความเปลี่ยนแปลงของมัน


ตัวอย่างนี้ผู้ปฏิบัติร้องให้

เจ้าของ:  student [ 09 ต.ค. 2016, 14:14 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความไม่ยึดมั่นที่แท้ ต้องเกิดจากปัญญา มองเห็นความจริง

ไม่ได้คิดจะขัดคุณกรัธกายนะครับ
อ่านไปเรื่อยๆก็อนุโมทนากับความรู้ต่างๆ

มันติดตรง ร้องให้ นี่แหละครับ

มองเป็นปิติ
หรือว่าเป็นอารมณ์ของผู้ปฏิบัติครับ

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 09 ต.ค. 2016, 17:12 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความไม่ยึดมั่นที่แท้ ต้องเกิดจากปัญญา มองเห็นความจริง

student เขียน:
ไม่ได้คิดจะขัดคุณกรัธกายนะครับ
อ่านไปเรื่อยๆก็อนุโมทนากับความรู้ต่างๆ

มันติดตรง ร้องให้ นี่แหละครับ

มองเป็นปิติ
หรือว่าเป็นอารมณ์ของผู้ปฏิบัติครับ


เอามาให้ดูแค่นั้น ถ้าเห็นข้อความเขาอีก คุณจะไม่พูดไม่คิดอย่างนี้เลย คิกๆๆ

คือ เขาเพิ่งเริ่มเห็นสัจจะ คือ เห็นความจริงลึกลงไปถึงก้นบึ้งของจิตวิญญาณ :b13:

คุณ student ไม่เคยทำไม่เคยประสบยากจะเข้าใจครับ :b1:

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 09 ต.ค. 2016, 17:16 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความไม่ยึดมั่นที่แท้ ต้องเกิดจากปัญญา มองเห็นความจริง

student เขียน:
ไม่ได้คิดจะขัดคุณกรัธกายนะครับ
อ่านไปเรื่อยๆก็อนุโมทนากับความรู้ต่างๆ

มันติดตรง ร้องให้ นี่แหละครับ

มองเป็นปิติ
หรือว่าเป็นอารมณ์ของผู้ปฏิบัติครับ



เพียงพูดยังไม่พอ พิสูจน์เลย นี้ คคห.เขาเต็มๆ

รู้กาย รู้เวทนา รู้จิต รู้ธรรมนี่ได้ยินเขาสอนหมด เสียดายจำไม่ได้ ตอนฝึกก็ทำไม่เป็น

ตอนดิฉันเดินจงกรม ช่วงนาทีที่เห็นเป็นกายมันเดินเอง ร้องให้เลย ตอนนั้นรู้สึกว่า แม้ร่างกายมันยังไม่ใช่ของเราจะมีอะไรเป็นของเราบ้างหนอ แบบนี้มันเกิดปัญญาใช่ไหมแต่มันแบบไม่ถึงที่สุด ปัญญาแค่เสี่ยว ต่อมาก็เลยหลงจนเพี้ยน



อ่านแล้ว บอกความคิดคุณสิครับ :b1:

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 09 ต.ค. 2016, 18:09 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความไม่ยึดมั่นที่แท้ ต้องเกิดจากปัญญา มองเห็นความจริง

ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ให้คุณ student สังเกตเดินจงกรมแล้วเกิดความรู้สึก...อีก 3 เคส ดูครับ :b1:


เดินจงกรมซักพัก แว้บนึงก้มไปมองที่เท้า เห็นว่าเท้าที่เดินอยู่ไม่ใช่ตัวเรา ความรู้สึกเหมือนเรามองศพคนอื่น แต่ว่าพอเห็นเช่นนั้นความกลัวผุดขึ้น จิตมันก็เลยถอยออกมาจากความรู้สึกนั้น

ที่เห็นเช่นนี้ ปฏิบัติถูกต้องไหมครับ?
ถ้าผิด/ถูก ควรทำอย่างไรต่อไป?


ลองแก้หลายวิธีไม่หาย เดินจงกรมจะง่วงแต่พอหันมาทำอย่างอื่น อย่างเข้าเว้ปลานธรรมตอนนี้ มันหายทันที เป็นอารมณ์ที่แพ้มานานแล้ว ทำอย่างไรดี


ถามท่านผู้รู้ค่ะว่า

วันนี้ ได้เดินจงกรมเห็นเทพนิมิตเป็นพระพุทธเจ้า และสักพักเป็นในหลวง เป็นเพราะอะไรค่ะ?



อ่านแล้วคุณวิจารณ์ตามที่คุณพอนึกออกสิครับ :b1:

เจ้าของ:  student [ 09 ต.ค. 2016, 21:11 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความไม่ยึดมั่นที่แท้ ต้องเกิดจากปัญญา มองเห็นความจริง

กรัชกาย เขียน:
student เขียน:
ไม่ได้คิดจะขัดคุณกรัธกายนะครับ
อ่านไปเรื่อยๆก็อนุโมทนากับความรู้ต่างๆ

มันติดตรง ร้องให้ นี่แหละครับ

มองเป็นปิติ
หรือว่าเป็นอารมณ์ของผู้ปฏิบัติครับ



เพียงพูดยังไม่พอ พิสูจน์เลย นี้ คคห.เขาเต็มๆ

รู้กาย รู้เวทนา รู้จิต รู้ธรรมนี่ได้ยินเขาสอนหมด เสียดายจำไม่ได้ ตอนฝึกก็ทำไม่เป็น

ตอนดิฉันเดินจงกรม ช่วงนาทีที่เห็นเป็นกายมันเดินเอง ร้องให้เลย ตอนนั้นรู้สึกว่า แม้ร่างกายมันยังไม่ใช่ของเราจะมีอะไรเป็นของเราบ้างหนอ แบบนี้มันเกิดปัญญาใช่ไหมแต่มันแบบไม่ถึงที่สุด ปัญญาแค่เสี่ยว ต่อมาก็เลยหลงจนเพี้ยน



อ่านแล้ว บอกความคิดคุณสิครับ :b1:


ผมไม่ได้คิดเกี่ยวกับผู้ปฏิบัติครับ

ผู้ปฎิบัติพูดเองทั้งหมด

มีข้อสังเกตุอย่างหนึ่งว่า คนเป็นพุทธในเมืองไทย
จะถูกปลูกฝังแนวคิดในเรื่องเกิดดับ ไม้เที่ยง ไม่มีตัวตนที่แท้จริง
ก็นี่แหละครับ ผู้ปฎิบัติเขาพิสูจน์ตรงนี้ ไม่ได้พิสูจน์ที่ไหนเลย

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 09 ต.ค. 2016, 21:14 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความไม่ยึดมั่นที่แท้ ต้องเกิดจากปัญญา มองเห็นความจริง

student เขียน:
กรัชกาย เขียน:
student เขียน:
ไม่ได้คิดจะขัดคุณกรัธกายนะครับ
อ่านไปเรื่อยๆก็อนุโมทนากับความรู้ต่างๆ

มันติดตรง ร้องให้ นี่แหละครับ

มองเป็นปิติ
หรือว่าเป็นอารมณ์ของผู้ปฏิบัติครับ



เพียงพูดยังไม่พอ พิสูจน์เลย นี้ คคห.เขาเต็มๆ

รู้กาย รู้เวทนา รู้จิต รู้ธรรมนี่ได้ยินเขาสอนหมด เสียดายจำไม่ได้ ตอนฝึกก็ทำไม่เป็น

ตอนดิฉันเดินจงกรม ช่วงนาทีที่เห็นเป็นกายมันเดินเอง ร้องให้เลย ตอนนั้นรู้สึกว่า แม้ร่างกายมันยังไม่ใช่ของเราจะมีอะไรเป็นของเราบ้างหนอ แบบนี้มันเกิดปัญญาใช่ไหมแต่มันแบบไม่ถึงที่สุด ปัญญาแค่เสี่ยว ต่อมาก็เลยหลงจนเพี้ยน



อ่านแล้ว บอกความคิดคุณสิครับ :b1:


ผมไม่ได้คิดเกี่ยวกับผู้ปฏิบัติครับ

ผู้ปฎิบัติพูดเองทั้งหมด

มีข้อสังเกตุอย่างหนึ่งว่า คนเป็นพุทธในเมืองไทย
จะถูกปลูกฝังแนวคิดในเรื่องเกิดดับ ไม้เที่ยง ไม่มีตัวตนที่แท้จริง
ก็นี่แหละครับ ผู้ปฎิบัติเขาพิสูจน์ตรงนี้ ไม่ได้พิสูจน์ที่ไหนเลย


มันไม่ง่ายหรอก อิอิ

เจ้าของ:  student [ 09 ต.ค. 2016, 21:17 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความไม่ยึดมั่นที่แท้ ต้องเกิดจากปัญญา มองเห็นความจริง

กรัชกาย เขียน:
ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ให้คุณ student สังเกตเดินจงกรมแล้วเกิดความรู้สึก...อีก 3 เคส ดูครับ :b1:


เดินจงกรมซักพัก แว้บนึงก้มไปมองที่เท้า เห็นว่าเท้าที่เดินอยู่ไม่ใช่ตัวเรา ความรู้สึกเหมือนเรามองศพคนอื่น แต่ว่าพอเห็นเช่นนั้นความกลัวผุดขึ้น จิตมันก็เลยถอยออกมาจากความรู้สึกนั้น

ที่เห็นเช่นนี้ ปฏิบัติถูกต้องไหมครับ?
ถ้าผิด/ถูก ควรทำอย่างไรต่อไป?


ลองแก้หลายวิธีไม่หาย เดินจงกรมจะง่วงแต่พอหันมาทำอย่างอื่น อย่างเข้าเว้ปลานธรรมตอนนี้ มันหายทันที เป็นอารมณ์ที่แพ้มานานแล้ว ทำอย่างไรดี


ถามท่านผู้รู้ค่ะว่า

วันนี้ ได้เดินจงกรมเห็นเทพนิมิตเป็นพระพุทธเจ้า และสักพักเป็นในหลวง เป็นเพราะอะไรค่ะ?



อ่านแล้วคุณวิจารณ์ตามที่คุณพอนึกออกสิครับ :b1:


ผมแค่เข้ามาอ่าน
ไม่ได้เป็นสอบผู้ปฏิบัติ

ทั้ง3เคสก็ดูดีนิครับ ไม่เห็นต้องแก้อะไร มีอารมณ์กุศลนำหน้าก็ดีแล้วครับ
อะไรที่เป็นกุศล ดีหมดนั่นแหละครับ บางคนอะไรก็ไม่เอา เวบสาระไม่เข้า หนังสาระไม่ดู มันก็ดีในแง่ของวินัย
แต่ต้องดูตัวอารมณ์ว่าคิดอะไรอยู่ ถ้าต่อต้านปุ๊บ คือกิเลสทันที

เจ้าของ:  student [ 09 ต.ค. 2016, 21:19 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความไม่ยึดมั่นที่แท้ ต้องเกิดจากปัญญา มองเห็นความจริง

กรัชกาย เขียน:
student เขียน:
กรัชกาย เขียน:
student เขียน:
ไม่ได้คิดจะขัดคุณกรัธกายนะครับ
อ่านไปเรื่อยๆก็อนุโมทนากับความรู้ต่างๆ

มันติดตรง ร้องให้ นี่แหละครับ

มองเป็นปิติ
หรือว่าเป็นอารมณ์ของผู้ปฏิบัติครับ



เพียงพูดยังไม่พอ พิสูจน์เลย นี้ คคห.เขาเต็มๆ

รู้กาย รู้เวทนา รู้จิต รู้ธรรมนี่ได้ยินเขาสอนหมด เสียดายจำไม่ได้ ตอนฝึกก็ทำไม่เป็น

ตอนดิฉันเดินจงกรม ช่วงนาทีที่เห็นเป็นกายมันเดินเอง ร้องให้เลย ตอนนั้นรู้สึกว่า แม้ร่างกายมันยังไม่ใช่ของเราจะมีอะไรเป็นของเราบ้างหนอ แบบนี้มันเกิดปัญญาใช่ไหมแต่มันแบบไม่ถึงที่สุด ปัญญาแค่เสี่ยว ต่อมาก็เลยหลงจนเพี้ยน



อ่านแล้ว บอกความคิดคุณสิครับ :b1:


ผมไม่ได้คิดเกี่ยวกับผู้ปฏิบัติครับ

ผู้ปฎิบัติพูดเองทั้งหมด

มีข้อสังเกตุอย่างหนึ่งว่า คนเป็นพุทธในเมืองไทย
จะถูกปลูกฝังแนวคิดในเรื่องเกิดดับ ไม้เที่ยง ไม่มีตัวตนที่แท้จริง
ก็นี่แหละครับ ผู้ปฎิบัติเขาพิสูจน์ตรงนี้ ไม่ได้พิสูจน์ที่ไหนเลย


มันไม่ง่ายหรอก อิอิ


คำว่าง่ายที่ว่า ใช้กับทิฏฐิ (สัมมาทิฏฐิ) หรือ ญาณสมาธิ(สมาธิ)

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 09 ต.ค. 2016, 21:20 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความไม่ยึดมั่นที่แท้ ต้องเกิดจากปัญญา มองเห็นความจริง

student เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ให้คุณ student สังเกตเดินจงกรมแล้วเกิดความรู้สึก...อีก 3 เคส ดูครับ :b1:


เดินจงกรมซักพัก แว้บนึงก้มไปมองที่เท้า เห็นว่าเท้าที่เดินอยู่ไม่ใช่ตัวเรา ความรู้สึกเหมือนเรามองศพคนอื่น แต่ว่าพอเห็นเช่นนั้นความกลัวผุดขึ้น จิตมันก็เลยถอยออกมาจากความรู้สึกนั้น

ที่เห็นเช่นนี้ ปฏิบัติถูกต้องไหมครับ?
ถ้าผิด/ถูก ควรทำอย่างไรต่อไป?


ลองแก้หลายวิธีไม่หาย เดินจงกรมจะง่วงแต่พอหันมาทำอย่างอื่น อย่างเข้าเว้ปลานธรรมตอนนี้ มันหายทันที เป็นอารมณ์ที่แพ้มานานแล้ว ทำอย่างไรดี


ถามท่านผู้รู้ค่ะว่า

วันนี้ ได้เดินจงกรมเห็นเทพนิมิตเป็นพระพุทธเจ้า และสักพักเป็นในหลวง เป็นเพราะอะไรค่ะ?



อ่านแล้วคุณวิจารณ์ตามที่คุณพอนึกออกสิครับ :b1:


ผมแค่เข้ามาอ่าน
ไม่ได้เป็นสอบผู้ปฏิบัติ

ทั้ง3เคสก็ดูดีนิครับ ไม่เห็นต้องแก้อะไร มีอารมณ์กุศลนำหน้าก็ดีแล้วครับ
อะไรที่เป็นกุศล ดีหมดนั่นแหละครับ บางคนอะไรก็ไม่เอา เวบสาระไม่เข้า หนังสาระไม่ดู มันก็ดีในแง่ของวินัย
แต่ต้องดูตัวอารมณ์ว่าคิดอะไรอยู่ ถ้าต่อต้านปุ๊บ คือกิเลสทันที



แค่ง่วง กับ ขี้เกียจก็เสร็จ :b1: ไปไม่ไหวแล้ว

https://www.youtube.com/watch?v=PhQWHz_dmz4

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 09 ต.ค. 2016, 21:21 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความไม่ยึดมั่นที่แท้ ต้องเกิดจากปัญญา มองเห็นความจริง

student เขียน:
กรัชกาย เขียน:
student เขียน:
กรัชกาย เขียน:
student เขียน:
ไม่ได้คิดจะขัดคุณกรัธกายนะครับ
อ่านไปเรื่อยๆก็อนุโมทนากับความรู้ต่างๆ

มันติดตรง ร้องให้ นี่แหละครับ

มองเป็นปิติ
หรือว่าเป็นอารมณ์ของผู้ปฏิบัติครับ



เพียงพูดยังไม่พอ พิสูจน์เลย นี้ คคห.เขาเต็มๆ

รู้กาย รู้เวทนา รู้จิต รู้ธรรมนี่ได้ยินเขาสอนหมด เสียดายจำไม่ได้ ตอนฝึกก็ทำไม่เป็น

ตอนดิฉันเดินจงกรม ช่วงนาทีที่เห็นเป็นกายมันเดินเอง ร้องให้เลย ตอนนั้นรู้สึกว่า แม้ร่างกายมันยังไม่ใช่ของเราจะมีอะไรเป็นของเราบ้างหนอ แบบนี้มันเกิดปัญญาใช่ไหมแต่มันแบบไม่ถึงที่สุด ปัญญาแค่เสี่ยว ต่อมาก็เลยหลงจนเพี้ยน



อ่านแล้ว บอกความคิดคุณสิครับ :b1:


ผมไม่ได้คิดเกี่ยวกับผู้ปฏิบัติครับ

ผู้ปฎิบัติพูดเองทั้งหมด

มีข้อสังเกตุอย่างหนึ่งว่า คนเป็นพุทธในเมืองไทย
จะถูกปลูกฝังแนวคิดในเรื่องเกิดดับ ไม้เที่ยง ไม่มีตัวตนที่แท้จริง
ก็นี่แหละครับ ผู้ปฎิบัติเขาพิสูจน์ตรงนี้ ไม่ได้พิสูจน์ที่ไหนเลย


มันไม่ง่ายหรอก อิอิ


คำว่าง่ายที่ว่า ใช้กับทิฏฐิ (สัมมาทิฏฐิ) หรือ ญาณสมาธิ(สมาธิ)


ใช้กับการปฏิบัตินี่แหละ ไม่ต้องสัมมาสัมไปหรอก :b1:

หน้า 1 จากทั้งหมด 2 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/