ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
เขาถาม "ความไม่ยินดี ยินร้าย"? http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=52686 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 10 ก.ค. 2016, 07:27 ] |
หัวข้อกระทู้: | เขาถาม "ความไม่ยินดี ยินร้าย"? |
![]() มีคนเขาถามในพันทิบครับว่า ....ความไม่ยินดียินร้ายเป็นอย่างไร ผมไปเห็นเขาได้แต่ปลงแล้วพรึมพร่ำในใจว่า ทำไมหนอเหตุใดหนอ จึงทำให้ชาวพุทธไทยถอยหลังลงคลองได้ขนาดนี้ นี่ไม่ใช่ใดอื่นมันเป็นเพราะ มีผู้ไม่รู้แก่นแทัของพระธรรม ไม่เข้าใจพุทธบัญญัติ แต่เป็นเพราะอาศัยว่าตนมีตำแหน่ง ในวงการสงฆ์ ก็เลยอาศัยความมีหน้ามีตานี่ ....เอาพุทธพจน์มาละเลงตามใจชอบ นี่ถึงขนาดมีโมฆะบุรุษบางคน เอาสถานะของท่านไปข่มขู่ด่าทอคนที่ไม่เห็นด้วย อาการแบบนี้มันบ่งบอกให้รู้ว่า กำลังยกเอาสมมติสงฆ์ขึ้นมาเป็นศาสดาโดยไม่รู้ตัว ใครเขาแสดงความเห็นด้วยปัญญาของตนเอง ก็เที่ยวด่าเขาบ้า หาว่าด้นเดาเอาเอง แต่ที่ถึงเวลาตัวเอง แทนที่จะอ้างอิงพระไตรปิฎกหรือจะเป็นอรรถกถาก็ได้ กลับไม่ครับ ดันไปอ้างเอาตำราที่แต่งจากสมมติสงฆ์ แค่บอกว่า เขาแปลแบบโน้นแบบนี้ ผมก็ตลกจนหัวเราะออกมาเป็นเสียงไซเรนรถปอเต็กตึ๊งแล้ว แม้คำที่เป็นโวหารง่ายๆยังไม่มีปัญญาเทียบเคียงพุทธพจน์ ผลของการมั่วพระพุทธพจน์ ทำให้คนรุ่นหลังมีแต่ความสับสน นี่เป็นเพราะการมั่วพระพุทธพจน์ของสมมติสงฆ์ นั้นเอง |
เจ้าของ: | Duangrat [ 10 ก.ค. 2016, 08:24 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เขาถาม "ความไม่ยินดี ยินร้าย"? |
การไม่ยินดียินร้าย นั้นต้องดูว่า มีเหตุจากอะไร บุคคล ผู้ยังไม่รู้ เมื่อมีผัสสะมากระทบ ก็ไม่ยินดียินร้าย(ไม่รู้ไม่ชี้) คือยังติดอยู่กับ อวิชชา บุคคล ผู้มีปัญญา มีสติ เมื่อมีผัสสะมากระทบ ก็ รู้อารมณ์นั้นทั้งยินดีและยินร้าย แล้วละเป็นอุเบกขา เป็นผู้มีวิชชา การจะนำไปปรับใช้ให้เป็นคุณในชีวิต คือการเจริญสติ จากปุถุชน เจริญสติในชีวิตประจำวัน ด้วยการมีสติอยู่กับงานที่ทำในปัจจุบัน ตามดูอารมณ์ที่เกิดขึ้นด้วยใจเป็นกลาง ให้เห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น แล้วละ มันด้วยตนเอง ทำบ่อยๆ เนืองๆ ==รออ่าน คุณโฮฮับแก้ค่ะ== |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 10 ก.ค. 2016, 09:09 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เขาถาม "ความไม่ยินดี ยินร้าย"? |
ทำใจเป็นกลาง ไม่ยินดี ยินร้าย พูดกันบ่อย ได้ยินบ่อย ว่าต้องยังงั้นซี ยังงี้เซต ว่ากันไป ![]() ถ้าจะให้แน่ใจตัวเองต้องประสบเหตุการณ์จริง ตย. เช่น ปะกับเสือกับจระเข้ต่อหน้าต่อตา แล้วมีใจเป็นกลางได้ ไม่ยินดี ยินร้ายได้ โอเคช๊อกโกแล๊ตเลย ![]() ตย. สถานการณ์จริง ดิฉันฝึกหัดนั่งสมาธิวิปัสสนาแนวทาง (เขาระบุที่ แต่ตัดออก) คือนั่งดูลมหายใจเข้าออกเฉยๆ ไม่บริกรรมและให้ดูเวทนาที่เกิดในร่างกายแล้วให้มีอุเบกขา คอร์สแรกที่ดิฉันไปศึกษาเรียนรู้เป็นเวลา10 วัน และหลังจากนั้นดิฉันก็กลับมาปฎิบัติที่บ้าน สม่ำเสมอ วันละหลายครั้ง บางทีก็หลายชั่วโมงติดต่อกัน ล่วงเข้ามาประมาณเดือนที่3 ดิฉันมีอาการ ร้อนที่ร่างกายทุกส่วน และเกิดอาการปวดศีรษะเหมือนมีเข็มเป็น ร้อยๆเล่มอยู่ในหัว บางที แข็ง ตึง มึน ทึบอยู่ในหัว จนยากที่จะอธิบาย จนขนาดต้องไปเอกซ์เรย์แต่ไม่มีอะไรผิดปรกติ อาการมันลงมาที่มือข้างซ้าย และ กรามบน ขมับ 2 ข้าง เหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งอยู่ตลอดเวลาเป็นที่ทรมานมาก ระยะ หลังมาดิฉันก็เลยนั่งบ้างไม่นั่งบ้าง เพราะปวดหัวเหลือเกิน บาง อาการไม่สามารถบอกมาเป็นตัวอักษรได้ว่ารู้สึกอย่างไร อาการเป็นตลอด เวลา 2 - 4 ชั่วโมง ทั้งหลับทั้งตื่น ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ไปหาหมอฝังเข็ม ฝังมา 9 ครั้ง ไม่มีทีท่าว่าจะทุเลา อาการยังมี ตลอด ดิฉันก็ได้แต่อุเบกขา ทำใจไป คิดไปต่างๆนานา เวลานั่งก็ขออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง ตอนนี้นับระยะเวลาเป็นมากว่า 2 ปี ได้แต่หวังว่าผู้รู้ทั้งหลายคงช่วยอนุเคราะห์คนมีกรรมคนนี้ด้วย ขอได้โปรดเมตตาช่วยด้วยนะคะ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 10 ก.ค. 2016, 09:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เขาถาม "ความไม่ยินดี ยินร้าย"? |
ไหนก็ไหนแล้ว เอาเสืออีกสักตัวนะ ![]() ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สามนั่งไปซักพักประมาณสิบนาทีเริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัวจึงนั่งต่อไม่ได้ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก จนลาสิกขามาก็เริ่มมาหาอ่านเองจนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฐฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย ผมก็พิจารณาว่าเป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืนหมุนจนจะอ้วกจนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น คำถามครับ 1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง 2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนาทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่างมีเกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้วจะทำไปเพื่ออะไร หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 10 ก.ค. 2016, 09:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เขาถาม "ความไม่ยินดี ยินร้าย"? |
โฮฮับใช้พุทธพจน์ใช้อรรถกถาฎีกาอนุฎีกาแก้ซิ ห้ามใช้โวหารกับฎีกูนะ ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 10 ก.ค. 2016, 10:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เขาถาม "ความไม่ยินดี ยินร้าย"? |
Duangrat เขียน: การไม่ยินดียินร้าย นั้นต้องดูว่า มีเหตุจากอะไร บุคคล ผู้ยังไม่รู้ เมื่อมีผัสสะมากระทบ ก็ไม่ยินดียินร้าย(ไม่รู้ไม่ชี้) คือยังติดอยู่กับ อวิชชา บุคคล ผู้มีปัญญา มีสติ เมื่อมีผัสสะมากระทบ ก็ รู้อารมณ์นั้นทั้งยินดีและยินร้าย แล้วละเป็นอุเบกขา เป็นผู้มีวิชชา จะพูดแนวพุทธพจน์และพุทธบัญญัติให้ฟังก่อน ไอ้ความยินดียินร้าย.....มันเป็นโวหารของชาวบ้านทั่วไป ถ้าเราจะเอาโวหารนี้มาใช้กับธรรมะ มันก็ต้องเอาเปรียบเทียบกับพุทธพจน์ ต้องพิจารณาว่า ไอ้"ความยินดียินร้าย" มันเป็นสภาวธรรมใดในกายใจพุทธพจน์บัญญัติว่ากระไร โดยแท้จริงแล้ว สภาวธรรมที่เกิดภายในกายใจ ท่านบัญญัติในความยินดีว่า....โลภะ ส่วนความยินร้ายก็คือ.....โทสะ บุคคลจะเกิดความยินดีและยินร้ายพร้อมกันไม่ได้ หลักการวิปัสสนาก็คือ ถ้ามีอะไรมากระทบกายใจ(ทวาร)เรา เช่น.... เช่นเห็นภาพที่สวยๆงาม ได้ยินเสียงไพเราะ ได้ลิ่มรสอาหารอร่อย ได้กลิ่นหอมและได้สัมผัสที่อ่อนนุ่ม เหล่านี้ ถ้ากล่าวในสำนวนโวหารของชาวบ้าน......ก็คือความยินดี แต่ถ้ากล่าวในทางธรรมเราต้องกล่าวเป็นพุทธพจน์ว่า.....โลภะ ตรงข้ามเห็นภาพที่น่ารังเกียจ ได้ยินเสียงที่อื่ออึง ได้ลิ่มรสที่ไม่อร่อย ได้กลิ่นเหม็น และสัมผัสที่แข็งกระด้าง เหล่านี้ ถ้ากล่าวเป็นพุทธพจน์ก็คือ โทสะ นี้คือวิปัสสนาที่เราจะต้องรู้ทัน ....รู้ทันยินดียินร้าย ก็คือรู้ทันโทสะ โลภะ หรือโมหะ ที่ว่าต้องรู้ทัน หมายความว่า เมื่อมีเหตุปัจจัยให้มันเกิด มันก็ต้องเกิด เมื่อเกิดแล้วเรารู้ด้วยสติปัญญา(สติปัฏฐาน)เพื่อปล่อยวาง โทสะ โลภะและโมหะนั้น อนึ่งโทสะ โลภะและโมหะ.....ไม่ใช่กิเลสอย่างที่เราเข้าใจกัน โทสะ โลภะ โมหะ..... มันเป็นธรรมชาติในกายใจ ที่เกิดตามเหตุจากธรรมชาตินอกกายใจ... เกิดแล้วก็ดับไป ตัวกิเลสแท้ๆท่านเรียกว่า สังโยชน์ สังโยชน์นี้เป็นสิ่งที่ซึบซับอยู่ในกายใจของบุคคล เรียกว่าอุปกิเลส อุปกิเลสจะแสดงออกเมื่อมีธรรมชาติภายนอกมากระทบ (ปฏิจจฯ) สิ่งที่คุณDuangratกล่าวคือ ปัญญาและสตินั้น กล่าวได้ถูกต้องครับ เพียงแต่จะเสริมว่า มันเป็นกระบวนการในโพธิปักขิยธรรมที่เรียกว่า สติปัฏฐาน ส่วนอุเบกขานั้น เป็นผลสืบเนื่องจากสติปัฏฐาน เรียกว่า โพชฌงค์ครับ Duangrat เขียน: การจะนำไปปรับใช้ให้เป็นคุณในชีวิต คือการเจริญสติ จากปุถุชน เจริญสติในชีวิตประจำวัน ด้วยการมีสติอยู่กับงานที่ทำในปัจจุบัน ตามดูอารมณ์ที่เกิดขึ้นด้วยใจเป็นกลาง ให้เห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น แล้วละ มันด้วยตนเอง ทำบ่อยๆ เนืองๆ ==รออ่าน คุณโฮฮับแก้ค่ะ== ถูกต้องครับปุถุชน ทำได้แค่เจริญสติ มันยังไม่สามารถใช้ปัญญาได้ นั้นก็เพราะปุถุชนยังไม่มีนั้นเอง การเจริญสติของปุถุชนนั้น จะต้องมีสิ่งที่หมายรู้ไว้ก่อนนะครับ ไม่ใช่มาบอกว่า เจริญสติ ทั้งๆที่ไม่รู่ว่า มันคืออะไร อย่างเช่น ต้องรู้ล่วงหน้าว่า ความพอใจหรือไม่พอใจในสิ่งที่ได้พบเจอ มันเป็นเพียงธรรมชาติ เมื่อเห็นแล้วหรือฟังแล้ว มันก็จะดับไป แต่ถ้าเราเก็บเอามาคิด ตัวเรานั้นแหล่ะจะไม่สบายกาย ไม่สบายใจเอง ใหม่ๆมันก็จะเป็นแบบนี้ ต่อไปเมื่อชำนาญ มันก็เหลือแค่...รู้แล้วไม่คิด นี่คือการหมายรู้ไว้เป็นความจำ เมื่อเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น จะเกิดการระลึกรู้(สติ) ในสิ่งนั้นออกมาเพื่อดับอารมณ์ที่จะขึ้นนั้นเอง |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 10 ก.ค. 2016, 10:44 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เขาถาม "ความไม่ยินดี ยินร้าย"? |
กรัชกาย เขียน: โฮฮับใช้พุทธพจน์ใช้อรรถกถาฎีกาอนุฎีกาแก้ซิ ห้ามใช้โวหารกับฎีกูนะ ![]() สอนกี่ครั้งแล้วว่า จะขอความรู้จากใคร มันต้องใช้วาจาอ่อนน้อม พูดจาแบบนี้ เหมาะที่จะไปขอส่วนบุญ ไม่ใช่มาขอความรู้ ![]() |
เจ้าของ: | student [ 10 ก.ค. 2016, 14:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เขาถาม "ความไม่ยินดี ยินร้าย"? |
โฮฮับ เขียน: ![]() มีคนเขาถามในพันทิบครับว่า ....ความไม่ยินดียินร้ายเป็นอย่างไร ผมไปเห็นเขาได้แต่ปลงแล้วพรึมพร่ำในใจว่า ทำไมหนอเหตุใดหนอ จึงทำให้ชาวพุทธไทยถอยหลังลงคลองได้ขนาดนี้ นี่ไม่ใช่ใดอื่นมันเป็นเพราะ มีผู้ไม่รู้แก่นแทัของพระธรรม ไม่เข้าใจพุทธบัญญัติ แต่เป็นเพราะอาศัยว่าตนมีตำแหน่ง ในวงการสงฆ์ ก็เลยอาศัยความมีหน้ามีตานี่ ....เอาพุทธพจน์มาละเลงตามใจชอบ นี่ถึงขนาดมีโมฆะบุรุษบางคน เอาสถานะของท่านไปข่มขู่ด่าทอคนที่ไม่เห็นด้วย อาการแบบนี้มันบ่งบอกให้รู้ว่า กำลังยกเอาสมมติสงฆ์ขึ้นมาเป็นศาสดาโดยไม่รู้ตัว ใครเขาแสดงความเห็นด้วยปัญญาของตนเอง ก็เที่ยวด่าเขาบ้า หาว่าด้นเดาเอาเอง แต่ที่ถึงเวลาตัวเอง แทนที่จะอ้างอิงพระไตรปิฎกหรือจะเป็นอรรถกถาก็ได้ กลับไม่ครับ ดันไปอ้างเอาตำราที่แต่งจากสมมติสงฆ์ แค่บอกว่า เขาแปลแบบโน้นแบบนี้ ผมก็ตลกจนหัวเราะออกมาเป็นเสียงไซเรนรถปอเต็กตึ๊งแล้ว แม้คำที่เป็นโวหารง่ายๆยังไม่มีปัญญาเทียบเคียงพุทธพจน์ ผลของการมั่วพระพุทธพจน์ ทำให้คนรุ่นหลังมีแต่ความสับสน นี่เป็นเพราะการมั่วพระพุทธพจน์ของสมมติสงฆ์ นั้นเอง โฮฮับ เขียน: ![]() มีคนเขาถามในพันทิบครับว่า ....ความไม่ยินดียินร้ายเป็นอย่างไร ผมไปเห็นเขาได้แต่ปลงแล้วพรึมพร่ำในใจว่า ทำไมหนอเหตุใดหนอ จึงทำให้ชาวพุทธไทยถอยหลังลงคลองได้ขนาดนี้ นี่ไม่ใช่ใดอื่นมันเป็นเพราะ มีผู้ไม่รู้แก่นแทัของพระธรรม ไม่เข้าใจพุทธบัญญัติ แต่เป็นเพราะอาศัยว่าตนมีตำแหน่ง ในวงการสงฆ์ ก็เลยอาศัยความมีหน้ามีตานี่ ....เอาพุทธพจน์มาละเลงตามใจชอบ นี่ถึงขนาดมีโมฆะบุรุษบางคน เอาสถานะของท่านไปข่มขู่ด่าทอคนที่ไม่เห็นด้วย อาการแบบนี้มันบ่งบอกให้รู้ว่า กำลังยกเอาสมมติสงฆ์ขึ้นมาเป็นศาสดาโดยไม่รู้ตัว ใครเขาแสดงความเห็นด้วยปัญญาของตนเอง ก็เที่ยวด่าเขาบ้า หาว่าด้นเดาเอาเอง แต่ที่ถึงเวลาตัวเอง แทนที่จะอ้างอิงพระไตรปิฎกหรือจะเป็นอรรถกถาก็ได้ กลับไม่ครับ ดันไปอ้างเอาตำราที่แต่งจากสมมติสงฆ์ แค่บอกว่า เขาแปลแบบโน้นแบบนี้ ผมก็ตลกจนหัวเราะออกมาเป็นเสียงไซเรนรถปอเต็กตึ๊งแล้ว แม้คำที่เป็นโวหารง่ายๆยังไม่มีปัญญาเทียบเคียงพุทธพจน์ ผลของการมั่วพระพุทธพจน์ ทำให้คนรุ่นหลังมีแต่ความสับสน นี่เป็นเพราะการมั่วพระพุทธพจน์ของสมมติสงฆ์ นั้นเอง คืออาการที่ไม่มีปฎิกิริยาตอบสนองทั้งในด้านดีและไม่ดี เช่น ยืนมองคนทะเลาะกัน เขาไม่ได้เอ่ยชื่อเรา ก็ไม่รู้สึกยินดียินร้ายอะไร แต่ตราบใดใส่ชื่อเราลงไป จะมีปฎิกิริยาขึ้นมาทันที หรือ เราชอบทีมฟุตบอลไทย แต่รอบชิงเป็นทีมเกาหลีเจอญี่ปุ่น เราก็รู้สึกเฉยๆไม่ยินดียินร้ายอะไร แต่หากเป็นทีมไทยเข้าชิงเมื่อไหร่ ก็ดีใจสุดๆถ้าชนะ หรือไม่ก็เสียใจสุดๆถ้าแพ้ ประมาณนี้ครับ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 10 ก.ค. 2016, 14:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เขาถาม "ความไม่ยินดี ยินร้าย"? |
โฮฮับ เขียน: กรัชกาย เขียน: โฮฮับใช้พุทธพจน์ใช้อรรถกถาฎีกาอนุฎีกาแก้ซิ ห้ามใช้โวหารกับฎีกูนะ ![]() สอนกี่ครั้งแล้วว่า จะขอความรู้จากใคร มันต้องใช้วาจาอ่อนน้อม พูดจาแบบนี้ เหมาะที่จะไปขอส่วนบุญ ไม่ใช่มาขอความรู้ ทีนี้กราบเลย กราบ 1 กราบ 2 กราบ 3 กราบทั้งวันเอ้า ตอบหน่อยเถอะ ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 10 ก.ค. 2016, 15:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เขาถาม "ความไม่ยินดี ยินร้าย"? |
อ้างคำพูด: โฮฮับ จะพูดแนวพุทธพจน์และพุทธบัญญัติให้ฟังก่อน ไอ้ความยินดียินร้าย.....มันเป็นโวหารของชาวบ้านทั่วไป ถ้าเราจะเอาโวหารนี้มาใช้กับธรรมะ มันก็ต้องเอาเปรียบเทียบกับพุทธพจน์ ต้องพิจารณาว่า ไอ้"ความยินดียินร้าย" มันเป็นสภาวธรรมใดในกายใจพุทธพจน์บัญญัติว่ากระไร โดยแท้จริงแล้ว สภาวธรรมที่เกิดภายในกายใจ ท่านบัญญัติในความยินดีว่า....โลภะ ส่วนความยินร้ายก็คือ.....โทสะ บุคคลจะเกิดความยินดีและยินร้ายพร้อมกันไม่ได้ ท่านอาจารย์โฮฮับขอรับ ![]() ไอ้เจ้า โลภะ โทสะ เป็นกิเลสมั้ยขอรับ เป็น ไม่เป็น ขอรับท่านอาจารย์โฮ ![]() อ้างคำพูด: พิจารณาว่า ไอ้"ความยินดียินร้าย" มันเป็นสภาวธรรมใดในกายใจพุทธพจน์บัญญัติ สภาวธรรมใด ในกายใจพุทธพจน์บัญญัติ ตั้งแต่กรัชกายศึกษาพุทธศาสนามาก็ดลแล๊ว ยังไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยได้ดม ไม่เคยได้ลิ้ม ไม่เคยได้สัมผัส ไม่เคยได้ทราบเลย “สภาวธรรมในกายใจพุทธพจน์บัญญัติ” มันเป็นโวหารของท่านอาจารย์โฮหรือของใครกันขอรับ ฮงหมักๆ ![]() ความยินดี = อิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ความยินร้าย = อนิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา การฝึกหัดปฏิบัติพัฒนาจิตเพื่อไม่ให้เกิดความยินดี ยินร้าย ต่อ อิฏฐารมณ์ – อนิฏฐารมณ์ เป็นต้นนั้น ขณะ ตาเห็นรูป ว่าในใจ เห็นหนอๆๆ หูได้ยินเสียง เสียงหนอๆๆ จมูกได้กลิ่น กลิ่นหนอๆๆ ลิ้นลิ้มรส เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ว่าในใจไปตามที่เป็นที่รู้สึก เช่น เค็มหนอๆๆ เป็นตัวอย่าง กายสัมผัส (โผฏฐัพพะ) - เย็น ร้อน แข็ง อ่อน นุ่ม นิ่ม ว่าไปตามนั้น เช่น รู้สึกร้อนๆ ร้อนหนอๆๆ เป็นตัวอย่าง ใจคิด เรื่องอะไรยังไง ว่าไปตามนั้น คิดหนอๆๆ ฟุ้งซ่านหนอๆๆ รำคาญหนอๆ ชอบหนอๆๆ ไม่ชอบหนอๆ ยินดีหนอ ๆ พอได้ไหมขอรับท่านอาจารย์โฮฮับที่เคารพ ![]() |
เจ้าของ: | Rosarin [ 10 ก.ค. 2016, 17:04 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เขาถาม "ความไม่ยินดี ยินร้าย"? |
![]() กรัชกาย เขียน: โฮฮับ เขียน: กรัชกาย เขียน: โฮฮับใช้พุทธพจน์ใช้อรรถกถาฎีกาอนุฎีกาแก้ซิ ห้ามใช้โวหารกับฎีกูนะ ![]() สอนกี่ครั้งแล้วว่า จะขอความรู้จากใคร มันต้องใช้วาจาอ่อนน้อม พูดจาแบบนี้ เหมาะที่จะไปขอส่วนบุญ ไม่ใช่มาขอความรู้ ทีนี้กราบเลย กราบ 1 กราบ 2 กราบ 3 กราบทั้งวันเอ้า ตอบหน่อยเถอะ ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 11 ก.ค. 2016, 08:09 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เขาถาม "ความไม่ยินดี ยินร้าย"? |
กรัชกาย เขียน: ท่านอาจารย์โฮฮับขอรับ ![]() ไอ้เจ้า โลภะ โทสะ เป็นกิเลสมั้ยขอรับ เป็น ไม่เป็น ขอรับท่านอาจารย์โฮ ![]() ไม่ใช่! โลภะ โทสะหรือแม้แต่โมหะ กิเลสคือสังโยชน์แต่ถ้าเป็นกิเลสในกายใจเราเรียก...อุปกิเลส กรัชกาย เขียน: ตั้งแต่กรัชกายศึกษาพุทธศาสนามาก็ดลแล๊ว ยังไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยได้ดม ไม่เคยได้ลิ้ม ไม่เคยได้สัมผัส ไม่เคยได้ทราบเลย “สภาวธรรมในกายใจพุทธพจน์บัญญัติ” มันเป็นโวหารของท่านอาจารย์โฮหรือของใครกันขอรับ ฮงหมักๆ ![]() ไอ้ที่กรัชกายเรียน เขาไม่เรียกพุทธศาสนา แต่เป็นการเรียนภาษา ซึ่งภาษาที่ว่า จะว่าบาลีก็ไม่ใช่ เพียงครูผู้แต่งตำรา แต่งจากความเข้าใจผิดของตน(มั่ว) ก็ด้วยเหตุนี้เวลาใครเขาเอาพุทธพจน์แท้ๆมากล่าว...กรัชกายจะงงเป็นไก่ตาแตก ถ้ากรัชกายคิดว่าไอ้ที่กรัชกายไปท่องจำมามันถูกต้อง....มันก็ต้องรู้จักโต้แย้งด้วยลักษณะ ที่ว่าของตนใช่ ของพี่โฮไม่ใช่อย่างไร.....ไม่ใช่มาเซ้าซี้ไล่ถามว่านั้นคืออะไรนี้คืออะไร พอเขาอธิบายไอ้ที่ถามให้ฟัง ก็มาอีหรอบเดิมเอาภาษาตำรามาอ้างอีก....ก็เขาบอกว่า ตำราเล่มนั้นมันมั่ว ก็ยังดันทุรังเอามั่วซ้ำหนักเข้าไปอีก แล้วไอ้ที่ถามว่า "คหนี้มันเป็นโวหารของใคร"......มันถามด้วยความสิ้นคิด ท่านไม่ให้ยึดมั่นในตัวบุคคล ก็ยังมาทลึ่งถามด้วยความไร้สติ กรัชกาย เขียน: ความยินดี = อิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ความยินร้าย = อนิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา มันจะแปลกลับไปกลับมาทำไม ยินดีกับอิฏฐารมณ์ มันก็อันเดียวกัน ความยินร้ายกับอนิฏฐารมณ์ นี้ก็เหมือนกัน....คนไทยเขาพูด "ยินดี" คนมคธ เขาก็พูด"อิฏฐารมณ์" คนไทยพูด"ยินร้าย" คนมคธเขาก็พูด"อนิฏฐารมณ์" มันก็เหมือนกับที่คนไทยพูด "ยินดีต้อนรับ" ฝรั่งมันก็พูด "welcome" มันเป็นภาษาพูดหรือโวหารที่ใช่สื่อสารกันตามปกติ......มันไม่ใช่ภาษาธรรม พูดให้เข้าใจ.... ยินดีก็คือ..............โลภะ นิฏฐารมณ์ก็คือ........โลภะ ยินร้ายก็คือ..............โทสะ อนิฏฐารมณ์ก็คือ.........โทสะ นี่แบบนี่จึงจะเป็นภาษาธรรม กรัชกาย เขียน: การฝึกหัดปฏิบัติพัฒนาจิตเพื่อไม่ให้เกิดความยินดี ยินร้าย ต่อ อิฏฐารมณ์ – อนิฏฐารมณ์ เป็นต้นนั้น ขณะ ตาเห็นรูป ว่าในใจ เห็นหนอๆๆ หูได้ยินเสียง เสียงหนอๆๆ จมูกได้กลิ่น กลิ่นหนอๆๆ ลิ้นลิ้มรส เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ว่าในใจไปตามที่เป็นที่รู้สึก เช่น เค็มหนอๆๆ เป็นตัวอย่าง กายสัมผัส (โผฏฐัพพะ) - เย็น ร้อน แข็ง อ่อน นุ่ม นิ่ม ว่าไปตามนั้น เช่น รู้สึกร้อนๆ ร้อนหนอๆๆ เป็นตัวอย่าง ใจคิด เรื่องอะไรยังไง ว่าไปตามนั้น คิดหนอๆๆ ฟุ้งซ่านหนอๆๆ รำคาญหนอๆ ชอบหนอๆๆ ไม่ชอบหนอๆ ยินดีหนอ ๆ พอได้ไหมขอรับท่านอาจารย์โฮฮับที่เคารพ ![]() มันเลอะเทอะ! ธรรมท่านมีไว้ให้พิจารณาหาเหตุแห่งธรรมแล้วดับมันเสีย ผู้ปฏิบัติธรรมไม่ใช่หุ่นยนต์นะเว้ยเฮ้ย ถึงจะได้บ่นแต่เห็นหนอๆๆ ....ปัญญาอ่อนจริงๆ การที่บุคคลเกิดเห็นภาพ ท่านให้หาที่มาของการเห็นภาพ.....ไม่ใช่พร่าว่าเห็นหนอ พูดแค่นี้แหล่ะพูดยาวแล้วเสียของเปล่าๆ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 11 ก.ค. 2016, 08:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เขาถาม "ความไม่ยินดี ยินร้าย"? |
โฮฮับ เขียน: กรัชกาย เขียน: ท่านอาจารย์โฮฮับขอรับ ![]() ไอ้เจ้า โลภะ โทสะ เป็นกิเลสมั้ยขอรับ เป็น ไม่เป็น ขอรับท่านอาจารย์โฮ ![]() ไม่ใช่! โลภะ โทสะหรือแม้แต่โมหะ กิเลสคือสังโยชน์แต่ถ้าเป็นกิเลสในกายใจเราเรียก...อุปกิเลส กรัชกาย เขียน: ตั้งแต่กรัชกายศึกษาพุทธศาสนามาก็ดลแล๊ว ยังไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยได้ดม ไม่เคยได้ลิ้ม ไม่เคยได้สัมผัส ไม่เคยได้ทราบเลย “สภาวธรรมในกายใจพุทธพจน์บัญญัติ” มันเป็นโวหารของท่านอาจารย์โฮหรือของใครกันขอรับ ฮงหมักๆ ![]() ไอ้ที่กรัชกายเรียน เขาไม่เรียกพุทธศาสนา แต่เป็นการเรียนภาษา ซึ่งภาษาที่ว่า จะว่าบาลีก็ไม่ใช่ เพียงครูผู้แต่งตำรา แต่งจากความเข้าใจผิดของตน(มั่ว) ก็ด้วยเหตุนี้เวลาใครเขาเอาพุทธพจน์แท้ๆมากล่าว...กรัชกายจะงงเป็นไก่ตาแตก ถ้ากรัชกายคิดว่าไอ้ที่กรัชกายไปท่องจำมามันถูกต้อง....มันก็ต้องรู้จักโต้แย้งด้วยลักษณะ ที่ว่าของตนใช่ ของพี่โฮไม่ใช่อย่างไร.....ไม่ใช่มาเซ้าซี้ไล่ถามว่านั้นคืออะไรนี้คืออะไร พอเขาอธิบายไอ้ที่ถามให้ฟัง ก็มาอีหรอบเดิมเอาภาษาตำรามาอ้างอีก....ก็เขาบอกว่า ตำราเล่มนั้นมันมั่ว ก็ยังดันทุรังเอามั่วซ้ำหนักเข้าไปอีก แล้วไอ้ที่ถามว่า "คหนี้มันเป็นโวหารของใคร"......มันถามด้วยความสิ้นคิด ท่านไม่ให้ยึดมั่นในตัวบุคคล ก็ยังมาทลึ่งถามด้วยความไร้สติ กรัชกาย เขียน: ความยินดี = อิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ความยินร้าย = อนิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา มันจะแปลกลับไปกลับมาทำไม ยินดีกับอิฏฐารมณ์ มันก็อันเดียวกัน ความยินร้ายกับอนิฏฐารมณ์ นี้ก็เหมือนกัน....คนไทยเขาพูด "ยินดี" คนมคธ เขาก็พูด"อิฏฐารมณ์" คนไทยพูด"ยินร้าย" คนมคธเขาก็พูด"อนิฏฐารมณ์" มันก็เหมือนกับที่คนไทยพูด "ยินดีต้อนรับ" ฝรั่งมันก็พูด "welcome" มันเป็นภาษาพูดหรือโวหารที่ใช่สื่อสารกันตามปกติ......มันไม่ใช่ภาษาธรรม พูดให้เข้าใจ.... ยินดีก็คือ..............โลภะ นิฏฐารมณ์ก็คือ........โลภะ ยินร้ายก็คือ..............โทสะ อนิฏฐารมณ์ก็คือ.........โทสะ นี่แบบนี่จึงจะเป็นภาษาธรรม กรัชกาย เขียน: การฝึกหัดปฏิบัติพัฒนาจิตเพื่อไม่ให้เกิดความยินดี ยินร้าย ต่อ อิฏฐารมณ์ – อนิฏฐารมณ์ เป็นต้นนั้น ขณะ ตาเห็นรูป ว่าในใจ เห็นหนอๆๆ หูได้ยินเสียง เสียงหนอๆๆ จมูกได้กลิ่น กลิ่นหนอๆๆ ลิ้นลิ้มรส เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ว่าในใจไปตามที่เป็นที่รู้สึก เช่น เค็มหนอๆๆ เป็นตัวอย่าง กายสัมผัส (โผฏฐัพพะ) - เย็น ร้อน แข็ง อ่อน นุ่ม นิ่ม ว่าไปตามนั้น เช่น รู้สึกร้อนๆ ร้อนหนอๆๆ เป็นตัวอย่าง ใจคิด เรื่องอะไรยังไง ว่าไปตามนั้น คิดหนอๆๆ ฟุ้งซ่านหนอๆๆ รำคาญหนอๆ ชอบหนอๆๆ ไม่ชอบหนอๆ ยินดีหนอ ๆ พอได้ไหมขอรับท่านอาจารย์โฮฮับที่เคารพ ![]() มันเลอะเทอะ! ธรรมท่านมีไว้ให้พิจารณาหาเหตุแห่งธรรมแล้วดับมันเสีย ผู้ปฏิบัติธรรมไม่ใช่หุ่นยนต์นะเว้ยเฮ้ย ถึงจะได้บ่นแต่เห็นหนอๆๆ ....ปัญญาอ่อนจริงๆ การที่บุคคลเกิดเห็นภาพ ท่านให้หาที่มาของการเห็นภาพ.....ไม่ใช่พร่าว่าเห็นหนอ พูดแค่นี้แหล่ะพูดยาวแล้วเสียของเปล่าๆ อ้างคำพูด: ไม่ใช่โลภะ โทสะหรือแม้แต่โมหะ กิเลสคือสังโยชน์ แต่ถ้าเป็นกิเลสในกายใจเราเรียก..อุปกิเลส วนเหมือนงูกินหางนะท่านศาสดาโฮ คิกๆๆ โลภะ โทสะ โมหะ ไม่ใช่กิเลส กิเลส คือ สังโยชน์ เออ อยากให้เป็นอะไรก็เอานะ ![]() เอานะในเมื่อสังโยชน์เป็นกิเลสแล้วก็แสดงว่าเป็นเหตุปัจจัยให้จิตเกิดนะ (จำได้นะ) ถ้ายังงั้น ก็ไม่ควรกำจัดสังโยชน์เพื่อให้จิตบริสุทธิ์ เพราะจะทำให้จิตหายไปด้วยซี่งั้น ![]() ถามเท่านี้พอ เพราะมันจะเละไปมากกว่านี้ มีสาระนะขอรับ คุณ Duangrat ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 11 ก.ค. 2016, 12:27 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เขาถาม "ความไม่ยินดี ยินร้าย"? |
กรัชกาย เขียน: อ้างคำพูด: ไม่ใช่โลภะ โทสะหรือแม้แต่โมหะ กิเลสคือสังโยชน์ แต่ถ้าเป็นกิเลสในกายใจเราเรียก..อุปกิเลส วนเหมือนงูกินหางนะท่านศาสดาโฮ คิกๆๆ โลภะ โทสะ โมหะ ไม่ใช่กิเลส กิเลส คือ สังโยชน์ เออ อยากให้เป็นอะไรก็เอานะ ![]() เอานะในเมื่อสังโยชน์เป็นกิเลสแล้วก็แสดงว่าเป็นเหตุปัจจัยให้จิตเกิดนะ (จำได้นะ) ถ้ายังงั้น ก็ไม่ควรกำจัดสังโยชน์เพื่อให้จิตบริสุทธิ์ เพราะจะทำให้จิตหายไปด้วยซี่งั้น ![]() ถามเท่านี้พอ เพราะมันจะเละไปมากกว่านี้ มีสาระนะขอรับ คุณ Duangrat ![]() เอาความเข้าคอกยังง่ายกว่าพูดธรรมให้กรัชกายฟัง บอกว่าจิตเกิดจากกิเลส ยังจะมาเอาจิตบริสุทธิ์อีกแน่ะ เมื่อไม่มีกิเลส มันก็ไม่มีจิต.....เมื่อไม่มีจิต ความบริสุทธิ์ก็คือกายใจ |
เจ้าของ: | Duangrat [ 11 ก.ค. 2016, 14:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เขาถาม "ความไม่ยินดี ยินร้าย"? |
กรัชกาย เขียน: ถามเท่านี้พอ เพราะมันจะเละไปมากกว่านี้ มีสาระนะขอรับ คุณ Duangrat ![]() ช่ายค่ะ มีสาระทุกคำตอบ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |