ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ภาษาธรรมแท้ๆจ้า!! http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=52625 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 28 มิ.ย. 2016, 09:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | ภาษาธรรมแท้ๆจ้า!! |
ด้วยความเป็นห่วงกลัวเพื่อนสมาชิกจะเดินตามนายกรัชกายลงเหว ก็เลยอยากชี้แนะ มาบอกว่าอะไรเป็นอะไร เอาเป็นว่าอ่านแล้วไม่ต้องเชื่อ แค่เกิดความรู้สึกเอะใจบ้างก็ยังดีครับ เอากันแบบภาษาธรรมแท้ๆ ........ที่ไม่ใช้ภาษาที่แต่งใหม่ เพียงเพื่อเป็นหลักสูตรในชั้นเรียนของเด็กๆ ถ้าคุณต้องการรู้ภาษาธรรมแท้ๆ สิ่งแรกที่จะต้องรู้ก็คือ หลัก๒อย่างนี้ ๑.พุทธพจน์ ๒.โวหาร ความหมายของพุทธพจน์ก็คือ พุทธบัญญัติ พูดให้กระจ่างหน่อยก็คือ พระพุทธองค์ทรงตั้งชื่อให้กับสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ(ตรัสรู้) เมื่อพุทธพจน์เป็นชื่อของสิ่งที่พระพุทธองค์ค้นพบเป็นคนแรก เหตุนี้จึงห้ามเอาชื่อไปเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น จะด้วยการแปลหรือเรียกเป็นอย่างอื่นด้วยภาษาของชาติตน โดยหลักแล้ว พุทธพจน์แบ่งเป็นสองลักษณะ ก็คือ สมมติบัญญัติ ๑และปรมัตถบัญญัติ ๑ ส่วนโวหาร ก็คือ ภาษาที่ใช้สื่อสารกันในสังคมทั่วๆไป เป็นสิ่งที่สังคมมีความตกลงร่วมกันในความหมาย โวหารส่วนใหญ่จะไม่เกี่ยวกับธรรมโดยตรง แต่เราต้องอาศัยโวหารมาอธิบายพุทธพจน์ โดยหลักแล้วเราสามารถเอาโวหารไปแปลเป็นภาษาอื่นได้หลากหลาย ซึ่งในคำพูดที่ว่า แปลบาลีพระไตรปิฎก นี่ไม่ได้หมายความว่า แปลพุทธพจน์ แต่เป็นการแปลบาลีโวหาร.....โปรดจำอีกครั้งหนึ่งว่า พุทธพจน์ไม่ใช่บาลี |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 28 มิ.ย. 2016, 09:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ภาษาธรรมแท้ๆจ้า!! |
โฮฮับ เขียน: ด้วยความเป็นห่วงกลัวเพื่อนสมาชิกจะเดินตามนายกรัชกายลงเหว ก็เลยอยากชี้แนะ มาบอกว่าอะไรเป็นอะไร เอาเป็นว่าอ่านแล้วไม่ต้องเชื่อ แค่เกิดความรู้สึกเอะใจบ้างก็ยังดีครับ เอากันแบบภาษาธรรมแท้ๆ ........ที่ไม่ใช้ภาษาที่แต่งใหม่ เพียงเพื่อเป็นหลักสูตรในชั้นเรียนของเด็กๆ ถ้าคุณต้องการรู้ภาษาธรรมแท้ๆ สิ่งแรกที่จะต้องรู้ก็คือ หลัก๒อย่างนี้ ๑.พุทธพจน์ ๒.โวหาร ความหมายของพุทธพจน์ก็คือ พุทธบัญญัติ พูดให้กระจ่างหน่อยก็คือ พระพุทธองค์ทรงตั้งชื่อให้กับสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ(ตรัสรู้) เมื่อพุทธพจน์เป็นชื่อของสิ่งที่พระพุทธองค์ค้นพบเป็นคนแรก เหตุนี้จึงห้ามเอาชื่อไปเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น จะด้วยการแปลหรือเรียกเป็นอย่างอื่นด้วยภาษาของชาติตน โดยหลักแล้ว พุทธพจน์แบ่งเป็นสองลักษณะ ก็คือ สมมติบัญญัติ ๑และปรมัตถบัญญัติ ๑ ส่วนโวหาร ก็คือ ภาษาที่ใช้สื่อสารกันในสังคมทั่วๆไป เป็นสิ่งที่สังคมมีความตกลงร่วมกันในความหมาย โวหารส่วนใหญ่จะไม่เกี่ยวกับธรรมโดยตรง แต่เราต้องอาศัยโวหารมาอธิบายพุทธพจน์ โดยหลักแล้วเราสามารถเอาโวหารไปแปลเป็นภาษาอื่นได้หลากหลาย ซึ่งในคำพูดที่ว่า แปลบาลีพระไตรปิฎก นี่ไม่ได้หมายความว่า แปลพุทธพจน์ แต่เป็นการแปลบาลีโวหาร.....โปรดจำอีกครั้งหนึ่งว่า พุทธพจน์ไม่ใช่บาลี พระพุทธเจ้่าพูดเป็นคำไหม พูดกับคนไหม |
เจ้าของ: | Duangrat [ 28 มิ.ย. 2016, 12:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ภาษาธรรมแท้ๆจ้า!! |
โฮฮับ เขียน: ความหมายของพุทธพจน์ก็คือ พุทธบัญญัติ พูดให้กระจ่างหน่อยก็คือ พระพุทธองค์ทรงตั้งชื่อให้กับสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ(ตรัสรู้) เมื่อพุทธพจน์เป็นชื่อของสิ่งที่พระพุทธองค์ค้นพบเป็นคนแรก เหตุนี้จึงห้ามเอาชื่อไปเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น จะด้วยการแปลหรือเรียกเป็นอย่างอื่นด้วยภาษาของชาติตน โดยหลักแล้ว พุทธพจน์แบ่งเป็นสองลักษณะ ก็คือ สมมติบัญญัติ ๑และปรมัตถบัญญัติ ๑ ส่วนโวหาร ก็คือ ภาษาที่ใช้สื่อสารกันในสังคมทั่วๆไป เป็นสิ่งที่สังคมมีความตกลงร่วมกันในความหมาย โวหารส่วนใหญ่จะไม่เกี่ยวกับธรรมโดยตรง แต่เราต้องอาศัยโวหารมาอธิบายพุทธพจน์ โดยหลักแล้วเราสามารถเอาโวหารไปแปลเป็นภาษาอื่นได้หลากหลาย ซึ่งในคำพูดที่ว่า แปลบาลีพระไตรปิฎก นี่ไม่ได้หมายความว่า แปลพุทธพจน์ แต่เป็นการแปลบาลีโวหาร.....โปรดจำอีกครั้งหนึ่งว่า พุทธพจน์ไม่ใช่บาลี จะเป็นได้ไหมว่า พระพุทธเจ้าท่านก็ใช้ภาษาที่เป็น โวหารสมัยพระองค์นั้นแหระ มาบัญญัตชื่อธรรม โดยให้นิยามใหม่ อย่างเช่นที่เคยอ่านมาว่า นิพพาน ของผู้ปฏิบัติมาก่อนพระพุทธเจ้า ก็มิได้มีความหมายอย่างนิพพานของพระพุทธเจ้า |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 28 มิ.ย. 2016, 13:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ภาษาธรรมแท้ๆจ้า!! |
ความรู้เท่าทันสมมติ และเข้าใจปรมัตถ์ แล้วรู้จักใช้ภาษา เป็นเครื่องมือสื่อความหมาย โดยไม่ยึดติดในสมมติเป็นทาสของภาษา เช่นบาลีที่เป็นพุทธพจน์ "ภิกษุผู้เป็นอรหันตขีณาสพ....จะพึงกล่าวว่า ฉันพูด ดังนี้ก็ดี เขาพูดกับฉัน ดังนี้ก็ดี เธอเป็นผู้ฉลาด รู้ถ้อยคำที่เขาพูดกันในโลก ก็พึงกล่าวไปตามโวหารเท่านั้น" (สํ.ส.15/65/21) "เหล่านี้ เป็นโลกสมัญญา เป็นโลกนิรุตติ เป็นโลกโวหาร เป็นโลกบัญญัติ ซึ่งตถาคตใช้พูดจา แต่ไม่ยึดติด" (ที.สี.9/312/248) อนึ่ง พระอรรถกถาจารย์บรรยายลักษณะของพระสูตร (สุตตันตปิฏก) ว่าเป็นโวหารเทศนา เพราะเนื้อหาส่วนมากแสดงโดยโวหาร คือ ใช้ภาษาสมมติ ส่วนพระอภิธรรมเป็นปรมัตถเทศนา เพราะเนื้อหาส่วนมากแสดงโดยปรมัตถ์ คือ กล่าวตามสภาวะแท้ๆ (วินย.อ.1/21...) นี้เป็นข้อสังเกตเพื่อประดับความรู้อย่างหนึ่ง โวหาร ถ้อยคำ, สำนวนพูด, ชั้นเชิง หรือกระบวนแต่งหนังสือ หรือพูด ไวพจน์ คำที่มีรูปต่างกัน แต่มีความหมายคล้ายกัน, คำสำหรับเรียกแทนกัน เช่น คำว่า มทนิมฺมทโน เป็นต้น เป็นไวพจน์ของวิราคะ คำว่า วิมุตติ วิสุทธิ สันติ อสังขตะ วิวัฏฏ์ เป็นต้น เป็นไวพจน์ของนิพพาน ดังนี้เป็นต้น |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 28 มิ.ย. 2016, 13:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ภาษาธรรมแท้ๆจ้า!! |
โฮฮับ ไม่ได้อะไรจากพุทธธรรมในชีวิตนี้ดอก คิกๆๆ เพราะชีวิตยังว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสเลย |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 28 มิ.ย. 2016, 14:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ภาษาธรรมแท้ๆจ้า!! |
Duangrat เขียน: โฮฮับ เขียน: ความหมายของพุทธพจน์ก็คือ พุทธบัญญัติ พูดให้กระจ่างหน่อยก็คือ พระพุทธองค์ทรงตั้งชื่อให้กับสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ(ตรัสรู้) เมื่อพุทธพจน์เป็นชื่อของสิ่งที่พระพุทธองค์ค้นพบเป็นคนแรก เหตุนี้จึงห้ามเอาชื่อไปเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น จะด้วยการแปลหรือเรียกเป็นอย่างอื่นด้วยภาษาของชาติตน โดยหลักแล้ว พุทธพจน์แบ่งเป็นสองลักษณะ ก็คือ สมมติบัญญัติ ๑และปรมัตถบัญญัติ ๑ ส่วนโวหาร ก็คือ ภาษาที่ใช้สื่อสารกันในสังคมทั่วๆไป เป็นสิ่งที่สังคมมีความตกลงร่วมกันในความหมาย โวหารส่วนใหญ่จะไม่เกี่ยวกับธรรมโดยตรง แต่เราต้องอาศัยโวหารมาอธิบายพุทธพจน์ โดยหลักแล้วเราสามารถเอาโวหารไปแปลเป็นภาษาอื่นได้หลากหลาย ซึ่งในคำพูดที่ว่า แปลบาลีพระไตรปิฎก นี่ไม่ได้หมายความว่า แปลพุทธพจน์ แต่เป็นการแปลบาลีโวหาร.....โปรดจำอีกครั้งหนึ่งว่า พุทธพจน์ไม่ใช่บาลี จะเป็นได้ไหมว่า พระพุทธเจ้าท่านก็ใช้ภาษาที่เป็น โวหารสมัยพระองค์นั้นแหระ มาบัญญัตชื่อธรรม โดยให้นิยามใหม่ อย่างเช่นที่เคยอ่านมาว่า นิพพาน ของผู้ปฏิบัติมาก่อนพระพุทธเจ้า ก็มิได้มีความหมายอย่างนิพพานของพระพุทธเจ้า อย่าลืมว่า พุทธพจน์เป็นชื่อของธรรม.....เน้นอีกที่ว่ามันเป็น ชื่อ ธรรมที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ ...เป็นสิ่งใหม่ที่ไม่มีใครรู้จัก เหตุนี้การตั้งชื่อจึงไม่สามารถ เอาโวหารเดิมๆที่ใช้กันมาตั้งเป็นชื่อไม่ได้ ....เพราะจะเกิดการเข้าใจผิด ตัวอย่างดูง่ายๆ นักวิทยาสตร์ค้นพบอะไรใหม่ๆเขาก็ตั้งชื่อใหม่ทั้งนั้น ซึ่งชื่อใหม่นั้นไม่มีใครใช้มาก่อน เช่นพบยาป้องกันโรคหมาบ้า เขาก็ตั้งชื่อว่า วัคซีน (Vaccine) วัคซีนไม่มีคำแปล ชาติไหนประเทศใด เขาก็เรียกทับศัพท์ว่า วัคซีน เช่นเดียวกันกับพุทธพจน์ ยกตัวอย่าง "สติ" ทุกชาติทุกภาษาต้องเรียกหรืออกเสียงว่า "สะติ" จะเขียนเป็นอักษรชาติใดก็ได้ แต่ต้องอ่านออกเสียงว่า "สะติ" คำว่า"นิพพาน" เป็นพุทธพจน์ของพระโคดม จะเอาไปใช้กับศาสนาอื่นไม่ได้ หรือแม้แต่ยุคสมัยก่อนพระโคดมก็ไม่ได้...... ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมันเป็นชื่อเฉพาะของสิ่งที่พระโคดมค้นพบ ถ้าพูดถึงคนอื่นต้องใช้ชื่ออื่น สาเหตุที่คนไทยมักจะสับสน เพราะเราไปยืมเอาพุทธพจน์ มาเป็นภาษาไทยหรือเรียกว่าโวหารไทย แบบนี้ทำให้เราแยกแยะไม่ออกว่า อะไรเป็นโวหารอะไรเป็นพุทธพจน์ |
เจ้าของ: | Duangrat [ 28 มิ.ย. 2016, 14:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ภาษาธรรมแท้ๆจ้า!! |
โฮฮับ เขียน: Duangrat เขียน: โฮฮับ เขียน: อย่าลืมว่า พุทธพจน์เป็นชื่อของธรรม.....เน้นอีกที่ว่ามันเป็น ชื่อ ธรรมที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ ...เป็นสิ่งใหม่ที่ไม่มีใครรู้จัก เหตุนี้การตั้งชื่อจึงไม่สามารถ เอาโวหารเดิมๆที่ใช้กันมาตั้งเป็นชื่อไม่ได้ ....เพราะจะเกิดการเข้าใจผิด ตัวอย่างดูง่ายๆ นักวิทยาสตร์ค้นพบอะไรใหม่ๆเขาก็ตั้งชื่อใหม่ทั้งนั้น ซึ่งชื่อใหม่นั้นไม่มีใครใช้มาก่อน เช่นพบยาป้องกันโรคหมาบ้า เขาก็ตั้งชื่อว่า วัคซีน (Vaccine) วัคซีนไม่มีคำแปล ชาติไหนประเทศใด เขาก็เรียกทับศัพท์ว่า วัคซีน เช่นเดียวกันกับพุทธพจน์ ยกตัวอย่าง "สติ" ทุกชาติทุกภาษาต้องเรียกหรืออกเสียงว่า "สะติ" จะเขียนเป็นอักษรชาติใดก็ได้ แต่ต้องอ่านออกเสียงว่า "สะติ" คำว่า"นิพพาน" เป็นพุทธพจน์ของพระโคดม จะเอาไปใช้กับศาสนาอื่นไม่ได้ หรือแม้แต่ยุคสมัยก่อนพระโคดมก็ไม่ได้...... ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมันเป็นชื่อเฉพาะของสิ่งที่พระโคดมค้นพบ ถ้าพูดถึงคนอื่นต้องใช้ชื่ออื่น สาเหตุที่คนไทยมักจะสับสน เพราะเราไปยืมเอาพุทธพจน์ มาเป็นภาษาไทยหรือเรียกว่าโวหารไทย แบบนี้ทำให้เราแยกแยะไม่ออกว่า อะไรเป็นโวหารอะไรเป็นพุทธพจน์ คุณโฮฮับว่า คนสมัยนั้น จะไม่มีใครพูดคำว่า ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ...ฯ (ธรรมทั้งหมดในโพธิปักขิยธรรม) ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะสอน อย่างนั้นเหรอ? |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 28 มิ.ย. 2016, 14:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ภาษาธรรมแท้ๆจ้า!! |
อ้างคำพูด: อย่าลืมว่า พุทธพจน์เป็นชื่อของธรรม.....เน้นอีกที่ว่ามันเป็น ชื่อ ช่นเดียวกันกับพุทธพจน์ ยกตัวอย่าง "สติ" ทุกชาติทุกภาษาต้องเรียกหรืออกเสียงว่า "สะติ" จะเขียนเป็นอักษรชาติใดก็ได้ แต่ต้องอ่านออกเสียงว่า "สะติ" ก็อย่างที่ว่าไงว่า อาจารย์ชี้ให้ดูพระจันทร์ แต่ศิษย์ไปดูนิ้วอาจารย์ จึงเห็นแต่นิ้วชี้ ไม่เห็นพระจันทร์ สติ สื่อถึงความระลึกได้ สัมปชัญญะ สื่อถึงความรู้สึกตัว แต่ลูกศิษย์ไปติดศัพท์ เหมือนลูกศิษย์อาจารย์เซ็นติดนิ้วอาจารย์ (มองนิ้ว) ไม่มองพระจันทร์ที่อาจารย์ต้องการสือให้เห็นให้ดู พระไตรปิฎก เขานำไปแปลตั้งหลายภาษานะตัวเอง |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 28 มิ.ย. 2016, 17:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ภาษาธรรมแท้ๆจ้า!! |
Duangrat เขียน: โฮฮับ เขียน: Duangrat เขียน: โฮฮับ เขียน: อย่าลืมว่า พุทธพจน์เป็นชื่อของธรรม.....เน้นอีกที่ว่ามันเป็น ชื่อ ธรรมที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ ...เป็นสิ่งใหม่ที่ไม่มีใครรู้จัก เหตุนี้การตั้งชื่อจึงไม่สามารถ เอาโวหารเดิมๆที่ใช้กันมาตั้งเป็นชื่อไม่ได้ ....เพราะจะเกิดการเข้าใจผิด ตัวอย่างดูง่ายๆ นักวิทยาสตร์ค้นพบอะไรใหม่ๆเขาก็ตั้งชื่อใหม่ทั้งนั้น ซึ่งชื่อใหม่นั้นไม่มีใครใช้มาก่อน เช่นพบยาป้องกันโรคหมาบ้า เขาก็ตั้งชื่อว่า วัคซีน (Vaccine) วัคซีนไม่มีคำแปล ชาติไหนประเทศใด เขาก็เรียกทับศัพท์ว่า วัคซีน เช่นเดียวกันกับพุทธพจน์ ยกตัวอย่าง "สติ" ทุกชาติทุกภาษาต้องเรียกหรืออกเสียงว่า "สะติ" จะเขียนเป็นอักษรชาติใดก็ได้ แต่ต้องอ่านออกเสียงว่า "สะติ" คำว่า"นิพพาน" เป็นพุทธพจน์ของพระโคดม จะเอาไปใช้กับศาสนาอื่นไม่ได้ หรือแม้แต่ยุคสมัยก่อนพระโคดมก็ไม่ได้...... ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมันเป็นชื่อเฉพาะของสิ่งที่พระโคดมค้นพบ ถ้าพูดถึงคนอื่นต้องใช้ชื่ออื่น สาเหตุที่คนไทยมักจะสับสน เพราะเราไปยืมเอาพุทธพจน์ มาเป็นภาษาไทยหรือเรียกว่าโวหารไทย แบบนี้ทำให้เราแยกแยะไม่ออกว่า อะไรเป็นโวหารอะไรเป็นพุทธพจน์ คุณโฮฮับว่า คนสมัยนั้น จะไม่มีใครพูดคำว่า ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ...ฯ (ธรรมทั้งหมดในโพธิปักขิยธรรม) ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะสอน อย่างนั้นเหรอ? แน่นอนซิครับ ชื่อพวกนี้เป็นสิ่งที่พระโคดมบัญญัติขึ้นหลังจากตรัสรู้ ก่อนที่จะมีพระธรรมของพระโคดม(โพธิปักฯ) ชาวมคธเขาไม่พูดคำพวกนี้กันหรอกครับ ก่อนที่พวกมหาเปรียญจะมั่วเอาคำพวกนี้มาสอนคนไทย เราก็ไม่ได้ใช้คำพวกนี้ ส่วนใหญ่ก็ใช้เช่น เชื่อ พยายาม จำได้ สนใจ ฉลาด ฯลฯ เนี่ยแหล่ะชาวมคธเขาก็คงพูดกันในลักษณะนี้แต่เป็นบาลี |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 28 มิ.ย. 2016, 18:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ภาษาธรรมแท้ๆจ้า!! |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 28 มิ.ย. 2016, 18:50 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ภาษาธรรมแท้ๆจ้า!! |
กรัชกาย เขียน: ความรู้เท่าทันสมมติ และเข้าใจปรมัตถ์ แล้วรู้จักใช้ภาษา เป็นเครื่องมือสื่อความหมาย โดยไม่ยึดติดในสมมติเป็นทาสของภาษา เช่นบาลีที่เป็นพุทธพจน์ เริ่มก็มั่วแล้ว จะไปรู้เท่าทันสมมติทำไม สมมติเป็นธรรมชาติเป็นสัจจะ และปรมัตถ์ก็เช่นกัน ทั้งสมมติและปรมัตถ์เป็นสัจจะที่อยู่คู่กัน สมมติเป็นเหตุให้เกิดปรมัตถ์ สมมติเป็นธรรมชาติภายนอกกายใจ ที่มากระทบกายใจของบุคคล จนเกิดเป็นปรมัตถ์ขึ้นภายในกายใจของบุคคลนั้นๆ ความหมายของคำว่ารู้จักใช้ภาษาก็คือ.......มีปัญญาแยกแยะว่าอะไรคือโวหาร สมมติบัญญัติและปรมัตถ์บัญญัติ ที่กล่าวมาคือสิ่งที่ต้องรู้ในลักษณะของปริยัติ ไม่ใช่รู้ทันแบบที่กรัชกายมั่ว อาการรู้ทันนั้นจะต้องพูดในลักษณะของการ ปฏิบัติ กรัชกาย เขียน: "ภิกษุผู้เป็นอรหันตขีณาสพ....จะพึงกล่าวว่า ฉันพูด ดังนี้ก็ดี เขาพูดกับฉัน ดังนี้ก็ดี เธอเป็นผู้ฉลาด รู้ถ้อยคำที่เขาพูดกันในโลก ก็พึงกล่าวไปตามโวหารเท่านั้น" (สํ.ส.15/65/21) "เหล่านี้ เป็นโลกสมัญญา เป็นโลกนิรุตติ เป็นโลกโวหาร เป็นโลกบัญญัติ ซึ่งตถาคตใช้พูดจา แต่ไม่ยึดติด" (ที.สี.9/312/248) มั่วโพสทั้งๆที่ไม่เข้าใจง่ายดีนี่ พระสูตรมันมีที่มาที่ไป ไอ้นี่ตัดต่อหน้าตาเฉย จะสอนให้ว่า พระสูตรท่านหมายความว่าอย่างไร..... คำว่าไม่ยึดติด พระพุทธองค์หมายความถึง พูดโวหารออกไปต้องสื่อถึงสมมติและปรมัตถ์ อย่ายึดติดแค่เพียงโวหารหรือคำพูดเพียงเท่านั้น และคำว่า "นิรุตติ" การเลือกเฟ้นเอาโวหาร(คำพูด)ที่เป็นลักษณะสื่อถึงสมมติและปรมัตถ์ นิรุตต์ท่านใช่กับโวหารที่กล่าวถึงสมมติและปรมัตถ์ พูดให้สั้นเขาก็คือ โวหารที่เป็นนิรุตต์ของพุทธพจน์ ก็คือคำพูดที่สื่อให้เห็นพุทธพจน์ กรัชกาย เขียน: อนึ่ง พระอรรถกถาจารย์บรรยายลักษณะของพระสูตร (สุตตันตปิฏก) ว่าเป็นโวหารเทศนา เพราะเนื้อหาส่วนมากแสดงโดยโวหาร คือ ใช้ภาษาสมมติ ส่วนพระอภิธรรมเป็นปรมัตถเทศนา เพราะเนื้อหาส่วนมากแสดงโดยปรมัตถ์ คือ กล่าวตามสภาวะแท้ๆ (วินย.อ.1/21...) นี้เป็นข้อสังเกตเพื่อประดับความรู้อย่างหนึ่ง เลอะเทอะ! โวหารก็โวหาร โวหารไม่ใช่สมมติ คำว่าโวหารเทศนา หมายความถึง การสอนของสาวกที่ใช้คำพูดของตนในการสอนเป็นส่วนใหญ่ มันเป็นความรู้ของสาวกโดยตรง ท่านจึงเรียกโวหารเทศนา พระสุตตันมีลักษณะของเรื่องเล่า ท่านใช้หลักของ ปุคลาธิษฐานและธรรมาธิษฐาน ส่วนพระอภิธรรม เป็นเรื่องของนามธรรมล้วนๆ จึงใช้หลักของสมมติบัญญัติและปรมัตถบัญญัติ กรัชกาย เขียน: โวหาร ถ้อยคำ, สำนวนพูด, ชั้นเชิง หรือกระบวนแต่งหนังสือ หรือพูด เหล่านี้ล้วนแต่พวกมหาเปรียญมั่วเอาคำของพุทธไปแต่งใหม๋ โวหารที่แท้จริงหมายถึง คำพูดที่ใช้สื่อสารกันตามปกติในสังคม คำพูดไม่ว่าชาติใดภาษาใดล้วนเรียกโวหารด้วยกันทั้งสิ้น กรัชกาย เขียน: ไวพจน์ คำที่มีรูปต่างกัน แต่มีความหมายคล้ายกัน, คำสำหรับเรียกแทนกัน เช่น คำว่า มทนิมฺมทโน เป็นต้น เป็นไวพจน์ของวิราคะ คำว่า วิมุตติ วิสุทธิ สันติ อสังขตะ วิวัฏฏ์ เป็นต้น เป็นไวพจน์ของนิพพาน ดังนี้เป็นต้น เอามายำกันซะเละ คำว่า"ไวพจน์"นี่แหละคือโวหาร ที่ใช้อธิบายธรรม แต่มันไม่ใช่พุทธพจน์ จะเอาคำว่าไว้พจน์หรือนิรุตติมาใช้เป็นลักษณะของพุทธพจน์ไม่ได้ ทั้งสองเป็นแค่โวหารสื่อสารเพื่อขยายความโวหารด้วยกันเอง ยกตัวอย่างคำที่กรัชกายเป็นปัญหา(ง่าวไม่รู้จบ) เช่นคำว่า "คน" จะต้องใช้ว่า คนเป็นไวพจน์กับมนุษย์ จะเอาคำว่า บุคคลเป็นไวพจน์กับคน ไม่ได้ บุคคลเป็นพุทธพจน์ คนเป็นโวหาร |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 29 มิ.ย. 2016, 09:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ภาษาธรรมแท้ๆจ้า!! |
พุทธพจน์กล่าวถึงธรรมสองอย่างที่เป็นสภาพธรรม คือ สมมติและปรมัตถ์ ในการศึกษาสภาพธรรมทั้งสองนี้ พระพุทธองค์ทรงใช้บัญญัติหรือชื่อที่พระองค์ตั้งให้ธรรมเหล่านั้น ถ้าเป็นสมมติก็เรียกว่า .....สมมติบัญญัติ ถ้าเป็นปรมัตถ์ก็เรียกว่า .....ปรมัตถบัญญัติ ตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้าหลายๆครั้งว่า สมมติและปรมัตถ์เป็นธรรมคู่ ความหมายของธรรมคู่ก็ เกิดพร้อมกันและดับพร้อมกัน โดยมีสมมติเป็นเหตุ ปรมัตถ์เป็นผล ฉะนั้นปรมัตถ์เกิดได้เพราะสมมติ แล้วอะไรบ้างที่เป็นสมมติ อะไรบ้างที่เป็นปรมัตถ์ การจะรู้ได้ต้องถือเอากายใจเป็นหลัก ธรรมชาติภายนอกที่มากระทบกายใจ ถือเป็นสมมติ และธรรมชาติที่เกิดจากการกระทบของสมมติและกายใจ ถือเป็นปรมัตถ์ ปล. นี้แหล่ะคือหลักของการเจริญวิปัสสนา ใช้กายใจตนเป็นหลักแล้วใช้สติสัมปชัญญะ แยกแยะธรรมในแต่ละอย่าง......อย่าหลงไปนั่งนิ่งๆแบบโยคีเพ่งหวย นั้นไม่ใช่การปฏิบัติในพุทธศาสนา |
เจ้าของ: | student [ 29 มิ.ย. 2016, 13:10 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ภาษาธรรมแท้ๆจ้า!! |
ผมมีความเห็นว่า มีหลายอย่างที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ เช่น ศัพท์ในปรมัติธรรม คำว่านิพพานอาจจะมีลัทธิอื่นกล่าวมาก่อน แต่ไม่เคยเข้าถึงปฏิเวท แต่โพธิปักขิยธรรมนั้นเป็นปริยัติที่มีในพุทธศาสนา |
เจ้าของ: | Rosarin [ 29 มิ.ย. 2016, 15:49 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ภาษาธรรมแท้ๆจ้า!! |
Dhamma ธรรม ภาษาบาลีอ่านออกเสียงว่า ธัม-มะ พูดทับศัพท์ภาษาไทยตัดมะออกอ่านว่า ธัม เขียนว่า ธรรม คนไทยตัดสั้นลง เวลาแปลเป็นภาษาไทย ธรรม แปลว่าสิ่งที่มีจริง ดังนั้นสิ่งที่มีจริงเป็นสิ่งที่มีจริง อย่างนี้เป็นภาษาธรรมแท้ไหมคะคุณโฮฮับ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |