ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
"สมาธิ" ในสองความหมาย http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=52502 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | วิริยะ [ 05 มิ.ย. 2016, 13:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | "สมาธิ" ในสองความหมาย |
. สมาธิในความหมายทั่ว ๆ ไป กับสมาธิในความหมายของพระพุทธศาสนา - สมาธิในความหมายทั่ว ๆ ไป คือสมาธิที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่นการเล่าเรียน การทำงาน ฯลฯ แม้ในสัตว์ก็มี ท่านเรียก "สัญชาตญาณ" เช่น สัญชาตญาณการดำรงชีวิต สัญชาตญาณการเอาตัวรอด ฯ สมาธินี้มีมาแต่กำเนิด เรียกว่า "สชาติ" เช่น "สชาติสติ สชาติสมาธิ สชาติปัญญา" ปัญญาที่มาพร้อมกับการเกิด ในสัตว์มีข้อจำกัด แต่ในมนุษญ์สามารถพัฒนาให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นได้ "สมาธิในลักษณะนี้มีนิวรณ์ห้าครอบงำเป็นปกติ" - สมาธิในความหมายของพระพุทธศาสนา คือ "สมาธิที่ต้องละนิวรณ์ห้าได้" นิวรณ์ห้า ได้แก่ .. ๑. กามฉันท์ ความพอใจ ความกำหนัด หรือราคะ คือ ความพอใจ หรือติดใจในกามคุณ ๕ ๒. พยาบาท คิดร้ายผู้อื่น ความอาฆาตพยาบาท ความขุ่นเคือง ความขัดข้อง ๓. ถีนมิทธะ ความหดหู่ซึมเซา ความหดหู่ใจ ความง่วงเหงาหาวนอน ๔. อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านและรำคาญใจ ๕. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ความลังเลสงสัยในธรรมต่าง ๆ ในการปฏิบัติ ฯ เมื่อจิตละนิวรณ์ห้าได้ - ชั่วขณะหนึ่ง สั้น ๆ ชั่วช้างพับหู งูแลบลิ้น เรียกว่า ขณิกสมาธิ - ชั่วระยะหนึ่ง อาจสัก ๓๐ นาทีหรือมากกว่า เรียก อุปจาระสมาธิ - อาจจะมากกว่า ๑ ชั่วโมงขึ้นไป หนักแน่นเป็นเอคกัตตาและอุเบกขา เรียกว่า อัปนาสมาธิ ถ้าสมาธิ เปรียบเหมือนคน .. - ขณิกะสมาธิ คือผู้ที่ทำงาน สั้น ๆ แล้วก็เลิก - อุปจาระสมาธิ คือผู้ทำงาน ๓๐ นาทีหรือมากกว่า - อัปนาสมาธิ คือผู้ที่กำลังพักผ่อน ปัญญาวิปัสสนาหรือภาวนามยปัญญา ต้องมีสมาธิเป็นฐานและมีช่วงระยะเวลาของสมาธินานพอสมควร ไม่ใช่ ชั่วเวลาปุ๊บปั๊บ ให้พิจารณาว่าขณิกะกับอุปจาระสมาธิ อย่างไหนที่ทำประโยชน์ได้มากกว่ากัน อย่างไหนที่เหมาะกับนำไปใช้งาน สมาธิในความหมายของพระพุทธศาสนา ต้องมีการฝึกจึงจะเกิดจะมีได้ เรียกว่า "การเจริญสติ เจริญสมาธิ" ซึ่งพระองค์วางแนวทางไว้ คือ - สติปัฏฐาน ๔ - กรรมฐาน ๔๐ ฉะนั้น ผู้ที่จะฝึกฝน สามารถที่จะเลือกหมวดธรรมที่เหมาะกับจริตนิสสัยเพื่อนำไปพัฒนาตน ให้เกิดความเจริญ ในสติสมาธิและปัญญาสมความตั้งใจ .. ![]() |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 05 มิ.ย. 2016, 16:48 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: "สมาธิ" ในสองความหมาย |
ท้งหมดก็พอจะเข้าใจได้นะครับ แต่ติดตรงที่ว่า สมาธื"สชาตื สชาธิสตื สชาธิสมาธิ สชาธิปัญญา" อะไรยังไง เปิดหากูเกิลก็ไม่มีมันเป๋นยังไร หรือภาษาท้องถิ่นไหน |
เจ้าของ: | วิริยะ [ 05 มิ.ย. 2016, 17:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: "สมาธิ" ในสองความหมาย |
ลุงหมาน เขียน: ท้งหมดก็พอจะเข้าใจได้นะครับ แต่ติดตรงที่ว่า สมาธื"สชาตื สชาธิสตื สชาธิสมาธิ สชาธิปัญญา" อะไรยังไง เปิดหากูเกิลก็ไม่มีมันเป๋นยังไร หรือภาษาท้องถิ่นไหน "สติ สมาธิ ปัญญา" เป็น"สชาติ" เกิดมาพร้อมกับชาติ ถ้าไม่มีมาตั้งแต่เกิด ก็ไม่รู้จะพัฒนาได้อย่างไร ดูแต่สมัยเด็ก ๆ จนถึงปัจจุบันว่า เราได้พัฒนา สติ สมาธิ ปัญญาของเรา มาอย่างไร พระพุทธศาสนาจึงเกิดขึ้นในภพมนุษย์ ไม่ใช่ ภพเทวดา พรหม เพราะมนุษย์ มีสติ สมาธิ ปัญญา มาแต่เกิด .. https://sites.google.com/site/smartdhamma/s-chati-payya ![]() |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 05 มิ.ย. 2016, 17:55 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: "สมาธิ" ในสองความหมาย |
เห๋นแล้ว แต่ยังไงคนเขียนย่อมเข้าใจผิด คำว่าเกิดพร้อมนั่น มันต้องเป็น "สหชาตะชาต" คือจิตเจตสิกที่เกิเดร่วมกันและพร้อมกัน นั่นหมายถึง สมาธิ สติ ปัญญา ก็ย่อมเป็นได้ |
เจ้าของ: | วิริยะ [ 06 มิ.ย. 2016, 07:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: "สมาธิ" ในสองความหมาย |
. สติปัฏฐาน ๔ ฐานที่ตั้งของสติ ๔ แห่ง .. - กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ให้พิจารณากายในกาย - เวทนานุสติปัฏฐาน ให้พิจารณาเวทนา คือ สุขทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์ - จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ให้พิจารณาใจที่เศร้าหมองหรือผ่องแผ้ว - ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ให้พิจารณาธรรมที่เป็นกุศลหรืออกุศลที่เกิดกับใจ สติปัฏฐาน ๔ คือกายกับใจ ผู้ใดมีควาตั้งมั่น ตั้งใจ วิริยะอุตสาหะประพฤติปฏิบัติเต็มกำลังความสามารถ พระองค์ตรัสไว้ อย่างช้าเจ็ดปี อย่างเร็วเจ็ดวัน ต้องเป็นพระอรหันต์หรือพระอนาคามี ท่านว่าธรรมอื่นนอกจากนี้แล้ว "เมื่อปฏิบัติถูกต้องแล้วจะต้องรวมลงที่สติปัฏฐานนี้ทั้งนั้น จึงมีชื่อว่าทางสายเอก สติปัฏฐานสี่นี้เป็นทั้งสมถะและวิปัสนา เป็นทางสายเดียวจะนำผู้ปฏิบัติพ้นจากทุกข์ทั้งปวง" ทำไมต้องฝึกสติ เพราะสติคือพี่เลี้ยงของจิต เป็นรั้วกั้น เป็นผู้ควบคุมจิตไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว .. ![]() |
เจ้าของ: | เช่นนั้น [ 06 มิ.ย. 2016, 16:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: "สมาธิ" ในสองความหมาย |
สมาธิ : สมาธินทรีย์ : v สมาธินทรีย์ในกุศลจิต Quote Tipitaka: [๓๐] สมาธินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน? ความตั้งอยู่แห่งจิต ความดำรงอยู่แห่งจิต ความมั่นอยู่แห่งจิต ความไม่ส่ายไปแห่งจิต ความไม่ฟุ้งซ่านแห่งจิต ภาวะที่จิตไม่ส่ายไป ความสงบ อินทรีย์คือสมาธิ สมาธิพละ สัมมาสมาธิ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า สมาธินทรีย์ มีในสมัยนั้น. V สมาธินทรีย์ในอกุศลจิต Quote Tipitaka: [๒๘๗] สมาธินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน? ความตั้งอยู่แห่งจิต ความดำรงอยู่แห่งจิต ความมั่นอยู่แห่งจิต ความไม่ส่ายไปแห่งจิต ความไม่ฟุ้งซ่านแห่งจิต ภาวะที่จิตไม่ส่ายไป ความสงบ อินทรีย์คือสมาธิ สมาธิพละ มิจฉา สมาธิ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า สมาธินทรีย์ มีในสมัยนั้น. V สมาธินทรีย์ ในโลกุตรจิต Quote Tipitaka: [๒๑๐] สมาธินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน? ความตั้งอยู่แห่งจิต ความดำรงอยู่แห่งจิต ความมั่นแห่งจิต ความไม่ส่ายไปแห่งจิต ความไม่ฟุ้งซ่านแห่งจิต ภาวะที่จิตไม่ส่ายไป ความสงบ อินทรีย์คือสมาธิ สมาธิพละ สัมมาสมาธิ สมาธิสัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์แห่งมรรค นับเนื่องในมรรค ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า สมาธินทรีย์ มีในสมัยนั้น. V ไม่มีสมาธินทรีย์ใน อัพยกตจิต เพราะเหตุกระทำไว้แล้ว จิตประกอบด้วย เอกัคคตาเจตสิก |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 07 มิ.ย. 2016, 08:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: "สมาธิ" ในสองความหมาย |
วิริยะ เขียน: [color=#0000FF]. สมาธิในความหมายทั่ว ๆ ไป กับสมาธิในความหมายของพระพุทธศาสนา - สมาธิในความหมายทั่ว ๆ ไป คือสมาธิที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่นการเล่าเรียน การทำงาน ฯลฯ แม้ในสัตว์ก็มี ท่านเรียก "สัญชาตญาณ" เช่น สัญชาตญาณการดำรงชีวิต สัญชาตญาณการเอาตัวรอด ฯ สมาธิในพุทธศาสนาก็คือสมาธิที่ใช้ในช๊วิตประจำวันนั้นแหล่ะ.....เพียงแต่พุทธศาสนาท่านเพิ่ม ความเป็นสภาพธรรมแห่งความเป็นสมาธิเข้ามา ท่านแบ่งสมาธิออกเป็น รูปธรรมและนามธรรม รูปธรรมพุทธองค์ทรงบัญญัติเรียกว่า..........สมมติสัจจะ ส่วนนามธรรมพระพุทธองค์ทรงบัญญัติว่า....ปรมัตถสัจจะ การจะทำให้เกิดสมาธิได้ท่าน เราต้องไปกระทำที่รูปธรรม(สมมติ)หรือสมาธิในชีวิตประจำวันนั้นเอง เมื่อสมาธิที่เป็นรูปธรรม(สมมติ)เกิด ความเป็นสมาธิที่เป็นนามธรรม(ปรมัตถ์)ก็เกิดขึ้นพร้อมๆกัน วิริยะ เขียน: สมาธินี้มีมาแต่กำเนิด เรียกว่า "สชาติ" เช่น "สชาติสติ สชาติสมาธิ สชาติปัญญา" ปัญญาที่มาพร้อมกับการเกิด ในสัตว์มีข้อจำกัด แต่ในมนุษญ์สามารถพัฒนาให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นได้ "สมาธิในลักษณะนี้มีนิวรณ์ห้าครอบงำเป็นปกติ" ทั้งสติ ปัญญาและสมาธิ ไม่ได้มีมาแต่กำเหนิด สิ่งที่มีมาแต่กำเหนิดก็คือ โทสะ โลภะและโมหะ อันสืบเนื่องมาจากขันธ์ห้าในอดีตชาติแ สติ ปัญญาและสมาธิ รวมถึงวิริยะและศรัทธา จะต้องได้รับการสั่งสอนและฝึกฝนเสียก่อน วิริยะ เขียน: - สมาธิในความหมายของพระพุทธศาสนา คือ "สมาธิที่ต้องละนิวรณ์ห้าได้" นิวรณ์ห้า ได้แก่ .. ๑. กามฉันท์ ความพอใจ ความกำหนัด หรือราคะ คือ ความพอใจ หรือติดใจในกามคุณ ๕ ๒. พยาบาท คิดร้ายผู้อื่น ความอาฆาตพยาบาท ความขุ่นเคือง ความขัดข้อง ๓. ถีนมิทธะ ความหดหู่ซึมเซา ความหดหู่ใจ ความง่วงเหงาหาวนอน ๔. อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านและรำคาญใจ ๕. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ความลังเลสงสัยในธรรมต่าง ๆ ในการปฏิบัติ ฯ ไม่ถูกต้องนัก! ที่จริงต้องพูดว่า สมาธิจะเกิดได้จะต้องเจริญสติและสัมปชัญญะ การมีสัมปชัญญะรู้ทันต่อสิ่งที่จะกระทำ(กำหนดรู้)และมีสติระลึกรู้ต่อสิ่งที่จะกระทำเมื่อเกิดความหลง นี่คือมรรคหรือวิธีการทำให้เกิดสมาธิ นิวรณ์ทั้งห้าเป็นเพียงธรรมายนอกที่มากระทบ สิ่งที่บุคคลจะต้องทำคือฝึกฝนให้สติสัมปชัญญะเข็มแข็ง เพียงเท่านี้นิวรณ์ห้าก้ไม่สามารถเข้ามาครอบงำได้......สมาธิย่อมเกิดตามมา |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 07 มิ.ย. 2016, 08:14 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: "สมาธิ" ในสองความหมาย |
วิริยะ เขียน: "สติ สมาธิ ปัญญา" เป็น"สชาติ" เกิดมาพร้อมกับชาติ ถ้าไม่มีมาตั้งแต่เกิด ก็ไม่รู้จะพัฒนาได้อย่างไร ดูแต่สมัยเด็ก ๆ จนถึงปัจจุบันว่า เราได้พัฒนา สติ สมาธิ ปัญญาของเรา มาอย่างไร พระพุทธศาสนาจึงเกิดขึ้นในภพมนุษย์ ไม่ใช่ ภพเทวดา พรหม เพราะมนุษย์ มีสติ สมาธิ ปัญญา มาแต่เกิด .. https://sites.google.com/site/smartdhamma/s-chati-payya ![]() เรื่องของเรื่องมันผิดตั้งแต่ต้น แท้จริงแล้ว ทั้งสติ ปัญญา สมาธิ รวมถึง ศรัทธาและวิริยะ มันเป็นเรื่องของเหตุปัจจัย ไม่ใช่ว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับสิ่งเหล่านี้ ในเมื่อมันเป็นเรื่องของเหตุปัจจัย เราจึงต้องใช้คำว่า..... อัญญมัญญปัจจัย ปัจจัยโดยเป็นอาศัยซึ่งกันและกัน ป,. อย่างไรก็ดี ต้องแยกแยะด้วยว่ากำลังพูดถึงการใช้ชีวิตประจำวัน หรือพูดถึงธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอน |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 07 มิ.ย. 2016, 08:39 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: "สมาธิ" ในสองความหมาย |
วิริยะ เขียน: [color=#0000FF]. สติปัฏฐาน ๔ ฐานที่ตั้งของสติ ๔ แห่ง .. - กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ให้พิจารณากายในกาย - เวทนานุสติปัฏฐาน ให้พิจารณาเวทนา คือ สุขทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์ - จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ให้พิจารณาใจที่เศร้าหมองหรือผ่องแผ้ว - ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ให้พิจารณาธรรมที่เป็นกุศลหรืออกุศลที่เกิดกับใจ คำว่าสติปัฏฐาน แท้จริงก็คือ มหาสติปัฏฐาน คำว่าสี่(๔)เป็นคำที่ต่อเติมเกินจากพุทธพจน์ ในหลักของมหาสติปัฏฐาน จะต้องยึดเอา ธัมมานุปัสสนาฯเป็นเป็นหลัก เหตุนี้การพูดว่าสติปัฏฐาน๔ จึงเป็นคำพูดที่ผิดเพี้ยน และความหมายของมหาสติปัฏฐานก็คือ......การใช้สติปัญญาไปพิจารณาธรรมที่มากระทบกายใจ(ปัจจุบัน) มันไม่ใช่มีความหมายว่า ฐานที่ตั้งของสติ แท้จริงคือการใช้สติเป็นฐานที่ตั้งแห่งปัญญา กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา และจิตตานุปัสสนา.....ล้วนเป็นองค์มรรคหรือองค์ประกอบของ ธัมมานุปัสสนาทั้งสิ้น การที่บุคคลจะเดินมรรคใดในสามมรรคที่ว่า เราจะต้องพิจารณาจากบรรพต่างๆ ในธัมมานุปัสสนา ตัวอย่างเช่น ในธัมมมานุปัสสนาท่านให้พิจารณา นิวรณ์บรรพ เราก็ต้องไปเจิญมรรค ในเรื่องของกายานุปัสสนา......สรุปก็คือเราต้องเอา ธัมมานุปัสสนาฯเป็นประธาน ส่วนกายาฯ เวทนาฯและจิตฯเป็นเพียงองค์ประกอบ |
เจ้าของ: | วิริยะ [ 08 มิ.ย. 2016, 07:27 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: "สมาธิ" ในสองความหมาย |
.. ขอบคุณทุกความเห็นครับ .. ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 08 มิ.ย. 2016, 08:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: "สมาธิ" ในสองความหมาย |
โฮฮับ เขียน: วิริยะ เขียน: [color=#0000FF]. สติปัฏฐาน ๔ ฐานที่ตั้งของสติ ๔ แห่ง .. - กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ให้พิจารณากายในกาย - เวทนานุสติปัฏฐาน ให้พิจารณาเวทนา คือ สุขทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์ - จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ให้พิจารณาใจที่เศร้าหมองหรือผ่องแผ้ว - ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ให้พิจารณาธรรมที่เป็นกุศลหรืออกุศลที่เกิดกับใจ คำว่าสติปัฏฐาน แท้จริงก็คือ มหาสติปัฏฐาน คำว่าสี่ (๔) เป็นคำที่ต่อเติมเกินจากพุทธพจน์ ในหลักของมหาสติปัฏฐาน จะต้องยึดเอา ธัมมานุปัสสนาฯเป็นเป็นหลัก เหตุนี้การพูดว่าสติปัฏฐาน๔ จึงเป็นคำพูดที่ผิดเพี้ยน และความหมายของมหาสติปัฏฐานก็คือ......การใช้สติปัญญาไปพิจารณาธรรมที่มากระทบกายใจ(ปัจจุบัน) มันไม่ใช่มีความหมายว่า ฐานที่ตั้งของสติ แท้จริงคือการใช้สติเป็นฐานที่ตั้งแห่งปัญญา กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา และจิตตานุปัสสนา.....ล้วนเป็นองค์มรรคหรือองค์ประกอบของ ธัมมานุปัสสนาทั้งสิ้น การที่บุคคลจะเดินมรรคใดในสามมรรคที่ว่า เราจะต้องพิจารณาจากบรรพต่างๆ ในธัมมานุปัสสนา ตัวอย่างเช่น ในธัมมมานุปัสสนาท่านให้พิจารณา นิวรณ์บรรพ เราก็ต้องไปเจิญมรรค ในเรื่องของกายานุปัสสนา......สรุปก็คือเราต้องเอา ธัมมานุปัสสนาฯเป็นประธาน ส่วนกายาฯ เวทนาฯและจิตฯเป็นเพียงองค์ประกอบ อ้างคำพูด: คำว่าสี่ (๔) เป็นคำที่ต่อเติมเกินจากพุทธพจน์ รู้ไม่เท่าเขา ก็ว่าเขาทำเกิน เหมือนช่างซ่อมรถ ถอดเครื่องออกมาแล้วใส่ไม่หมด ก็บอกว่าฝรั่งทำเกิน คิกๆๆ สี่หมายถึง 4 ข้อ (เวลาปฏิบัติท่านให้ตามดูรู้ทันที่ 4 จุดนี้) เหมือนที่ท่านอโศกพูด อานาปานสติ 16 ขั้น ดูนะเอาสั้นๆพอเห็นเค้า 1. กายานุปัสสนา 2. เวทนานุปัสสนา 3. จิตตานุปัสสนา 4. ธัมมานุปัสสนา อนึ่ง เวลาลงมือทำลงมือปฏิบัติจริง ไม่ใช่มานั่งทำทีละข้อๆ 1 2 3 4 ตามลำดับ ของจริง ไม่ได้เกิดตามลำดับอย่างที่เขาบันทึกเป็นตัวหน้งสือหรอก โยคีนั่งกำหนดตามดูรู้กายอยู่ ที่เหลือเกิดได้ทุกข้อ เดี๋ยวเจ็บปวด เดี๋ยวฟุ้งซ่าน เดี๋ยวหาวนอน ซึมเซา สลับไปสลับมา |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |