ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
เส้นทางของสมถะกับวิปัสสนา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=52482 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 01 มิ.ย. 2016, 06:40 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | เส้นทางของสมถะกับวิปัสสนา | ||
สมถะกรรมฐาน กับ วิปัสสนากรรม ทั้ง ๒ มี อารมณ์ที่แตกต่างกัน ปลายทางก็แตกต่างกัน สมถะกรรมฐาณมีอารมณ์กรรมฐาน ๔๐ เป็นอารมณ์ เส้นทางสูงสุด อรูปพรหม ๔ ระหว่างทาง รูปพรหม ๑๖ วิปัสสนากรรมฐาน มีอารมณ์ สติปัฏฐาน ๔ เป็นอารมณ์ ผลของของวิปัสสนากรรมฐาน หรือปลายทางของวิปัสสนากรรมฐาน ได้แก่ พระนิพพาน และในระหว่างทาง ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ปลายทางเข้าสู่ความพ้นทุกข์ ดับขันปรินิพพาน
|
เจ้าของ: | วิริยะ [ 01 มิ.ย. 2016, 16:17 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: เส้นทางของสมถะกับวิปัสสนา | ||
. .. เห็นต่างครับ .. ![]() ![]()
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 01 มิ.ย. 2016, 17:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เส้นทางของสมถะกับวิปัสสนา |
วิริยะ เขียน: . .. เห็นต่างครับ .. ![]() ![]() ผมว่าผมไม่เห็นต่างนะครับ มันมองคนละแง่มุมมอง แต่ผมเข้าใจว่าคุณวิริยะที่เอาภาพนี้ลงแล้วจะไม่เข้าใจมากกว่า จึงบอกว่ามีความเห็นต่าง และก็ไม่บอกว่าเห็นต่างยังไง |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 01 มิ.ย. 2016, 17:36 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: เส้นทางของสมถะกับวิปัสสนา | ||
ภาพนี้คนที่สร้างขึ้นมาก็มีความเข้าใจผิด จึงสร้างภาพมาผิดตามเข้าใจของตัวเอง คำว่า มิจฉาสมาธิ นั่นหมายถึง สมาธิเป็นไปในทางอกุศลจิต และ คำว่า มิจฉาปัญญา นั้นก็หมายถึง โมหะเจตสิก ซึ่งเกิดไปในทางอกุศลจิต ลองมาคิดซิว่า พรหม ที่เป็นรูปพรหม และอรูปนั้น ไม่มีปัญญาจริงหรือทั้งที่ได้ฌาน ๔ - ๘ ถ้าขาดปัญญาจริงเขาคงทำฌานไม่ได้หรอก ในอรูปพรหมมี อาฬารดาบส และอุทกดาบสเกิดอยู่ แม้ทั้งสองท่านนี้เป็นถึงอาจารย์ของพระพุทธเจ้า และยังถูกยกย่องว่าเป็นผู้มีปัญญามาก แล้วผู้เขียนจะมาใช้หนทางที่ไปในภูมินี้ว่า เป็นมิจฉาสมาธิ เป็นมิจฉาปัญญานั้นได้ไฉน เพียงแต่ว่า อาฬารดาบส กับอุทกบาบส สองท่านนี้ไม่รู้ธรรมอันลึกซึ้งเป็นที่สุดได้ ท่านนึกว่าธรรมตรงนี้ที่ท่านทั้งสองได้นั้นถึงที่สุดแล้วไม่มีต่อไปอีกแล้ว
|
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 01 มิ.ย. 2016, 19:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เส้นทางของสมถะกับวิปัสสนา |
ลุงหมาน เขียน: ภาพนี้คนที่สร้างขึ้นมาก็มีความเข้าใจผิด จึงสร้างภาพมาผิดตามเข้าใจของตัวเอง คำว่า มิจฉาสมาธิ นั่นหมายถึง สมาธิเป็นไปในทางอกุศลจิต และ คำว่า มิจฉาปัญญา นั้นก็หมายถึง โมหะเจตสิก ซึ่งเกิดไปในทางอกุศลจิต ลองมาคิดซิว่า พรหม ที่เป็นรูปพรหม และอรูปนั้น ไม่มีปัญญาจริงหรือทั้งที่ได้ฌาน ๔ - ๘ ถ้าขาดปัญญาจริงเขาคงทำฌานไม่ได้หรอก ในอรูปพรหมมี อาฬารดาบส และอุทกดาบสเกิดอยู่ แม้ทั้งสองท่านนี้เป็นถึงอาจารย์ของพระพุทธเจ้า และยังถูกยกย่องว่าเป็นผู้มีปัญญามาก แล้วผู้เขียนจะมาใช้หนทางที่ไปในภูมินี้ว่า เป็นมิจฉาสมาธิ เป็นมิจฉาปัญญานั้นได้ไฉน เพียงแต่ว่า อาฬารดาบส กับอุทกบาบส สองท่านนี้ไม่รู้ธรรมอันลึกซึ้งเป็นที่สุดได้ ท่านนึกว่าธรรมตรงนี้ที่ท่านทั้งสองได้นั้นถึงที่สุดแล้วไม่มีต่อไปอีกแล้ว ![]() ![]() ปัญญา..ปัญญา..ที่เราๆพูด ๆ กันอยู่นี้..ต้องเป็นปัญญาออกจากทุกข์ได้..ปัญญาในแนวทางของพุทธะ จบ..ตรี..โท..เอก..เราจึงไม่ถือว่าแสดงถึงการมีปัญญาแล้ว..รึลุงว่า..เป็นปัญญาแล้ว? ปัญญาของท่านอาจารย์ทั้งสอง...จึงไม่จัดว่าเป็นปัญญาในวงสนทนาแนวออกจากทุกข์ |
เจ้าของ: | วิริยะ [ 01 มิ.ย. 2016, 19:29 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เส้นทางของสมถะกับวิปัสสนา |
.. ลุงหมาน เขียน: เพียงแต่ว่า อาฬารดาบส กับอุทกบาบส สองท่านนี้ไม่รู้ธรรมอันลึกซึ้งเป็นที่สุดได้ ท่านนึกว่าธรรมตรงนี้ที่ท่านทั้งสองได้นั้นถึงที่สุดแล้วไม่มีต่อไปอีกแล้ว ที่ขีดเส้นใต้นั่นและครับ มิจฉาปัญญา ปัญญาหลงผิด มิจฉาสมาธิ หมายถึง สมาธิหลงผิด สมาธิหัวต่อ สมาธินอนตาย สมาธิที่ไม่ทำให้เกิดปัญญา .. ปัญญามีกันทุกคน นับแต่สุตะมยปัญญา จินตามยปัญญา แต่ภาวนามยปัญญาหรือวิปัสสนา ปัญญานี้ ไม่มีกันทุกคน ต้องมีพร้อมกับสมาธิ คือมีสมาธิตั้งใจมั่น(อุปจาระสมาธิ)แล้วปัญญา ตัวนี้จึงจะเกิด ภาวนามยปัญญาเป็นปัญญาที่ไม่มีนิวรณ์ห้าครอบงำ เป็นปัญญาสูงสุดในพระพุทธศาสนา ปัญญา ที่ทำให้คนธรรมดาเป็นพระอริยะบุคคล จุดหมายของการทำกรรมฐานวิปัสสนาก็คือให้จิตสงบพ้น จากนิวรณ์ห้าให้จิตเป็นสมาธิ เพื่อเกิดปัญญาวิปัสสนาหรือภาวนามยปัญญานี้เอง .. ![]() |
เจ้าของ: | Rosarin [ 02 มิ.ย. 2016, 03:04 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เส้นทางของสมถะกับวิปัสสนา |
![]() ![]() สาระของการฟังพระธรรมคือต้องเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีคือสะสมปัญญา การฟังค่ะถึงผลของปัญญาเป็นปฏิเวธทุกขณะอยู่แล้วค่ะจะไปถึงตอนไหนได้ เรียงลำดับแบบไหนก็ตามลำดับแบบนั้นไม่ขาดทั้ง3คือปริยัติปฏบัติและปฏิเวธ ขณะที่กำลังฟังไม่เข้าใจเป็นเราฟังเป็นอกุศลจิตผลก็คือเป็นกิเลสย่อมไม่เป็นปัญญา ขณะที่กำลังฟังเข้าใจสิ่งที่กำลังฟังตอนที่กำลังฟังผลก็คือเป็นปัญญาเริ่มรู้จักกิเลสตน ขณะที่กำลังฟังเข้าใจตรงปัจจุบันขณะตอนที่กำลังมีทุกขณะก็คือปัญญารู้จักหนทางที่ถูก ถึงผลทุกขณะที่กำลังฟังอยู่แล้วต้องตื่นรู้ตรงปัจจุบันขณะจริงๆหนทางถูกคือเห็นถูกเข้าใจถูกไง ต้องรู้ตรงความจริงของสิ่งที่ตนมีจริงๆทุกขณะคือสัมมาทิฐิตอนกำลังฟังรู้ตรงธัมมะที่ปรากฏอยู่แล้ว ตรงเหตุตรงปัจจัยที่มีแล้วและกำลังมีทุกขณะในชีวิตประจำวันขณะที่ไม่รู้ก็คือผลเป็นอวิชชาที่ไม่รู้ ต้องถึงผลตอนที่กำลังมีเหตุปัจจัยกำลังปรากฏและปัญญาเพิ่มขึ้นตอนกำลังฟังว่ากำลังมีวิชชาไหม ปัญญาเพิ่มทีละขณะและกิเลสก็เพิ่มทีละขณะเป็นคนละขณะต้องรู้ทุกขณะว่าขณะไหนสะสมอะไร จะพึ่งตนเองได้ตอนกำลังฟังคำของตถาคตแล้วเข้าใจสิ่งที่จิตตนรู้ตามเหตุปัจจัยจนกระทั่งรู้ว่า ทุกอย่างเป็นธัมมะทีละ1ขณะจิตตามการสะสมของตนในแต่ละวันว่าเพิ่มกิเลสหรือปัญญา มากน้อยยังไงให้เข้าใจว่าแต่ละวันสะสมแล้วทั้งหมดทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม จะเป็นปริยัติ/ปฏิบัติ/ปฏิเวธได้ตอนกำลังพึ่งคำตถาคตแล้วรู้สิ่งที่ตนสะสมค่ะ ต้องมีอารมณ์ตามอารมณ์ของบิดาเพื่อรู้ตามบิดาคือรู้ตามคำตถาคตค่า https://m.youtube.com/watch?v=pP7XF8h6Dls ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 02 มิ.ย. 2016, 06:45 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เส้นทางของสมถะกับวิปัสสนา |
ก็ต้องเลือกฟัง..ด้วยนะครับ ถ้าชอบฟังพระโมคคัลลานะ..ก็เป็นแบบแนวโมคคัลลานะ ถ้าชอบฟังพระสารีบุตร..ก็เป็นแบบแนวพระสารีบุต ถ้าชอบฟังพระอานนท์..ก็เป็นแบบแนวพระอานนท์ ถ้าชอบฟังพระเทวทัต...ก็เป็นแบบแนวเทวทัต.. ทำบุญร่วมกับใคร..ก็มักชอบแนวนั้น.. ถ้าคนที่เรามีบุญร่วมกันมา..ยังไม่ถึงที่ความเป็นสรณะ..แต่ยังปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่...ก็นับว่าเป็นการสร้างบารมี แต่หากคนที่เรามีบุญร่วมกันมา...ยังไม่ถึงที่ความเป็นสรณะ..แล้วยังประพฤติธรรมลามกอยู่..โอกาสลงต่ำก็เป็นไปได้สูง ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | Rosarin [ 02 มิ.ย. 2016, 07:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เส้นทางของสมถะกับวิปัสสนา |
![]() ...สวัสดีค่ะคุณกบ...แล้วคุณกบคิดว่าเราและคนที่เข้ามาอ่านลานธรรมจักร... ...ทำบุญร่วมชาติมารึเปล่าล่ะคะ...ข้าพเจ้าเคยชอบฟังและร้องตามเสียงเพลง... ...สำหรับการฟังธรรมเป็นความรู้ที่คอยกล่อมเกลาให้จิตใจคิดอยู่ในกรอบความดี... ...แต่เสียงทุกเสียงเป็นเสียงที่ต้องเกิดและการจะได้ยินเสียงนั้นๆหรือไม่ขึ้นกับเหตุปัจจัย... ...ส่วนเสียงไหนล่ะที่เป็นเสียงที่ทำให้มีความเห็นตรงต่อความจริงที่กำลังรู้ชัดในคำสอนจริงๆ... ...จะฟังเสียงไหนก็ขึ้นกับเหตุปัจจัยไม่ขึ้นกับความชอบหรอกค่ะขึ้นกับความมุ่งมั่นจริงจังมากกว่า... ...สำหรับเหตุผลข้อสุดท้ายที่ข้าพเจ้าเลือกตัดการฟังทั้งหมดออกไปเหลือแต่เสียงที่เกิดความจริง... ...ไม่ได้ฟังเพราะชอบฟังอีกต่อไปเป็นเหตุผลเดียวจริงๆที่ฟังพระพุทธพจน์ให้เข้าใจจิตแท้จริงค่ะ... ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 02 มิ.ย. 2016, 08:29 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: เส้นทางของสมถะกับวิปัสสนา | ||
ต้องมาทำความเข้าใจกับ คำว่า เอกายมรรค นั้น เอกา แปลว่า หนึ่ง มรรค แปลว่า ทาง ซึ่งคำว่า เอกายมรรค ก็จะแปลว่า หนทางสายเดียว เมื่อคำสอนเป็นอย่างนี้ ยังจะมีสายอื่นอีกไหม ฉะนั้นสายเดียวก็ต้องมา แปลว่าไม่มี ๒ สายไม่มีสายอื่น ใช่หรือไม่? และเราต้องไปดูว่าต้นทางของเอกายมมรคอยู่ตรงไหน? มีอะไร? ก็จะพบว่ามี สติปัฏฐาน ๔ สติ แปลว่า กำหนดรู้ และจะไปกำหนดที่ไหน ก็ต้องบอกว่าที่ ฐาน ๔ ในฐาน ๔ มีอะไร ก็จะพบว่า (กาย เวทนา จิต ธรรม) ถ้าจะขยายให้กว้างอีก คือ กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธรรมานุปัสสนา ใช่หรือไม่ ? หนทางนี้เท่านั้นที่จะนำไปสู่ มรรค ผล นิพพาน หรือความพ้นทุกข์นั่นเอง คำสอนของพระพุทธองค์ก็วางไว้ให้ศึกษากันก็มีอยู่อย่างชัดแจ้งอยู่แล้ว พยายามจะซัดซ่ายไปในที่มันไม่ใช่
|
เจ้าของ: | Rosarin [ 02 มิ.ย. 2016, 09:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เส้นทางของสมถะกับวิปัสสนา |
Rosarin เขียน: Kiss ...สวัสดีค่ะคุณกบ...แล้วคุณกบคิดว่าเราและคนที่เข้ามาอ่านลานธรรมจักร... ...ทำบุญร่วมชาติมารึเปล่าล่ะคะ...ข้าพเจ้าเคยชอบฟังและร้องตามเสียงเพลง... ...สำหรับการฟังธรรมเป็นความรู้ที่คอยกล่อมเกลาให้จิตใจคิดอยู่ในกรอบความดี... ...แต่เสียงทุกเสียงเป็นเสียงที่ต้องเกิดและการจะได้ยินเสียงนั้นๆหรือไม่ขึ้นกับเหตุปัจจัย... ...ส่วนเสียงไหนล่ะที่เป็นเสียงที่ทำให้มีความเห็นตรงต่อความจริงที่กำลังรู้ชัดในคำสอนจริงๆ... ...จะฟังเสียงไหนก็ขึ้นกับเหตุปัจจัยไม่ขึ้นกับความชอบหรอกค่ะขึ้นกับความมุ่งมั่นจริงจังมากกว่า... ...สำหรับเหตุผลข้อสุดท้ายที่ข้าพเจ้าเลือกตัดการฟังทั้งหมดออกไปเหลือแต่เสียงที่เกิดความจริง... ...ไม่ได้ฟังเพราะชอบฟังอีกต่อไปเป็นเหตุผลเดียวจริงๆที่ฟังพระพุทธพจน์ให้เข้าใจจิตแท้จริงค่ะ... ![]() ![]() ![]() เพื่อให้เกิดเป็นอุปนิสสยปัจจัยเหตุที่จะทำให้ได้ยินได้ฟังสิ่งที่เคยได้ฟังจนกว่าจะถึงกาลที่ตรัสรู้ค่ะ ![]() ![]() |
เจ้าของ: | Rosarin [ 02 มิ.ย. 2016, 09:09 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เส้นทางของสมถะกับวิปัสสนา |
ลุงหมาน เขียน: สมถะกรรมฐาน กับ วิปัสสนากรรม ทั้ง ๒ มี อารมณ์ที่แตกต่างกัน ปลายทางก็แตกต่างกัน สมถะกรรมฐาณมีอารมณ์กรรมฐาน ๔๐ เป็นอารมณ์ เส้นทางสูงสุด อรูปพรหม ๔ ระหว่างทาง รูปพรหม ๑๖ วิปัสสนากรรมฐาน มีอารมณ์ สติปัฏฐาน ๔ เป็นอารมณ์ ผลของของวิปัสสนากรรมฐาน หรือปลายทางของวิปัสสนากรรมฐาน ได้แก่ พระนิพพาน และในระหว่างทาง ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ปลายทางเข้าสู่ความพ้นทุกข์ ดับขันปรินิพพาน อนุโมทนากับลุงหมานค่ะ ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 02 มิ.ย. 2016, 09:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เส้นทางของสมถะกับวิปัสสนา |
เสริมบทของกบ ปรโตโฆสะ = สภาพแวดล้อม (ทางตา ทางหู เป็นต้น) สภาพแวดล้อมดี =ปรโตโฆสะที่ดี สภาพแวดล้อมที่ไม่ดี = ปรโตโฆสะที่ไม่ดี กับ โยสิโสมนสิการ - อโยสิโสมนสิการ - รู้จักคิด คิดเป็น ....ไม่รู้จักคิด คิดไม่เป็น https://www.facebook.com/secret100milli ... =3&theater |
เจ้าของ: | Rosarin [ 02 มิ.ย. 2016, 09:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เส้นทางของสมถะกับวิปัสสนา |
![]() จะตั้งต้นก็ต้องตั้งต้นที่การมีปัญญา เพราะพุทธะคือผู้รู้/ผู้ตื่น/ผู้เบิกบานใจ สภาพธรรมปรากฏให้รู้ได้ตลอดเวลาเลยค่ะ แต่ไม่เคยคิดได้ว่าทุกอย่างมีจริงที่ว่าจริงมันยังไง ที่เกิด-ดับตามเหตุตามปัจจัยของแต่ละบุคคลมีแล้วที่ตัว กำลังเกิด-ดับที่กำลังเห็นได้ยินได้กลิ่นลิ้มรสรู้กระทบสัมผัส คิดนึกเรื่องราวรู้สึกสุขทุกข์เป็นเราทำทุกอย่างในชีวิตประจำวันค่ะ ความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้นั้นเป็นจิตแต่ละ1ดวงกำลังรับผล คือมีวิบากกรรมที่ทำให้จิตทุกดวงที่กำลังมีนี้แหละไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน แล้วเป็นอะไรรู้ไหมคะทรงแสดงไว้ละเอียดอย่างยิ่งว่าที่กำลังมีจริงๆแล้วนั้น เป็นจิตแต่ละดวงคิดนึกท่องเที่ยวทางทวารทั้ง6แล้วจำผิดว่าเป็นตัวตนรับรู้ทุกสิ่ง ที่เข้าใจผิดว่ามีคนมีชื่อมีเรื่องราวแต่ความละเอียดคือไม่มีอะไรเลยนอกจากจิตจริงๆ ทุกอย่างมีแล้วที่กำลังปรากฏว่ากำลังเห็นตอนไม่ง่วงไม่หลับเป็นจิเจรุนิคือละเอียดมาก รู้ได้ยากต้องอาศัยการฟังแล้วคิดตามก่อนว่ากำลังมีความจริงอะไรบ้างให้รู้ได้ตอนฟังน่ะค่ะ เพราะตั้งแต่เกิดจนถึงขณะนี้จำผิดให้ฟังสะสมใหม่เพื่อละทิ้งจำอันเก่าของชาตินี้ไปทีละนิดๆค่ะ ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 02 มิ.ย. 2016, 09:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เส้นทางของสมถะกับวิปัสสนา |
Rosarin เขียน: จะตั้งต้นก็ต้องตั้งต้นที่การมีปัญญา เพราะพุทธะคือผู้รู้/ผู้ตื่น/ผู้เบิกบานใจ สภาพธรรมปรากฏให้รู้ได้ตลอดเวลาเลยค่ะ แต่ไม่เคยคิดได้ว่าทุกอย่างมีจริงที่ว่าจริงมันยังไง ที่เกิด-ดับตามเหตุตามปัจจัยของแต่ละบุคคลมีแล้วที่ตัว กำลังเกิด-ดับที่กำลังเห็นได้ยินได้กลิ่นลิ้มรสรู้กระทบสัมผัส คิดนึกเรื่องราวรู้สึกสุขทุกข์เป็นเราทำทุกอย่างในชีวิตประจำวันค่ะ ความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้นั้นเป็นจิตแต่ละ1ดวงกำลังรับผล คือมีวิบากกรรมที่ทำให้จิตทุกดวงที่กำลังมีนี้แหละไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน แล้วเป็นอะไรรู้ไหมคะทรงแสดงไว้ละเอียดอย่างยิ่งว่าที่กำลังมีจริงๆแล้วนั้น เป็นจิตแต่ละดวงคิดนึกท่องเที่ยวทางทวารทั้ง6แล้วจำผิดว่าเป็นตัวตนรับรู้ทุกสิ่ง ที่เข้าใจผิดว่ามีคนมีชื่อมีเรื่องราวแต่ความละเอียดคือไม่มีอะไรเลยนอกจากจิตจริงๆ ทุกอย่างมีแล้วที่กำลังปรากฏว่ากำลังเห็นตอนไม่ง่วงไม่หลับเป็นจิเจรุนิคือละเอียดมาก รู้ได้ยากต้องอาศัยการฟังแล้วคิดตามก่อนว่ากำลังมีความจริงอะไรบ้างให้รู้ได้ตอนฟังน่ะค่ะ อ้างคำพูด: จะตั้งต้นก็ต้องตั้งต้นที่การมีปัญญา เพราะพุทธะคือผู้รู้/ผู้ตื่น/ผู้เบิกบานใจ พูดเหมือนสั่งได้ ![]() คุณโรส เอาชัดๆฉบับกระเป๋าสิครับ ทำยังไงให้มีปัญญา หนึง สอง สาม |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |