วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 10:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2016, 08:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


มนุษย์เราทั้งหลายเมื่อจะตายแล้วก็โศกเศร้า วุ่นวาย
นั่งร้องไห้เสียใจสารพัดอย่าง หลงไปสิโยม
โยมมันหลงนะ พอคนตายก็ร้องไห้พิไรรำพัน
แต่ไหนแต่ไรมาไม่ค่อยได้พิจารณาให้ชัดแจ้งนะ
ความเป็นจริงแล้ว อาตมาเห็นว่า ถ้าจะร้องไห้กับคนตายน่ะ
ร้องไห้กับคนที่เกิดมาดีกว่า แต่มันกลับกันเสีย
ถ้าคนเกิดมาแล้วโยมทั้งหลายก็หัวเราะดีอกดีใจกันชื่นบาน
ความเป็นจริงเกิดนั่นล่ะคือตาย ตายนั่นล่ะก็คือเกิด
ต้นก็คือปลาย ปลายก็คือต้น

หลวงปู่ชา สุภทฺโท





วิมุตติ ต้องอาศัย สมมติ

เปรียบง่ายๆให้ฟัง เราไปซื้อกล้วยหรือซื้อมะพร้าวใบหนึ่งจากตลาด
แล้วก็เดินหิ้วมา อีกคนหนึ่งก็ถาม

"ท่านซื้อกล้วยมาทำไม ?"

"ซื้อไปรับประทาน"

"เปลือกมันต้องรับประทานด้วยหรือ ?"

"เปล่า"

"ไม่เชื่อหรอก ไม่รับประทานแล้วเอาไปทำไมเปลือกมัน ?"

หรือเอามะพร้าวใบหนึ่งมาก็เหมือนกัน

"เอามะพร้าวไปทำไม ?"

"จะเอาไปแกง"

"เปลือกมันแกงด้วยหรือ ?"

"เปล่า"

"จะเอาไปทำไมล่ะ ?"

เอ้า จะว่าอย่างไรล่ะ จะตอบปัญหาเขาอย่างไรด้วยความอยาก
ถ้าไม่อยาก เราก็ไม่ได้ทำให้มันมีปัญญานะ
การทำความเพียรก็เป็นเช่นนั้น คือทำด้วยการปล่อยวาง
อย่างกล้วย อย่างมะพร้าว เอาไปทำไมเปลือกมัน ?
ก็เพราะว่ายังไม่ถึงเวลา
เอามันทิ้ง มันก็ห่อเนื้อในมันไปอยู่นั้น ยังไม่ถึงเวลาจะทิ้ง ก็ถือมันไว้
ก่อนการประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน
สมมติ วิมุตติ ก็ต้องปนกันอยู่อย่างนั้น
เหมือนมะพร้าว มันจะปนอยู่ทั้งเปลือก ทั้งกะลา
ทั้งเนื้อ เราก็เอามาทั้งหมดแหละ
เขาจะหาว่า เรากินเปลือกมะพร้าวอย่างไรก็ช่างเขา
"เรารู้จักของเราอยู่"

หลวงปู่ชา สุภัทโท





ได้ไปเห็นแมงมุมเป็นตัวอย่าง แมงมุมทำรังของมันเหมือนข่าย
มันสายข่ายไปขึงไว้ตามช่องต่าง ๆ เราไปนั่งพิจารณาดูมัน
ทำข่ายขึงไว้เหมือนจอหนัง

เสร็จแล้วมันก็เก็บตัวเองเงียบอยู่ตรงกลางข่าย ไม่วิ่งไปไหน
พอมีแมลงวันหรือแมลงอื่นบินผ่านข่ายของมัน
พอถูกข่ายเท่านั้น ข่ายก็สะเทือน พอข่ายสะเทือนปุ๊บ
มันก็วิ่งออกจากรังทันที ไปจับตัวแมลงไว้เป็นอาหาร

เสร็จแล้วมันก็เก็บตัวของมันไว้ที่กลางข่ายเหมือนเดิม
ไม่ว่าจะมีผึ้งหรือแมลงอื่นใดมาถูกข่ายของมัน พอข่ายสะเทือน
มันก็วิ่งออกมาจับแมลงนั้น
แล้วก็กลับไปเกาะนิ่งอยู่ที่กลางข่ายไม่ให้ใครเห็นทุกทีไป

เห็นแมงมุมทำอย่างนี้ เราก็มีปัญญาแล้ว อายตนะทั้งหก คือ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ใจนี้อยู่ตรงกลาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย
แผ่พังพานออกไป อารมณ์นั้นเหมือนแมลงต่าง ๆ พอรูปมาก็ถึงตา
เสียงมาก็ถึงหู กลิ่นมาก็ถึงจมูก รสมาก็ถึงลิ้น โผฏฐัพพะมาก็ถึงกาย
ใจเป็นผู้รู้จัก มันก็สะเทือนถึงใจ แค่นี้ก็เกิดปัญญาแล้ว
เราจะอยู่ด้วยการเก็บตัวไว้

เหมือนแมงมุมที่เก็บตัวไว้ในข่ายของมันไม่ต้องไปไหน พอแมลงต่าง ๆ
มันผ่านข่าย ก็ทำให้สะเทือนถึงตัว รู้สึกได้ก็ออกไปจับแมลงไว้
แล้วก็กลับอยู่ที่เดิม

ดูแมงมุมแล้วก็น้อมเข้ามาหาจิตของเรา
มันก็เหมือนกันเท่านั้น ถ้าจิตเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันกว้าง
ไม่เป็นเจ้าของสุข ไม่เป็นเจ้าของทุกข์อีกแล้ว ก็เห็นชัดได้อย่างนี้
มันก็ได้ความเท่านั้นแหละ จะทำอะไรอยู่ก็สบาย ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
มีแต่การภาวนาจะเจริญยิ่งขึ้นเท่านั้น

หลวงพ่อชา สุภัทโท





“ดูกร ภิกษุทั้งหลาย!
‪#‎ไม่มีความสุขใดเสมอด้วยความสงบ‬ ความสุขชนิดนี้
‪#‎สามารถหาได้ในตัวเรานี้เอง‬
ตราบใดที่มนุษย์ ยังวิ่งวุ่นแสวงหาความสุขจากที่อื่น
เขาจะไม่พบความสุขที่แท้จริงเลย
มนุษย์ได้สรรค์สร้างสิ่งต่าง ๆขึ้นไว้เพื่อล่อให้ตัวเองวิ่งตาม
แต่ก็ตามไม่เคยทันการแสวงหาความสุข

โดยปล่อยใจให้ไหลเลื่อนไปตามอารมณ์ที่ปรารถนานั้น
เป็นการลงทุนที่มีผลไม่คุ้มเหนื่อย เหมือนบุคคลลงทุน
วิดน้ำในบึงใหญ่ เพื่อต้องการปลาเล็ก ๆ เพียงตัวเดียว
มนุษย์ส่วนใหญ่มัววุ่นวายอยู่กับ
เรื่องกาม เรื่องกิน และเรื่องเกียรติ
จนลืมนึกถึงสิ่งหนึ่ง ซึ่งสามารถให้ความสุขแก่ตนได้ทุกเวลา
สิ่งนั้นคือดวงจิตที่ผ่องแผ้ว

เรื่องกามเป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรน
เรื่องกินเป็นเรื่องที่ต้องแสวงหา
และเรื่องเกียรติเป็นเรื่องที่ต้องแบกไว้

เมื่อ มีเกียรติมากขึ้น ภาระที่จะต้องแบกเกียรติ
เป็นเรื่องใหญ่ยิ่งของมนุษย์ผู้หลงตนว่าเจริญแล้ว
ในหมู่ชนที่เพ่งมองแต่ความเจริญทางด้านวัตถุนั้น
จิตใจของเขาเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลา
ไม่เคยประสบความสงบเย็นเลย
เขายินดีที่จะมอบตัวให้จม อยู่ในคาวของโลกอย่างหลับหูหลับตา
เขาพากันบ่นว่าหนักและเหน็ดเหนื่อย
พร้อม ๆกันนั้น
เขาได้แบกก้อนหินวิ่งไปบนถนนแห่งชีวิตอย่างไม่รู้จักวาง

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย !
คนในโลกส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความกลับกลอกและหลอกลวง
หาความจริงไม่ค่อยได้
แม้แต่ในการนับถือศาสนา
ด้วยอาการดังกล่าวนี้โลกจึงเป็นเสมือนระงมอยู่ด้วยพิษ
ไข้อันเรื้อรังอยู่ตลอดเวลา
ภายในอาคารมหึมาประดุจปราสาทแห่งกษัตริย์
มีลมพัดเย็นสบาย แต่สถานที่เหล่านั้นมักบรรจุเต็มไปด้วยคน
ซึ่งมีจิตใจเร่าร้อนเป็นไฟอยู่เป็นอันมาก
ภาวะอย่างนั้นจะมีความสุขสู้ผู้มีใจสงบอยู่โคนไม้ ได้อย่างไร”




เราพิจารณาให้รู้ชัดเจน และปล่อยวางไว้ตามความจริงของมัน จะสุขก็ให้รู้ตามความจริงของมัน สุขเกิดขึ้น สุขดับไป สุขเป็นไตรลักษณ์ ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ดับไป ทุกข์เป็นไตรลักษณ์ รูปเป็นไตรลักษณ์ สัญญาเป็นไตรลักษณ์ สังขารเป็นไตรลักษณ์ วิญญาณเป็น
ไตรลักษณ์ ให้เห็นว่าเป็นไตรลักษณ์ เป็นความจริงอันหนึ่งๆ รุ้แล้ว ถอนตัวเข้ามา อยู่เป็นอิสระ อย่าไปยุ่ง อย่าไปแบก ไปหาม นี่เรียกว่า "ปัญญาค้นดูให้เห็นชัดเจน"
เมื่อพิจารณาสิ่งเหล่านี้รอบตัวหมดแล้ว มันไม่ไปไหน สติปัญญาจะหมุนติ้วเข้าไปสู่จิต ตัวลุ่มหลงที่กลมกลืนกับ "อวิชชา" นั่นแหละ นั่นแล บ่อแห่ง "อวิชชา"แท้ บ่อแห่งความเกิดแท้ บ่อแห่งความเปลี่ยนเสื้อ เปลียนแสง เปลี่ยนภพ เปลี่ยนชาติ เปลี่ยนอยู่ที่ตรง "จิต" นั่นแหละ
เอ้า สติปัญญา ค้นเข้าไป ทำลายมัน รังของ "อวิชชา" มันฝังอยู่ในจิตนี้ เมื่อแยกออกได้หมดแล้วด้วยสติปัญญา ทางฝ่ายขันธ์ก็ย้อนเข้าไปถึง "อวิชชา ปัจจะยา สังขารา" อวิชชา ปัจจะยา จริงๆ มันมาจากไหน ใครเป็นอวิชชา? ถ้าไม่ใช่ผู้ที่รู้ ซึ่งเต็มไปด้วยความหลงฝังอยู่ภายในตัวนั้น ปัญญาสอดแทรกเข้าไป พิจารณาเข้าไปให้เห็นธรรมชาตินี้ คือ อะไรกันแน่? มันก็ไตรลักษณ์ดีๆ นั่นเอง พวกกิเลสตัณหา อวิชชาจะเป็นอะไรไป ให้พิจารณาตรงนี้ ตอนนี้เรียกว่า พิจารณา "จิต" ให้เป็นไตรลักษณ์ เช่นเดียวกันไมผิด ถ้าเราาถือว่าเป็นตนแล้ว ก็เท่ากับเรากินปลาทั้งก้าง หรือกินไก่ทั้งกระดูก กินข้าวทั้งเปลือก โดยไม่เลือกเฟ้น จะเป็นอันตรายแก่ใครเล่า คิดให้ดีก่อนจะกลืนลงไป ไม่งั้นตาย เพราะก้างและกระดูกขวางคอ
ที่ว่าจิตเป็นไตรลักษณ์ตอนนี้ คือ จิตมีส่ิงที่เป็นไตรลักษณ์ครอบงำอยู่นั่นเอง เราจะถือว่าจิตเป็นตนขณะนั้นไมได้ ต้องพิจารณาตรงนั้น ให้เห็นความจริงของไตรลักษณ์ ซึ่งมีอยู่ภายในจิต
เราเห็นแต่ไตรลักษณ์ที่มีอยู่ตามรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่เราต้องการเห็นไตรลักษณ์อันละเอียดแห่ง "สมมุติ" ฝังอยู่ภายในจิต จึงต้องพิจารณา "จิต" เช่นเดียวกับพิจารณาอาการทั้งห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้เป็นไตรลักษณ์ ดูให้เห็นจริงด้วยสติปัญญา สิ่งที่มันไม่อาจทนทานอยู่ได้ ด้วยอำนาจของปัญญาผู้ทำลาย มันจะสลายตัวลงไป คือจะแตกกระจายลงไป สิ่งที่เป็นความจริงโดยธรรมชาติของตัว สิ่งนั้นจะคงอยู่ เช่น "ผู้รู้"
เมือ่สิ่งจอมปลอมทั้งหลายสลายตัวลงไปแล้ว ผู้รู้นี้จะทรงตัวอยู่ กลายเป็นผู้รู้ที่บริสุทธิ์ขึ้นมา ผู้นี้ ไม่ฉิบหาย ผู้นี้ไม่เป็นไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์ก็หมดปัญหาในขณะที่กิเลสอาสวะทั้งหมดสิ้นสุดไปจากใจ คำว่า "ไตรลักษณ์" ภายในใจจึงหมดไป เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ภายนอกก็ตาม ภายในก็ตาม รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ย่อมหมดปัญหาไป เมื่อ "อวิชชา" สิ้นไปจากใจโดยเด็ดขาดแล้ว
เมื่อจิตพ้นจาก "สมมุติ" แล้ว อะไรๆ ก็เป็นความจริงไปตามๆกัน ไม่มีอะไรเป็นปัญหาตอ่ไปอีก เพราะใจไม่สร้างปัญหาให้แก่ตัวเอง เนื่องจากสติปัญญารู้รอบขอบขัดแล้ว

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
"จงพยายามเปลี่ยนเสื้อให้ทันสมัยก่อนตาย"





ทําฌาณด้วยอานาปานสติ

พอจิตเริ่มรวมจิตเริ่มสงบนะ หายใจจะตื้นขึ้นมา จะสั้น สั้น สั้น ขึ้นมา เหมือนมาอยู่ที่จมูกนั่นเอง พอลมหายใจขึ้นมาสูงขึ้นมา จิตมันจะสว่างขึ้นเรื่อยๆนะ จะสว่าง เนี่ยอย่างเรากำหนดอย่างนี้นะ เนี่ยสว่างขึ้นมาแล้ว ตรงที่จิตสว่างขึ้นมาแล้วเนี่ย มีทางแยก…

พวกหนึ่งนะ อยากรู้อยากเห็นอะไรเนี่ย ส่งแสงสว่างไป คล้ายๆฉายสปอร์ตไลท์ไป ฉายไปที่ไหนนะ จิตก็ตามไปดู เนี่ยจิตออกนอกตัวจริง ไปเทวโลกก็ได้ ไปพรหมโลกก็ได้ ไปบาดาลก็ได้ การที่เรารู้ลมจนกระทั่งกลายเป็นแสงสว่างเนี่ย มันกลายเป็นกสิณแสง กสินแสงเนี่ยมันทำให้ได้ทิพยจักษุ จากกสิณแสงเนี่ยนะ ส่งไปที่ไหน ตาก็มองเห็นตามไปได้ ใจมันเห็นตามไป ไปเห็นนรก เห็นสวรรค์ เห็นอะไร เห็นก็ดีเหมือนกัน ในแง่ที่จะกลัวบาป อยากทำบุญไม่กล้าทำบาป มีศีล นี่เห็นอย่างนี้มีศีล อีกพวกหนึ่งเห็นแล้วลำพอง กูเก่งๆ พวกนี้เห็นแล้วยิ่งแย่ใหญ่ เกิดกิเลส นี่ไม่ดี ถ้าเห็นแล้วมีศีลมีธรรมก็ดี ถ้าไม่เห็นก็ไม่เป็นไร อย่าไปตามมันไป

ให้จิตเป็นคนดูแสงไว้ จิตอย่าถลำเข้าไปในแสง พอจิตเป็นคนดูแสงเนี่ยนะ จิตมันชำนิชำนาญขึ้นมา สติระลึกรู้ที่แสงสว่างนั้น เรียกว่ามี “วิตก” วิตกก็คือการที่จิตเนี่ยไปตรึกอยู่ในแสงสว่าง วิจารเนี่ยคือจิตมันเคล้าเคลียอยู่กับแสงสว่าง ได้ยินคำว่า วิตก วิจาร ใช่มั้ย เราชอบไปคิดว่าวิตกคือคิดๆไปเรื่อยๆ วิจารก็คือวิพากษ์วิจารณ์ อันนั้นคนไทยเอามาใช้หรอก

วิตกก็คือ การที่จิตมันตรึกในอารมณ์ มันจับเข้าไปที่ตัวอารมณ์นะ วิจารณ์มันเคล้าเคลียอยู่กับตัวอารมณ์ พอจิตมีวิตกมีวิจารอยู่นะ ปีติมันเกิดนะ ก็ตรงนี้มันชำนาญ ก่อนจะมีปีติมีอะไรขึ้นมาได้นะ จิตมันชำนาญในสมาธิขึ้นมาแล้ว แสงสว่างเนี้ยให้มันใหญ่ก็ได้ ให้มันเล็กก็ได้ ให้เต็มโลกก็ได้ ทำตัวกระทั่งเราเหมือนพระอาทิตย์พระจันทร์เลยก็ได้ ให้เล็กๆเหมือนปลายธูปเลยก็ได้นะ คล้ายจิตมันเล่น มีของเล่น จิตมันสนุก มีปีติขึ้นมา มีความสุขนะ

พอจิตมีปีติ มีความสุขขึ้นมาแล้วนะ สติระลึกลงไปอีก มีปีติแล้วไม่ต้องไปสนใจดวงสว่างนั้นอีกต่อไปแล้ว เสียเวลา ทิ้งวิตกทิ้งวิจารไป สติระลึกรู้ปีติ ปีติมันโลดโผน ในขณะที่มีปีติในความจริงก็มีความสุขด้วยนะ แต่ว่าปีติมันฉูดฉาด สติจะไปเห็นปีติก่อน พอสติระลึกรู้ปีติ ปีติจะดับนะ ความสุขก็เด่นขึ้นมานะ ความสุขมันเด่น มันคล้ายๆนะ ปีติมันหยาบกว่ามันชวนให้ดู เหมือนเราไปซื้อเสื้อมาตัวหนึ่งนะ เราก็เลือกมาอย่างดีแล้ว พอซื้อมาเราพบว่า กลับมาบ้านแล้วพบว่ามันมีรูอยู่นิดนึง มันไปเกี่ยวอะไรขาดอยู่นิดนึง เราไม่ดูเสื้อทั้งตัวแล้ว เราจะเวียนดูไอ้รูที่ขาด นึกออกมั้ย เพราะมันเร้าใจกว่า เวลาปีติเกิดก็แบบเดียวกันนะ ไปดูปีติไม่อยากดูความสุขน่ะ ความสุขก็มีอยู่ในขณะที่มีปีติแต่ไม่ดู

พอปีติดับไป มันเห็นนะ ปีติเป็นของหวือหวา ปีติดับไปนะจิตก็มีความสุขขึ้นมา ความสุขก็เด่นขึ้นมา ดูลงไปที่ความสุข ความสุขก็เป็นของหวือหวาอีก มันก็เป็นอุเบกขา จิตเป็นอุเบกขา ตรงที่วิตกวิจารดับไปนะ จิตจะเป็นผู้รู้ขึ้นมานะ เพราะฉะนั้นในฌานที่สอง จิตจะเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานขึ้นมาแล้ว ตรงนี้ถ้าทำอานาปานสติจนได้ฌานนะ เนี่ยได้ตัวผู้รู้ขึ้นมา ตั้งแต่ฌานที่ ๒ ๓ ๔ มีตัวผู้รู้ขึ้นมา แล้วถ้าดูจิตต่อไปเรื่อยก็จะเข้าอรูป(ฌาน)ไป และไม่จัดเป็นอานาปานสติแล้ว ก็เข้าอรูปต่อ อันนี้เป็นวิธีใช้อานาปานสติทำให้เกิดฌาน ในฌานนั้นเกิดจิตผู้รู้ขึ้นมา คนที่ได้จิตผู้รู้จากสมาธิเนี่ย เมื่อออกจากสมาธิแล้วตัวรู้จะเด่นดวงอยู่อย่างนั้นน่ะ ถ้าสมาธิหนักแน่นพอนะ เด่นอยู่ได้หลายวันเลย แต่ไม่เกิน ๗ วันก็จะเสื่อม พอมีตัวรู้นี้เอาไว้ใช้เดินปัญญา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี





พระพุทธศาสนาสอนให้ละชั่วทำดี เมื่อเราเห็นจิตอยู่อย่างนั้นแล้ว คิดนึกอะไรต่าง ๆ รู้สึกอยู่ ตลอดเวลา จิตมันละอายละคราวนี้ มันค่อยวางค่อยทิ้งไป

ที่เราวุ่นวี่วุ่นวายอยู่นี่ก็เรื่องไม่เห็นจิตนั่นเอง

คิดดู ความโกรธ เราไม่รู้จักความโกรธ มันโกรธแล้วจึงค่อยรู้จัก รู้จักแต่โกรธ ไม่รู้จักตัวโกรธ รู้จักแต่คำว่าโกรธ ไม่รู้จักผู้โกรธ คือจิตนั่นเอง

ถ้าเข้าไปรู้จักตัวผู้โกรธนั่นแหละหายทันที อย่างนี้ เป็นต้น

จึงให้พิจารณาให้เห็นจิต เมื่อพิจารณาควบคุมจิตได้อยู่อย่างนี้ เรื่องการฝึกหัดปฏิบัติไม่ต้อง เอาที่อื่น เอาสติควบคุมจิตไว้ตลอดเวลาก็พอ

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี






ขอเชิญร่วมบุญสร้างพระ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... 848&type=3


ร่วมสร้าง เทวดา และพญาครุฑ ประดับองค์พระเจดีย์ ดอยแก้วชัยมงคล ประจำเดือน มีนาคม 2559
0998965351





ตอนนี้ปูนยังขาดอยู่เน้อ ที่จะมาหล่อพระเจ้าทันใจ องค์ที่2และ ฐานรองรับองค์พระ
วัดข่วงเปา ลานธรรมชมกลิ่นบุญ ลำปาง
จะหล่อในวันอาทิตย์ที่20 มีนา 59
ต้องการปูน อีก300 ถุง
ใครสนใจร่วมบุญติดต่อสอบถาม 0821654799





ขอเชิญร่วมบุญหล่อรูปเหมือนองค์พระ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล เท่าองค์จริง ๒ องค์
ในวันอาทิตย์ที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๙
ณ โรงหล่อพระพุทธรูปยงก์เจริญการช่าง อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม






บอกบุญตามวาระครับ วัดห้วยน้ำอุ่น อ.ลี้ จ.ลำพูน โดยครูบาบุญยัง ปุญญกโร
ท่านจัดงานฉลองพระธาตุเจดีย์ บันได พระนาคปรกและอื่นๆ
ท่านใดจะร่วมบุญโอนตรงเลยครับ ธ.กรุงไทย 9836947574 ชื่อบัญชีพระอธิการบุญยัง ปุญญกโร
ที่มา https://www.facebook.com/phanom.suthaph ... 0972755010





บอกบุญตามวาระ วัดห้วยน้ำอุ่น อ.ลี้ จ.ลำพูน โดยครูบาบุญยัง ปุญญกโร
ท่านจัดงานฉลองพระธาตุเจดีย์ บันได พระนาคปรกและอื่นๆ
ท่านใดจะร่วมบุญโอนตรงเลยครับ ธ.กรุงไทย 9836947574 ชื่อบัญชีพระอธิการบุญยัง ปุญญกโร
ที่มา https://www.facebook.com/phanom.suthaph ... 0972755010




เรียนเชิญร่วมบุญทอดผ้าป่าสามัคคี ปิดแผ่นทองคำแท้พระชำระหนี้สงฆ์สมเด็จองค์ปฐมต้นพุทธวงศ์ ๔ ศอก ๑ องค์
และร่วมฉลองรูปหล่อพระครูวิหารกิจจานุการ (หลวงพ่อปาน) วัดบางนมโคและ พระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน วัดท่าซุงและบวชเนกขัมมะ เทิดพระเกียรติในหลวง รุ่นที่ ๑
ในวันพุธที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๙
ณ วัดบ้านหนองม่วง ตำบลทุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2016, 09:35 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2943


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร