| ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ | |
| ยิ่งใหญ่เพราะรู้ทัน http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=50726 | หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | 
| เจ้าของ: | muisun [ 19 ส.ค. 2015, 12:39 ] | 
| หัวข้อกระทู้: | ยิ่งใหญ่เพราะรู้ทัน | 
| มีคนเป็นโรคเรื้อนยาจกคนหนึ่งเห็นมหาชนประชุมกัน ก็เข้าใจว่าคงจะแจกของอะไรให้เป็นทาน พอเข้าไปใกล้จึงได้รู้ว่าเขาเข้าฟังธรรมของพระพุทธเจ้ากัน ก็เลยคิดว่าอย่างนั้นเราเป็นบุคคลน่ารังเกียจ จะไปฟังธรรมร่วมกับเค้าไม่ได้ จึงฟังธรรมอยู่ท้ายแถว พระองค์ทรงเทศน์ให้รู้ว่า ธรรมอันใดแลย่อมเกิดแต่เหตุ พระองค์ทรงสอนให้รู้จักเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น ให้รู้ถึงความเกิดและความดับของธรรมเหล่านั้น เหตุเกิดก็เกิดที่ตา ดับก็ดับที่ตา เกิดก็เกิดที่หู ดับก็ดับที่หู เกิดก็เกิดที่ใจ ดับก็ดับที่ใจ รู้ทันต้นเหตุคือตัวจะ ก็เกิดขึ้นมาเป็นธรรมดาและดับไปเป็นธรรมดา บุรุษโรคเรื้อนก็ได้ดวงตาเห็นธรรมก็รู้ชัดว่าธรรมอันใดอันหนึ่งเกิดขึ้นมาเป็นธรรมดา ธรรมนั้นก็ทั้งปวงก็ดับไปเป็นธรรมดา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา ครั้งนั้น ท่าวสักกะเทวะราชเกิดความอัศจรรย์จึงถามบุรุษโรคเรื้อนว่าท่านได้คุณวิเศษณ์อะไร บุรุษโรคเรื้อนก็บอกว่า ได้พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแล้ว ท้าวสักกะก็เลยทดสอบ ถ้าท่านเลิกนับถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเราให้ทิพยสมบัติทั้งหมด เอาไหม บุรุษนั้นบอกว่าเราร่ำรวยมากกว่าท่านอีกเราจะมาเอาทำไมกับสมบัติอันน้อยนิดนั้น ท้าวสักกะเทวราชก็เกิดความสงสัยเข้าไปถามพระศาสดาว่า ที่เค้าบอกว่าเค้ายิ่งใหญ่กว่าจริงหรือ พระศาสดาก็ตอบว่า คำว่าพระอริยโสดาบันนั้น ยิ่งใหญ่กว่าเทดา มาร อินทร์ พรม ยม ยักษ์ เพราะว่าเค้าเป็นพุทธบุตรเชื้อสายอริยะ เพราะฉะนั้น ความยิ่งใหญ่และอำนาจ อะไรที่จะใหญ่เกินกว่าความรู้ทันเป็นไม่มี แค่คนรู้ทันคนเดียวก็เอาชนะคนรู้ไม่ทันได้ทั้งหมด แล้วจะยึดถือไปทำไมให้ถึงจุดบ้า สมกับคำที่พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่าบุคคลบ้าไปเพราะความยึดถือในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่าเป็นเรา เป็นของๆ เรา หน้าที่ของเราทำดีเผยแพร่ดี แค่นี้ก็คุ้มแล้ว ถ้าทำไม่ดีเผยแพร่ไม่ดี ก็ไม่มีความเป็นคน จะคิดดับๆ จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์ | |
| เจ้าของ: | Rosarin [ 19 ส.ค. 2015, 14:33 ] | 
| หัวข้อกระทู้: | Re: ยิ่งใหญ่เพราะรู้ทัน | 
| muisun เขียน: มีคนเป็นโรคเรื้อนยาจกคนหนึ่งเห็นมหาชนประชุมกัน ก็เข้าใจว่าคงจะแจกของอะไรให้เป็นทาน พอเข้าไปใกล้จึงได้รู้ว่าเขาเข้าฟังธรรมของพระพุทธเจ้ากัน  ก็เลยคิดว่าอย่างนั้นเราเป็นบุคคลน่ารังเกียจ จะไปฟังธรรมร่วมกับเค้าไม่ได้ จึงฟังธรรมอยู่ท้ายแถว พระองค์ทรงเทศน์ให้รู้ว่า ธรรมอันใดแลย่อมเกิดแต่เหตุ พระองค์ทรงสอนให้รู้จักเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น ให้รู้ถึงความเกิดและความดับของธรรมเหล่านั้น เหตุเกิดก็เกิดที่ตา ดับก็ดับที่ตา เกิดก็เกิดที่หู ดับก็ดับที่หู เกิดก็เกิดที่ใจ ดับก็ดับที่ใจ รู้ทันต้นเหตุคือตัวจะ ก็เกิดขึ้นมาเป็นธรรมดาและดับไปเป็นธรรมดา บุรุษโรคเรื้อนก็ได้ดวงตาเห็นธรรมก็รู้ชัดว่าธรรมอันใดอันหนึ่งเกิดขึ้นมาเป็นธรรมดา ธรรมนั้นก็ทั้งปวงก็ดับไปเป็นธรรมดา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา ครั้งนั้น ท่าวสักกะเทวะราชเกิดความอัศจรรย์จึงถามบุรุษโรคเรื้อนว่าท่านได้คุณวิเศษณ์อะไร บุรุษโรคเรื้อนก็บอกว่า ได้พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแล้ว ท้าวสักกะก็เลยทดสอบ ถ้าท่านเลิกนับถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเราให้ทิพยสมบัติทั้งหมด เอาไหม บุรุษนั้นบอกว่าเราร่ำรวยมากกว่าท่านอีกเราจะมาเอาทำไมกับสมบัติอันน้อยนิดนั้น ท้าวสักกะเทวราชก็เกิดความสงสัยเข้าไปถามพระศาสดาว่า ที่เค้าบอกว่าเค้ายิ่งใหญ่กว่าจริงหรือ พระศาสดาก็ตอบว่า คำว่าพระอริยโสดาบันนั้น ยิ่งใหญ่กว่าเทดา มาร อินทร์ พรม ยม ยักษ์ เพราะว่าเค้าเป็นพุทธบุตรเชื้อสายอริยะ เพราะฉะนั้น ความยิ่งใหญ่และอำนาจ อะไรที่จะใหญ่เกินกว่าความรู้ทันเป็นไม่มี แค่คนรู้ทันคนเดียวก็เอาชนะคนรู้ไม่ทันได้ทั้งหมด แล้วจะยึดถือไปทำไมให้ถึงจุดบ้า สมกับคำที่พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่าบุคคลบ้าไปเพราะความยึดถือในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่าเป็นเรา เป็นของๆ เรา  หน้าที่ของเราทำดีเผยแพร่ดี แค่นี้ก็คุ้มแล้ว ถ้าทำไม่ดีเผยแพร่ไม่ดี ก็ไม่มีความเป็นคน จะคิดดับๆ จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์   กิเลสแปลว่าความไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มี ธัมมะคือสิ่งที่มีจริง ปัญญาคือความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆด้วยจิตผู้รู้ อำนาจที่ทรงแสดงคืออำนาจของปัญญาที่ดับอวิชชา ทำให้กิเลสที่เคยมีมาดับไป คนเป็นเรื้อนทำสมาธิ ในการฟังคำของพระพุทธเจ้าจนถึงบรรลุสัจจะ เห็นความเกิด-ดับที่ไม่มีตัวตนแล้วจะเอา ทรัพย์สินเงินทองมากองท่วมหัวก็ซื้อไม่ได้ ไม่อยู่ในฐานะที่จะยกให้ใครได้จึงเป็นความยิ่งใหญ่เฉพาะบุคคลนั้น ที่ถึงสำเร็จมรรคผลด้วยจิตตนโดยไม่มีคำว่าย้อนกลับมาเป็นปุถุชนถาวรนะ จิตพ้นแล้วและนั่นไม่ใช่การจดจำคำใดๆของผู้เป็นโรคเรื้อนแต่เป็นจิตหลุดพ้นโลก และเป็นความจริงของการได้พึ่งคำที่ได้เงี่ยโสตลงสดับฟังขณะที่กำลังแสดงคำจริงจากพระโอษไง       | |
| หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง | 
| Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ | |