| ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
| เรื่องไม่ควรยุ่ง http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=50703 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
| เจ้าของ: | muisun [ 16 ส.ค. 2015, 14:39 ] |
| หัวข้อกระทู้: | เรื่องไม่ควรยุ่ง |
เรื่องความดีหรือไม่ดีมันเป็นแค่เรื่องส่วนตัว แต่เรื่องความชั่วเพราะไปยุ่งเรื่องของเขา เพ่งโทษเขา จับผิดเขา ความเดือดร้อนก็เกิดกับผู้นั้น คนดีอยู่ที่รู้ทัน คนไม่ดีอยู่ที่รู้ไม่ทัน จะคิดดับๆ สายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์ |
|
| เจ้าของ: | muisun [ 16 ส.ค. 2015, 14:46 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องไม่ควรยุ่ง |
ไฟ 1 อสรพิษ1 พระบวชใหม่1 ราชกุมาร1 อย่าคิดว่าเล็กน้อย เผลอไปยุ่งต้องได้รับผลเดือดร้อนแน่นอน |
|
| เจ้าของ: | Rosarin [ 17 ส.ค. 2015, 02:55 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องไม่ควรยุ่ง |
อันว่าน้ำที่มีตะกอนนอนก้น ก็คนให้น้ำมันขุ่นต้องกรอง รอให้ตกตะกอนไม่ไหวจร้า
|
|
| เจ้าของ: | muisun [ 17 ส.ค. 2015, 18:39 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องไม่ควรยุ่ง |
มีความสามารถที่จะรู้ทันต้นเหตุในสรรพสิ่งนั้นๆ แล้วหรือ ขอบอก อจิณไตยนะ ความยึดถือเป็นเหตุแห่งความบ้า ขอท้าพิสูจน์ หัดรู้ต้นคิดของจิตตนเองดีกว่า จะคิดดับๆ สายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์ |
|
| เจ้าของ: | muisun [ 17 ส.ค. 2015, 19:11 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องไม่ควรยุ่ง |
ยังเดือดร้อนเพราะชอบ ชัง เฉย อย่าหวังเลยว่าจะไปกลั่นกรองใจใครเขาได้ รู้ทันต้นคิด จิตจะไม่เดือดร้อน จะอ่านใจออก บอกใจได้ ใช้ใจเป็น แล้วจะเห็นใจตัวเอง และเห็นใจผู้อื่น นั่นแหละตนจะไม่เดือดร้อนและผู้อื่นจะไม่เดือดร้อน หน้าที่ของเราแค่ทำดีเผยแพร่ดีแค่นี้ก็คุ้มแล้ว จะคิดดับๆ จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์ |
|
| เจ้าของ: | student [ 18 ส.ค. 2015, 00:40 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องไม่ควรยุ่ง |
ทำอารมณ์ให้เบิกบานไม่เศร้าหมอง ปราศจากอารมณ์ของอกุศลธรรม แต่พิจารณาธรรมอยู่เนืองๆ เมื่อมีชีวิตอยู่ ควรไตร่ตรองว่าสังขารไม่เที่ยง ไม่รู้จะตายวันตายพรุ่ง เมื่อใช้ชีวิตอยู่ ควรอยู่แต่ปัจจุบันเหตุ อดีตผ่านไปแล้วไม่สามารถแก้ไขอดีตนั้นได้นอกจากปรับปรุงตัวเอง อนาคตมาไม่ถึงไม่ควรคิดฝัน เมื่อมีฐานะความเป็นอยู่ ควรมีอารมณ์อุเบกขา มีเมตตา กรุณา มุทิตาต่อสังคม มีอารมณ์ผ่องใส มองโลกในแง่ดี ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม ไม่ถือโกรธ ไม่แช่งชักคนอื่น ไม่ประกอบด้วยการแย่งทรัพย์ภายนอก แต่ทำทรัพย์ภายในให้เจริญคือธรรมะของพระพุทธเจ้าที่สอน. ฐานะที่ประเสริฐสุดคือฐานะที่ถือครองศีล เช่นพระก็ถือครองศีลและวินัยอย่างพระ ภิกษุณีก็ถือครองศีลอย่างภิกษุณี ฆราวาสก็ถือครองศีลอย่างฆราวาส จึงจะเป็นฐานะที่ไม่มีชั้นวัณณะอย่างแท้จริง เมื่อจิตตั้งมั่นอยู่ ควรพิจารณาธรรมอย่างมีสติปัญญา เหตุผลนั้นเป็นปัจจัยเกื้อหนุน มีจุดมุ่งหมายคือการดับทุกข์ ไม่ใช่จุดมุ่งหมายของการได้มาและยึดถือ เช่น ความสามารถพิเศษทั้งหลาย(ดูดวง ดูลายนิ้วมือดูชะตาชีวิต ต่อชีวิต เสริมดวง ดูอนาคต ทำนายอนาคต ดูทิศทาง ดูคู่ชีวิต ที่ไม่ใช่อริยทรัพย์) |
|
| เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 18 ส.ค. 2015, 01:53 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องไม่ควรยุ่ง |
เพ่งโทษตนเป็นบัณฑิต เพ่งผิดผู้อื่นเป็นพาล เจริญในธรรม
|
|
| เจ้าของ: | muisun [ 18 ส.ค. 2015, 10:36 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องไม่ควรยุ่ง |
ความชอบโทษน้อยแต่ทำลายนาน ความชังโทษมากแต่ทำลายเร็ว ความเฉยโทษมากทำลายก็นาน เพราะฉะนั้น การละสิ่งไม่ดีทั้งหมดคือตัวรู้ไม่ทันด้วยการรู้ทันต้นคิด จะคิดดับๆ จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์ |
|
| เจ้าของ: | Rosarin [ 18 ส.ค. 2015, 11:04 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องไม่ควรยุ่ง |
...ผู้รู้ รู้ได้ เฉพาะตน...เป็นอัตโนมัติไม่ใช่คิดกำหนด... ...หลักกาลามสูตร10เป็นสภาพธรรมที่เป็นกุศลจิตเท่านั้น... ...เกิดกับจิตผู้รู้...ผู้ไม่รู้ก็ท่องได้...แต่ไม่ถึงความจริง จริงๆ... ...สภาพธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเป็นกุศลจิตล้วนๆ... ...พาลก็ออกจากจิตผู้ไม่รู้...เพราะผู้รู้ท่านทำเพื่ออนุเคราะห์เท่านั้น...
|
|
| เจ้าของ: | muisun [ 18 ส.ค. 2015, 12:21 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องไม่ควรยุ่ง |
พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า คิดอย่างไรได้อย่างนั้น คิดเป็นพาลก็เป็นพาล คิดเป็นบัณฑิตก็เป็นบัณฑิต คิดจะให้หลุดพ้นก็หลุดพ้น เพราะผู้นั้นสังเกตุรู้ทันต้นคิด คิดที่จะไม่เพ่งโทษก็ไม่เพ่งโทษ คิดไม่โกรธก็ไม่โกรธ คิดที่จะไม่ดูหมิ่นก็ไม่ดูหมิ่น เพราะการหลุดพ้นด้วยความคิดมีอยู่ 5 อย่าง หลุดพ้นด้วยสมาธิที่เรียนมาดี หลุดพ้นด้วยการฟัง หลุดพ้นได้ด้วยการสาธยาย หลุดพ้นด่วยการเพ่งจิต หลุดพ้นด้วยการคิด คิดจะไม่ว่าดับๆ ดับความคิดที่จะไม่ว่า ดับวิตก วิจารณ์ในจิต เรียกว่า ดับวจีสังขาร ดับความจำได้หมายรู้ เรียกว่า จิตสังขาร ดับลมหายใจเข้าออกได้ เรียกว่า กายสังขาร แล้วการดับต้องดับด้วยการสังเกตรู้ทันต้นคิดเท่านั้น ดับด้วยการรู้การเห็น ไม่เกี่ยวกับความคิด ตามข้อความของคุณไม่ทันต้นคิดหรอก จะคิดดับๆ จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์ |
|
| เจ้าของ: | Rosarin [ 18 ส.ค. 2015, 13:53 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องไม่ควรยุ่ง |
muisun เขียน: พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า คิดอย่างไรได้อย่างนั้น คิดเป็นพาลก็เป็นพาล คิดเป็นบัณฑิตก็เป็นบัณฑิต คิดจะให้หลุดพ้นก็หลุดพ้น เพราะผู้นั้นสังเกตุรู้ทันต้นคิด คิดที่จะไม่เพ่งโทษก็ไม่เพ่งโทษ คิดไม่โกรธก็ไม่โกรธ คิดที่จะไม่ดูหมิ่นก็ไม่ดูหมิ่น เพราะการหลุดพ้นด้วยความคิดมีอยู่ 5 อย่าง หลุดพ้นด้วยสมาธิที่เรียนมาดี หลุดพ้นด้วยการฟัง หลุดพ้นได้ด้วยการสาธยาย หลุดพ้นด่วยการเพ่งจิต หลุดพ้นด้วยการคิด คิดจะไม่ว่าดับๆ ดับความคิดที่จะไม่ว่า ดับวิตก วิจารณ์ในจิต เรียกว่า ดับวจีสังขาร ดับความจำได้หมายรู้ เรียกว่า จิตสังขาร ดับลมหายใจเข้าออกได้ เรียกว่า กายสังขาร แล้วการดับต้องดับด้วยการสังเกตรู้ทันต้นคิดเท่านั้น ดับด้วยการรู้การเห็น ไม่เกี่ยวกับความคิด ตามข้อความของคุณไม่ทันต้นคิดหรอก จะคิดดับๆ จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์ ทั้ง5อย่างที่ว่ามาตัวสีแดงๆน่ะใช้อะไรทำให้หลุดพ้นได้ ปัญญาที่เข้าถึงความจริงมีตลอดเวลาเดี๋ยวนี้อกาลิโก สำหรับสิ่งที่ปรากฎตลอดเวลาแก่จิตคือเข้าใจแล้ว ไม่สงสัยเพราะถึงใจแล้วเห็นด้วยใจเป็นปัจจัตตัง ศีล สมาธิ ปัญญา ที่เกิดกับจิตตลอดเวลา
|
|
| เจ้าของ: | muisun [ 18 ส.ค. 2015, 14:44 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องไม่ควรยุ่ง |
หลุดพ้นเพราะรู้ทันในสมาธิ หลุดพ้นเพราะรู้ทันในการเพ่ง หลุดพ้นเพราะคำสาธยาย หลุดพ้นเพราะรู้ทันในการคิด หลุดพ้นด้วยการสังเกตต้น กลาง สุด ในขณะจิตนั้นได้ เค้าเรียกว่าเห็นความเกิดดับแห่งรูป แห่งนามโดยไม่ก่อนไม่หลังกับปรมัตธรรม หมดความสงสัยในสังขารธรรม สมัยก่อนมีพระองค์หนึ่งบอกว่ารู้ซึ้งถึงที่สุดแห่งคำสอนของพระพุทธเจ้าได้หมด ว่าพระพุทธเจ้าสอนถึงแห่งความพินาศไปของสรรพสัตว์ สอนถึงความขาดสูญแห่งสัพสัตว์ สอนไปเพื่อความไม่เกิดอีกของสัพสัตว์ เพื่อนพระก็ทักท้วงว่า ท่านอย่ากล่าวตู่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเช่นนั้น พระองค์นั้นก็ยืนยันว่าสอนเช่นนั้นจริงๆ เพื่อนพระห้ามปรามไม่อยู่จึงแจ้งเรื่องให้กับพระสารีบุตรให้มาชี้แจง พระสารีบุตรจึงถามว่า ท่านมีความเห็นผิด คิดลามกในคำสอนของพระพุทธเจ้าเช่นนี้จริงหรือ พระองค์นี้ก็ตอบว่า ก็พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้จริงๆ พระสารีบุตรจึงถามว่า ท่านว่ารูป เวทนา สัญญา สังขารว่าเที่ยงหรือไม่เที่ยง พระรูปนั้นก็ตอบว่า ไม่เที่ยงหรอกท่านผู้เจริญ พระสารีบุตรจึงกล่าวว่าในเมื่อไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงได้ ควรจะยึดถือไหมว่าเป็นตัวเป็นตน พระองค์นั้นก็ตอบว่าไม่ควร ท่านผู้เจริญ อย่างนั้นสิ่งใดไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา มันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์เล่า พระองค์นั้นก็ตอบว่า เป็นทุกข์ ท่านผู้เจริญ ก็ในเมื่อสิ่งนั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา ควรหรือหนอว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวเป็นตน เป็นเรา เป็นเขา พระองค์นั้นก็ตอบว่าไม่ควรยึดถือ ท่านผู้เจริญ อย่างนั้นในเรามีรูป เวทนา สัญญา สังขาร หรือไม่ พระองค์นั้นก็ตอบว่า ไม่มีท่านผู้เจริญ อย่างนั้นในเราไม่มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณใช่หรือไม่ พระองค์นั้นจึงตอบว่า ไม่ใช่อย่างนั้น ท่านผู้เจริญ อย่างนั้น ท่านจะมีความคิดเห็นอันลามกได้อย่างไรว่าทำให้เราขาดสูญ ไม่เกิดอีก ทำให้เราพินาศไป พระองค์นั้นก็ตอบว่า ขอท่านผู้เจริญ อย่าว่าอะไรกระผมให้หนักนักเลย บัดนี้จิตกระผมก็ได้หลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นแล้ว รู้ชัดว่า ในเมื่อรู้ไม่ทันก็ต้องมีการปรุงแต่ง ในเมื่อมีการปรุงแต่งก็ต้องมีสังขาร ในเมื่อมีสังขารก็ต้องมีชอบ ชัง เฉย ในเมื่อมีชอบ ชัง เฉย ก็จะมีเรา มีเขา ด้วยประการละฉะนี้ เพราะรู้ทันจึงดับการปรุงแต่ง เพราะดับการปรุงแต่งจึงดับชอบ ชัง เฉย เพราะดับชอบ ชัง เฉย จึงไม่มีเรา ไม่มีเขา เป็นการหลุดพ้นจากการฟังและการคิด จะคิดดับๆ จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์ |
|
| เจ้าของ: | Rosarin [ 18 ส.ค. 2015, 17:49 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องไม่ควรยุ่ง |
muisun เขียน: หลุดพ้นเพราะรู้ทันในสมาธิ หลุดพ้นเพราะรู้ทันในการเพ่ง หลุดพ้นเพราะคำสาธยาย หลุดพ้นเพราะรู้ทันในการคิด หลุดพ้นด้วยการสังเกตต้น กลาง สุด ในขณะจิตนั้นได้ เค้าเรียกว่าเห็นความเกิดดับแห่งรูป แห่งนามโดยไม่ก่อนไม่หลังกับปรมัตธรรม หมดความสงสัยในสังขารธรรม สมัยก่อนมีพระองค์หนึ่งบอกว่ารู้ซึ้งถึงที่สุดแห่งคำสอนของพระพุทธเจ้าได้หมด ว่าพระพุทธเจ้าสอนถึงแห่งความพินาศไปของสรรพสัตว์ สอนถึงความขาดสูญแห่งสัพสัตว์ สอนไปเพื่อความไม่เกิดอีกของสัพสัตว์ เพื่อนพระก็ทักท้วงว่า ท่านอย่ากล่าวตู่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเช่นนั้น พระองค์นั้นก็ยืนยันว่าสอนเช่นนั้นจริงๆ เพื่อนพระห้ามปรามไม่อยู่จึงแจ้งเรื่องให้กับพระสารีบุตรให้มาชี้แจง พระสารีบุตรจึงถามว่า ท่านมีความเห็นผิด คิดลามกในคำสอนของพระพุทธเจ้าเช่นนี้จริงหรือ พระองค์นี้ก็ตอบว่า ก็พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้จริงๆ พระสารีบุตรจึงถามว่า ท่านว่ารูป เวทนา สัญญา สังขารว่าเที่ยงหรือไม่เที่ยง พระรูปนั้นก็ตอบว่า ไม่เที่ยงหรอกท่านผู้เจริญ พระสารีบุตรจึงกล่าวว่าในเมื่อไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงได้ ควรจะยึดถือไหมว่าเป็นตัวเป็นตน พระองค์นั้นก็ตอบว่าไม่ควร ท่านผู้เจริญ อย่างนั้นสิ่งใดไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา มันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์เล่า พระองค์นั้นก็ตอบว่า เป็นทุกข์ ท่านผู้เจริญ ก็ในเมื่อสิ่งนั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา ควรหรือหนอว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวเป็นตน เป็นเรา เป็นเขา พระองค์นั้นก็ตอบว่าไม่ควรยึดถือ ท่านผู้เจริญ อย่างนั้นในเรามีรูป เวทนา สัญญา สังขาร หรือไม่ พระองค์นั้นก็ตอบว่า ไม่มีท่านผู้เจริญ อย่างนั้นในเราไม่มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณใช่หรือไม่ พระองค์นั้นจึงตอบว่า ไม่ใช่อย่างนั้น ท่านผู้เจริญ อย่างนั้น ท่านจะมีความคิดเห็นอันลามกได้อย่างไรว่าทำให้เราขาดสูญ ไม่เกิดอีก ทำให้เราพินาศไป พระองค์นั้นก็ตอบว่า ขอท่านผู้เจริญ อย่าว่าอะไรกระผมให้หนักนักเลย บัดนี้จิตกระผมก็ได้หลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นแล้ว รู้ชัดว่า ในเมื่อรู้ไม่ทันก็ต้องมีการปรุงแต่ง ในเมื่อมีการปรุงแต่งก็ต้องมีสังขาร ในเมื่อมีสังขารก็ต้องมีชอบ ชัง เฉย ในเมื่อมีชอบ ชัง เฉย ก็จะมีเรา มีเขา ด้วยประการละฉะนี้ เพราะรู้ทันจึงดับการปรุงแต่ง เพราะดับการปรุงแต่งจึงดับชอบ ชัง เฉย เพราะดับชอบ ชัง เฉย จึงไม่มีเรา ไม่มีเขา เป็นการหลุดพ้นจากการฟังและการคิด จะคิดดับๆ จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์ ขออภัยอะไรที่รู้ทัน อะไรที่หลุดพ้น ชื่อว่าจิตที่ถึงความเกิด-ดับแล้ว ไม่ว่าจะเวลาไหนนับแต่วินาทีที่ได้รู้ลักษณะนามตามความเป็นจริงไม่ได้ปรุง ชื่อว่าเป็นอริยบุคคลผู้รู้ทันและหลุดพ้นด้วยปัญญาคือเข้าใจแล้วว่าอะไรดับอะไรเกิด และถ้ารู้สภาพเกิด-ดับแล้วย่อมเข้าใจว่า รูปดับก่อนเสมอ และต้องดับรูปที่เป็นตัวตนได้ก่อนไง
|
|
| หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
| Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |
|