วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 03:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2015, 10:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1067

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ใดรู้ทันละชอบ ชัง เฉย ที่เป็นภายในและภายนอกได้ ย่อมดับความรู้สึกได้ เรียกว่า อารมณ์แห่งความหลุดพ้นคือพระนิพพาน เพราะวิญาณดับ จะคิดดับๆ

จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2015, 07:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


muisun เขียน:
ผู้ใดรู้ทันละชอบ ชัง เฉย ที่เป็นภายในและภายนอกได้ ย่อมดับความรู้สึกได้



ใช่ครับ...รู้ทันจิตชอบ..จิตชัง...นี้...ย่อมทำให้ฉลาดทันกิเลสได้...
รู้เมื่อไร...กิเลสก็มุดหนีเมื่อนั้น

แต่อันที่อยากจะถาม...เพราะตัวเองก็ยังสังเกตไม่เห็น..

คือ...รู้เฉย ๆ ..นี้แหละ..มันเป็นยังงัยหรือคับ ?

รู้เฉย.....นี้..คือ..ไม่มีชอบ..ไม่มีชัง..ในรู้....เช่นเห็นต้นไม้...ก็แค่เห็น...จะต่างจากที่เห็นงู..คือจะเห็นชังทันที...

กับรู้เฉย....หลังจากที่รู้ชัง..หรือรู้ชอบเสร็จแล้ว..จิตมาเป็นกลางด้วยสติ...คือ..เฉย...พอมันเฉย..เราก็รู้ว่าเฉย..อันนี้ก็รู้เฉย..เหมือนกันนะ..

จึงอยากถามว่า...ที่ว่า..รู้ชอบ...รู้ชัง..และรู้เฉย..นี้..รู้เฉยนี้นั้น...รู้แบบไหน...จึงต้องรู้เพื่อดับมัน?

คำถามอาจ ...งง...นะครับ... :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2015, 10:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1067

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จิตเกิดดับคนละดวง ชั่วพริบตาเดียวจิตเกิดดับไปแล้วหลายพันดวง จิตดวงเก่าดับไปแล้วจิตดวงใหม่เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นทั้งวันและทั้งคืน กิเลสจะเกิดก็เกิดพร้อมจิต จะดับก็ดับพร้อมจิต พระพุทธเจ้าสอนไว้ ได้เห็นก็สักแต่ว่าได้เห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ได้รู้ก็สักแต่ว่าได้รู้ ให้รู้เห็นตามความเป็นจริงโดยไม่ต้องถาม ตอบ ชอบ ชัง เอาแต่สภาวะนั้นล้วนๆ ไม่แปรสภาพจากความเป็นจริงให้เป็นบัญญัติ เห็นก็เป็นเห็น รู้ก็เป็นรู้ ไม่มีชอบ ชัง เฉย ประกอบร่วม ใส่ใจเข้าไปให้เห็นต้นเหตุที่ไวกว่าพริบตา แล้วก็ฝึกไปบ่อยๆ จะคิดดับๆ
จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2015, 11:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอบไม่เคลียร์..แสดงว่า...ยังแยกไม่ออกซินะ..ว่าเฉย.
ที่เป็นเวทนา...กับ..เฉยที่เป็น..อุเบกขา..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2015, 11:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1067

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จะเฉยเวทนาหรือเฉยอุเบกขา มันก็อยู่ภายใต้ความรู้ไม่ทัน เรียกว่า โมหมูลจิต พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่ามีโทษหนัก คลายช้า เพราะฉะนั้น เธอจงรู้ทันทุกอย่าง ความนึกคิดทั้งหมดอยู่ภายใต้ความรู้ไม่ทันทั้งสิ้น คนที่รู้ทันในขณะจิตนั้นได้ เค้าบอกว่า หลงโง่มาตลอดชีวิต อ่านใจไม่ออก บอกใจไม่ได้ ใช้ใจไม่เป็น มองไม่เห็นใจตนเอง และไม่เห็นใจผู้อื่น ขนาดมีคนมายิงปืนข้างหน้าต่างเค้ายังรู้ทันโดยที่ไม่ต้องตกใจลุกขึ้นไปดู

พระพุทธเจ้านั่งดูความรู้ทันอยู่ ฟ้าผ่ามาโดนคนตาย พระพุทธเจ้าอยู่ในความรู้ทันโดยที่ไม่ตกใจ

คำว่าเคลียร์ต้องเกิดจากปัญญาญาณของผู้ที่เพียรเพ่งเองทั้งวันและทั้งคืน ไม่ว่างไม่เว้น อยู่ในสัมปชัญญะปะภะ เพราะเป็นนามธรรม ฝึกรู้ทันทั่วพร้อมทั้งกาย เวทนา จิต ธรรม ดูปัจจุบันเป็นหลัก ดูกายก็ไม่ต้องไปห่วงลม ดูลมก็ไม่ต้องไปห่วงความคิด ดูความคิดก็ไม่ต้องไปห่วงเวทนา อย่าแบ่งอารมณ์เป็น 2 ถ้าดูลมหายใจเข้า ห่วงลมหายใจออก พระพุทธเจ้าเรียกว่าฟุ้งซ่านแล้ว

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เธอจงเจริญธรรมนี้ทั้งวันและทั้งคืน ไม่ว่างไม่เว้น

ดูก่อนท่านทั้งหลาย สังขารคือการปรุงแต่ง เป็นทุกข์อย่างยิ่ง บุคคลใดรู้ทัน ดับเสียได้เป็นสุขอย่างยิ่ง ขอท่านทั้งหลายอย่าอยู่ด้วยความประมาทด้วยความรู้ไม่ทันเลย

เรามีสิทธิ์เป็นสุข ผ่องใสไม่ใช่หรือ จะยึดถือไปทำไมให้เศร้าหมอง หมั่นรู้ทันดวงใจไว้ประคอง คงไม่ต้องถูกหลอกจากใจเรา..

อันเวลาและวารีไม่ได้มีไว้เพื่อรอใคร มรณะภัยต่างก็ไปตามเวลา ถ้าโอ้เอ้และอืดอาดก็จะพลาดปราถนา เสียแล้วจะโสกาอนิจจารู้ไม่ทัน..

แม้เพื่อนดีมีหนึ่งถึงจะน้อย ดีกว่าร้อยเพื่อนคิดริษยา เหมือนมีเกลือนิดหน่อยน้อยราคา ยังดีกว่ามีน้ำเค็มเต็มทะเล..

รู้ทันเป็นทางสายเอกสำหรับผู้ที่ไปคนเดียว จะเอาชอบ ชัง เฉย ไปด้วยไม่ได้

จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2015, 12:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


muisun เขียน:
จะเฉยเวทนาหรือเฉยอุเบกขา มันก็อยู่ภายใต้ความรู้ไม่ทัน เรียกว่า โมหมูลจิต

สายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์


เฉย..ที่เป็นเวทนา...นั้น...นะ..เป็นเพราะรู้ไม่ทัน...โมหะ....ก็ถูกแล้ว

แต่..เฉย..ที่เป็นอุเบกขา..นี้นั้น...ใจจะวางจากสิ่งรู้มาอุเบกขาได้..นี้..ต้องรู้ทันก่อน..รู้ทันตัญหา...รู้ทันสังขาร...รู้ทันในเวทนาทั้ง3 ก่อนทั้งนั้น..จึงวางได้...สังขารุเบกขาญาณ...ก็อุเบกขาอันหนึ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2015, 15:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
muisun เขียน:
จะเฉยเวทนาหรือเฉยอุเบกขา มันก็อยู่ภายใต้ความรู้ไม่ทัน เรียกว่า โมหมูลจิต

สายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์


เฉย..ที่เป็นเวทนา...นั้น...นะ..เป็นเพราะรู้ไม่ทัน...โมหะ....ก็ถูกแล้ว

แต่..เฉย..ที่เป็นอุเบกขา..นี้นั้น...ใจจะวางจากสิ่งรู้มาอุเบกขาได้..นี้..ต้องรู้ทันก่อน..รู้ทันตัญหา...รู้ทันสังขาร...รู้ทันในเวทนาทั้ง3 ก่อนทั้งนั้น..จึงวางได้...สังขารุเบกขาญาณ...ก็อุเบกขาอันหนึ่ง

s004
สังขารุเปกขาญาณ น่าจะไม่ใช่อุเบกขานะครับ

สังขารุเปกขาญาณเป็นปัญญา เป็นตัวผู้รู้นั่นเลยทีเดียวคือรู้ว่าความปรุงแต่งได้หยุดสนิทไปชั่วคราว

ส่วนอุเบกขานั้นเป็นเวทนาเกิดขึ้นเมื่อวาง ยินดีหรือยินร้ายได้

ความรู้อยู่เฉยๆในเวทนาทั้ง ๓ นั้น น่าจะเป็น รู้ปกติ ซึ่งลึกลงไปกว่าเฉย

ลำดับของสภาวะจะเป็นอย่างนี้

ยินดี

ยินร้าย

เฉย

ปกติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2015, 20:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

s004
สังขารุเปกขาญาณ น่าจะไม่ใช่อุเบกขานะครับ

สังขารุเปกขาญาณเป็นปัญญา เป็นตัวผู้รู้นั่นเลยทีเดียวคือรู้ว่าความปรุงแต่งได้หยุดสนิทไปชั่วคราว


เข้าใจตรงกันครับ..แต่ผมอาจจะพูดสั้นไป..แต่ได้เกร่นก่อนแล้วนะว่า...รู้ก่อนแล้ววาง...แยกจากเฉยที่เป็นเวทนา..

กบนอกกะลา เขียน:
เฉย..ที่เป็นเวทนา...นั้น...นะ..เป็นเพราะรู้ไม่ทัน...โมหะ....ก็ถูกแล้ว

แต่..เฉย..ที่เป็นอุเบกขา..นี้นั้น...ใจจะวางจากสิ่งรู้มาอุเบกขาได้..นี้..ต้องรู้ทันก่อน..รู้ทันตัญหา...รู้ทันสังขาร...รู้ทันในเวทนาทั้ง3 ก่อนทั้งนั้น..จึงวางได้...สังขารุเบกขาญาณ...ก็อุเบกขาอันหนึ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2015, 15:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1067

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า การละกิเลสต้องละด้วยการรู้การเห็น ถ้าไม่รู้ไม่เห็นก็ละไม่ได้ แค่รู้ทันเขาก็ดับแล้ว
ข้อแรกเราควรใส่ใจเข้าไปให้ถึงจะเกิดความปราโมทย์ เมื่อเกิดความปราโมทย์แล้วจะเกิดปิติ เมื่อเกิดปิติก็จะเกิดความสุข จิตของผู้สุขย่อมตั้งมั่น จิตของผู้ตั้งมั่นย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง จิตของผู้รู้เห็นตามความเป็นจริงย่อมเบื่อหน่ายและคลายกำหนัด จิตของผู้เบื่อหน่ายและคลายกำหนัดย่อมหลุดพ้นด้วยความรู้ทัน ถ้าหลุดพ้นด้วยความรู้ทันจิตย่อมดับ ดับลงไปด้วยการรู้ ไม่ใช่ดับกด้วยสมาธิ ไม่ใช่ดับด้วยปิติ ไม่ใช่ดับด้วยปัสสธิ ไม่ใช่ดับด้วยถีนมิทธะ แต่ดับด้วยอริยมรรคอริยผล คือรู้ทันว่าทุกข์ เป็นธรรมที่ควรกำหนดรู้ รู้ทันว่าสมุทัยเป็นธรรมที่ควรละ รู้ทันว่านิโรธเป็นธรรมที่ควรทำให้เกิดขึ้น รู้ทันว่ามรรคนั้นต้องเจริญอยู่เนืองๆ ธรรมะเครื่องอยู่ของพระอริยเจ้า สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ทราบ และรู้ทันอยู่ อันชอบ ชัง เฉย จะมาประกอบร่วมมิได้ หมดความสงสัยในสภาวะแห่งความเกิดดับ ในเมื่อรู้ไม่ทันก็ต้องมีการปรุงแต่ง ในเมื่อมีการปรุงแต่งก็ต้องมีการยึดถือ เมื่อมีการยึดถือก็ต้องมีเรา มีเขา มีแพ้ มีชนะ แต่ผู้รู้ทัน รู้ทันที่ตาก็ดับที่ตา รู้ทันที่ใจก็ดับที่ใจ ไม่ได้เก็บเอาอะไรขึ้นมายึดถือ เพราะยึดเพียงหนึ่งก็ทุกข์เพียงหนึ่ง อย่ากล่าวไปใยที่จะยึดถือไปมากกว่านั้น จะคิดดับๆ

จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2015, 11:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ใช้ชีวิตแบบอยู่เป็นผู้ดูรู้เท่าทันสิ่งที่มีที่กำลังปรากฏ
ไม่ใช้ชีวิตอยู่เป็นผู้แสดงที่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์
การวางอุเบกขาเป็นการเจตนาวิรัติการปรุงแต่ง
เช่น เห็นหนอ ยินหนอ เสียงหนอ สีหนอ
กระทบสัมผัสให้รู้ตามสภาวะที่กระทบ
เย็น-ร้อน-อุ่น...สุข-ทุกข์-เฉย
อ่อน-นุ่ม-แข็ง...ตึง-ไหว
ไม่ปรุงเป็นตัวตน
สัตว์ สิ่งของ
ลืมก็ให้รู้
ว่าลืม
:b16:
เพราะทุกอย่างเป็นธัมมะที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ไม่นานก็ดับไป
กระพริบตาครั้งใหม่ก็เป็นจิตดวงใหม่ทุกทางผ่านอายตนะ6
ไม่ย้อนกลับมาเกิดได้อีกเลยเป็น ณ กาลครั้งหนึ่งไปตลอดนิรันดร
:b20:
:b1: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2015, 20:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1067

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าจิตดวงเก่าดับไปแล้วจิตดวงใหม่เกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ทั้งวันและทั้งคืน ชอบ ชัง เฉย จะเกิดก็เกิดพร้อมจิต เมื่อจะดับก็ดับพร้อมจิต เราควรรู้ทันทุกอย่าง ถ้ารู้ทันเขาจะดับ ถ้ารู้ไม่ทันเขาก็ไม่ดับ การดับชอบ ชัง เฉย ต้องดับด้วยการรู้ การเห็น ถ้าไม่รู้ไม่เห็นก็ดับชอบ ชัง เฉย ไม่ได้ ชอบ ชัง เฉย ดับได้เพราะวิญญาณดับ พระอานนท์ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า สิ่งใดที่มีเราก็ทำให้มันหมด สิ่งใดที่มันไม่เกิดก็ทำให้มันไม่เกิด อยู่ด้วยอารมณ์วางเฉย อย่างนี้ใช่ไหมเรียกว่าอารมณ์ของพระนิพพานพระเจ้าค่ะ พระศาสดาทรงตรัสว่า ตราบใดจิตยังวางเฉย ตราบนั้นวิญญาณยังมีที่เกาะอยู่ วิญญาณยังซุกซ่อนอยู่ เรากล่าว่าผู้นั้นยังเข้านิพพานไม่ได้ ผู้ใดจะเข้านิพพานได้ต้องดับวิญญาณ วิญญาณนั้นมี 6 วิญญาณตา - หู - จมูก - ลิ้น - กาย - ใจ พระอานนท์ก็กราบทูลพระศาสดาว่า แจ่มแจ้งเลยพระเจ้าค่ะ พระศาสดาทรงแสดงธรรมโดยเอนกปริยาย ดุจหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางกับผู้หลงทาง หรือตามประทีปในที่มืดฉะนั้น ผู้มีดวงตาดีย่อมได้เห็นหนทางฉะนั้น แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่พระศาสดาทรงอนุเคราะห์บอกทางไปพระนิพพานให้กับสาวกเสียแล้ว

ชอบ ชัง เฉย ในเมื่อจะเกิดก็เกิดที่ตา เมื่อจะดับก็ดับก็ดับที่ตา เมื่อจะเกิดก็เกิดที่ความคิด เมื่อจะดับก็ดับที่ความคิด จะคิดดับๆ

จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 138 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร