ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ฝึกดูเวทนา ทำยังไงครับ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=50537 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | เปลี่ยนชื่อใหม่ [ 18 ก.ค. 2015, 16:10 ] |
หัวข้อกระทู้: | ฝึกดูเวทนา ทำยังไงครับ |
ปกติ เราจะเห็น การกับจิต หากวันหนึ่งเจ็บป่วย มันเพิ่มเวทนาเข้ามาด้วยนะสิ คราวนี้ จิตมันไม่ชินกับเวทนา ดูกาย ดูจิต ทีนี้มีเวทนาเพิ่มเข้ามา ดูสามอย่าง มั่วซั่วไปหมดละ ดูไม่ทันละ เงิบเลย เดี๋ยวจิต เดี๋ยวความเจ็บปวด เดี๋ยวเข้าไปรวมกับความเจ็บปวด เดี๋ยวเข้าไปรวมความคิด อะไรจะขนาดนั้น ชีวิต ![]() ใครผ่านตรงนี้มาบ้างครับ ขอคำชี้แนะครับ ![]() จริงๆก็คิดว่า ทำเหมือนกับดูจิต แต่เอาเข้าจริงๆมันไม่เหมือนกัน เพราะจิตเกิดดับ เร็ว แต่เวทนามันไม่เกิดดับเร็วไม่เหมือนจิตนะสิ เราทำได้แค่ แยกความเจ็บปวดออกมาเป็นคนละส่วน แต่ดับจะดับช้ากว่ามากมาย เวทนาในที่นี้ ของผมหมายถึงความเจ็บป่วยทางร่างกาย อย่างปวดหัว ปวดท้อง ไม่รู้เข้าใจถูกไหม |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 18 ก.ค. 2015, 22:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ฝึกดูเวทนา ทำยังไงครับ |
แล้วดูจิต.....ดูยังงัยอะคับ? ![]() |
เจ้าของ: | student [ 19 ก.ค. 2015, 01:29 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ฝึกดูเวทนา ทำยังไงครับ |
เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน: ปกติ เราจะเห็น การกับจิต หากวันหนึ่งเจ็บป่วย มันเพิ่มเวทนาเข้ามาด้วยนะสิ คราวนี้ จิตมันไม่ชินกับเวทนา ดูกาย ดูจิต ทีนี้มีเวทนาเพิ่มเข้ามา ดูสามอย่าง มั่วซั่วไปหมดละ ดูไม่ทันละ เงิบเลย เดี๋ยวจิต เดี๋ยวความเจ็บปวด เดี๋ยวเข้าไปรวมกับความเจ็บปวด เดี๋ยวเข้าไปรวมความคิด อะไรจะขนาดนั้น ชีวิต ![]() ใครผ่านตรงนี้มาบ้างครับ ขอคำชี้แนะครับ ![]() จริงๆก็คิดว่า ทำเหมือนกับดูจิต แต่เอาเข้าจริงๆมันไม่เหมือนกัน เพราะจิตเกิดดับ เร็ว แต่เวทนามันไม่เกิดดับเร็วไม่เหมือนจิตนะสิ เราทำได้แค่ แยกความเจ็บปวดออกมาเป็นคนละส่วน แต่ดับจะดับช้ากว่ามากมาย เวทนาในที่นี้ ของผมหมายถึงความเจ็บป่วยทางร่างกาย อย่างปวดหัว ปวดท้อง ไม่รู้เข้าใจถูกไหม เป็นเหมือนกันครับ เวทนาทางกายปรากฎ อารมณ์ที่เกิดคือ ไม่ปราถนา อยากพ้นจากสภาพนี้ แต่เนื่องจากเวทนาปรากฎเด่นชัดขึ้นมา ทำให้บดบังปรากฎการทางธรรมหมวดอื่น เวทนาทางกายรูปแบบนี้ ผมเองพิจารณาเป็นธาตุน้ำ คือการกำเริบขึ้นของธาตุน้ำ ก็คือ เรารู้ธาตุน้ำหรือกายภายใน ก็คือ ธาตุน้ำปรากฎเด่นขึ้นมา พิจารณาไปเรื่อยๆ อย่างบางที ความร้อนของร่างกายมันสูงขึ้น ทำให้เกิดความรู้สึกหนาวสะท้าน บางทีเรากำหนดธาตุไฟไปเรื่อยๆ จนร่างกายมันร้อนขึ้นๆ มีคืนหนึ่ง ธาตุไฟกำเริบ กายมันร้อนมาก แต่เรากลับคิดว่าดีจังเลย ทำไมเรากำหนดรู้ได้ชัดอย่างนี้ ก็กำหนดรู้ไปเรื่อยๆ ปกติเราจะนั่งสมาธิที่ที่นอน แฟนมาแตะที่ตัวร้องโอ้โฮ้ ทำไมตัวร้อนจี๋อย่างนี้ เป็นไข้แล้วแบบนี้ ก็เลยต้องนอนให้แฟนเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้เกือบทั้งคืน คือเราเป็นไข้โดยไม่รู้ตัว หลังจากวันนั้น ก็มาเพราๆเรื่องธาตุไฟลง ถ้าใครติดตามที่ผมเขียนที่รายงานผลการปฎิบัติจะรู้ว่า มีช่วงหนึ่ง หนักกับการกำหนดรู้ธาตุไฟ อย่างที่เล่ามา กายก็ต้องลงพระไตรลักษณ์ ความร้อนหนาวปรากฎขึ้นมาเพราะเหตุปัจจัย ความร้อนหนาวไม่มีใครเป็นเจ้าของ พิจารณาอย่างนี้ จะได้ไม่ขัดกัน ผมไม่นิยมพิจารณาว่า ร่างกาย (โดยความเป็นสัญญา) เช่น แขน ขา มือ อวัยวะต่างๆ ไม่ใช่ของเรา พิจารณาอย่างนี้ยาก เพราะเห็นๆอยู่ว่า เราใช้ประโยชน์อยู่ ต้องเป็นผู้ที่ผ่านวิปัสสนาขั้นปลงสังขารจึงจะไม่ขัดกัน เช่นผู้ที่พิจารณาความตาย มีอีกแนวที่นิยมพิจารณาคือ นะขา ตะโจ อะไรแบบนั้นคือ ผม ขน เล็บ ฟัน กระดูก น้ำเหลือง น้ำดี อะไรแบบนั้น คือ มีหลายแนวให้พิจารณา ผมเอง ก็พิจารณาสลับนั่นแหละ ส่วนมากพิจารณากระดูก กระโหลก โพลงปาก ฟัน ซี่โครง คือ พิจารณาโดยความเป็นสัญญา (ถ้าผมไม่เข้าใจผิด) ตรงที่ความเป็นสัญญา วกกลับมาที่ธาตุไฟต่อ นั่งหลับตาปุ๊บ เรารู้เลย ไม่ต้องมานั่งคิดว่าธาตุไฟเป็นอย่างไร เป็นการพิจารณาโดยความเป็นปรมัตถ์ของธรรม ความร้อนหนาวเป็นปรมัตถ์ ความเจ็บปวดร่างกายเป็นปรมัตถ์ คือไม่ต้องมานั่งแปลงว่าเจ็บปวดเป็นอย่างไร แต่จะต้องเป็นปรมัตถ์เพราะความเป็นธาตุ ไม่ใช่ความคิด (ถ้าผมไม่เข้าใจผิด ผิดในธรรมประการใดก็ขออภัยครับ ชี้แจงด้วย) ดังนั้นจึงต้องเข้าไปเห็นความเจ็บปวดโดยความเป็นธาตุ จึงจะลงพระไตรลักษณ์ ความเจ็บปวดเพราะเหตุปัจจัย หาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ ไม่ใช่เราใช่เขา แม้เราเป็นผู้เสวยเพราะเหตุปัจจัย หรือกรรม อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ไม่ขัดแย้งกันนั่นเองครับ |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 19 ก.ค. 2015, 07:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ฝึกดูเวทนา ทำยังไงครับ |
การที่เราจะฝึกดูเวทนาสติปัฏฐานนั้น เราต้องรู้ก่อนว่าเวทนาคืออะไร เวทนา ตามความหมายคือ ผู้เสวยอารมณ์ที่มากระทบ ทาง ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ และทำให้มีความรู้สึก เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง เฉยๆบ้าง เหล่านี้ เรามักจะเรียกทั่วๆไปว่า สุขเวทนา ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนา ฉะนั้น คำว่า สุข ทุกข์ อุกเบกขา นั้นไม่ใช่ตัวเวทนา แต่เพราะว่าเวทนาเป็นผู้ทำหน้าที่เสวยอารมณ์นั้น เช่น เวทนาเสวยสุข จึงเรียกว่า สุขเวทนา เวทนาเสวยทุกข์ จึงเรียกว่า ทุกขเวทนา เวทนาเสวยความเฉยๆ จึงเรียกว่า อุเบกขาเวทนา เหมือนเราเห็นเสือก็ต้องเห็นลายเสือพร้อมกันด้วย ถ้าเรายกเวทนาในปฏิจจสมุปบาทเราจะเห็นได้ชัดขึ้นว่า เวทนาเกิดขึ้นตรงไหน เพราะ"ผัสสะ"เป็นปัจจัยจึงทำให้เกิด"เวทนา" เพราะเวทนาเกิดขึ้นจึงทำให้"ตัณหา"เกิดขึ้น ไปตามลำดับของปฏิจจสมุปบาท เมื่อเรารู้ตัวเวทนาที่แท้จริงได้แล้วจึงจะกำหนดตัวเวทนาได้ถูกต้อง ถ้าหากเราไม่รู้เวทนาเราก็กำหนดรู้เวทนาไม่ถูก เพราะ สุข ทุกข์ เฉยๆ มันไม่ใช่ตัวเวทนา มันจะแยกคำว่าเวทนาไม่ใช่เราออกไม่ได้ มันจะทำให้เห็นเป็นอัตตาอยู่เหมือนเดิม |
เจ้าของ: | เปลี่ยนชื่อใหม่ [ 19 ก.ค. 2015, 10:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ฝึกดูเวทนา ทำยังไงครับ |
กบนอกกะลา เขียน: แล้วดูจิต.....ดูยังงัยอะคับ? ![]() ดูปกตินะครับ แยกออกมา กายส่วนนึง ใจส่วนนีง แล้วแต่ว่ามันจะระลึกได้ตอนไหน พอระลึกได้ตอนไหน มันก็จะแยกเองทันทีของมัน ถ้าเผลอมันก็เข้ามารวมกันใหม่ โดยปกติ เวลาเราเห็นอารมณ์ต่างๆ ความโกรธ ความไม่พอใจ มันก็แยกออกมาเป็นคนดู เห็นอยู่ว่ามันเป็นคนละส่วนกัน อารมณ์ไม่ใช่ของเรา แต่พอมาเวทนา มันไม่ง่ายเลยครับ คนที่ไม่เคยเจอความเจ็บปวดหนักๆ พอเจอที พลาดได้อย่างน่าตกใจ กาย เวทนา จิต ธรรม ยังไงก็ต้องทำให้ได้ทั้งหมดครับ เอาแค่ กาย กับ จิต ยังไม่พอ ยังไงต้องฝึกให้ครบครับ ![]() |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 19 ก.ค. 2015, 10:19 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ฝึกดูเวทนา ทำยังไงครับ |
เวทนา...มันมาก่อนจิตโกรธ..จิตโลภ...ซะอีก ผมเลยแปลกใจ...ทำไมเห็นจิต..แต่ไม่เห็นเวทนา..นะคับ อ่อ....กายเจ็บอันนั้น...มันเวทนากายครับ..น่าจะจัดอยู่ในหมวดเห็นกายครับผม เวทนาทางใจ..คือ..อยากหายจากอาการเจ็บนั้น ๆ ...ซึ่งก่อนที่มันจะอยากหายจากอาการเจ็บ...มันจะมีความรู้สึกก่อนว่า..เจ็บนี้ไม่ดี...ไม่เจ็บจึงดี...อันนี้คือเวทนา..แล้วมันจึงไหลไปที่..อยากหายจากอาการเจ็บนั้น ๆ ...เริ่มมีตัณหามาปนเข้าแล้วครับ |
เจ้าของ: | muisun [ 19 ก.ค. 2015, 10:39 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ฝึกดูเวทนา ทำยังไงครับ |
ปราถนาที่จะดับสิ่งใดเป็นอันว่าได้ดับสิ่งนั้นแล้ว เพราะสังเกตรู้ทันอยู่ ปราถนาจะหลุดพ้นเป็นอันว่าหลุดพ้นแล้ว เพราะสังเกตรู้ทันอยู่ เพราะมันเป็นจิตคนละขนาดกัน สมกับที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า จิตดวงเก่าดับไป จิตดวงใหม่เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นตลอดเวลา เราควรรู้ทันทุกอย่าง เพราะรู้ทันเขาดับ แต่ถ้ารู้ไม้ทัน สังเกตไม่ทันเขาก็ไม่ดับ ผู้ใดละเวทนาทั้งภายในและภายนอกได้ เรากล่าวว่าวิญญาณดับ จากพระดำรัสของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก จึงเป็นหน้าที่ของผู้รู้ทันต้องช่วยเผยแพร่ความดี จะคิดดับๆ จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์ |
เจ้าของ: | เช่นนั้น [ 21 ก.ค. 2015, 16:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ฝึกดูเวทนา ทำยังไงครับ |
เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน: ปกติ เราจะเห็น การกับจิต หากวันหนึ่งเจ็บป่วย มันเพิ่มเวทนาเข้ามาด้วยนะสิ คราวนี้ จิตมันไม่ชินกับเวทนา ดูกาย ดูจิต ทีนี้มีเวทนาเพิ่มเข้ามา ดูสามอย่าง มั่วซั่วไปหมดละ ดูไม่ทันละ เงิบเลย เดี๋ยวจิต เดี๋ยวความเจ็บปวด เดี๋ยวเข้าไปรวมกับความเจ็บปวด เดี๋ยวเข้าไปรวมความคิด อะไรจะขนาดนั้น ชีวิต ![]() ใครผ่านตรงนี้มาบ้างครับ ขอคำชี้แนะครับ ![]() จริงๆก็คิดว่า ทำเหมือนกับดูจิต แต่เอาเข้าจริงๆมันไม่เหมือนกัน เพราะจิตเกิดดับ เร็ว แต่เวทนามันไม่เกิดดับเร็วไม่เหมือนจิตนะสิ เราทำได้แค่ แยกความเจ็บปวดออกมาเป็นคนละส่วน แต่ดับจะดับช้ากว่ามากมาย เวทนาในที่นี้ ของผมหมายถึงความเจ็บป่วยทางร่างกาย อย่างปวดหัว ปวดท้อง ไม่รู้เข้าใจถูกไหม เวทนา จิตรู้สึกและเสวยอารมณ์ เห็นได้ ดูไม่ได้ รู้ได้รู้สึกได้ ร่างกายโดยตัวมันเอง ไม่มีเวทนา ร่างกายโดยความเป็นรูปขันธ์ปรากฏกับจิต จิตเสวยเวนทนาตามรูปขันธ์นั้น เสวยเวทนา เป็นสุขบ้าง ทุกข์บ้าง อทุกขมสุขบ้าง รวมๆ คือเวทนาอันเนื่องด้วยกาย เมื่อจิตเสพอารมณ์ อันเนื่องด้วยกายบ้าง หรือไม่เนื่องด้วยกายบ้างเช่นเสพย์เวทนาโดยความเป็นเวทนา จิตเสวยเวทนา โสมนัส โทมนัส หรืออุเบกขา รวมๆ คือเวทนาอันเนื่องกับจิต จิตที่อบรมดีมีความละเอียดจะรู้ได้เองว่าขณะนั้นๆ ว่าเห็นเวทนาใดอยู่ เสพเวทนาใดอยู่ เวทนาสองระดับ ทุกขเวทนา สุขเวทนา ทุกข์เวทนา จิตเสวยรสเวทนาต่างๆตามครรลองแห่งโลกีย์ สุขบ้าง ทุกข์บ้าง อุเบกขาบ้าง สุขเวทนา จิตเสวยรสเวทนาจากวิมุติสุขเท่านั้น เป็นรสเดียวจากความสงบสันติ |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 21 ก.ค. 2015, 22:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ฝึกดูเวทนา ทำยังไงครับ |
เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน: ดูปกตินะครับ แยกออกมา กายส่วนนึง ใจส่วนนีง แล้วแต่ว่ามันจะระลึกได้ตอนไหน พอระลึกได้ตอนไหน มันก็จะแยกเองทันทีของมัน ถ้าเผลอมันก็เข้ามารวมกันใหม่ โดยปกติ เวลาเราเห็นอารมณ์ต่างๆ ความโกรธ ความไม่พอใจ มันก็แยกออกมาเป็นคนดู เห็นอยู่ว่ามันเป็นคนละส่วนกัน อารมณ์ไม่ใช่ของเรา แต่พอมาเวทนา มันไม่ง่ายเลยครับ คนที่ไม่เคยเจอความเจ็บปวดหนักๆ พอเจอที พลาดได้อย่างน่าตกใจ กาย เวทนา จิต ธรรม ยังไงก็ต้องทำให้ได้ทั้งหมดครับ เอาแค่ กาย กับ จิต ยังไม่พอ ยังไงต้องฝึกให้ครบครับ ![]() แล้ว..ดูกาย..คุณ .เปลี่ยนชื่อใหม่...ดูยังงัยคับ? |
เจ้าของ: | เปลี่ยนชื่อใหม่ [ 22 ก.ค. 2015, 09:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ฝึกดูเวทนา ทำยังไงครับ |
กบนอกกะลา เขียน: เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน: ดูปกตินะครับ แยกออกมา กายส่วนนึง ใจส่วนนีง แล้วแต่ว่ามันจะระลึกได้ตอนไหน พอระลึกได้ตอนไหน มันก็จะแยกเองทันทีของมัน ถ้าเผลอมันก็เข้ามารวมกันใหม่ โดยปกติ เวลาเราเห็นอารมณ์ต่างๆ ความโกรธ ความไม่พอใจ มันก็แยกออกมาเป็นคนดู เห็นอยู่ว่ามันเป็นคนละส่วนกัน อารมณ์ไม่ใช่ของเรา แต่พอมาเวทนา มันไม่ง่ายเลยครับ คนที่ไม่เคยเจอความเจ็บปวดหนักๆ พอเจอที พลาดได้อย่างน่าตกใจ กาย เวทนา จิต ธรรม ยังไงก็ต้องทำให้ได้ทั้งหมดครับ เอาแค่ กาย กับ จิต ยังไม่พอ ยังไงต้องฝึกให้ครบครับ ![]() แล้ว..ดูกาย..คุณ .เปลี่ยนชื่อใหม่...ดูยังงัยคับ? ก็ดูกายเคลื่อนไหว จะยืน เดิน นั่ง อะไรก็แล้วแต่ แต่มีจิตแยกออกมาเป็นคนดูครับ |
เจ้าของ: | walaiporn [ 22 ก.ค. 2015, 10:51 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ฝึกดูเวทนา ทำยังไงครับ |
เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน: ปกติ เราจะเห็น การกับจิต หากวันหนึ่งเจ็บป่วย มันเพิ่มเวทนาเข้ามาด้วยนะสิ คราวนี้ จิตมันไม่ชินกับเวทนา ดูกาย ดูจิต ทีนี้มีเวทนาเพิ่มเข้ามา ดูสามอย่าง มั่วซั่วไปหมดละ ดูไม่ทันละ เงิบเลย เดี๋ยวจิต เดี๋ยวความเจ็บปวด เดี๋ยวเข้าไปรวมกับความเจ็บปวด เดี๋ยวเข้าไปรวมความคิด อะไรจะขนาดนั้น ชีวิต ![]() ใครผ่านตรงนี้มาบ้างครับ ขอคำชี้แนะครับ ![]() จริงๆก็คิดว่า ทำเหมือนกับดูจิต แต่เอาเข้าจริงๆมันไม่เหมือนกัน เพราะจิตเกิดดับ เร็ว แต่เวทนามันไม่เกิดดับเร็วไม่เหมือนจิตนะสิ เราทำได้แค่ แยกความเจ็บปวดออกมาเป็นคนละส่วน แต่ดับจะดับช้ากว่ามากมาย เวทนาในที่นี้ ของผมหมายถึงความเจ็บป่วยทางร่างกาย อย่างปวดหัว ปวดท้อง ไม่รู้เข้าใจถูกไหม การกำหนดรู้ ดูกรอัคคิเวสสนะ ! เราแนะนำสาวกทั้งหลายอย่างนี้ และคำสั่งสอนของเรามีส่วนอย่างนี้ ที่เป็นไปมากในสาวกทั้งหลายว่า รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง รูปไม่ใช่ตน เวทนาไม่ใช่ตน สัญญาไม่ใช่ตน สังขารทั้งหลายไม่ใช่ตน วิญญาณไม่ใช่ตน สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตน ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตน ดังนี้ ดูกรอัคคิเวสสนะ ! เราแนะนำสาวกทั้งหลายอย่างนี้ และคำสั่งสอนของเรามีส่วนอย่างนี้ ที่เป็นไปมากในสาวกทั้งหลาย เมื่อไม่กำหนดรู้ [๓๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ แม้ฉันใด นิวรณ์ ๕ ก็มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน. [๓๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหาร ให้กามฉันท์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศุภนิมิตมีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในศุภนิมิตนั้น นี้เป็นอาหารให้กามฉันท์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น. [๓๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้พยาบาทที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิฆนิมิตมีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในปฏิฆนิมิตนั้น นี้เป็นอาหารให้พยาบาทที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้ว ให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น. [๓๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความไม่ยินดี ความเกียจคร้าน ความบิดขี้เกียจ ความเมาอาหาร ความที่ใจหดหู่ มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในสิ่งเหล่านั้น นี้เป็นอาหารให้ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น. [๓๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความไม่สงบใจมีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในความไม่สงบใจนั้น นี้เป็นอาหารให้อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น. [๓๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉามีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหารให้วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น. [๓๖๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ แม้ฉันใด นิวรณ์ ๕ เหล่านี้ ก็มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน. อาหารของโพชฌงค์ ๗ [๓๖๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ แม้ฉันใด โพชฌงค์ ๗ ก็มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน. [๓๖๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้สติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายเป็นที่ตั้งแห่งสติสัมโพชฌงค์ มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหารให้สติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์. [๓๖๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลและ อกุศลที่มีโทษ และไม่มีโทษ ที่เลวและประณีต ที่เป็นฝ่ายดำและฝ่ายขาว มีอยู่ การกระทำให้มาก ซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหารให้ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์. [๓๖๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้วิริยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความริเริ่ม ความพยายาม ความบากบั่น มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในสิ่งเหล่านี้ นี้เป็นอาหารให้วิริยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์. [๓๖๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้ปีติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายเป็นที่ตั้งแห่งปีติสัมโพชฌงค์ มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหารให้ปีติสัมโพชฌงค์ที่ยัง ไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์. [๓๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสงบกาย ความสงบจิต มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในความสงบนั้น นี้เป็นอาหารให้ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์. [๓๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้สมาธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์? ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธินิมิต อัพยัคคนิมิต ๑- มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในนิมิตนั้น นี้เป็นอาหารให้สมาธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์. [๓๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้อุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายเป็นที่ตั้งแห่ง อุเบกขาสัมโพชฌงค์ มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหาร ให้อุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์. [๓๗๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ แม้ฉันใด โพชฌงค์ ๗ เหล่านี้ ก็มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะ อาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน. หมายเหตุ; ผัสสะต่างๆที่มีเกิดขึ้น ขณะดำเนินชีวิต และการทำความเพียร ควรกำหนดรู้ |
เจ้าของ: | เปลี่ยนชื่อใหม่ [ 22 ก.ค. 2015, 16:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ฝึกดูเวทนา ทำยังไงครับ |
walaiporn เขียน: เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน: ปกติ เราจะเห็น การกับจิต หากวันหนึ่งเจ็บป่วย มันเพิ่มเวทนาเข้ามาด้วยนะสิ คราวนี้ จิตมันไม่ชินกับเวทนา ดูกาย ดูจิต ทีนี้มีเวทนาเพิ่มเข้ามา ดูสามอย่าง มั่วซั่วไปหมดละ ดูไม่ทันละ เงิบเลย เดี๋ยวจิต เดี๋ยวความเจ็บปวด เดี๋ยวเข้าไปรวมกับความเจ็บปวด เดี๋ยวเข้าไปรวมความคิด อะไรจะขนาดนั้น ชีวิต ![]() ใครผ่านตรงนี้มาบ้างครับ ขอคำชี้แนะครับ ![]() จริงๆก็คิดว่า ทำเหมือนกับดูจิต แต่เอาเข้าจริงๆมันไม่เหมือนกัน เพราะจิตเกิดดับ เร็ว แต่เวทนามันไม่เกิดดับเร็วไม่เหมือนจิตนะสิ เราทำได้แค่ แยกความเจ็บปวดออกมาเป็นคนละส่วน แต่ดับจะดับช้ากว่ามากมาย เวทนาในที่นี้ ของผมหมายถึงความเจ็บป่วยทางร่างกาย อย่างปวดหัว ปวดท้อง ไม่รู้เข้าใจถูกไหม การกำหนดรู้ ดูกรอัคคิเวสสนะ ! เราแนะนำสาวกทั้งหลายอย่างนี้ และคำสั่งสอนของเรามีส่วนอย่างนี้ ที่เป็นไปมากในสาวกทั้งหลายว่า รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง รูปไม่ใช่ตน เวทนาไม่ใช่ตน สัญญาไม่ใช่ตน สังขารทั้งหลายไม่ใช่ตน วิญญาณไม่ใช่ตน สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตน ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตน ดังนี้ ดูกรอัคคิเวสสนะ ! เราแนะนำสาวกทั้งหลายอย่างนี้ และคำสั่งสอนของเรามีส่วนอย่างนี้ ที่เป็นไปมากในสาวกทั้งหลาย เมื่อไม่กำหนดรู้ [๓๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ แม้ฉันใด นิวรณ์ ๕ ก็มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน. [๓๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหาร ให้กามฉันท์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศุภนิมิตมีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในศุภนิมิตนั้น นี้เป็นอาหารให้กามฉันท์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น. [๓๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้พยาบาทที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิฆนิมิตมีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในปฏิฆนิมิตนั้น นี้เป็นอาหารให้พยาบาทที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้ว ให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น. [๓๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความไม่ยินดี ความเกียจคร้าน ความบิดขี้เกียจ ความเมาอาหาร ความที่ใจหดหู่ มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในสิ่งเหล่านั้น นี้เป็นอาหารให้ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น. [๓๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความไม่สงบใจมีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในความไม่สงบใจนั้น นี้เป็นอาหารให้อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น. [๓๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉามีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหารให้วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น. [๓๖๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ แม้ฉันใด นิวรณ์ ๕ เหล่านี้ ก็มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน. อาหารของโพชฌงค์ ๗ [๓๖๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ แม้ฉันใด โพชฌงค์ ๗ ก็มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน. [๓๖๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้สติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายเป็นที่ตั้งแห่งสติสัมโพชฌงค์ มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหารให้สติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์. [๓๖๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลและ อกุศลที่มีโทษ และไม่มีโทษ ที่เลวและประณีต ที่เป็นฝ่ายดำและฝ่ายขาว มีอยู่ การกระทำให้มาก ซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหารให้ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์. [๓๖๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้วิริยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความริเริ่ม ความพยายาม ความบากบั่น มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในสิ่งเหล่านี้ นี้เป็นอาหารให้วิริยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์. [๓๖๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้ปีติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายเป็นที่ตั้งแห่งปีติสัมโพชฌงค์ มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหารให้ปีติสัมโพชฌงค์ที่ยัง ไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์. [๓๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสงบกาย ความสงบจิต มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในความสงบนั้น นี้เป็นอาหารให้ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์. [๓๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้สมาธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์? ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธินิมิต อัพยัคคนิมิต ๑- มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในนิมิตนั้น นี้เป็นอาหารให้สมาธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์. [๓๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้อุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายเป็นที่ตั้งแห่ง อุเบกขาสัมโพชฌงค์ มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหาร ให้อุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์. [๓๗๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ แม้ฉันใด โพชฌงค์ ๗ เหล่านี้ ก็มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะ อาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน. หมายเหตุ; ผัสสะต่างๆที่มีเกิดขึ้น ขณะดำเนินชีวิต และการทำความเพียร ควรกำหนดรู้ ![]() |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 23 ก.ค. 2015, 06:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ฝึกดูเวทนา ทำยังไงครับ |
กบนอกกะลา เขียน: แล้ว..ดูกาย..คุณ .เปลี่ยนชื่อใหม่...ดูยังงัยคับ? เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน: ก็ดูกายเคลื่อนไหว จะยืน เดิน นั่ง อะไรก็แล้วแต่ แต่มีจิตแยกออกมาเป็นคนดูครับ แต่ก่อน..ผมก็คิดอย่างนี้... แต่...มันน่าจะมีอะไรมากกว่านี้..นะ... เดียวคงมีใครให้ข้อมูลเพิ่ม... รอ.. ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | วิริยะ [ 23 ก.ค. 2015, 08:14 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ฝึกดูเวทนา ทำยังไงครับ |
เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน: ฝึกดูเวทนา ทำยังไงครับ เวทนา มีสองอย่าง ทางกาย ทางใจ ทางใจ สุขใจทุกข์ใจ ต้องใช้ปัญญาพิจารณาโดยแยบคาย จึงจะเห็นได้ ทางกาย เป็นของหยาบเห็นง่าย เช่น เจ็บไข้ได้ป่วย .. ถ้าอยากเห็นเวทนาทางกายโดยเร็ว โดยไม่ต้องรอให้เจ็บไข้ ก็ให้นั่งสมาธิ สักสองสามชั่วโมง สามสิบนาทีจะเริ่มเห็นชัด หนึ่งชั่วโมง ยิ่งชัดเจนมากขึ้น ขึ้นชั่วโมงที่สอง จิตกับเวทนาไม่พรากจากกันเลยล่ะ .. ลองดู ถ้าไม่จริงให้เขกเข่าสิบที ![]() |
เจ้าของ: | idea [ 23 ก.ค. 2015, 11:51 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ฝึกดูเวทนา ทำยังไงครับ |
กาย..เวทนา..จิต..ธรรม มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันตลอด ![]() ไอเดียเข้าใจว่า.. สติจะทำให้เห็นชัด..ทุกฐาน พอดีว่า...ไอเดียรู้หัวข้อธรรมไม่มาก แม่นน้อยๆอยู่แค่..อินทรีย์5.. ก็จะเอามาเหมือนประคับประคองการกระทำ..ตามเท่าที่พอจะคิดได้ สัทธา..วิริยะ..สติ..สมาธิ..ปัญญา ถ้าเท่าที่ปฏิบัติอยู่...วิธีของคุนเปลี่ยนชื่อ.ยังส่งเสริมสติไม่พอ ก็ลองทบทวน..ด้านกำลังสำคัญมากนะคะ ส่วนฝึกดูเวทนา..ยังไงหน่ะเหรอ ![]() ![]() ก็ดูไปสิคะ...เวทนามันเกิดขึ้นตรงไหน..ยังไงก็ดูไป ![]() แต่อย่าไปอยากให้มันดับ..ดับช้า..ดับเร็ว..อย่าไปอยาก ตรงนี้ต่างหากที่เป็นเหตุทุกข์ จะดู..ก็แค่ดู..ดูไปเลย..ดูแล้วเป็นไง อยากไม่อยาก..ชอบไม่ชอบ....กระวนกระวาย..ทุรนทุราย..นี่จิต พอบ่อยๆเข้า...เห็นมันเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป ไม่เที่ยง..เป็นทุกข์..ไม่มีตัวตน..ก็อ๋อ...มันก็เป็นเช่นนั้นเอง...นี่ธรรม ![]() ทำอะไร..ตั้งใจทำให้ดี..ให้รอบคอบ ทำแล้วอย่าเพิ่งไปหวังผล ไม่มีเรา..ไม่ใช่หน้าที่ของเราจะเข้าไปตัดสิน เป็นหน้าที่ของปัญญา..ให้มันรู้แจ้งเอง ถึงคราวนั้น..รู้สึกเองว่า...ไม่จับเพราะเห็นมันเป็นของร้อนหน่ะเป็นยังไง มันจะเป็นไปเอง ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |