วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 08:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 105 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2015, 22:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


wink
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมในภาษามคธที่
ให้คนยุคนั้นฟังซึ่งเขาเข้าใจโดยไม่ต้องแปล
ยุคภาษาไทยก็อธิบายในภาษาไทยสั้นๆ
อธิบายแบบไม่ต้องแปลไทยเป็นไทย
และตรงพระวาจาที่เข้าใจได้นะ
onion onion onion

อริยสัจธรรมไม่ได้บรรลุด้วยการนึกคิด แต่บรรลุด้วยการปฎิบัติจนธรรมะปรากฎในมโนทวาร จักขุ ญาน ปัญญา วิชชา แสงสว่าง

...เอ้าถ้าอ่านแล้วเข้าใจจะยังไม่ตาสว่างเหรอ...
...สงสัยอะไรที่ข้าพเจ้าเขียนก็ถามให้เข้าใจ...
...แล้วมีคำไหนที่ข้าพเจ้าบรรลุด้วยการเขียน..
...เคยอ่านเรื่องย่อภาพยนตร์หน้าเดียวจบไหม...
...สรุปย่อๆต้องเขียนทุกคำพูดของตัวละครไหม...
...อ่านแล้วหนังจบเรื่องแต่ไ่ม่มีรายละเอียด...
...แต่ก็ทราบจุดจบของเรื่องนัยเดียวกัน...
...ใครอยากติดตามแต่ละบทแต่ละตอน...
...ก็หาบทละครเต็มมาอ่านถูกไหม...
...ปัญญาแปลว่าเข้าใจ3คือคิดพูดทำ...
...มี3ระดับคือหยาบกลางละเอียด...
...วิชชาดับอวิชชาคือความรู้ดับความไม่รู้...
...แสงสว่างก็คือความรู้แจ้งมืดก็คือความไม่รู้ความหลง...
...แล้วสงสัยอะไรในการที่ข้าพเจ้าสรุปย่ออีก...
...รายละเอียดก็ไปค้นหามาศึกษาเอง...
...การปฏิบัติมันก็ใช้มโนทวารในการรู้อยู่แล้ว...
...จักขุญานก็คือตาใจที่เห็นในความจริงเป็นปัจจัตตัง...
...แล้วท่านรู้เหรอว่าอะไรปรากฏแก่ใจข้าพเจ้า...
...ของตัวเองไม่รู้แล้วมาเดาคนอื่นจากที่เขาเชียน
...ดีด้วบปัญญาไม่ใช่การเขียนคำว่าดีดีดีDDD...
...บอกอีกทีก็ได้ว่าข้าพเจ้าถึงอจลศรัทธา...
:b12: :b45:
:b43:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2015, 02:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เอกอนเขียน
อ้างคำพูด:
นานาปัญหา
โดย คณะสหายธรรม

๒๔. พระอรหันต์นิพพานแล้วเหลือแต่จิตบริสุทธิ์หรือ

ถาม ผมอยากทราบว่า ตามหลักอภิธรรมกล่าวว่าจิตกับวิญญาณขันธ์เป็นสิ่งเดียวกัน ใช่หรือไม่ครับ ถ้าใช่อย่างนั้น เวลาบรรลุเป็นพระอรหันต์ และดับขันธ์ปรินิพพานเป็นอนุปาทิเสสนิพพาน ขันธ์ทั้ง ๕ ดับหมด ก็สูญหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างนะสิครับ หรือความจริงเป็นอย่างไร

มีบางท่านกล่าวไว้ดังนี้ว่า จิตถูกหุ้มห่อด้วยขันธ์ทั้ง ๕ เป็นชั้นที่ ๑ และถูกหุ้มห่อด้วยวิบากเป็นชั้นที่ ๒ เมื่อทำลายกรรมและวิบากหมดแล้ว บรรลุเป็นอรหันต์เหลือแค่ขันธ์ ๕ ทรงอยู่อย่างบริสุทธิ์ ต่อเมื่อดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว ขันธ์ทั้ง ๕ ก็ดับหมดเหลือแต่จิตล้วนๆ บริสุทธิ์ (เรียกว่า เกวล) ถึงบรมสันติสุขสถาพร ตลอดกาลนิรันดร

ขอคำอธิบายจากคณะสหายธรรมด้วยว่า ความจริงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่ในเรื่องนี้

ตอบ ก่อนอื่นขอเรียนว่า หลักธรรมในพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะหลักธรรมขั้นสูง คือมรรคผลนิพพานนั้น บางนิกายก็มีความเห็นแตกต่างไปจากนิกายเถรวาทที่เรานับถือกันอยู่ คำถามที่คุณตั้งมานั้นจะเป็นคำสอนของผู้ใดนิกายไหนคณะไม่อาจทราบได้ แต่คำสอนในนิกายเถรวาทไม่ใช่เช่นนั้น เพราะฉะนั้น คำตอบที่จะตอบต่อไปนี้จึงเป็นคำตอบที่ได้มาจากคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าและพระอรหันต์สาวกและอรรถกถาในนิกายเถรวาทเท่านั้น

ในพระอภิธรรม พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติชื่อของสภาพรู้ คือจิตไว้ถึง ๙ ชื่อดังนี้คือ
๑. จิต ๒. มนะ ๓. มานสะ
๔. หทยะ ๕. ปัณฑระ ๖. มนายตนะ
๗. มนินทรีย์ ๘. วิญญาณ ๙. วิญญาณขันธ์

ซึ่งจะใช้ชื่อใดก็หมายความถึงจิตทั้งสิ้น ในบรรดาขันธ์ ๕ มีรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์นั้น วิญญาณขันธ์ก็คือจิตนั่นเอง

ขันธ์ทั้ง ๕ นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ถ้าขันธ์ ๕ ของพระอรหันต์ดับไปแล้ว คือปรินิพพานแล้ว เหลือแต่จิตล้วนบริสุทธิ์ ก็แสดงว่าขันธ์ของพระอรหันต์ดับไปเพียง ๔ ขันธ์ วิญญาณขันธ์คือจิตมิได้ดับด้วยจึงยังคงเหลือบริสุทธิ์อยู่ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง จิตก็เที่ยง เพราะดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ นี่ก็ขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วจึงถูกต้องไปไม่ได้

อนึ่ง ในพระอภิธรรมท่านแสดงว่านามขันธ์ ๔ คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เมื่อเกิดขึ้นต้องเกิดพร้อมกัน ๔ ขันธ์ และเมื่อดับก็ดับไปพร้อมกันทั้ง ๔ ขันธ์ ไม่ใช่ ๓ ขันธ์ดับ วิญญาณขันธ์ไม่ดับ เมื่อรูปกายอันเป็นรูปขันธ์แตกดับ นามขันธ์ทั้ง ๔ ก็อยู่ไม่ได้ ต้องแตกดับด้วย และต้องแตกดับพร้อมกันทั้ง ๔ ขันธ์ด้วย ไม่ใช่ดับเพียง ๓ ขันธ์ เหลือวิญญาณขันธ์คือจิตไว้ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธในนิกายเถรวาท

ธรรมดาขันธ์ ๕ เป็นสังขตธรรมหรือสังขารธรรม คือธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งและมีสภาพเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ปราศจากเหตุปัจจัยแล้ว ขันธ์ ๕ เกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิด ขันธ์ ๕ ก็เกิด เมื่อหมดเหตุปัจจัย ขันธ์ ๕ ก็ดับ

ดังที่ พระอัสสชิกล่าวแก่อุปติสสะปริพาชก ซึ่งภายหลังคือท่านพระสารีบุตร ว่า

“ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตตรัสถึงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติตรัสอย่างนี้”
ด้วยเหตุนี้ขันธ์ ๕ ของพระอรหันต์เมื่อดับ คือปรินิพพานแล้ว เพราะหมดเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดแล้วจึงไม่เกิดอีก ไม่ว่าจะเป็นรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเหลือแต่จิตล้วนๆ บริสุทธิ์ ในเมื่อจิตก็คือวิญญาณขันธ์ เมื่อวิญญาณขันธ์ซึ่งรวมอยู่ในขันธ์ ๕ ดับ การจะเหลือแก่จิตบริสุทธิ์จึงเป็นไปไม่ได้

ใน พรหมชาลสูตร ที. สีลขันธวรรค ข้อ ๙๐ ตอนท้าย
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่ภิกษุว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ ต่อเมื่อกายแตกสิ้นชีวิตแล้วเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจะไม่เห็นตถาคต”

จากพระพุทธดำรัสนี้ก็แสดงชัดว่า ผู้ที่ทำลายตัณหาอันเป็นเหตุให้เกิดในภพต่างๆ ได้ขาดแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้วยังมีชีวิตอยู่ เทวดาและมนุษย์ย่อมเห็นกายของพระอรหันต์ได้ แต่เมื่อพระอรหันต์สิ้นชีวิตแล้วคือปรินิพพานแล้ว เทวดาและมนุษย์ย่อมไม่เห็นกายของท่าน เพราะกายของท่านดับแล้วไม่เกิดอีกแล้ว

อนึ่ง การดับของขันธ์ ๕ ท่านไม่เรียกว่าสูญ ในเมื่อขันธ์ ๕ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ดับไปก็เพราะสิ้นเหตุปัจจัย ท่านจึงเรียกการไม่ได้เกิดอีกของขันธ์ ๕ ว่า เพราะหมดเหตุปัจจัยที่จะให้เกิด ขันธ์ ๕ ก็ไม่เกิด

อีกอย่างหนึ่ง จุติของพระอรหันต์ท่านเรียกว่า จริมะจิต คือเป็นจิตดวงสุดท้ายในสังสารวัฏ สำหรับบุคคลที่ตายแล้วยังต้องเกิดอีก จิตดวงสุดท้ายในแต่ละชาติที่ตายนั้นเรียกว่า จุติจิต เพราะจุติจิตดับแล้วมีปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในภพใหม่ชาติใหม่อีก ทั้งนี้บุคคลที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์นั้น ไม่ว่าจะเกิดมากี่ร้อย กี่พัน กี่แสน กี่โกฏิชาติ จิตก็เกิดดับติดต่อกันมาตลอดร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติ โกฏิชาติ คือจุติจิตดับแล้วปฏิสนธิจิตก็เกิดสืบต่อไปอีกทุกๆ ชาติ

ต่อเมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วนั่นแหละ จุติของท่านจึงชื่อว่าจริมะจิต คือเป็นจิตดวงสุดท้ายของการเกิดมาในสังสารวัฏอันยาวนานนั้น เพราะไม่ปฏิสนธิจิตสืบต่ออีก เหมือนในชาติที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ นี่คือเหตุผลที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในเรื่องนี้และในนิกายเถรวาทนี้


ความเห็นผม พระพุทธเจ้าไม่ได้หมายถึงกายที่เดินไปเดินมาอย่างเดียว

คำว่าเทวดาและมนุษย์จะไม่เห็นตถาคตอีกคือ

แม้นิพพานไปแล้ว เทวดาหรือมนุษย์ก็จะไม่เห็นตถาคตอีก แม้แต่ดวงจิตอะไรที่ไหน
ก็จะไม่มีใครเห็นตถาคตอีก

ไม่ใช่ไม่เห็นกายอย่างเดียวแต่เหลือพระนิพพานให้เห็น ไม่ใช่อย่างนั้น

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2015, 03:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


แม้พระนิพพาน เทวดาและมนุษย์ยังทำไม่แจ้ง

ก็จะนึกคิดไปต่างๆนาๆว่าพระพุทธเจ้าประทับที่นั่นที่นี่แม้นิพพานไปแล้ว

โดยไม่คำนึงถึงเหตุปัจจัย

พระพุทธเจ้าก็ตรัสแล้วว่า พระธรรมจะเป็นตัวแทนของเราสืบไป

ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา
ไม่ใช่กายหยาบดับลงยังตามไปเห็นกายละเอียดท่าน ไม่ใช่อย่างนั้น

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2015, 06:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมในภาษามคธที่
ให้คนยุคนั้นฟังซึ่งเขาเข้าใจโดยไม่ต้องแปล
ยุคภาษาไทยก็อธิบายในภาษาไทยสั้นๆ
อธิบายแบบไม่ต้องแปลไทยเป็นไทย
และตรงพระวาจาที่เข้าใจได้นะ
onion onion onion

อริยสัจธรรมไม่ได้บรรลุด้วยการนึกคิด แต่บรรลุด้วยการปฎิบัติจนธรรมะปรากฎในมโนทวาร จักขุ ญาน ปัญญา วิชชา แสงสว่าง

...เอ้าถ้าอ่านแล้วเข้าใจจะยังไม่ตาสว่างเหรอ...
...สงสัยอะไรที่ข้าพเจ้าเขียนก็ถามให้เข้าใจ...
...แล้วมีคำไหนที่ข้าพเจ้าบรรลุด้วยการเขียน..
...เคยอ่านเรื่องย่อภาพยนตร์หน้าเดียวจบไหม...
...สรุปย่อๆต้องเขียนทุกคำพูดของตัวละครไหม...
...อ่านแล้วหนังจบเรื่องแต่ไ่ม่มีรายละเอียด...
...แต่ก็ทราบจุดจบของเรื่องนัยเดียวกัน...
...ใครอยากติดตามแต่ละบทแต่ละตอน...
...ก็หาบทละครเต็มมาอ่านถูกไหม...
...ปัญญาแปลว่าเข้าใจ3คือคิดพูดทำ...
...มี3ระดับคือหยาบกลางละเอียด...
...วิชชาดับอวิชชาคือความรู้ดับความไม่รู้...
...แสงสว่างก็คือความรู้แจ้งมืดก็คือความไม่รู้ความหลง...
...แล้วสงสัยอะไรในการที่ข้าพเจ้าสรุปย่ออีก...
...รายละเอียดก็ไปค้นหามาศึกษาเอง...
...การปฏิบัติมันก็ใช้มโนทวารในการรู้อยู่แล้ว...
...จักขุญานก็คือตาใจที่เห็นในความจริงเป็นปัจจัตตัง...
...แล้วท่านรู้เหรอว่าอะไรปรากฏแก่ใจข้าพเจ้า...
...ของตัวเองไม่รู้แล้วมาเดาคนอื่นจากที่เขาเชียน
...ดีด้วบปัญญาไม่ใช่การเขียนคำว่าดีดีดีDDD...
...บอกอีกทีก็ได้ว่าข้าพเจ้าถึงอจลศรัทธา...
:b12: :b45:
:b43:
สัพเพธรรมาอนัตตา

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2015, 11:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมในภาษามคธที่
ให้คนยุคนั้นฟังซึ่งเขาเข้าใจโดยไม่ต้องแปล
ยุคภาษาไทยก็อธิบายในภาษาไทยสั้นๆ
อธิบายแบบไม่ต้องแปลไทยเป็นไทย
และตรงพระวาจาที่เข้าใจได้นะ
onion onion onion

อริยสัจธรรมไม่ได้บรรลุด้วยการนึกคิด แต่บรรลุด้วยการปฎิบัติจนธรรมะปรากฎในมโนทวาร จักขุ ญาน ปัญญา วิชชา แสงสว่าง

...เอ้าถ้าอ่านแล้วเข้าใจจะยังไม่ตาสว่างเหรอ...
...สงสัยอะไรที่ข้าพเจ้าเขียนก็ถามให้เข้าใจ...
...แล้วมีคำไหนที่ข้าพเจ้าบรรลุด้วยการเขียน..
...เคยอ่านเรื่องย่อภาพยนตร์หน้าเดียวจบไหม...
...สรุปย่อๆต้องเขียนทุกคำพูดของตัวละครไหม...
...อ่านแล้วหนังจบเรื่องแต่ไ่ม่มีรายละเอียด...
...แต่ก็ทราบจุดจบของเรื่องนัยเดียวกัน...
...ใครอยากติดตามแต่ละบทแต่ละตอน...
...ก็หาบทละครเต็มมาอ่านถูกไหม...
...ปัญญาแปลว่าเข้าใจ3คือคิดพูดทำ...
...มี3ระดับคือหยาบกลางละเอียด...
...วิชชาดับอวิชชาคือความรู้ดับความไม่รู้...
...แสงสว่างก็คือความรู้แจ้งมืดก็คือความไม่รู้ความหลง...
...แล้วสงสัยอะไรในการที่ข้าพเจ้าสรุปย่ออีก...
...รายละเอียดก็ไปค้นหามาศึกษาเอง...
...การปฏิบัติมันก็ใช้มโนทวารในการรู้อยู่แล้ว...
...จักขุญานก็คือตาใจที่เห็นในความจริงเป็นปัจจัตตัง...
...แล้วท่านรู้เหรอว่าอะไรปรากฏแก่ใจข้าพเจ้า...
...ของตัวเองไม่รู้แล้วมาเดาคนอื่นจากที่เขาเชียน
...ดีด้วบปัญญาไม่ใช่การเขียนคำว่าดีดีดีDDD...
...บอกอีกทีก็ได้ว่าข้าพเจ้าถึงอจลศรัทธา...
:b12: :b45:
:b43:
สัพเพธรรมาอนัตตา

อจลศรัทธาของข้าพเจ้าคือเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าบอก100%
แต่การปฏิบัติก็เลือกคบกัลยาณมิตรคือฟังเทศน์ของพระอรหันต์ในยุคปัจจุบัน
แล้วก็ดำเนินตามรอยครูบาอาจารย์ที่รู้แจ้งแล้ว...แต่ก็ทำได้ตามกำลังของปัญญา
สติกำหนดรู้นานเข้าเริ่มเป็นสัมปชัญญะที่รู้ความเป็นไปเองที่กำลังปรากฏโดยไม่ต้องกำหนด
ปัญญาที่เข้าใจสภาพธรรมะเพื่อละความไม่รู้ที่เห็นผิดจากคำสอนที่เกิดพร้อมคือรู้ความเกิดขึ้นเป็นไปเอง
ศรัทธาที่จะระลึกตามกำลังที่ทำได้ในชีวิตประจำวันด้วยความไม่ลดละในความเพียรที่จะระลึกในปัจจุบัน
ขวนขวายเพื่อเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏบ่อยๆเนืองๆตามสติกำลังศรัทธาความเพียร
โดยการระลึกรู้ถอนความมีตัวตนเพราะรู้สภาพที่แท้จริงเช่นกำหนดเห็นหนอ ยินหนอ กลิ่นหนอ เสียงหนอ
อนัตตารู้โดยไม่เลือกว่าจะรู้อะไรก่อนหลังพยายามไม่ลดละเพื่อรู้เท่าทันได้ตามปัญญาที่มีขณะปัจจุบัน
เพื่อละความไม่รู้ตามที่พอจะเข้าใจได้ด้วยความเห็นถูกต้องตรงตามพระธรรมเกิดปัญญา+สติสัมปชัญญะ
ศึกษาไม่หยุดในชีวิตประจำวันที่พอรู้ได้ก็เป็นอย่างที่เป็นอย่างนี้แล ดับแล้วย้อนเวลาคืนกลับมาไม่ได้อีก
ตรงไหมกลับสิ่งที่ท่านเขียน สัพเพธรรมาอนัตตา
:b16: :b12:
:b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2015, 12:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมในภาษามคธที่
ให้คนยุคนั้นฟังซึ่งเขาเข้าใจโดยไม่ต้องแปล
ยุคภาษาไทยก็อธิบายในภาษาไทยสั้นๆ
อธิบายแบบไม่ต้องแปลไทยเป็นไทย
และตรงพระวาจาที่เข้าใจได้นะ
onion onion onion

อริยสัจธรรมไม่ได้บรรลุด้วยการนึกคิด แต่บรรลุด้วยการปฎิบัติจนธรรมะปรากฎในมโนทวาร จักขุ ญาน ปัญญา วิชชา แสงสว่าง

...เอ้าถ้าอ่านแล้วเข้าใจจะยังไม่ตาสว่างเหรอ...
...สงสัยอะไรที่ข้าพเจ้าเขียนก็ถามให้เข้าใจ...
...แล้วมีคำไหนที่ข้าพเจ้าบรรลุด้วยการเขียน..
...เคยอ่านเรื่องย่อภาพยนตร์หน้าเดียวจบไหม...
...สรุปย่อๆต้องเขียนทุกคำพูดของตัวละครไหม...
...อ่านแล้วหนังจบเรื่องแต่ไ่ม่มีรายละเอียด...
...แต่ก็ทราบจุดจบของเรื่องนัยเดียวกัน...
...ใครอยากติดตามแต่ละบทแต่ละตอน...
...ก็หาบทละครเต็มมาอ่านถูกไหม...
...ปัญญาแปลว่าเข้าใจ3คือคิดพูดทำ...
...มี3ระดับคือหยาบกลางละเอียด...
...วิชชาดับอวิชชาคือความรู้ดับความไม่รู้...
...แสงสว่างก็คือความรู้แจ้งมืดก็คือความไม่รู้ความหลง...
...แล้วสงสัยอะไรในการที่ข้าพเจ้าสรุปย่ออีก...
...รายละเอียดก็ไปค้นหามาศึกษาเอง...
...การปฏิบัติมันก็ใช้มโนทวารในการรู้อยู่แล้ว...
...จักขุญานก็คือตาใจที่เห็นในความจริงเป็นปัจจัตตัง...
...แล้วท่านรู้เหรอว่าอะไรปรากฏแก่ใจข้าพเจ้า...
...ของตัวเองไม่รู้แล้วมาเดาคนอื่นจากที่เขาเชียน
...ดีด้วบปัญญาไม่ใช่การเขียนคำว่าดีดีดีDDD...
...บอกอีกทีก็ได้ว่าข้าพเจ้าถึงอจลศรัทธา...
:b12: :b45:
:b43:
สัพเพธรรมาอนัตตา

อจลศรัทธาของข้าพเจ้าคือเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าบอก100%
แต่การปฏิบัติก็เลือกคบกัลยาณมิตรคือฟังเทศน์ของพระอรหันต์ในยุคปัจจุบัน
แล้วก็ดำเนินตามรอยครูบาอาจารย์ที่รู้แจ้งแล้ว...แต่ก็ทำได้ตามกำลังของปัญญา
สติกำหนดรู้นานเข้าเริ่มเป็นสัมปชัญญะที่รู้ความเป็นไปเองที่กำลังปรากฏโดยไม่ต้องกำหนด
ปัญญาที่เข้าใจสภาพธรรมะเพื่อละความไม่รู้ที่เห็นผิดจากคำสอนที่เกิดพร้อมคือรู้ความเกิดขึ้นเป็นไปเอง
ศรัทธาที่จะระลึกตามกำลังที่ทำได้ในชีวิตประจำวันด้วยความไม่ลดละในความเพียรที่จะระลึกในปัจจุบัน
ขวนขวายเพื่อเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏบ่อยๆเนืองๆตามสติกำลังศรัทธาความเพียร
โดยการระลึกรู้ถอนความมีตัวตนเพราะรู้สภาพที่แท้จริงเช่นกำหนดเห็นหนอ ยินหนอ กลิ่นหนอ เสียงหนอ
อนัตตารู้โดยไม่เลือกว่าจะรู้อะไรก่อนหลังพยายามไม่ลดละเพื่อรู้เท่าทันได้ตามปัญญาที่มีขณะปัจจุบัน
เพื่อละความไม่รู้ตามที่พอจะเข้าใจได้ด้วยความเห็นถูกต้องตรงตามพระธรรมเกิดปัญญา+สติสัมปชัญญะ
ศึกษาไม่หยุดในชีวิตประจำวันที่พอรู้ได้ก็เป็นอย่างที่เป็นอย่างนี้แล ดับแล้วย้อนเวลาคืนกลับมาไม่ได้อีก
ตรงไหมกลับสิ่งที่ท่านเขียน สัพเพธรรมาอนัตตา
:b16: :b12:
:b44:
รู้ได้อย่างไรท่านใดเป็นอรหันต์ในปัจจุบัน พอจะแนะนำได้มั้ยว่ามีท่านใดบ้างที่ท่านคิดว่าเป็นอรหันต์. สัพเพธรรมาอนัตตาของท่านยังไม่ถึงขั้นภาวนา

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2015, 15:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes
ดูเอาเถอะเรียนพระธรรมก็เยอะ...แต่ไม่รูจักพระอรหันต์สาวกยุคปัจจุบันก็ไม่คบกัลยาณมิตรเลยสินะ...555
กัลยาณมิตรตามหลักคำสอนคือผู้สิ้นกิเลสน๊า...แล้วก็กัลยาณมิตรสูงสุดคือพระพุทธเจ้านะจะบอกให้...
:b32:
ในเว็บก็มีให้ศึกษา...อ้อแล้วก็ไม่ต้องคิดเดาว่าเราบรรลุจำคำครูอาจารย์ยังปุถุชน...หัดคบกัลยาณมิตรนะ...
เลิกคุยด้วยแล้วนะ...คุยกันคนละภาษา...คุยกับคนที่มีแบบฉบับจิตวิปลาศตามตัวเองให้ตามกันไปเถอะ...
ก้ไปสู่สิ่งที่ชอบคิด ชอบทำ ชอบจำ อธิบายความคิดให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้ก็ยังไม่รู้อะไรเลยแค่จำคำนะ...
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=24738
:b8: :b8: :b8:
:b29:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2015, 15:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมในภาษามคธที่
ให้คนยุคนั้นฟังซึ่งเขาเข้าใจโดยไม่ต้องแปล
ยุคภาษาไทยก็อธิบายในภาษาไทยสั้นๆ
อธิบายแบบไม่ต้องแปลไทยเป็นไทย
และตรงพระวาจาที่เข้าใจได้นะ
onion onion onion

อริยสัจธรรมไม่ได้บรรลุด้วยการนึกคิด แต่บรรลุด้วยการปฎิบัติจนธรรมะปรากฎในมโนทวาร จักขุ ญาน ปัญญา วิชชา แสงสว่าง

...เอ้าถ้าอ่านแล้วเข้าใจจะยังไม่ตาสว่างเหรอ...
...สงสัยอะไรที่ข้าพเจ้าเขียนก็ถามให้เข้าใจ...
...แล้วมีคำไหนที่ข้าพเจ้าบรรลุด้วยการเขียน..
...เคยอ่านเรื่องย่อภาพยนตร์หน้าเดียวจบไหม...
...สรุปย่อๆต้องเขียนทุกคำพูดของตัวละครไหม...
...อ่านแล้วหนังจบเรื่องแต่ไ่ม่มีรายละเอียด...
...แต่ก็ทราบจุดจบของเรื่องนัยเดียวกัน...
...ใครอยากติดตามแต่ละบทแต่ละตอน...
...ก็หาบทละครเต็มมาอ่านถูกไหม...
...ปัญญาแปลว่าเข้าใจ3คือคิดพูดทำ...
...มี3ระดับคือหยาบกลางละเอียด...
...วิชชาดับอวิชชาคือความรู้ดับความไม่รู้...
...แสงสว่างก็คือความรู้แจ้งมืดก็คือความไม่รู้ความหลง...
...แล้วสงสัยอะไรในการที่ข้าพเจ้าสรุปย่ออีก...
...รายละเอียดก็ไปค้นหามาศึกษาเอง...
...การปฏิบัติมันก็ใช้มโนทวารในการรู้อยู่แล้ว...
...จักขุญานก็คือตาใจที่เห็นในความจริงเป็นปัจจัตตัง...
...แล้วท่านรู้เหรอว่าอะไรปรากฏแก่ใจข้าพเจ้า...
...ของตัวเองไม่รู้แล้วมาเดาคนอื่นจากที่เขาเชียน
...ดีด้วบปัญญาไม่ใช่การเขียนคำว่าดีดีดีDDD...
...บอกอีกทีก็ได้ว่าข้าพเจ้าถึงอจลศรัทธา...
:b12: :b45:
:b43:
สัพเพธรรมาอนัตตา

อจลศรัทธาของข้าพเจ้าคือเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าบอก100%
แต่การปฏิบัติก็เลือกคบกัลยาณมิตรคือฟังเทศน์ของพระอรหันต์ในยุคปัจจุบัน
แล้วก็ดำเนินตามรอยครูบาอาจารย์ที่รู้แจ้งแล้ว...แต่ก็ทำได้ตามกำลังของปัญญา
สติกำหนดรู้นานเข้าเริ่มเป็นสัมปชัญญะที่รู้ความเป็นไปเองที่กำลังปรากฏโดยไม่ต้องกำหนด
ปัญญาที่เข้าใจสภาพธรรมะเพื่อละความไม่รู้ที่เห็นผิดจากคำสอนที่เกิดพร้อมคือรู้ความเกิดขึ้นเป็นไปเอง
ศรัทธาที่จะระลึกตามกำลังที่ทำได้ในชีวิตประจำวันด้วยความไม่ลดละในความเพียรที่จะระลึกในปัจจุบัน
ขวนขวายเพื่อเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏบ่อยๆเนืองๆตามสติกำลังศรัทธาความเพียร
โดยการระลึกรู้ถอนความมีตัวตนเพราะรู้สภาพที่แท้จริงเช่นกำหนดเห็นหนอ ยินหนอ กลิ่นหนอ เสียงหนอ
อนัตตารู้โดยไม่เลือกว่าจะรู้อะไรก่อนหลังพยายามไม่ลดละเพื่อรู้เท่าทันได้ตามปัญญาที่มีขณะปัจจุบัน
เพื่อละความไม่รู้ตามที่พอจะเข้าใจได้ด้วยความเห็นถูกต้องตรงตามพระธรรมเกิดปัญญา+สติสัมปชัญญะ
ศึกษาไม่หยุดในชีวิตประจำวันที่พอรู้ได้ก็เป็นอย่างที่เป็นอย่างนี้แล ดับแล้วย้อนเวลาคืนกลับมาไม่ได้อีก
ตรงไหมกลับสิ่งที่ท่านเขียน สัพเพธรรมาอนัตตา
:b16: :b12:
:b44:
รู้ได้อย่างไรท่านใดเป็นอรหันต์ในปัจจุบัน พอจะแนะนำได้มั้ยว่ามีท่านใดบ้างที่ท่านคิดว่าเป็นอรหันต์. สัพเพธรรมาอนัตตาของท่านยังไม่ถึงขั้นภาวนา

:b12:
...ไม่ได้มาอวดรู้เพื่อแข่งดีกับใครนะ...แต่ขอบอกอีกนิดเพื่อเอาบุญ...ปฏิบัติสมถะกะวิปัสนากรรมฐาน...
...ข้างบนที่เขียนน่ะเขาเรียกวิปัสสนาภาวนา ส่วนการทำสมาธิก็ทำได้ทั้งหลับตาและไม่หลับตาน๊่า...
...ที่นั่งสมาธิหลับตาก็เคยจิตรวมมาแล้วเรียกสมถภาวนาจนรู้ว่ากายแยกจากจิตอย่างไร...
...ถ้าปฏิบัติถูกทางก็รู้ตรงความจริงเหมือนปลูกเงาะเพราะอยากกินทุเรียนแล้วจะได้กินไหมทุเรียน...
:b32: :b32:
:b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2015, 16:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
ดูเอาเถอะเรียนพระธรรมก็เยอะ...แต่ไม่รูจักพระอรหันต์สาวกยุคปัจจุบันก็ไม่คบกัลยาณมิตรเลยสินะ...555
กัลยาณมิตรตามหลักคำสอนคือผู้สิ้นกิเลสน๊า...แล้วก็กัลยาณมิตรสูงสุดคือพระพุทธเจ้านะจะบอกให้...
:b32:
ในเว็บก็มีให้ศึกษา...อ้อแล้วก็ไม่ต้องคิดเดาว่าเราบรรลุจำคำครูอาจารย์ยังปุถุชน...หัดคบกัลยาณมิตรนะ...
เลิกคุยด้วยแล้วนะ...คุยกันคนละภาษา...คุยกับคนที่มีแบบฉบับจิตวิปลาศตามตัวเองให้ตามกันไปเถอะ...
ก้ไปสู่สิ่งที่ชอบคิด ชอบทำ ชอบจำ อธิบายความคิดให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้ก็ยังไม่รู้อะไรเลยแค่จำคำนะ...
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=24738
:b8: :b8: :b8:
:b29:

ขอถามอีกครั้งนะรู้ได้อย่างไรว่าท่านใดเป็นอรหันต์. แค่นี้ท่านก็ตอบไม่ได้แล้วการมีพระรัตนตรัยท่านก็ไม่ตรงนะซิ ก็คือมีหลวงปู่หลวงตาองค์นั้นองค์นี้เป็นสรณะใช่หรือไม่

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2015, 17:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
ดูเอาเถอะเรียนพระธรรมก็เยอะ...แต่ไม่รูจักพระอรหันต์สาวกยุคปัจจุบันก็ไม่คบกัลยาณมิตรเลยสินะ...555
กัลยาณมิตรตามหลักคำสอนคือผู้สิ้นกิเลสน๊า...แล้วก็กัลยาณมิตรสูงสุดคือพระพุทธเจ้านะจะบอกให้...
:b32:
ในเว็บก็มีให้ศึกษา...อ้อแล้วก็ไม่ต้องคิดเดาว่าเราบรรลุจำคำครูอาจารย์ยังปุถุชน...หัดคบกัลยาณมิตรนะ...
เลิกคุยด้วยแล้วนะ...คุยกันคนละภาษา...คุยกับคนที่มีแบบฉบับจิตวิปลาศตามตัวเองให้ตามกันไปเถอะ...
ก้ไปสู่สิ่งที่ชอบคิด ชอบทำ ชอบจำ อธิบายความคิดให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้ก็ยังไม่รู้อะไรเลยแค่จำคำนะ...
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=24738
:b8: :b8: :b8:
:b29:

ขอถามอีกครั้งนะรู้ได้อย่างไรว่าท่านใดเป็นอรหันต์. แค่นี้ท่านก็ตอบไม่ได้แล้วการมีพระรัตนตรัยท่านก็ไม่ตรงนะซิ ก็คือมีหลวงปู่หลวงตาองค์นั้นองค์นี้เป็นสรณะใช่หรือไม่

...ตาเถรตกกระโถน...ไปอยู่ที่ไหนมาถึงไม่รู้...เขารู้กันทั่วโลกเลย...
...อัฏฐิท่านเป็นพระธาตุประกาศความเป็นพระอรหันต์แล้วยังไม่รู้...
...นอกจากพระพุทธเจ้าแล้วก็พระอรหันต์ที่รู้ความจริงว่าไหม...
...บูชาพระรัตนตรัยก็คือ1.บูชาคุณพระพุทธเจ้าในพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณและพระมหากรุณาธิคุณ...
...2.บูชาคุณพระธรรม...3.บูชาคุณพระอริยสงฆ์ที่รู้ความจริงตามพระพุทธเจ้า...
...เคารพนับถือพระอริยสงฆ์ที่เป็นพระอรหันต์แล้วมันผิดตรงไหนล่ะ...ท่านเป็นทายาทโดยตรง...
...ที่สืบทอดพระพุทธศาสนาในจิตใจได้สมบูรณ์แทนพระพุทธเจ้าเป็บุคคลที่ควรกราบไหว้แล้ว...
...หรือจะให้ข้าพเจ้ากราบท่านบิกทู่ได้ลงคอล่ะท่าน...ลบหลู่พระอรหันต์ต้องไปกราบขอขมาที่วัดป่าบ้านตาด...
:b22: :b22:
:b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2015, 17:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:

ดูเอาเถอะเรียนพระธรรมก็เยอะ...แต่ไม่รูจักพระอรหันต์สาวกยุคปัจจุบันก็ไม่คบกัลยาณมิตรเลยสินะ...555
กัลยาณมิตรตามหลักคำสอนคือผู้สิ้นกิเลสน๊า...แล้วก็กัลยาณมิตรสูงสุดคือพระพุทธเจ้านะจะบอกให้...
:b32:
ในเว็บก็มีให้ศึกษา...อ้อแล้วก็ไม่ต้องคิดเดาว่าเราบรรลุจำคำครูอาจารย์ยังปุถุชน...หัดคบกัลยาณมิตรนะ...
เลิกคุยด้วยแล้วนะ...คุยกันคนละภาษา...คุยกับคนที่มีแบบฉบับจิตวิปลาศตามตัวเองให้ตามกันไปเถอะ...
ก้ไปสู่สิ่งที่ชอบคิด ชอบทำ ชอบจำ อธิบายความคิดให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้ก็ยังไม่รู้อะไรเลยแค่จำคำนะ...
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=24738
:b8: :b8: :b8:
:b29:

ขอถามอีกครั้งนะรู้ได้อย่างไรว่าท่านใดเป็นอรหันต์. แค่นี้ท่านก็ตอบไม่ได้แล้วการมีพระรัตนตรัยท่านก็ไม่ตรงนะซิ ก็คือมีหลวงปู่หลวงตาองค์นั้นองค์นี้เป็นสรณะใช่หรือไม่

...ตาเถรตกกระโถน...ไปอยู่ที่ไหนมาถึงไม่รู้...เขารู้กันทั่วโลกเลย...
...อัฏฐิท่านเป็นพระธาตุประกาศความเป็นพระอรหันต์แล้วยังไม่รู้...
...นอกจากพระพุทธเจ้าแล้วก็พระอรหันต์ที่รู้ความจริงว่าไหม...
...บูชาพระรัตนตรัยก็คือ1.บูชาคุณพระพุทธเจ้าในพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณและพระมหากรุณาธิคุณ...
...2.บูชาคุณพระธรรม...3.บูชาคุณพระอริยสงฆ์ที่รู้ความจริงตามพระพุทธเจ้า...
...เคารพนับถือพระอริยสงฆ์ที่เป็นพระอรหันต์แล้วมันผิดตรงไหนล่ะ...ท่านเป็นทายาทโดยตรง...
...ที่สืบทอดพระพุทธศาสนาในจิตใจได้สมบูรณ์แทนพระพุทธเจ้าเป็บุคคลที่ควรกราบไหว้แล้ว...
...หรือจะให้ข้าพเจ้ากราบท่านบิกทู่ได้ลงคอล่ะท่าน...ลบหลู่พระอรหันต์ต้องไปกราบขอขมาที่วัดป่าบ้านตาด...
:b22: :b22:
:b39:

อ้อ!พอเข้าใจแล้วแล้วที่ท่านคิดว่าท่านใดเป็นอรหันต์. ทีนี้ถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นอรหันต์ ในเมื่อพระศาสดากล่าวว่าไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้นอกจากพระองค์และก็ผู้เสมอท่าน. แล้วจะมีใครเสมอท่าน. แล้วในคำสอนก็ไม่เคยบอกด้วยว่ากระดูกเป็นแก้วหรืออะไรคืออรหันต์

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2015, 15:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ก.ค. 2013, 19:24
โพสต์: 29

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จิตมีเหตุก็เกิดหมดเหตุก็ดับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2015, 16:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2011, 10:18
โพสต์: 590

โฮมเพจ: www.bhuddhakhun.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


deecup เขียน:
ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างล้วน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

รูปธรรม นามธรรม ล้วนแต่เป็นสิ่งสมมุติ

แบบนี้ จิตเรานี้ ก็ ไม่เที่ยง แต่คำว่าไม่เที่ยงนี้ มักใช้กับคำว่า เกิด และดับ เกิด และดับ

ผมเลยสงสัย แล้วจิตเรานี้มีวันดับ แล้วไม่เกิด อีกไหมครับ
:b8:


อันนั้นอยู่นอกเหนือการล่วงรู้ของมนุษย์ ตรงนี้เราอย่าไปยึด ปล่อยวางการอยากรู้ตรงนี้แล้วปฏิบัติกับสิ่งที่เป็นปัจจุบันดีกว่าครับ

สิ่งที่เราพอจะรู้ได้คือ จิต มีการเปลี่ยนสภาวะ เปลี่ยนสถานะ เกิด ดับ ตลอดเวลา เอาเฉพาะในชาตินี้ก่อนนะครับ อย่าเพิ่งไปหวังถึงชาติหน้า ปฏิบัติชาตินี้ให้ได้ก่อน

พระพุทธเจ้าสอนให้เรามีสติอยู่กับปัจจุบัน ถ้าเรามัวไปคิดถึงเรื่องอนาคต เดี๋ยวสติเราจะหลุดไปอยู่ตรงนั้นดึงกลับยากนะครับ

ยกตัวอย่างง่ายๆ

คนๆนึง คิดถึงแต่อนาคต วางแผนอนาคต ในหัวของเขามีแต่เรื่องอนาคตเต็มไปหมดว่าอยากทำนั่นทำนี่ คิดตลอดเวลา วางแผนในสมองตลอดเวลา จนลืมมองสถานะของตัวเองในปัจจุบันว่าทำงานเป็นลูกจ้างเขาอยู่ ลืมมองสภาพความเป็นอยู่ของตัวเองในปัจจุบัน จิตเขาหลุดเข้าไปอยู่กับภาพความฝันในอนาคตที่จินตนาการไปว่าตัวเองประสพความสำเร็จจนลืมตัวเองในสภาพปัจจุบัน เขาจึงละเลยปัจจุบัน เรียกว่าสติหลุด เมื่อละเลยปัจจุบัน สติไม่อยู่กับปัจจุบัน อย่าไปหวังเรื่องอนาคตเลยครับ เพราะปัจจุบันไม่ดีแล้วยังไม่ขวนขวาย อนาคตก็คงจะไม่ประสพความสำเร็จตามไปด้วย แต่ถ้าเรามีสติแล้วปฏิบัติปัจจุบันให้ดี เดี๋ยวอนาคตก็ดีเองครับ

อาจจะอธิบายแล้วดูเหมือนคนละเรื่อง แต่เรื่องเดียวกันครับ

เมื่อจิตเราดับแล้ว มีการเปลี่ยนสถานะ พอมันเปลี่ยนสถานะไปแล้วเราก็จำสภาวะเดิมไม่ได้แล้วครับ นอกจากระลึกชาติ ถามว่าดับไปเลยหรือเปล่า นั่นไม่อยู่กับปัจจุบันครับ นั่นคืออนาคต ซึ่งอยู่เหนือการควบคุม เหนือการล่วงรู้ของเรา ทำได้แค่วางการยึด วางการอยากรู้ แล้วใช้สติกับปัจจุบัน มีอีกมายมายในโลกนี้ที่มนุษย์ไม่สามารถล่วงรู้ได้หมด เพราะฉนั้นทำปัจจุบันให้ดี ทางข้างหน้าย่อมดีแน่นอนครับโดยไม่จำเป็นต้องอยากรู้อนาคตล่วงหน้า

.....................................................
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2015, 00:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.thepathofpurity.com/%E0%B8%9 ... %E0%B9%93/

ทดไว้...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2015, 13:41 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2876


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 105 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 164 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร